คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Somebody else
“เธอยังรักฉันไหม?”
เขาพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบงันอันน่าอึดอัด ดวงตาสดำสนิทคู่นั้นเหมือนกับดวงตาของซาตานที่กำลังจ้องมองราวกับเธอเป็นลูกแกะตัวน้อย ๆ แต่ท่ามกลางสีสันแห่งความมืดมนอันไร้ที่สิ้นสุดในตาของเขา เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้น เป็นความรู้สึกอันแสนลึกลับของเขาที่เธอไม่เคยเข้าใจได้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เธอเลือกที่จะหลบตาเขา ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เพราะเธอกำลังสับสน ว่าที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอเป็นความรักจริง ๆ หรือมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เหมือนสายลมอ่อน ๆ ในยามฤดูร้อนที่พัดผ่านมาเพียงครู่เดียวแล้วเลือนหายไปทิ้งไว้เพียงความหนาวเหน็บที่ทรมาน บางทีพระเจ้าอาจจะอยากลงโทษเธอกับบาปที่เคยกระทำด้วยการส่งปีศาจตัวนี้เข้ามาในชีวิตของเธอก็ได้
หลังจากเผชิญกับความเลวร้ายทั้งหลายที่เขาได้เคยกระทำกับเธอ
หลายครั้งที่เธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามดึกจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปจนแยกไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่
จนทำให้ต้องตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่า เธอยังรักเขาหรือว่าเกลียดเขากันแน่?
แต่เธอก็ไม่เคยให้คำตอบกับตัวเองได้เลยสักครั้ง
เธอหลับตาลง คิดคำนึงถึงช่วงเวลาอันงดงามก่อนหน้านี้ ช่วงเวลาก่อนที่ชีวิตของเธอจะเข้าสู่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ช่วงเวลาที่ได้พบเจอกับเขาครั้งแรก มันเนิ่นนานจนเธอหลงลืมมันไปหมดแล้ว บางทีการนึกถึงอีกครั้งอาจทำให้เธอเข้าใจได้สักทีว่าภายในใจของเธอนั้นรู้สึกอย่างไรกันแน่
........................
“แม่หวังว่าลูกจะเริ่มต้นใหม่ที่นี่ได้นะ”
“มีเรื่องอะไรก็บอกแม่ได้ตลอดเลยนะ”
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแม่จะอยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอ”
โดโลเรสยืนมองรถเก๋งคันเก่าที่กำลังขับออกไปช้า ๆ โดยที่คำพูดสั่งลาของผู้เป็นแม่ยังวนเวียนอยู่ในหัว เธอใช้เวลาทำใจอย่างอ้อยอิ่งอยู่หลายนาทีกว่าที่จะยอมก้าวขาเข้าไปในโรงเรียนในฐานะนักเรียนหน้าใหม่ของโรงเรียนเล็ก ๆ ประจำรัฐอย่าง ‘Likon High school’ แห่งนี้
แสงแดดยามเช้าช่วยให้บรรยากาศที่หนาวเย็นดูอบอุ่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ภายในรั้วโรงเรียนแน่นขนัดไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียนมากหน้าหลายตาและเสียงโวยวายเอ็ดตะโร่ ถ้าหากจะบอกว่าช่วงเปิดเทอมคือช่วงเวลาที่โรงเรียนครึกครื้นที่สุดก็ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด แน่นอนหลายๆ คนก็คงจะชอบความรู้สึกตอนเปิดเทอมที่สุดแล้ว เพราะทุกอย่างในโรงเรียนนั้นเต็มไปด้วยซีวิตชีวา และทุกคนที่เจอหน้ากันก็มีแต่รอยยิ้ม ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นที่งดงามเลยทีเดียว
ยกเว้นก็เพียงแต่เธอนี่แหละ
“ใจเย็นโดโลเรส ใจเย็นๆ ”
เด็กสาวผมสีน้ำตาลสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อควบคุมสติของตัวเองไว้ มือหนึ่งทาบที่หน้าอกซ้ายของตัวเอง รู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนจากหัวใจจนดูเหมือนกำลังจะระเบิด แม้อากาศในเดือนพฤศจิกายนจะหนาวเย็นแต่เม็ดเหงื่อกลับผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า เธอก้มหน้าก้มตาซ่อนใบหน้าที่วิตกกังวลก่อนจะรีบเร่งสาวเท้าออกจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว
เป็นเรื่องปกติสำหรับโดโลเรสที่จะเกิดอาการแพนิค [1]แบบนี้เมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังและคนเยอะ ๆ เพราะนี่มันก็นานมาแล้วที่เธอแทบจะไม่ได้พบปะกับผู้คนมากมายอย่างนี้...
สักหนึ่งปีได้แล้วมั้ง?
หนึ่งปีมาแล้วที่เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานบำบัดจิตแทนที่จะมาโรงเรียนเหมือนวัยรุ่นทั่วไป สาเหตุก็เนื่องมาจากการที่เธอพยายามฆ่าตัวตายในห้องนอนตัวเองจากกอาการของโรคยอดฮิตในสมัยนี้อย่าง ‘โรคซึมเศร้า’ ซึ่งบังเอิญว่าเธอเป็นหนักมากไปหน่อย ชนิดที่ว่าไม่สามารถเข้าสังคมกับใครได้สักคน เอาแต่วิตกกังวลและหวาดกลัวไปหมดจนเลือกที่จะเอาแต่หมกอยู่คนเดียว นาน ๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกไร้ค่าจนตัดสินใจกรีดข้อมือตัวเองหวังจะตายให้พ้น ๆ จากโลกใบนี้ไปซะ แต่บังเอิญว่าแม่ของเธอดันมาเจอเข้าก่อน โดโลเรสเลยต้องถูกระเห็จไปรักษาสภาพจิตใจตัวเองที่สถานบำบัดจิตอยู่หนึ่งปีเต็มนี่แหละ
ตอนแรกโดโลเรสคิดว่าตัวเองคงต้องถูกขังอยู่ที่นั่นไปจนตายเสียแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งคุณหมอไอเบิร์ต คนที่คอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ในสถานบำบัดจิตบอกกับเธอว่า ‘นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่าเธอก็ควรจะเริ่มกลับสู่โลกความจริงได้แล้วโดโลเรส’ แล้วเขาก็รีบถีบหัวส่งเธอออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกทันทีท่ามกลางความเห็นดีเห็นงามของแม่เธอเอง
บัดซบเถอะ! หายดีบ้านแกนะสิไอ้หมอบ้า
ตอนนี้โดโลเรสรู้สึกอยากจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว เธอเกลียดการอยู่กับคนเยอะๆ เกลียดเสียงหัวเราะจอมปลอม เกลียดการต้องใส่หน้าการยิ้มเสแสร้งต่อกันและกัน เกลียดสังคมไฮสคูลที่คนหน้าตาดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ส่วนนอกนั้นก็เป็นแค่คนที่ไร้ค่า...
สรุปง่าย ๆ ก็คือเธอเกลียดการมาโรงเรียนที่สุด!
โดโลเรสรู้ตัวดีว่าเธอไม่พร้อมเลยสักนิดสำหรับการกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติอย่างนี้เลย แต่แม่กับจิตแพทย์ไม่คิดแบบนั้น พวกเขาพยายามจะให้เธอมาเรียนเหมือนเดิม พวกเขามีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าการให้เธอได้เรียนรู้จากโลกภายนอกจะทำให้เธอดีขึ้นได้ ซึ่งสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดปีก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องยอมทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี แม้เธอจะคิดว่าความคิดเหล่านี้มันงี่เง่าสิ้นดีก็เถอะ
แน่นอนโดโลเรสตัดสินใจแล้วตั้งแต่ตอนที่ก้าวขาเข้ามาในโรงเรียนว่าหลังจากนี้เธอจะใช้ชีวิตตลอดช่วงไฮสคูลให้เงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งถูกลืมจากคนในโรงเรียนได้เลยก็ยิ่งดี เธอไม่คิดจะสานสัมพันธ์ผูกมิตรคิดมีเพื่อนอะไรแบบที่คนอื่นเขาทำกันหรอก ฝันไปเถอะว่าจะให้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติอย่างนั้น แค่ยอมมาเรียนตามคำสั่งก็ดีแค่ไหนแล้ว
"ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่มีลูกกะตาหรือไงถึงได้มาชนคนอื่นเขาเนี่ย”
เสียงเอะอะที่ดังมาจากด้านหน้าดึงดูดให้โดโลเรสที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาเข้าอาคารเรียนอยู่ต้องหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กสาวผมบลอนด์หน้าตาดีสองคนกำลังมองผู้ชายคนหนึ่งด้วยสายตารังเกียจ
โดโลเรสได้แต่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ดวงตาสีเขียวเข้มลอบสังเกตผู้ชายคนนั้นอย่างสงสัย เขาเป็นผู้ชายรูปร่างผอมและสูงจนดูเก้งก้าง ผมสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาไม่ได้จัดว่าหล่อเหลาแต่ก็ไม่จัดว่าขี้เหร่ ดูธรรมดาและไม่น่าจดจำ ทั่วทั้งตัวของเขาตั้งแต่เสื้อไปจนถึงรองเท้าล้วนเป็นสีดำสนิทตัดกับผิวหนังที่ขาวซีดจนดูเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน กรอบแว่นหนาเตอะบนใบหน้าทำให้ท่าทางของเขาดูเหมือนเด็กเรียนไม่มีพิษมีภัยอะไร
โดโลเรสสรุปได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็แค่เด็กกระจอก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหละ
"อย่าไปใส่ใจเลย ก็แค่พวกเด็กเก็บกด"
ทันทีที่หนึ่งในกลุ่มผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น โดโลเรสก็เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นชะงักไปชั่วขณะ เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปมองเด็กสาวเจ้าของคำพูดคนนั้นตาขวางราวกับจะพุ่งเข้าไปฉีกเนื้อหล่อนเป็นชิ้น ๆ ชั่วแวบหนึ่งเมื่อได้เห็นสายตาของเขาโดยบังเอิญก็ทำเอาโดโลเรสถึงกับขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เหมือนกับคลื่นความชิงชังทะลักผ่านแววตาคู่นั้นพุ่งกระแทกเข้ามาหาเธออย่างจัง
"มองอะไร อยากมีเรื่องหรือไง" เธอคนนั้นโต้ตอบด้วยความโกรธ แต่โดโลเรสก็จับสังเกตได้ถึงความกลัวที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แววตาของหล่อนหวั่นไหววูบเล็ก ๆ ก่อนจะถอยห่างจากคนตรงหน้าออกไปประมาณสองก้าว
ทุกอย่างรอบบริเวณคล้ายกับว่าจะเงียบลงไปชั่วขณะ สายตาของคนทุกคนหันไปมองยังเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างพร้อมเพรียง แต่เขาก็เพียงแค่แสยะยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เด็กสาวทั้งสองคนนั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับท่าทางของเขา
"ดูหมอนั่นสิ" หล่อนพูด "ตานั่นมันโรคจิต โรคจิตขนานแท้!"
ทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายได้อย่างงง ๆ โดโลเรสจึงถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเงียบ ๆ เพราะใครจะทะเลาะอะไรกันก็ไม่สำคัญอยู่แล้วตราบใดที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ ยังไงซะเธอก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะอยู่เงียบๆ คนเดียวตลอดเวลาที่เรียนที่นี่ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องให้ความสนใจเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็นกับชีวิต
แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ให้สนใจก็เถอะ แต่เธอก็ลบภาพสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของผู้ชายคนนั้นออกไปจากหัวไม่ได้เลย
และเธอไม่เคยรู้เลยว่าในฤดูหนาวครั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล...
............................
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ฉันชื่อเมลานีเป็นอาจารย์ปรึกษาของเธอ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามฉันได้ตลอดเลยนะ” อาจารย์เมลานียิ้มกว้าง เธอเป็นผู้หญิงร่างอ้วนท้วนวัยประมาณห้าสิบปี ผมบนศีรษะขาวโพลน แก้มอวบอูมแดงเปล่งปลั่งของตุ๊กตา หน้าตาท่าทางดูเป็นคนใจดี “ตามมาสิ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปที่ห้องเรียน ดูเหมือนว่าคาบแรกฉันจะได้สอนเธอเสียด้วย”
หล่อนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพาโดโลเรสไปที่ห้องเรียน ทุกย่างก้าวแต่ละก้าวยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกเริ่มจะปอดแหกมากขึ้นทุกที ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกล แต่ก็รู้ดีว่าอย่างไรตัวเองก็คงไม่สามารถลหบหนีต่อไปได้อีกแล้ว เธอจึงหันมาพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์พูดเพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดอาการตื่นเต้นจนเกินไปแทน
จากการที่ฟังอาจารย์เมลานี เธอจึงได้รู้ว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นเพียงโรงเรียนเล็ก ๆ ประจำอำเภอที่เปิดสอนตั้งแต่เกรด 9-12 ที่นี่มีจำนวนนักเรียนรวมครูผู้สอนแล้วไม่ถึงหนึ่งพันคนเสียด้วยซ้ำ อาจเพราะด้วยตัวโรงเรียนนั้นตั้งอยู่บนเชิงเขาติดกับป่าจึงค่อนข้างโดดเดี่ยวและห่างไกลจากที่อื่น และบางครั้งก็มีสัตว์ป่าหลงทางโผล่เข้ามาในโรงเรียนด้วย เช่นหมีกริซลีหรือหมาป่า(ภารโรงของที่นี่จึงต้องมีปืนประจำตำแหน่งไว้ไล่ยิงพวกสัตว์ป่าที่โผล่เข้ามาในโรงเรียน) โดโลเรสไม่ได้แปลกใจเท่าไรที่หมอไอเบิร์ตแนะนำโรงเรียนนี้ให้กับแม่ของเธอ เขาคงจะคิดว่าความสงบและธรรมชาติของป่าเขาแถวนี้คงจะทำให้คนโรคจิตอย่างเธอรู้สึกเหมือนได้รับการบำบัดล่ะมั้ง?
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงห้องเรียนห้องหนึ่ง เสียงพูดคุยเซ็งแซ่จากในห้องดังไปทั่วจนได้ยินมาถึงตรงนี้ อาจารย์เมลานีหันมายิ้มให้เด็กสาวคนใหม่เหมือนว่าจะปลอบใจก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปในห้อง
“เอาล่ะนักเรียนทุกคนเงียบได้แล้ว วันนี้เราจะมีเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยกัน รู้จักกันไว้นะ”
อาจารย์เมลานีหันไปมองเด็กสาวหน้าห้องอีกรอบแล้วพยักหน้าเบา ๆ เป็นการส่งสัญญาณ โดโลเรสจึงค่อย ๆ เดินเข้ามายืนอยู่หน้าด้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของใครหลายคนที่จ้องมองมาทางเธออย่างเปิดเผย เสียงซุบซิบแว่วเข้ามาในหูเป็นระยะ ๆ แม้จะฟังไม่ชัดแต่ก็พอจะเดาออกได้ว่าคนเหล่านี้กำลังพูดถึงเธออยู่
โดโลเรสไม่เคยชอบการต้องตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่น เธอเกลียดสายตาที่คนพวกนั้นกำลังมองเธอ มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจับผิดเธออยู่ เหมือนว่าเธอทำอะไรผิดไปสักอย่าง สายตาพวกนั้นมันทำให้เธอรู้สึกอับอายและหวาดกลัว
แต่ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้น ถ้าหากเผลอแสดงอาการประหลาดอะไรออกไปเพียงนิดเดียว รับรองได้เลยว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนหลังจากนี้ต้องยากลำบากมากแน่ ๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือต้องพยายามเก็บซ่อนความกลัวของตัวเองให้มิดชิดที่สุด
เอาน่า หลับหูหลับตาพูดไปเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว
“สวัสดีคะ ฉันชื่อโดโลเรส วินสตัน ยินดีที่ได้รู้จักคะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันจ๊ะโดโลเรส” อาจารย์เมลานีเอ่ยพร้อมกับปรบมือไปด้วย คนอื่นในห้องจึงปรบมือตาม “งั้นฉันจะให้เธอไปนั่งข้าง ๆ ประธานนักเรียนดีกว่า ว่ายังไงคุณเซบาสเตียน ฉันฝากให้คุณช่วยดูแลนักเรียนใหม่ได้ไหม”
“โอเคครับอาจารย์”
โดโลเรสหันไปมองตามเสียงขานรับ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าสว่างคู่นั้น เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่จัดได้ว่าดีมากกว่าคนปกติทั่วไป ดูเหมือนนักแสดงจากซีรีส์วัยรุ่นไม่ก็นายแบบจากแม็กกาซีน เขามีจมูกโด่งเป็นสันเข้ากันดีกับคิ้วหนาได้รูป เรือนผมสีแดงตัดกับผิวเข้มคล้ำแดด เขาเป็นคนรูปร่างสูงและมีกล้าม เธอไม่รู้จะสรรหาคำไหนมานิยามเขาดีนอกจากคำว่าสมบูรณ์แบบ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องได้รับความนิยมมากมายในหมู่สาว ๆ ของที่นี่แน่
“ที่รัก ไปนั่งที่ได้แล้วจ๊ะ เราจะได้เริ่มเรียนกัน” เสียงของอาจารย์เมลานีปลุกโดโลเรสขึ้นมาจากภวังค์ เธอหันไปยิ้มแก้เก้อให้อาจารย์ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาสาวเท้าไปนั่งข้าง ๆ ผู้ชายคนนั้นทันที
“เฮ้ เธอ!” พึ่งนั่งบนเก้าอี้ได้แปบเดียวก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยืนเสียงเรียกดังใกล้ ๆ หู เมื่อหันไปมองก็เจอกับชายที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานนักเรียนส่งยิ้มมาให้ “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อเซบาสเตียน จะเรียกว่าเซบก็ได้นะ”
“อืม” เด็กสาวแสร้งยิ้มให้อีกฝ่ายตามมารยาท เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรกับผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีอะไรหรอก แต่เพราะเขาดูเจิดจ้าและโดดเด่นมากเกินไป ซึ่งเธอไม่ชอบเอาเสียเลย
“เธอเป็นคนต่างเมืองเหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าเธอเลยล่ะ”
ก็แน่ล่ะ จะคุ้นหน้าได้ยังไงในเมื่อเธอไปอยู่ที่สถานบำบัดจิตตั้งเป็นปีแน่ะ โดโลเรสคิดก่อนจะแสร้งทำเป็นตั้งอกตั้งใจเรียนโดยไม่ตอบคำถามของเขา
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรู้สึกโมโหไปแล้วกับการเมินเฉยตรง ๆ แบบนี้ แต่เซบาสเตียนนั้นแตกต่างออกไป นอกจากจะไม่มีท่าทีโกรธเคืองแล้วเขายังส่งยิ้มให้เธออีกด้วย เด็กสาวจึงได้ค้นพบว่านอกจากเขาจะหล่อมาก ๆ แล้วยังถือเป็นผู้ชายที่ใจเย็นและดูเป็นมิตรอีกต่างหาก นับว่าเป็นคุณสมบัติอันดับต้น ๆ ของหนุ่มฮอตประจำโรงเรียนเลยทีเดียว
วิชาแรกที่เรียนในช่วงเช้าวันนี้คือวิชาภูมิศาสตร์ แน่นอนว่าโดโลเรสไม่ได้คิดจะใส่ใจกับการเรียนอยู่แล้ว เธอใช้เวลาตลอดทั้งคาบไปกับการนั่งสัปหงกทุกสิบนาทีในห้องเรียนอย่างไม่เกรงใจอาจารย์เมลานีที่ยืนพร่ำสอนถึงแผนที่ประเทศฝรั่งเศสเลยสักนิด โชคดีที่อาจารย์เมลานีเป็นเพียงคุณป้าแก่ ๆ ที่มีปัญหาด้านสายตาอย่างแรง เด็กสาวเลยสามารถแอบหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลงโทษแต่อย่างใด
กริ่งงงงงงง
เสียงกริ่งหมดคาบเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์สำหรับโดโลเรส เธอไม่รอช้าสลัดความง่วงงุนออกจากหัวก่อนจะเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าอย่างลวก ๆ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันทีเพราะไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่แม้แต่สักวินาทีเดียว
แต่ก็ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะได้กลับบ้าน
เด็กสาวพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ แต่ตอนนั้นเองโดโลเรสก็รู้สึกได้ถึงใครบ้างคนที่กำลังเร่งฝีเท้าตามหลังมา และเมื่อหันกลับไปมองก็พบกับเซบาสเตียนที่เดินตามหลังอยู่ นั่นทำให้เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสงสัย
ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ดูเหมือนเขากำลังเดินตามเธออยู่เลย
“นายมาเดินตามฉันทำไม” โดโลเรสหยุดเดินทันทีก่อนจะหันไปถามเขาอย่างสงสัย เพราะเธอรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อยกับการมีคนมาเดินตามหลังอยู่แบบนี้
“ก็อาจารย์เมลานีก็ฝากฝังเด็กใหม่อย่างเธอไว้กับฉันนี่น่า อย่าบอกนะว่าเธอลืมไปแล้ว?” เขายักไหล่เล็กน้อย “เพราะฉะนั้นฉันจะคอยดูแลเธอตลอดช่วงที่เธออยู่ในโรงเรียนไงล่ะ”
“ขอบคุณนะ แต่ฉันคิดว่าฉันดูแลตัวเองได้”
“เฮ้! เดี๋ยวสิ...”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เด็กสาวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันทีเมื่อพบว่าเธอเริ่มจะกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้งเพราะประธานนักเรียนคนนั้น อย่าหาว่าคิดมากเลยนะ แต่โดโลเรสสัมผัสได้ถึงสายตาที่ดูไม่ค่อยพึ่งพอใจของสาว ๆ หลาย ๆ คนที่จ้องมาทางเธออย่างเปิดเผย และเธอก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่ง ๆ ให้ตัวเองด้วยการอยู่ใกล้ประธานนักเรียนคนนั้นอย่างเด็ดขาด
ตุ๊บ ผลั่ก!!
“เก๋านักเหรอวะไอ้โรคจิต”
ในระหว่างที่ก้าวเท้าดุ่มๆ ไปได้ไม่เท่าไร จู่ ๆ โดโลเรสก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากบันไดที่อยู่ใกล้ ๆ เด็กสาวจึงขมวดคิ้วทันที ไม่ต้องคาดเดาให้ยากเธอก็พอจะรู้ได้ว่าแถวนั้นคงจะมีการกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้นอยู่แน่ ๆ
ความจริงมันก็ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับการรังแกกันของวัยรุ่นในสังคมโรงเรียน สมัยมัธยมต้นโดโลเรสเองก็เคยโดยกลั่นแกล้งมาก่อนเหมือนกัน และนั่นก็จัดว่าเป็นหนึ่งในบรรดาหลากหลายเหตุผลบนโลกใบนี้ที่ทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องไสหัวไปอยู่ในสถานบำบัดจิตเพราะฆ่าตัวตายไม่สำเร็จนั่นแหละ
เพราะการโดนกลั่นแกล้งนี่แหละที่สอนให้ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘โรงเรียน’ เป็นสถานที่ที่อันตรายมากแค่ไหน ถ้าหากอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในสังคมโรงเรียนที่แสนโหดร้ายนี้ก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นจุดสนใจน้อยที่สุด อย่ายุ่งและอย่าสนใจกับอะไรทั้งนั้น
ถ้าไม่อยากเจ็บปวด ก็แค่อยากพลาดให้ตัวเองต้องบาดเจ็บก็เท่านั้น
ความจริงโดโลเรสไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับการแกล้งกันของคนอื่นอยู่แล้ว แต่ตรงนั้นดันเป็นทางผ่านออกไปข้างนอก เธอจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินผ่านจุดนั้น เด็กสาวเลือกที่จะเดินผ่านจุดนั้นไปอย่างเงียบเชียบที่สุด แต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านเลยไปจากตรงนั้น สายตาของเธอก็บังเอิญมองเห็นใครอีกคนที่ทรุดตัวอยู่ใต้วงล้อมของกลุ่มกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เข้าพอดี
ใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นทำให้โดโลเรสเผลอหยุดเดินอย่างไม่รู้ตัว โชคดีที่ไม่มีใครที่นี่ให้ความสนใจเธอ โดโลเรสจึงสามารถพินิจพิเคราะห์ชายผู้ตกเป็นเหยื่อคนนั้นได้ ครุ่นคิดเพียงไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าคน ๆ นั้นคือเด็กผู้ชายที่พึ่งมีเรื่องกับกลุ่มเด็กผู้หญิงไปเมื่อเช้านี่เอง แต่ตอนนี้สภาพของอีกฝ่ายกลับดูไม่เหลือเค้าเดิมเลยสักนิดเดียว ทั้งเสื้อผ้าและผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไปหมด แว่นหนาเตอะที่เขาสวมอยู่มีรอยแตกร้าวเป็นทางยาว ใบหน้ามีรอยช้ำเลือดบูดบวมจนน่ากลัว
ตอนนั้นเองจู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเธอราวกับรู้ว่าเธอกำลังแอบมองอยู่ นั่นทำให้โดโลเรสต้องสะดุ้งเบา ๆ แม้ว่าแววตาของเขาจะไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนกับเมื่อเช้านี้ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังอย่างบอกไม่ถูก
โดโลเรสก้มหน้าก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นทันที ชั่ววูบหนึ่งตอนที่สบตากับผู้ชายคนนั้นเธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ยังไงเด็กสาวก็ต้องขอเลือกความปลอดภัยของตัวเองเอาไว้ก่อนอยู่ดี เธอไม่ได้มีจิตใจที่ดีงามมากพอจนกล้าจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องของคนอื่นเสียหรอก
จะหาว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่มนุษย์ทุกคนก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง?
_________________
[1] แพนิค (Panic) เป็นอาการที่เกิดจากความกังวล กลัวหรือความตกใจอย่างรุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ5-10นาที โดยมีหลากหลายอาการได้แก่ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ใจสั่น ใจลอย เหงื่อแตก มือเท้าชา หน้ามือ แน่นหน้าอก เวียนหัว คลื่นไส้ มวนท้อง รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
ความคิดเห็น