ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Key To Heart Beat Project [WonKyu]

    ลำดับตอนที่ #1 : Return to old ; 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 224
      0
      11 พ.ค. 55


    -� �1 �-

    “อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต... คุณว่าช่วงเวลาไหนที่มีความสุขที่สุดหรือครับ...?”

    ��������� นั่นคือสิ่งที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอด..

    ทุกวินาทีที่ผมหายใจเข้าออกมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว เพียงช่วงเวลาหนึ่งที่รอยยิ้มของผมผินออกมาแล้วมันก็จางหายไป ผิดกับช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องดิ่งสู่ความเศร้าหมอง มันช่างยาวนานเหลือเกิน

    จนผมไม่สามารถจดจำได้แล้วว่า

    ผมเคยยิ้มอย่างสุขใจครั้งสุดท้ายนั้นมันเมื่อไหร่กัน

    ��������� แล้วแบบนี้คำตอบของผมควรจะเป็นข้อไหนดี...?

    ����������� ท้องฟ้าที่ผมคอยเฝ้ามองมันจากตรงนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป..

    มีแสงแดดอุ่นๆ ลมบางเบาพัดผ่านกระทบทุกอนูบนร่างกาย เสียงนกร้องคลอเบาๆ ต้นไม้เขียวขจีและดอกไม้สีสดในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นน้ำค้างจางๆ ทุกสิ่งโดยรอบมันชวนให้คิดถึงวันวาน

    บ้านหลังเล็กๆที่เรียงรายติดกันเป็นแถวตามชนบท ลานหญ้าโล่งๆขนาดใหญ่ โต๊ะไม้สีซีดที่ยังไม่บุบสลาย มีเสียงเด็กตัวน้อยๆวิ่งเล่น สนุกสนานและรอยยิ้ม �ผู้สูงวัยออกจากบ้านมานั่งคุยกันอย่างออกรส ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมให้ร่มเงา

    ที่นี่สงบและสุขใจกว่าโซลอยู่เป็นไหนๆ

    ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้กลับมายังบ้านที่เคยจากไป

    เหมือนคนที่หมดสิ้นทุกอย่างแล้วซมซานกลับมา






    กลับมายังที่เดิมที่เคยพักพิง..







    ฮ่ะๆ น่าสมเพชนะ ว่าไหม?

    หัวใจของผมตอนนี้มันเหมือนกำลังจะแห้งและสลายไปกับความเศร้าโศก ผมยิ้มได้แต่มันเป็นยิ้มที่จอมปลอม ผมหลอกตัวเองว่าทำได้แต่มันไม่เคยเป็นไปอย่างที่คาดหวัง

    อา.. แย่ชะมัดเลย

    �����������


    ����������� “เอ่อ..โทษนะจ๊ะพ่อหนุ่ม มาหาใครหรอจ๊ะ?” หญิงสูงวัยเดินเข้ามาทักด้วยความสงสัยหลังจากลอบมองอยู่นาน

    ����������� ผมหันกลับไปหาตามต้นเสียง เธอคือคุณป้าคิมเพื่อนสนิทของแม่ ผมกล่าวทักทายด้วยความสุภาพพร้อมกับโค้งหัวลง พอเธอเห็นหน้าผมก็เท่านั้นก็ตะโกนชื่อของผมออกมาอย่างดัง เข้าสวมกอดตัวผมแทบจะทันที ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนบ้านเสียจนคนแถวนั้นแตกตื่นกันไปหมด หลายคนเดินออกมาจากบ้านเมื่อเห็นผมก็รีบเดินเข้ามาหาทันที

    ����������� “นี่คยูฮยอนจริงๆใช่มั้ยลูก ไม่เจอซะนานหล่อเชียวนะ แหมๆๆๆ ไปอยู่โซลซะนานป้าล่ะคิดถึงจริงๆ” �

    ����������� “ผมก็คิดถึงป้าคิมครับ” ผมยิ้มส่งกลับไปให้ป้าคิม แล้วหันมาโค้งให้กับญาติผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้นตั้งแต่วัยเด็ก



    ����������� งานเลี้ยงเล็กๆก็เกิดขึ้น ทุกคนฉลองกันอย่างมีความสุข ผมดีใจที่ทุกคนยังไม่ลืมผมกันไปหมด

    มีการร้องเพลงเล่นดนตรีและปรบมือตามท่วงทำนองเพลงโดยมีคุณลุงฮันเป็นผู้ขับร้อง ส่วนผมและคนอื่นๆคือนักบรรเลงเครื่องดนตรี เสียงขับร้องของคุณลุงฮันยังคงไพเราะดังเดิม

    สำหรับผมลุงฮันไม่ใช่ชายอายุมากนักแต่ก็มากกว่าแม่ของผมราวๆสามปีได้ ผมยังจำได้ดีเลยเสียงเพลงที่เคยกล่อมผมเมื่อยังเด็กยังคงสวยงามและอยู่ในความทรงจำของผมมาตลอด เขาคือต้นแบบที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในชิวิต..









    �����������

    หลังจากที่แต่งหน้าทำผมให้กับศิลปินดังเสร็จทีมงานทั้งหมดก็ออกไปจากห้องแต่งตัวกันหมด จนเหลือเพียงผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งอ่านนิตยสารโดยไม่สนใจรอบข้าง

    เจ้าตัวศิลปินยืนมองตัวเองผ่านกระจกเงา ทอดมองความเศร้าหมองของตัวเองด้วยสายตาเศร้าสร้อย เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ทรงผม หรือเครื่องประดับใดๆก็ไม่ได้ช่วยให้รอยยิ้มของเขาฉายชัดขึ้นมาเลย

    ปิดเปลือกตาบางลงชั่วครู่แล้วลืมขึ้นช้าๆ..

    การตัดสินใจครั้งนี้เขาคือผู้ที่เลือกเอง

    และจะไม่หันกลับมาเสียใจในสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว..

    “พี่ฮีชอล..”�

    ผู้จัดการเจ้าของชื่อช้อนตาขึ้นมองศิลปินในความดูแลของตน ปล่อยนิตยสารในมือให้กางอยู่แบบนั้น มองร่างโปร่งด้วยนัยตาเรียบเฉย เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าใจของคนที่เศร้าหมองตรงนี้กำลังคิดอะไร

    ��������� “หลังจากหมดสัญญาวันอาทิตย์หน้า...ผมจะออกจากวงการ”











    ����������� งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา..

    ����������� เรื่องนั้นผมเข้าใจมันดี และตอนนี้ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าไปพักผ่อนในบ้านของตัวเองกันจนหมด เหลือเพียงผม ป้าคิม และลุงฮันเท่านั้นที่ช่วยกันเก็บจานชามไปทำความสะอาด

    ����������� “เหนื่อยก็พักนอนพักเถอะลูก เดี๋ยวป้าจัดการให้เอง”

    ����������� “ผมเกรงใจป้านะ ที่ผ่านมาผมก็ขอบคุณมากๆแล้ว”

    ����������� “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ ป้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย เต็มใจจ๊ะ เต็มใจ แม่ของลูกก็เพื่อนรักป้าเชียวนะ แค่ล้างจานตรงนี้ก็เสร็จแล้วลูก แล้วเดี๋ยวปิดบ้านให้เรียบร้อยนะ ป้าต้องไปดูเจ้าตัวแสบที่บ้าน เดี๋ยวมันจะร้องเสียงดังรบกวนชาวบ้านเขา” ป้าคิมส่งยิ้มมาให้ผมมือก็ยังล้างเศษอาหารออกจากจานชามใบสวยต่อไป

    �����������

    ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินออกจากบริเวณหลังบ้าน ทอดสายตามองกระดานฟ้าสีดำที่ถูกประดับด้วยอัญมาณีระยิบระยับเต็มไปหมด สูดหายใจรับอากาศเย็นเข้าปอดแล้วผ่อนออก

    ����������� สิ่งที่โซลไม่มีก็คงจะเป็นความรู้สึกแบบนี้..

    ����������� “มายืนเป็นพระเอกเอวีเลยนะ”

    ����������� ผมรีบดึงความสนใจกลับมายังปัจจุบัน หันสายตาไปหาบุคคลที่ยืนอยู่ข้าง แล้วก็ผินรอยยิ้มออกมา

    ����������� “ลุง มันต้องเอ็มวีดิ โห.. เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” ผมพูดกลั้วหัวเราะกลับไป ยังแกล้งพูดเล่นกับผมเหมือนตอนเด็กๆเลย ลุงฮันแกไม่เปลี่ยนไปจริงๆ

    ����������� “เอ๊า!.. ก็เห็นหน้าเหมือน”

    ����������� “โถ่.. ลุงครับบบบ” พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนและดวงตาใสแป๋ว

    ����������� “เรานี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เด็กยังไงก็เด็กอย่างนั้น” ลุงฮันส่งยิ้มอ่อนๆให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมากจริงๆ เป็นเหมือนรอยยิ้มที่ถูกเก็บไว้มานาน

    ����������� “ทำไมถึงลาวงการ?”

    ����������� “ครับ?” ผมมองลุงฮันด้วยความงุนงง

    ทำไมถึงรู้เรื่องของผม?...

    “คิดดีแล้วหรือไงที่ตัดสินใจแบบนี้ ความฝันเป็นจริงแล้วและเธอกำลังไปได้สวย ทุกคนชื่นชอบทุกคนตะโกนเรียกชื่อเธอ ไม่ชอบหรือ?”

    คำถามของลุงฮันมันเหมือนกับการสะกิดรอยแผลของผมให้แยกออกอีกครั้ง ความรู้สึกเริ่มถาโถมเข้ามาในความคิดของผม ไม่ใช่ว่าผมอยากจะทิ้งความฝัน ไม่ใช่เพราะผมเบื่อการร้องเพลง ผมรักมันมากถึงได้พยายามมาตลอด เพียงแต่ผมคงจะร้องเพลงต่อไปไม่ได้แล้ว ผมอยากจะให้ทุกคนที่ฟังเพลงของผมมีควมสุข แต่ในเมื่อผมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวัง ผมคงไม่สามารถทำให้ใครมีความสุขได้อีก

    “ครับ.. ผมดีใจมากที่ทุกคนชอบผม ผมมีความสุขทุกครั้งที่ทุกคนตะโกนชื่อผม แต่ผมคิดดีแล้วที่ทำลงไป”

    “อย่าเป็นเหมือนลุงเลยคยูฮยอน.. อนาคตของเรามันขึ้นอยู่ที่เรา ไม่ใชที่ใครทั้งนั้น เธออาจจะคิดว่าทุกอย่างมันเลวร้าย แต่เชื่อเถอะ ไม่นานมันก็หายไป”

    “อย่าพยายามเปลี่ยนความคิดผมเลยครับ.. ผมคิดดีแล้วและผมไม่มีวันจะกลับไปเสียใจในสิ่งที่ผมเลือกแน่ และอีกอย่าง ถ้ามันหายไปได้จริงๆ ลุงคงไม่อยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้หรอก.......โอ๊ยยย!!

    “ไอเด็กนี่! ยอกย้อนผู้ใหญ่หรอ?!

    ลุงฮันเตะเข้าที่ก้นผมอย่างแรงจนมันเกือบชาไปทั้งแถบ ผมยกมือลูบแก้มก้นปอยๆก่อนจะยิ้มแหยๆให้เพื่อขอโทษ จากนั้นลุงฮันก็หัวเราะออกมาอย่างหนักเหมือนคนที่ได้หัวเราะมาแรมปี

    เราสองคนเงยหน้าขึ้นมองหินส่องแสงบนห้วงอากาศ มองไปยังที่ไกลๆ แขนของลุงฮันยกขึ้นพาดบ่าผม

    “แล้วกลับมาจะทำอะไรกินห้ะ? ฉันไม่เลี้ยงข้าวเธอหรอกนะ”

    “ผมได้งานเล็กๆมา เกี่ยวกับถ่ายรูป ถึงรายได้จะไม่ได้มากอะไรแต่เงินเก็บที่ผมมีมันก็พอจะเลี้ยงตัวไปจนแก่ได้"

    ����������� กลับมาเป็นคยูฮยอนคนเก่าอย่างที่เคยเป็น..

    ����������� การสนทนาของลุงฮันและผมยังคงเป็นไปเรื่อยๆจนดึกดื่น เป็นเพราะเราไม่ได้เจอกันมานานและเราเหมือนกันในหลายๆด้านกระมัง ลุงฮันเคยบอกผมว่าเวลาที่มองเข้ามาในดวงตาผม ท่านเห็นความมุ่งมั่น และท่านมองเห็นตัวเองในอดีต ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่าเป็นยังไง

    แต่ตอนนี้ผมเข้าใจมัน

    เข้าใจดีเลยล่ะ..

    เราสองคนต่างก็เดินตามความฝัน

    ฝ่าฟันทุกอย่างจนประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิต

    แต่ท้ายที่สุดก็ทิ้งมันไปง่ายๆ ที่พยายามมาทั้งหมดศูนย์เปล่า..

    �����������

    ����������� ตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะไปอยู่โซล บ้านของผมที่คยองจูก็มีป้าคิมที่คอยช่วยดูแลมาตลอด ตอนนี้ผมคงไม่ต้องไปรบกวนท่านอีก เพราะผมตัดสินใจจะกลับมาอยู่ที่นี่อย่างจริงจังเสียที

    ����������� ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากจบการสนทนาและการกล่าวลากับลุงฮัน ในหัวสมองของผมมันสั่งการโดยทันทีว่าให้เข้าห้องนอนซะ แล้วจงหลับเพื่อตื่นขึ้นมาพบวันใหม่

    ����������� สองขาของผมก้าวเข้ามาในห้องนอนเก่าที่ยังคงสภาพเดิม เตียงนอน ผ้าม่าน ของสะสม และรูปถ่ายหลายใบที่แปะไว้ตามผนังห้อง นิ้วของผมสัมผัสลงกระดาษรูปถ่าย ไล่ไปเรื่อยๆ

    ทีละรูป..

    ทีละรูป...

    จนมาหยุดอยู่ที่รูปรูปหนึ่ง

    ����������� ภาพความทรงจำเก่าๆของผมฉายชัดเข้ามาเหมือนเอาวิดีโอม้วนเก่าที่ถูกเก็บไว้มาฉายใหม่อีกครั้งหนึ่ง อดีตที่ผมว่ามันช่างสวยงามและเป็นดั่งน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ชุ่มเย็นอยู่เสมอ

    รูปของเด็กผู้ชายสองคนกำลังนั่งกินไอศกรีมด้วยรอยยิ้ม











    ����������� “กำลังยิ้มอยู่หรือเปล่า.. ซีวอน”


    .......................................................................................






    เช้าของวันนี้ผมเดินทางมาที่โบสถ์เล็กๆในชนบทที่ผมชอบมาบ่อยๆเวลาร้องไห้หรือทุกข์ใจ ถึงจะไม่ได้มาอีกเลยหลังจากไปโซล ดูเหมือนที่นี่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร มันเป็นเหมือนสิ่งที่บอกกับผู้พบเห็นว่าที่นี่เก่าแก่เพียงใด มีอายุนานแค่ไหน และศักดิ์สิทธิมากเพียงใด ต้นหญ้าที่กำลังปกคลุมสูงขึ้นเรื่อยๆดูเหมือนเมื่อไม่นานมานี้มีคนมาตัดมันออก

    ผมเคยมีวงดนตรีเล็กๆกับเพื่อนสมัยมัธยมต้น ผมอยากเป็นนักร้องและเพราะพวกเราเสียงดีชาวบ้านและหลวงพ่อจึงให้เรามาเป็นเสียงประสานในวันสำคัญเพื่อสวดภาวนาไปถึงพระคริสต์พี่อยู่เบื้องบน

    ผมย่างกายเข้าสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิด้วยใจที่หวังว่าการมาสวดภาวนาต่อพระองค์จะทำให้ผมหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างน้อยก็ช่วยให้ลืมมันไปได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี

    เก้าอี้ไม้ตัวยาวเรียงรายเป็นแถว ถึงพื้นที่จะไม่กว้างเหมือนโบสถ์ในเมืองแต่ก็สามรถจุคนได้เยอะพอสมควร ผมเดินไปยังที่นั่งหน้าสุด ทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับหลับตาและเริ่มสวดภาวนาต่อพระคริสต์

    ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประองค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์� โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญอาเมน




    “ไม่ได้พบกันนานนะ ลูกพ่อ”

    เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ หันหน้ากลับไปมองด้านหลังแล้วจึงลุกขึ้นพร้อมกับโค้งตัวเพื่อแสดงความเคารพและนอบน้อม ก่อนจะยืนตัวตรงพร้อมกับรอยยิ้ม

    “คุณพ่อ.. ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ คุณพ่อคงสบายดี” (นิกายคาทอลิคจะเรียกบาทหลวงคุณพ่อ)

    “ใช่.. พ่อสบายดี” ท่านยิ้มจางๆมาให้ผมแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆที่ผมยืนอยู่ “พ่อดีใจที่ได้พบลูกอีกครั้ง แต่ก็หดหู่ใจที่เห็นลูกยิ้มได้แค่ภายนอกไม่ใช่จากภายใน จิตใจของลูกที่กำลังหม่นหมองจะทำให้ลูกมองไม่เห็นแสงที่ส่องทางของลูกเอง”

    “ผมทราบครับคุณพ่อ ผมกำลังพยายามอยู่ ผมจากมาและกลับมายังที่ที่เป็นของผมจริงๆ ที่มาวันนี้ก็เพราะจะมาขอความเมตตาจากพระคริสต์ ผมหวังว่าความดีจะช่วยผม”

    ผมหลุบตาลงแล้วเบนไปทางร่างของพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงร่างไว้กับไม้กางเขนด้านบนของโบสถ์ด้วยความหวังเล็กๆในจิตใจ

    “แล้วกลับมาครั้งนี้ลูกได้ไปเคารพมารดาหรือยัง?” คุณพ่อถามขึ้นมาทำให้ผมนึกได้ว่ายังไม่ได้ไปเคารพศพแม่ของตัวเองเลย ผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    ผมก้าวเท้าตามคุณพ่อออกจากโบสถ์ไปยังสุสานใกล้ๆ ตามทางที่เดินไปลมพัดเอื่อยๆกำลังเข้ากระทบร่างกายของผม สายลมเย็นๆแบบนี้ชวนให้ผมนึกถึงบรรยากาศเศร้าๆในวันที่แม่ค่อยๆลงไปนอนใต้ผืนดินที่เย็นเยียบ เสียงร้องไห้ของคนรอบข้าง และ...ดวงตาแดงก่ำที่ไร้น้ำหล่อเลี้ยงของผมเอง...

    ความรู้สึกของผมในวันที่แม่จากไปมันเหมือนกับโลกทั้งใบพังทลายลง หัวใจที่เคยแข็งแกร่งของผมกลับกลายเป็นเปราะบาง ผมอยากได้อ้อมกอดของแม่กลับคืนมาอีกครั้ง

    อ้อมกอด...?

    ฮ่ะๆๆ ฟังดูเหมือนเด็กขี้แยจังเลย...





    “แม่ครับ..ผมกลับมาหาแม่แล้วนะ....”

    กลับมารับรู้ความรู้สึกเก่าๆที่อบอวนไปด้วยความสุข

    สัมผัสมันอีกครั้งจนกว่าจะไม่อยู่เห็นฟ้าในวันใหม่ เฝ้าดูเด็กๆเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่

    สู้กับความฝันความลำบากและประสบความสำเร็จในสักวัน เหมือนที่ผมเคยทำ และเคยเป็น...








    ....................................................................................

    ฮ่าๆๆๆ แอบมาเปิดเรื่องใหม่
    เดี๋ยวคราวหน้าจะเอามายสตรองฮาร์ทมาลงต่อ


    ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×