ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (AU Fic HP Blessing) Daredevil's Strange Love (Bellatrix x OC)

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 61


                โลกเวทย์มนต์สำหรับมนุษย์ธรรมดาๆก็คงคิดว่านี้คือจินตนาการสำหรับเด็กๆเท่านั้น โลกเวทย์มนตร์จะมีอยู่จริงได้ไง  วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย เวทย์มนตร์เลยกล่าวเป็นเรื่องหลอกของเด็กและเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น

     

                แต่หารู้ไม่ว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟังละก็เหล่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปคงหัวเราะกับการที่จินตนาการแบบเด็กๆ  บางคนคงคิดว่าคนที่เชื่อในเวทย์มนตร์นั้นเป็นคนที่ป่วยทางจิตต้องส่งโรงพยาบาลแน่ๆ

     

                แต่ความจริงแล้วนั้นโลกเวทย์มนต์นั้นมีอยู่จริงแต่แค่เหล่ามนุษย์ทั่วไปนั้นไม่สามารถรับรู้มันได้ก็เท่านั้นเอง

     

                ขนาดโลกธรรมดาที่ไร้เวทย์มนตร์ยังมีการแบ่งฐานะชนชั้นความเป็นอยู่เลยมีหรือโลกเวทย์มนต์ของเหล่าพ่อมดแม่มดจะไม่มีแต่การแบ่งแย่งชนชั้น แทนโลกเวทย์มนตร์นั้นยังมีพวกเขาผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์อยู่ทั้งหมดยี่สิบสี่ตระกูลซึ่งถูกเรียกว่า ตระกูลศักดิ์สิทธิ์

     

                โลกเวทย์มนตร์ยังเรียกมนุษย์ธรรมดาผู้ที่ไร้เวทย์มนตร์ว่า มักเกิ้ล และสำหรับคนธรรมดาที่ถ้ารู้ว่ามีจริงตามนิยายหรือเรื่องอย่างนี้จะเป็นยังไง  ผู้ใช้เวทย์มนตร์บ้างละนักมายากลบ้างละ

     

                แต่อย่างไรก็ตาม การจะหาความจริงนั้นเป็นไม่ได้ก็ในเมื่อมักเกิ้ลนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้เลยนิแต่เหล่าพ่อมดแม่มดอย่าคิดว่าตัวเองเก่งหรือพิเศษไปกว่า ผู้ที่ได้รับพรจากเทพเจ้า เลยเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น ตัวตนที่แสนจะพิเศษ ถึงจะเก่งขนาดไหนก็ยังสู้ไม่ได้

                เคยมีคำกล่าวไว้ว่าผู้ที่ได้รับพรจากพระเจ้านั้นจะสามารถรับรู้ตัวตนของคนเหล่านั้นได้โดยการไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า เอลีเซียน คาเฟ่   สถานที่ที่อยู่เหนือกาลเวลาและปลอดภัยของเหล่าผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าและพวกเขาผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าจึงเรียกที่นั้นเรียกมันว่า บ้าน

               

                เสียงปรบมือดังมาจากเหล่าผู้คนที่มายืนฟังเสียงเพลงที่ออกมาจากไวโอลินของเด็กชายชายผู้มีเรือนผมสีทองน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีดำ รูปร่างดูสมส่วนกำลังก้มตัวขอบคุณเหล่าผู้ฟังและกำลังจะบรรเลงเพลงต่อไปเสียงไพเราะจากไวโอลินทำให้ผู้คนนั้นหยุดฟังท่วงทำนองที่บรรเลงออกมา ดูเหมือนจะเศร้าแต่กลับไม่เศร้า ดูเหมือนอยู่เดียวดายในทะเลที่ไร้ผู้คน จนการบรรเลงจบ ผู้คนจึงเริ่มที่จะออกจากตรงนั้นไป เพราะดูเหมือนจะไม่มีการบรรเลงจากเด็กชายตรงหน้าอีกแล้ว

     

                “ต้องไปซื้อดอกไม้ด้วยนี้น่า~

     

                เสียงของเด็กหนุ่มกล่าวออกมาพร้อมกับเก็บไวโอลินใส่กระเป๋าเก็บเครื่องดนตรีต่อจากนั้นเด็กชายก็เดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที

     

                เด็กชายเดินมาถึงย่านการค้าที่ซึ่งมีร้านค้าอยู่มากมายและผู้คนที่มหาศาลพลุกพล่านสวนกันไปมา เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเหล่าผู้คนที่ต้องการจับจ่ายซื้อของกัน ครอบครัวที่พาลูกมาเที่ยวอย่างมีความสุขแต่เด็กชายหยุดมองดูอยู่แปปนึงก็เดินต่อไป เพื่อที่จะไปหาเป้าหมายของตัวเองที่มาในครั้งนี้ จนเด็กชายเห็นจุดหมายของตน

     

                เด็กชายมาหยุดนั้นเป็นร้านดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้นานาชนิดอยู่ ดอกไม้ที่อยู่หน้าร้าน พวกมันส่งกลิ่นหอมออกมาถ้าใครที่เดินผ่านเป็นต้องตกหลุดรักมันเป็นแน่แท้ บรรยากาศในร้านนั้นมีดอกไม้อยู่สองข้างทาง   ร้านแห่งนี้เป็นร้านมีอยู่สองชั้นยังตกแต่งด้วยก้านต้นไม้เล็กๆดูเข้ากันและเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมา

     

                เด็กชายที่หยุดไปแปปนึงแล้วก็เดินเข้ามาในร้านที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีผู้คนในร้านอยู่เป็นจำนวนน้อยนิด เด็กชายกำลังเดินดูดอกไม้เพื่อที่จะหาดอกไม้ที่ตัวเองต้องการ แต่อยู่ๆ

     

                “อ้าว นั้นเซนคุงนิ”

     

                เด็กชายที่ดูดอกไม้หันไปตามเสียงที่เรียกชื่อของตัวเอง นั้นจึงทำให้เด็กชายเห็นหญิงสาววัยกลางคนผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและน้ำตาลอ่อนหน่อยๆ   ดวงตาสีดำดูน่ารัก รูปร่างอวบสมส่วน เข้ากับวัย

     

                “คุณยูกิ สวัสดีครับ~

     

                เด็กชายตอบกลับไปทันทีถึงรูปหน้าจะไม่เปลี่ยนไปก็ตามอาจจะเรียกว่าหน้าด้านก็ได้ละมั่งถึงคำพูดจะดูเป็นมิตรยังไงก็ตาม

     

                หญิงสาวตรงหน้าของเด็กชายคือเจ้าของร้านดอกไม้ที่เด็กชายมาเป็นขาประจำจะเรียกว่าสนิทกันก็ได้หรือไม่สนิทก็ได้เพราะหญิงสาวตรงหน้านั้นส่วนใหญ่เธอมักจะเป็นฝ่ายถามและพูดก่อนเสมอ หญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่คนอังกฤษแต่เธอเป็นเพียงคนญี่ปุ่นที่ย้ายมาเริ่มชีวิตใหม่ที่อังกฤษเท่านั้น โดยหญิงสาวทำการเปิดร้านขากดอกไม้แห่งนี้

               

    “คราวนี้เอาดอกไม้อะไรจ้า”

     

                หญิงสาวถามขึ้นมาโดยที่เด็กชายไม่ตอบพร้อมกับมองดอกไม้ในร้านต่อไปเหมือนในใจจะมีคำตอบแล้วก็ตามที  จนสักพักเด็กชายก็กล่าวออกมา

     

                “ลิลลี่”

     

                “เข้าใจแล้วจ้า รอแปปนะเซนคุง”

     

                หญิงสาวเดินออกไปจากเด็กชายไปทันทีโดยทิ้งให้เด็กชายดูดอกไม้ในร้านต่อ แต่เด็กชายก็หาได้สนใจกับมัน เด็กชายเดินดูดอกไม้ต่ออยู่หลายนาทีจนหญิงสาวเดินเข้ามาเรียกพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้มาให้

                “นี่จ้าเซนคุง”

     

                เด็กชายรับช่อดอกลิลลี่มาพร้อมกับกำลังยื่นเงินไปจ่ายค่าช่อดอกไม้แต่หญิงสาวตรงหน้าส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เด็กชาย นั้นจึงทำให้เด็กชายพยายามที่จะยิ้มให้แต่ก็เป็นการฝืนยิ้มให้เท่านั้น จากนั้นเด็กชายก็ออกมาจากร้านดอกไม้ไปและกำลังไปสถานที่จริงๆที่ตัวของเด็กชายนั้นต้องไป

     

                จนในที่สุดเด็กชายเดินมาถึงสถานที่ที่มืดมนแต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะสถานที่ที่เด็กชายมานั้นเป็นสุสานที่เก็บศพของคนที่ตัวเองรัก

     

                สุสานที่มีป้ายของครอบครัวของเด็กชาย มีชื่อเขียนตรงป้ายว่า นางลิซา วีอา เดมอนและนายโอเรน มิเกล เดมอนอยู่ เด็กชายเดินเข้าไปวางช่อดอกลิลลี่ไว้ตรงหน้าป้ายสุสานของครอบครัวของตัวเอง

     

                “ผมมาหาแล้วนะครับคุณพ่อ คุณแม่

     

                เด็กชายกล่าวออกมาโดยที่ไม่มีเสียงหรืออาการเศร้าเลยแม้แต่น้อยถ้าเป็นคนธรรมดาที่อายุยังน้อยคงรู้สึกเศร้าเสียใจไปแล้วไปแล้วกับการที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าสุสานของผู้เป็นที่รัก แต่ไม่ใช่สำหรับเขา

                จากนั้นเด็กชายก็เอาไวโอลินออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับเริ่มบรรเลง   บทเพลงที่เด็กชายบรรเลงออกมานั้นแลฟังมีความสุข  แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าราวกับความมืดที่ค่อยๆกลืนกินอย่างช้าและน่ากลัวอีกด้วย

     

                จนเด็กชายบรรเลงบทเพลงจนจบก็มีเสียงปรบมือมาจากด้านหลังนั่นจึงทำให้เด็กชายหันไปก็เห็นเด็กผู้ชายที่ดูยังไงก็อายุน้อยกว่าตัวเองอยู่ในชุดพ่อบ้าน

     

                “นายเป็นใคร”

     

                เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับมองด้วยความสงสัยหน่อยๆแต่ก็ไม่มากแต่ดูเหมือนว่าเด็กชายตรงหน้าของตน ดูจะเป็นคนที่น่าสนใจนั้นทำให้เด็กชายยิ้มออกมาด้วยความสนใจ

     

                “สายันสวัสดิ์ครับ คุณชาย ข้าน้อยคือผู้ส่งสารของเทพเจ้า”

     

                เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมาแต่นั่นก็ทำให้ดูน่าสงสัยอยู่ดี แต่ก็อาจจะทำให้เด็กชายนั้นไม่เบื่อก็เป็นได้

     

                “ผู้ส่งสาร~ พ่อมดหรือไงกันนะ~

     

                เด็กชายกล่าวตอบไปพร้อมกับมองเข้าไปที่ดวงตาและหูที่ฟังเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันยิ่งทำให้ตัวเด็กชายยิ้มออกมาอย่างมากและสนใจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม

     

                “กระผมเป็นเพียงแค่ผู้ส่งสารของเทพเจ้า มิได้เป็นพ่อมดครับ”

     

                “น่าสนใจ..จะบอกว่านา..”

     

                เด็กชายกำลังจะกล่าวออกมาแต่ก็ถูกขัดโดยเด็กชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน นั้นจึงทำให้ดูน่าสนใจมาขึ้น

                “แต่คุณชาย คุณเป็นพ่อมดนิจริงไหมครับ คุณน็อคติส เซน เดมอน ม่สิถ้าในโลกเวทย์มนตร์คุณมีชื่อว่าน็อคติส  เซน เพฟเวอเร็น ผู้ที่ตอนนี้เป็นผู้นำตระกูล”

     

                เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมา แต่เด็กชายก็หาสนใจมันเพราะเด็กชายนั้นก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกเวทย์มนตร์ตั้งแต่แรกแล้วถึงจะเป็นผู้นำตระกูลก็ไม่ได้ใช้สิทธิอะไรเลยเพราะโดยส่วนตัวแล้วตัวของเด็กชายนั้นรู้เรื่องเวทย์มนตร์นั้นน้อยมาก ถึงจะรู้สึกว่ามันดูน่าสนใจก็ตามที่

     

                แต่ก็ยังไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือป่วยทางจิตนั้นจึงทำให้เด็กชายจึงไม่เคยพูดเรื่องเวทย์มนตร์ออกมาให้ใครฟังสักครั้ง แต่ก็คงมีครั้งนึงละมั่ง และตอนนี้เด็กชายไม่เคยไปโลกเวทย์มนตร์เลยเพราะเด็กชายไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน  แทนจอนนี้ก็มีเงินจากผู้เป็นพ่อและแม่เป็นมรดกอยู่ถึงจะโดนทางญาติเอาไปแล้วบางส่วนตอนอยู่กับพวกญาติก็ตาม

                “หึหึ”

     

                เสียงหัวเราะในลำคอของเด็กชายนั้นดูน่ากลัวหน่อยๆแทนเด็กชายก็มองไปข้างบนดูเหมือนว่าฟ้าจะเริ่มมืดแล้วและอาจจะมีฝนตก

     

                “คุณชายได้ถูกรับเชิญให้ไปยังเอลีเซียนคาเฟ่ ซึ่งมีผู้คนที่คล้ายๆกับคุณชายอยู่ สนใจที่จะไปพบพวกเขาเหล่านั้นหรือไหมครับ”

     

                “ถ้าบอกว่าไม่สนใจก็คงเป็นการโกหกจริงไหม~

     

                เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปหาอีกฝ่ายที่ยื่นมือออกมานั้นจึงทำให้เด็กชายยื่นมือกลับไป พริบตานั้นทำให้เด็กชายเหมือนโดนกระชากอย่างแรงจนเมื่อลืมตามาก็ไม่ใช่สถานที่ที่เป็นสุสานอย่างเมื่อกี้ แต่เขาก็ไม่สนใจปล่อยมือออกจากอีกฝ่าย

     

                “หึหึ ไม่ใช่พ่อมดแต่เธอนี้น่าสนใจ ขอจับทรมานได้ไหม~~

     

                เด็กชายกล่าวออกมาและดูเหมือนว่าบุคลิกที่สองจะออกมาเพราะบุคลิกแรกนั้นจะเป็นคนที่จะไม่พูดอะไรแบบนี้แน่นอน

     

                “ไม่ได้ครับ”

     

                “น่าเสียดายจังนะ~ถ้าได้ยินเสียงของเธอตอนร้องออกมาคงน่าฟังน่าดู~ หึหึหึหึ”

     

                เด็กชายกล่าวออกมาและดูเหมือนว่าเด็กชายจะออกมานอกเรื่องไปแล้ว แต่ตัวเด็กชายก็หาได้สนใจมันก็เพราะมีคนที่น่าสนใจอยู่ตรงหน้าแล้วนิ

     

                “ขอพูดแล้วนะครับ ยินดีต้อนรับสู่เอลีเซียนคาเฟ่ครับ”

     

                เด็กชายตรงหน้ากล่าวตอนรับให้และเดินนำไปยังสถานที่ที่นัดเจอกับผู้คนที่เหมือนกับเด็กชาย เด็กชายเดินตามไปอย่างช้าๆโดยที่ตลอดทางนั้นเด็กชายมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอยู่ทุกฝีก้าว

     

                บรรยากาศของที่นี้มีพื้นที่เป็นไม้และตู้หนังสือตลอดทางเดินเด็กชายที่ดูเหมือนจะชื่นชอบการอ่านหนังสือก็หยุดเดินแล้วหันมามองตู้หนังสือตรงหน้า

     

                “คุณชายชื่นชอบหนังสือสินะครับ”

     

                “นั่นสินะครับ ผมนะชอบหนังสือมากๆเลย”

     

                เด็กชายตอบกลับมาโดยที่ไม่มีรอยยิ้มอันแปลกประหลาดแล้ว นั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวของเด็กชายได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว จึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นหนังสือออกมาจากตู้หนังสือเล่มหนึ่งและยื่นไปให้

     

                “เล่มนี้สนุกครับ คุณชายพอถึงที่รวมกับคนอื่นแล้ว คุณชายลองอ่านนะครับ”

     

                เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมาทำให้เด็กชายพยักหน้าแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆเพราะตอนนี้เด็กชายสนใจหนังสือมากกว่าเมื่อเปิดประตูไปก็พบกับบรรยากาศที่ดูอบอุ่นและมีโต๊ะ เก้าอี้และเคาท์เตอร์บาร์อยู่ โดยที่ตรงกลางมีน้ำพุที่เป็นหินอ่อนอยู่ ยังมีเปียโนและไวโอลินวางอยู่ นั่นทำให้เด็กชายคิดขึ้นมาได้ว่า

     

                ยังไม่ได้เก็บไวโอลินเลยนิน่า แต่ชังมันเถอะ

     

                ที่นี้ยังมีบันไดที่มีรูปร่างโค้งดูเข้ากัน ยังมีโซฟาและตู้หนังสืออีกด้วย กลิ่นดอกไม้นานาชนิดที่ทำให้รู้สึกสดชื่นอีก

     

                เด็กชายมองไปเห็นเด็กรุ่นเดียวอยู่หนึ่งคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงแต่เพราะตอนนี้ตัวของเด็กชายนั้นไม่สนใจอะไรแล้วเพราะมีหนังสือที่ดูน่าสนใจกว่าจึงเลือกที่จะนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเอาหนังสือที่ได้ขึ้นมาอ่านรอเวลา

     

                ไม่นานก็มีคนเข้ามาหลายคนถ้ามองดูแล้วมีผู้หญิงอยู่ห้าคนและผู้ชายอยู่สองโดยรวมแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน

     

                “เอาละมากันครบแล้ว เชิญทุกท่านมาที่กลางห้องด้วยครับ”

     

                เสียงของชายชราทำให้เด็กชายที่มองหนังสืออยู่  ทำให้เด็กชายหยุดอ่านหนังสือแล้วเดินไปที่กลางคนพร้อมกับคนอื่นๆ

     

                “ก่อนอื่นเลยขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางกลางสู่เอลีเซียนคาเฟ่ สถานที่แห่งนี้อยู่นอกเหนือกาลเวลาและทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนได้รับเชิญมาในวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดขวบจากแต่ละช่วงเวลาที่ต่างกัน นอกจากนี้ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ได้รับพรจากเทพเจ้า”

     

                ชายชรากล่าวออกมานั้นแต่เด็กชายก็ไม่สนใจ เด็กชายเอาแต่อ่านหนังสือแต่ก็มีการใช้สายตาหันไปมองหน้าแต่ละคนที่มีความสับสนอยู่ เด็กชายยิ้มออกมายิ่งเห็นคนอื่นสับสนยิ่งรู้สึกสนุก

     

                น่าสนใจอีกแล้วสินะ~ที่นี่นะ

     

                นายจะบอกว่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นกับพวกเราเป็นเพราะพรจากเทพอย่างนั้นหรือ   เด็กชายอีกคนถามขึ้นมาและดูเหมือนว่าเขาดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครเท่าไรแต่เด็กชายก็ดูสนใจอีกฝ่าย

     

                ถูกต้องตามที่ท่านพูดทุกคำครับ  

     

                แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเทพองค์ไหนให้พรเรา 

     

     คราวนี้เด็กหญิงที่อยู่ในที่นี้ถามขึ้นมาแต่เด็กชายก็มองอย่างเบื่อๆนิดหน่อยเพราะตัวเองนั้นไม่ชอบอะไรที่น่าเบื่อและยิ่งเรื่องการถามเรื่องราวต่างๆของคนอื่นยิ่งนานเด็กชายยิ่งเบื่อ นั้นจึงทำให้เด็กชายกลับมาอ่านหนังสือต่อ

     

                เป็นคำถามที่ดีมากครับคุณหนู 

     

    ชายชรากล่าวออกมาก่อนที่เขาจะหยิบเหรียญทองเจ็ดเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อออกมาและยื่นไปให้กับทุกคนในที่นี้เด็กชายจึงรับเหรียญมา

     

       แค่ทุกท่านโยนเหรียญนี้ลงไปในน้ำพุ   พวกท่านก็จะทราบเองว่าเทพองค์ใดที่มอบพรอันแสนวิเศษนี้ให้กับท่าน

     

    คนอื่นในที่นี้ค่อยๆโยนเหรียญลงไปในน้ำพุแต่เด็กชายนั้นมองเหรียญก่อนที่จะมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอีกรอบโดยที่เด็กชายผู้ใส่เสื้อพ่อบ้านมาอยู่ด้านหลัง

     

    “สำหรับคุณคงเป็นเรื่องสนุกสินะครับ เรื่องประหลาดแบบนี้”

     

    “หึหึ แหม~ก็ช่วยไม่ได้นิดูยังไงก็น่าสนใจนิแต่เธอคิดว่าฉันจะได้พรกับเทพองค์ไหนละ อยากรู้จริงๆ”

     

    เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับยังมองเหรียญอยู่โดยขอความคิดจากอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายไม่พูดทำให้เด็กชายไม่สนใจแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำพุเพื่อที่จะดูว่าใครคือผู้ให้พรกับตน

     

    Thanatos

     

    เป็นชื่อที่ปรากฏออกมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กชาย เด็กชายได้แต่ยิ้มแสยะออกมา เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเทพทานาทอสเทพแห่งความตาย แต่ก็คงจะเข้ากับตัวเองอยู่แล้วนิก็ในเมื่อตัวของเด็กชายในตระกูลเพฟเวอเร็น แถมยังมีตำนานเกี่ยวกับยมทูตเลย เด็กชายมองไปดูคนอื่นมีเทพอะไรกันบ้างแต่สักพักเจ้าตัวก็ไม่สนใจ

    ทีนี้พวกท่านก็ได้ทราบแล้วว่าเทพองค์ใดที่มอบพรนี้ให้กับพวกท่าน  

     

                พรหรือคำสาปละสิไม่ว่า  

     

    เด็กชายคนเดิมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันซึ่งทำให้เด็กชายรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากถ้าเสียงของอีกฝ่ายร้องออกมาแบบทรมานจะเป็นยังไงกันนะเด็กชายได้แต่คิดอยู่ในหัว

     

    พวกท่านจะมองแบบนั้นกระผมก็ไม่ว่าอะไร เชิญรับนี่ไปด้วยครับ  

     

    เด็กชายที่ใส่ชุดพ่อบ้านกล่าวออกมาพร้อมกับยื่นตราประทับให้กับตัวของเด็กชายและกับคนอื่นคนละหนึ่งชิ้น มันเป็นตราประทับทองคำรูปตัว E  ซึ่งป็นสัญลักษณ์ย่อมาจากเอลีเซียนคาเฟ่

     

                หากท่านใดประสงค์ที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ขอให้ท่านเขียนจดหมายและประทับตรานี้ไว้ด้วยนะขอรับ เมื่อทำเช่นนั้นพวกกระผมจะไปรับและพามาที่นี่  

     

    ตอนนี้ขอเชิญทุกท่านกลับไปฉลองวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบต่อได้เลยครับ  

     

                ชายชรากล่าวเสร็จก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งและเด็กชายและคนอื่นๆที่อยู่ที่นี้ก็ปลิวลอยไปยังประตูที่ทุกคนเดินเข้ามามันเปิดอ้าออกจนสุดก่อนที่จะดูดพวกเขาเข้าไปและปิดตัวลงเสียงดังเพิ่มเติมมาคือเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนที่โดนกระชากเข้าประตูไปเพื่อส่งตัวกลับไปยังช่วงเวลาเดิมของแต่ละคน

     

                เด็กชายรู้สึกตัวอีกทีและพบว่าตัวเองอยู่ที่สุสานของครอบครัวเหมือนเดิม นั้นทำให้เด็กชายหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว

     

                “หึหึหึ น่าสนุกถ้าได้เจออีกครั้งคงเป็นเรื่องที่วิเศษ หึหึหึ”

     

                เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับเก็บไวโอลินเข้ากระเป๋าและมองไปบนท้องฟ้าอีกรอบโดยครั้งนี้เริ่มมีหยดฝนลงมาที่เล็กทีละน้อย

     

                “อย่าทำให้มันน่าเบื่อละ หึหึหึ”

     

                เด็กชายกล่าวเสร็จก็ปรากฏรอยยิ้มที่แปลกประหลาดแทนดูหลอนออกมาแต่สักพักมันก็หายไปกับการเป็นคนเดิมและหันไปมองสุสานของครอบครัวของตัวเอง

     

                “แล้วเจอกันอีกครั้งนะครับคุณพ่อ คุณแม่”

     

                เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับเดินกลับออกไปถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของเด็กชายก็ตาม เด็กชายก็หาได้สนใจเพราะยังไงก็ต้องฉลองวันเกิดแค่คนเดียวอยู่แล้ว ทำให้เด็กชายไม่สนใจอะไรกับวันเกิดแถมตอนเดินออกมาเด็กชายยังได้หนังสือจากที่จากเอลีเซียน คาเฟ่ติดไม้ติดมือมาด้วยและตราประทับสีทองที่อยู่ในมือ เพื่อเป็นสิ่งที่บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นความจริงทุกอย่าง นั้นจึงทำให้เด็กชายรู้สึกสนุกขึ้นกว่าเดิม



    { Winter Dark Theme }
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×