คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
โลกเวทย์มนต์สำหรับมนุษย์ธรรมดาๆก็คงคิดว่านี้คือจินตนาการสำหรับเด็กๆเท่านั้น
โลกเวทย์มนตร์จะมีอยู่จริงได้ไง วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย
เวทย์มนตร์เลยกล่าวเป็นเรื่องหลอกของเด็กและเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
แต่หารู้ไม่ว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟังละก็เหล่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปคงหัวเราะกับการที่จินตนาการแบบเด็กๆ
บางคนคงคิดว่าคนที่เชื่อในเวทย์มนตร์นั้นเป็นคนที่ป่วยทางจิตต้องส่งโรงพยาบาลแน่ๆ
แต่ความจริงแล้วนั้นโลกเวทย์มนต์นั้นมีอยู่จริงแต่แค่เหล่ามนุษย์ทั่วไปนั้นไม่สามารถรับรู้มันได้ก็เท่านั้นเอง
ขนาดโลกธรรมดาที่ไร้เวทย์มนตร์ยังมีการแบ่งฐานะชนชั้นความเป็นอยู่เลยมีหรือโลกเวทย์มนต์ของเหล่าพ่อมดแม่มดจะไม่มีแต่การแบ่งแย่งชนชั้น
แทนโลกเวทย์มนตร์นั้นยังมีพวกเขาผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์อยู่ทั้งหมดยี่สิบสี่ตระกูลซึ่งถูกเรียกว่า
ตระกูลศักดิ์สิทธิ์
โลกเวทย์มนตร์ยังเรียกมนุษย์ธรรมดาผู้ที่ไร้เวทย์มนตร์ว่า มักเกิ้ล
และสำหรับคนธรรมดาที่ถ้ารู้ว่ามีจริงตามนิยายหรือเรื่องอย่างนี้จะเป็นยังไง ผู้ใช้เวทย์มนตร์บ้างละนักมายากลบ้างละ
แต่อย่างไรก็ตาม
การจะหาความจริงนั้นเป็นไม่ได้ก็ในเมื่อมักเกิ้ลนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้เลยนิแต่เหล่าพ่อมดแม่มดอย่าคิดว่าตัวเองเก่งหรือพิเศษไปกว่า
ผู้ที่ได้รับพรจากเทพเจ้า เลยเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น ตัวตนที่แสนจะพิเศษ
ถึงจะเก่งขนาดไหนก็ยังสู้ไม่ได้
เคยมีคำกล่าวไว้ว่าผู้ที่ได้รับพรจากพระเจ้านั้นจะสามารถรับรู้ตัวตนของคนเหล่านั้นได้โดยการไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า
เอลีเซียน คาเฟ่ สถานที่ที่อยู่เหนือกาลเวลาและปลอดภัยของเหล่าผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าและพวกเขาผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าจึงเรียกที่นั้นเรียกมันว่า
บ้าน
เสียงปรบมือดังมาจากเหล่าผู้คนที่มายืนฟังเสียงเพลงที่ออกมาจากไวโอลินของเด็กชายชายผู้มีเรือนผมสีทองน้ำตาลอ่อน
ดวงตาสีดำ รูปร่างดูสมส่วนกำลังก้มตัวขอบคุณเหล่าผู้ฟังและกำลังจะบรรเลงเพลงต่อไปเสียงไพเราะจากไวโอลินทำให้ผู้คนนั้นหยุดฟังท่วงทำนองที่บรรเลงออกมา
ดูเหมือนจะเศร้าแต่กลับไม่เศร้า ดูเหมือนอยู่เดียวดายในทะเลที่ไร้ผู้คน จนการบรรเลงจบ
ผู้คนจึงเริ่มที่จะออกจากตรงนั้นไป เพราะดูเหมือนจะไม่มีการบรรเลงจากเด็กชายตรงหน้าอีกแล้ว
“ต้องไปซื้อดอกไม้ด้วยนี้น่า~”
เสียงของเด็กหนุ่มกล่าวออกมาพร้อมกับเก็บไวโอลินใส่กระเป๋าเก็บเครื่องดนตรีต่อจากนั้นเด็กชายก็เดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที
เด็กชายเดินมาถึงย่านการค้าที่ซึ่งมีร้านค้าอยู่มากมายและผู้คนที่มหาศาลพลุกพล่านสวนกันไปมา
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเหล่าผู้คนที่ต้องการจับจ่ายซื้อของกัน
ครอบครัวที่พาลูกมาเที่ยวอย่างมีความสุขแต่เด็กชายหยุดมองดูอยู่แปปนึงก็เดินต่อไป
เพื่อที่จะไปหาเป้าหมายของตัวเองที่มาในครั้งนี้ จนเด็กชายเห็นจุดหมายของตน
เด็กชายมาหยุดนั้นเป็นร้านดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้นานาชนิดอยู่ ดอกไม้ที่อยู่หน้าร้าน
พวกมันส่งกลิ่นหอมออกมาถ้าใครที่เดินผ่านเป็นต้องตกหลุดรักมันเป็นแน่แท้
บรรยากาศในร้านนั้นมีดอกไม้อยู่สองข้างทาง
ร้านแห่งนี้เป็นร้านมีอยู่สองชั้นยังตกแต่งด้วยก้านต้นไม้เล็กๆดูเข้ากันและเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมา
เด็กชายที่หยุดไปแปปนึงแล้วก็เดินเข้ามาในร้านที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีผู้คนในร้านอยู่เป็นจำนวนน้อยนิด
เด็กชายกำลังเดินดูดอกไม้เพื่อที่จะหาดอกไม้ที่ตัวเองต้องการ แต่อยู่ๆ
“อ้าว
นั้นเซนคุงนิ”
เด็กชายที่ดูดอกไม้หันไปตามเสียงที่เรียกชื่อของตัวเอง
นั้นจึงทำให้เด็กชายเห็นหญิงสาววัยกลางคนผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและน้ำตาลอ่อนหน่อยๆ ดวงตาสีดำดูน่ารัก รูปร่างอวบสมส่วน เข้ากับวัย
“คุณยูกิ
สวัสดีครับ~”
เด็กชายตอบกลับไปทันทีถึงรูปหน้าจะไม่เปลี่ยนไปก็ตามอาจจะเรียกว่าหน้าด้านก็ได้ละมั่งถึงคำพูดจะดูเป็นมิตรยังไงก็ตาม
หญิงสาวตรงหน้าของเด็กชายคือเจ้าของร้านดอกไม้ที่เด็กชายมาเป็นขาประจำจะเรียกว่าสนิทกันก็ได้หรือไม่สนิทก็ได้เพราะหญิงสาวตรงหน้านั้นส่วนใหญ่เธอมักจะเป็นฝ่ายถามและพูดก่อนเสมอ
หญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่คนอังกฤษแต่เธอเป็นเพียงคนญี่ปุ่นที่ย้ายมาเริ่มชีวิตใหม่ที่อังกฤษเท่านั้น
โดยหญิงสาวทำการเปิดร้านขากดอกไม้แห่งนี้
“คราวนี้เอาดอกไม้อะไรจ้า”
หญิงสาวถามขึ้นมาโดยที่เด็กชายไม่ตอบพร้อมกับมองดอกไม้ในร้านต่อไปเหมือนในใจจะมีคำตอบแล้วก็ตามที
จนสักพักเด็กชายก็กล่าวออกมา
“ลิลลี่”
“เข้าใจแล้วจ้า
รอแปปนะเซนคุง”
หญิงสาวเดินออกไปจากเด็กชายไปทันทีโดยทิ้งให้เด็กชายดูดอกไม้ในร้านต่อ
แต่เด็กชายก็หาได้สนใจกับมัน เด็กชายเดินดูดอกไม้ต่ออยู่หลายนาทีจนหญิงสาวเดินเข้ามาเรียกพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้มาให้
“นี่จ้าเซนคุง”
เด็กชายรับช่อดอกลิลลี่มาพร้อมกับกำลังยื่นเงินไปจ่ายค่าช่อดอกไม้แต่หญิงสาวตรงหน้าส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เด็กชาย
นั้นจึงทำให้เด็กชายพยายามที่จะยิ้มให้แต่ก็เป็นการฝืนยิ้มให้เท่านั้น
จากนั้นเด็กชายก็ออกมาจากร้านดอกไม้ไปและกำลังไปสถานที่จริงๆที่ตัวของเด็กชายนั้นต้องไป
จนในที่สุดเด็กชายเดินมาถึงสถานที่ที่มืดมนแต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะสถานที่ที่เด็กชายมานั้นเป็นสุสานที่เก็บศพของคนที่ตัวเองรัก
สุสานที่มีป้ายของครอบครัวของเด็กชาย
มีชื่อเขียนตรงป้ายว่า นางลิซา วีอา เดมอนและนายโอเรน มิเกล เดมอนอยู่
เด็กชายเดินเข้าไปวางช่อดอกลิลลี่ไว้ตรงหน้าป้ายสุสานของครอบครัวของตัวเอง
“ผมมาหาแล้วนะครับคุณพ่อ
คุณแม่”
เด็กชายกล่าวออกมาโดยที่ไม่มีเสียงหรืออาการเศร้าเลยแม้แต่น้อยถ้าเป็นคนธรรมดาที่อายุยังน้อยคงรู้สึกเศร้าเสียใจไปแล้วไปแล้วกับการที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าสุสานของผู้เป็นที่รัก
แต่ไม่ใช่สำหรับเขา
จากนั้นเด็กชายก็เอาไวโอลินออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับเริ่มบรรเลง บทเพลงที่เด็กชายบรรเลงออกมานั้นแลฟังมีความสุข แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าราวกับความมืดที่ค่อยๆกลืนกินอย่างช้าและน่ากลัวอีกด้วย
จนเด็กชายบรรเลงบทเพลงจนจบก็มีเสียงปรบมือมาจากด้านหลังนั่นจึงทำให้เด็กชายหันไปก็เห็นเด็กผู้ชายที่ดูยังไงก็อายุน้อยกว่าตัวเองอยู่ในชุดพ่อบ้าน
“นายเป็นใคร”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับมองด้วยความสงสัยหน่อยๆแต่ก็ไม่มากแต่ดูเหมือนว่าเด็กชายตรงหน้าของตน
ดูจะเป็นคนที่น่าสนใจนั้นทำให้เด็กชายยิ้มออกมาด้วยความสนใจ
“สายันสวัสดิ์ครับ
คุณชาย ข้าน้อยคือผู้ส่งสารของเทพเจ้า”
เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมาแต่นั่นก็ทำให้ดูน่าสงสัยอยู่ดี
แต่ก็อาจจะทำให้เด็กชายนั้นไม่เบื่อก็เป็นได้
“ผู้ส่งสาร~ พ่อมดหรือไงกันนะ~”
เด็กชายกล่าวตอบไปพร้อมกับมองเข้าไปที่ดวงตาและหูที่ฟังเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันยิ่งทำให้ตัวเด็กชายยิ้มออกมาอย่างมากและสนใจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“กระผมเป็นเพียงแค่ผู้ส่งสารของเทพเจ้า
มิได้เป็นพ่อมดครับ”
“น่าสนใจ..จะบอกว่านา..”
เด็กชายกำลังจะกล่าวออกมาแต่ก็ถูกขัดโดยเด็กชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน
นั้นจึงทำให้ดูน่าสนใจมาขึ้น
“แต่คุณชาย
คุณเป็นพ่อมดนิจริงไหมครับ คุณน็อคติส เซน เดมอน ไม่สิถ้าในโลกเวทย์มนตร์คุณมีชื่อว่าน็อคติส
เซน เพฟเวอเร็น ผู้ที่ตอนนี้เป็นผู้นำตระกูล”
เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมา
แต่เด็กชายก็หาสนใจมันเพราะเด็กชายนั้นก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกเวทย์มนตร์ตั้งแต่แรกแล้วถึงจะเป็นผู้นำตระกูลก็ไม่ได้ใช้สิทธิอะไรเลยเพราะโดยส่วนตัวแล้วตัวของเด็กชายนั้นรู้เรื่องเวทย์มนตร์นั้นน้อยมาก
ถึงจะรู้สึกว่ามันดูน่าสนใจก็ตามที่
แต่ก็ยังไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือป่วยทางจิตนั้นจึงทำให้เด็กชายจึงไม่เคยพูดเรื่องเวทย์มนตร์ออกมาให้ใครฟังสักครั้ง
แต่ก็คงมีครั้งนึงละมั่ง และตอนนี้เด็กชายไม่เคยไปโลกเวทย์มนตร์เลยเพราะเด็กชายไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แทนจอนนี้ก็มีเงินจากผู้เป็นพ่อและแม่เป็นมรดกอยู่ถึงจะโดนทางญาติเอาไปแล้วบางส่วนตอนอยู่กับพวกญาติก็ตาม
“หึหึ”
เสียงหัวเราะในลำคอของเด็กชายนั้นดูน่ากลัวหน่อยๆแทนเด็กชายก็มองไปข้างบนดูเหมือนว่าฟ้าจะเริ่มมืดแล้วและอาจจะมีฝนตก
“คุณชายได้ถูกรับเชิญให้ไปยังเอลีเซียนคาเฟ่
ซึ่งมีผู้คนที่คล้ายๆกับคุณชายอยู่ สนใจที่จะไปพบพวกเขาเหล่านั้นหรือไหมครับ”
“ถ้าบอกว่าไม่สนใจก็คงเป็นการโกหกจริงไหม~”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปหาอีกฝ่ายที่ยื่นมือออกมานั้นจึงทำให้เด็กชายยื่นมือกลับไป
พริบตานั้นทำให้เด็กชายเหมือนโดนกระชากอย่างแรงจนเมื่อลืมตามาก็ไม่ใช่สถานที่ที่เป็นสุสานอย่างเมื่อกี้
แต่เขาก็ไม่สนใจปล่อยมือออกจากอีกฝ่าย
“หึหึ
ไม่ใช่พ่อมดแต่เธอนี้น่าสนใจ ขอจับทรมานได้ไหม~~”
เด็กชายกล่าวออกมาและดูเหมือนว่าบุคลิกที่สองจะออกมาเพราะบุคลิกแรกนั้นจะเป็นคนที่จะไม่พูดอะไรแบบนี้แน่นอน
“ไม่ได้ครับ”
“น่าเสียดายจังนะ~ถ้าได้ยินเสียงของเธอตอนร้องออกมาคงน่าฟังน่าดู~ หึหึหึหึ”
เด็กชายกล่าวออกมาและดูเหมือนว่าเด็กชายจะออกมานอกเรื่องไปแล้ว
แต่ตัวเด็กชายก็หาได้สนใจมันก็เพราะมีคนที่น่าสนใจอยู่ตรงหน้าแล้วนิ
“ขอพูดแล้วนะครับ
ยินดีต้อนรับสู่เอลีเซียนคาเฟ่ครับ”
เด็กชายตรงหน้ากล่าวตอนรับให้และเดินนำไปยังสถานที่ที่นัดเจอกับผู้คนที่เหมือนกับเด็กชาย
เด็กชายเดินตามไปอย่างช้าๆโดยที่ตลอดทางนั้นเด็กชายมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอยู่ทุกฝีก้าว
บรรยากาศของที่นี้มีพื้นที่เป็นไม้และตู้หนังสือตลอดทางเดินเด็กชายที่ดูเหมือนจะชื่นชอบการอ่านหนังสือก็หยุดเดินแล้วหันมามองตู้หนังสือตรงหน้า
“คุณชายชื่นชอบหนังสือสินะครับ”
“นั่นสินะครับ
ผมนะชอบหนังสือมากๆเลย”
เด็กชายตอบกลับมาโดยที่ไม่มีรอยยิ้มอันแปลกประหลาดแล้ว
นั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวของเด็กชายได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว จึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นหนังสือออกมาจากตู้หนังสือเล่มหนึ่งและยื่นไปให้
“เล่มนี้สนุกครับ
คุณชายพอถึงที่รวมกับคนอื่นแล้ว คุณชายลองอ่านนะครับ”
เด็กชายตรงหน้ากล่าวออกมาทำให้เด็กชายพยักหน้าแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆเพราะตอนนี้เด็กชายสนใจหนังสือมากกว่าเมื่อเปิดประตูไปก็พบกับบรรยากาศที่ดูอบอุ่นและมีโต๊ะ
เก้าอี้และเคาท์เตอร์บาร์อยู่ โดยที่ตรงกลางมีน้ำพุที่เป็นหินอ่อนอยู่ ยังมีเปียโนและไวโอลินวางอยู่
นั่นทำให้เด็กชายคิดขึ้นมาได้ว่า
‘ยังไม่ได้เก็บไวโอลินเลยนิน่า แต่ชังมันเถอะ’
ที่นี้ยังมีบันไดที่มีรูปร่างโค้งดูเข้ากัน ยังมีโซฟาและตู้หนังสืออีกด้วย
กลิ่นดอกไม้นานาชนิดที่ทำให้รู้สึกสดชื่นอีก
เด็กชายมองไปเห็นเด็กรุ่นเดียวอยู่หนึ่งคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงแต่เพราะตอนนี้ตัวของเด็กชายนั้นไม่สนใจอะไรแล้วเพราะมีหนังสือที่ดูน่าสนใจกว่าจึงเลือกที่จะนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเอาหนังสือที่ได้ขึ้นมาอ่านรอเวลา
ไม่นานก็มีคนเข้ามาหลายคนถ้ามองดูแล้วมีผู้หญิงอยู่ห้าคนและผู้ชายอยู่สองโดยรวมแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน
“เอาละมากันครบแล้ว
เชิญทุกท่านมาที่กลางห้องด้วยครับ”
เสียงของชายชราทำให้เด็กชายที่มองหนังสืออยู่ ทำให้เด็กชายหยุดอ่านหนังสือแล้วเดินไปที่กลางคนพร้อมกับคนอื่นๆ
“ก่อนอื่นเลยขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางกลางสู่เอลีเซียนคาเฟ่
สถานที่แห่งนี้อยู่นอกเหนือกาลเวลาและทุกท่านที่อยู่ ณ
ที่นี้ล้วนได้รับเชิญมาในวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดขวบจากแต่ละช่วงเวลาที่ต่างกัน
นอกจากนี้ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ได้รับพรจากเทพเจ้า”
ชายชรากล่าวออกมานั้นแต่เด็กชายก็ไม่สนใจ
เด็กชายเอาแต่อ่านหนังสือแต่ก็มีการใช้สายตาหันไปมองหน้าแต่ละคนที่มีความสับสนอยู่
เด็กชายยิ้มออกมายิ่งเห็นคนอื่นสับสนยิ่งรู้สึกสนุก
‘น่าสนใจอีกแล้วสินะ~ที่นี่นะ’
“นายจะบอกว่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นกับพวกเราเป็นเพราะพรจากเทพอย่างนั้นหรือ” เด็กชายอีกคนถามขึ้นมาและดูเหมือนว่าเขาดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครเท่าไรแต่เด็กชายก็ดูสนใจอีกฝ่าย
“ถูกต้องตามที่ท่านพูดทุกคำครับ”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเทพองค์ไหนให้พรเรา”
คราวนี้เด็กหญิงที่อยู่ในที่นี้ถามขึ้นมาแต่เด็กชายก็มองอย่างเบื่อๆนิดหน่อยเพราะตัวเองนั้นไม่ชอบอะไรที่น่าเบื่อและยิ่งเรื่องการถามเรื่องราวต่างๆของคนอื่นยิ่งนานเด็กชายยิ่งเบื่อ
นั้นจึงทำให้เด็กชายกลับมาอ่านหนังสือต่อ
“เป็นคำถามที่ดีมากครับคุณหนู”
ชายชรากล่าวออกมาก่อนที่เขาจะหยิบเหรียญทองเจ็ดเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อออกมาและยื่นไปให้กับทุกคนในที่นี้เด็กชายจึงรับเหรียญมา
“แค่ทุกท่านโยนเหรียญนี้ลงไปในน้ำพุ
พวกท่านก็จะทราบเองว่าเทพองค์ใดที่มอบพรอันแสนวิเศษนี้ให้กับท่าน”
คนอื่นในที่นี้ค่อยๆโยนเหรียญลงไปในน้ำพุแต่เด็กชายนั้นมองเหรียญก่อนที่จะมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอีกรอบโดยที่เด็กชายผู้ใส่เสื้อพ่อบ้านมาอยู่ด้านหลัง
“สำหรับคุณคงเป็นเรื่องสนุกสินะครับ
เรื่องประหลาดแบบนี้”
“หึหึ แหม~ก็ช่วยไม่ได้นิดูยังไงก็น่าสนใจนิแต่เธอคิดว่าฉันจะได้พรกับเทพองค์ไหนละ อยากรู้จริงๆ”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับยังมองเหรียญอยู่โดยขอความคิดจากอีกฝ่าย
แต่อีกฝ่ายไม่พูดทำให้เด็กชายไม่สนใจแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำพุเพื่อที่จะดูว่าใครคือผู้ให้พรกับตน
Thanatos
เป็นชื่อที่ปรากฏออกมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กชาย
เด็กชายได้แต่ยิ้มแสยะออกมา เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเทพทานาทอสเทพแห่งความตาย แต่ก็คงจะเข้ากับตัวเองอยู่แล้วนิก็ในเมื่อตัวของเด็กชายในตระกูลเพฟเวอเร็น
แถมยังมีตำนานเกี่ยวกับยมทูตเลย เด็กชายมองไปดูคนอื่นมีเทพอะไรกันบ้างแต่สักพักเจ้าตัวก็ไม่สนใจ
“ทีนี้พวกท่านก็ได้ทราบแล้วว่าเทพองค์ใดที่มอบพรนี้ให้กับพวกท่าน”
“พรหรือคำสาปละสิไม่ว่า”
เด็กชายคนเดิมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันซึ่งทำให้เด็กชายรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากถ้าเสียงของอีกฝ่ายร้องออกมาแบบทรมานจะเป็นยังไงกันนะเด็กชายได้แต่คิดอยู่ในหัว
“พวกท่านจะมองแบบนั้นกระผมก็ไม่ว่าอะไร
เชิญรับนี่ไปด้วยครับ”
เด็กชายที่ใส่ชุดพ่อบ้านกล่าวออกมาพร้อมกับยื่นตราประทับให้กับตัวของเด็กชายและกับคนอื่นคนละหนึ่งชิ้น
มันเป็นตราประทับทองคำรูปตัว E ซึ่งป็นสัญลักษณ์ย่อมาจากเอลีเซียนคาเฟ่
“หากท่านใดประสงค์ที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
ขอให้ท่านเขียนจดหมายและประทับตรานี้ไว้ด้วยนะขอรับ เมื่อทำเช่นนั้นพวกกระผมจะไปรับและพามาที่นี่”
“ตอนนี้ขอเชิญทุกท่านกลับไปฉลองวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบต่อได้เลยครับ”
ชายชรากล่าวเสร็จก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งและเด็กชายและคนอื่นๆที่อยู่ที่นี้ก็ปลิวลอยไปยังประตูที่ทุกคนเดินเข้ามามันเปิดอ้าออกจนสุดก่อนที่จะดูดพวกเขาเข้าไปและปิดตัวลงเสียงดังเพิ่มเติมมาคือเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนที่โดนกระชากเข้าประตูไปเพื่อส่งตัวกลับไปยังช่วงเวลาเดิมของแต่ละคน
เด็กชายรู้สึกตัวอีกทีและพบว่าตัวเองอยู่ที่สุสานของครอบครัวเหมือนเดิม
นั้นทำให้เด็กชายหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว
“หึหึหึ
น่าสนุกถ้าได้เจออีกครั้งคงเป็นเรื่องที่วิเศษ หึหึหึ”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับเก็บไวโอลินเข้ากระเป๋าและมองไปบนท้องฟ้าอีกรอบโดยครั้งนี้เริ่มมีหยดฝนลงมาที่เล็กทีละน้อย
“อย่าทำให้มันน่าเบื่อละ
หึหึหึ”
เด็กชายกล่าวเสร็จก็ปรากฏรอยยิ้มที่แปลกประหลาดแทนดูหลอนออกมาแต่สักพักมันก็หายไปกับการเป็นคนเดิมและหันไปมองสุสานของครอบครัวของตัวเอง
“แล้วเจอกันอีกครั้งนะครับคุณพ่อ
คุณแม่”
เด็กชายกล่าวออกมาพร้อมกับเดินกลับออกไปถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของเด็กชายก็ตาม
เด็กชายก็หาได้สนใจเพราะยังไงก็ต้องฉลองวันเกิดแค่คนเดียวอยู่แล้ว ทำให้เด็กชายไม่สนใจอะไรกับวันเกิดแถมตอนเดินออกมาเด็กชายยังได้หนังสือจากที่จากเอลีเซียน
คาเฟ่ติดไม้ติดมือมาด้วยและตราประทับสีทองที่อยู่ในมือ เพื่อเป็นสิ่งที่บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นความจริงทุกอย่าง
นั้นจึงทำให้เด็กชายรู้สึกสนุกขึ้นกว่าเดิม
ความคิดเห็น