คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กลรักอสุรา l ปฐมบท ตอน กำเนิดทับทิม {อัพ100%}
มาจะกล่าวบทไป ถึงอนุชาท้าวนครยักษ์
หมายทำลายปรปักษ์พระเชษฐา
หมายยุติความโศกเศร้าและโศกา หมายให้เหล่าเทพยดาลดอาดูร
ว่าแล้วจึงรีบคว้ากระบองตาล เผชิญหน้าผจญมารในแดนสรวง
หวังทุกชีวาสิ้นทุกข์และหมดห่วง
รีบลัดเลาะล่วงหน้าไปโดยพลัน
...............
ครั้นถึงแดนโศกาอสุราพลันใจหาย
ทุกชีวาพังดับและวอดวาย
เสียงร่ำไห้แสนโศกาคับแผ่นดิน
ว่าแล้วจึงกวาดตาหาคนรัก
พะวงนักถึงดวงใจให้ใคร่หนี
หากปลอดภัยมีชัยก็คงดี หากมิเหลือชีวีคงระทม
แต่เวรกรรมจักใช่ปรานีนัก ถึงผลักไสชีวาให้หนีหาย
เห็นทรามเชยนอนลงชีวาวาย อสุรีทิ้งกายาอย่างหมดแรง
...............
เมื่อนั้น อัสสุชนพี่รินไหล ก้มประคองดวงใจไว้ไม่ห่าง
เสียงสะอื้นร่ำไห้สุดเหว่ว้าง
โอบกอดร่างไร้ลมระทมอุรา
ว่าแล้วอสุราจึงเอ่ยถาม ถึงฤกษ์ยามต้องจากลากันแล้วฤา
มิเอ่ยร่ำคำลาหรือโบกมือ
มิเห็นส่งข่าวลือว่าจักไป
ฤาชาตินี้เรานั้นมิคู่เคียง
แก้วกานดาจงสดับฟังเสียงขอ
อุบัติใหม่กี่ภพชาติพี่จักรอ จักคอยเฝ้าพะนอไม่แคล้วไกล
“เกิดชาติหน้าฉันใด
ขอให้เราคู่กัน”
{คำแปล : ท่านอสุราตั้งใจจะช่วยพี่ชายร่วมรบและช่วยให้แดนสรวงกลับคืนสู่ความสงบสุข
จึงรีบคว้าอาวุธของตัวเอง นำทัพล่วงหน้าไปถึงแดนสรวงก่อนท้าวอสุเรนทร์ผู้เป็นพี่ชาย
เพื่อหวังจะคอยรับมือให้ก่อนที่กองทัพยักษ์จะมาถึง
แต่เมื่ออสุราไปถึงยังที่หมายก็ต้องตกใจที่ทั่วแดนสรวงมีแต่เรียงร้องไห้
เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เห็นหลายๆสิ่งถูกพังทำลายอีกทั้งยังเห็นแต่ภาพความตาย ด้วยความเป็นห่วงคนรักซึ่งเป็นนางสวรรค์
จึงรีบกวาดตามองหาคนรักของตัวเอง โดยหวังว่าคนรักของตนจะหนีรอดและปลอดภัยดี
แต่ว่าสิ่งที่ท่านอสุราหวังไว้กลับไปเป็นแบบนั้นเมื่อหันไปเจอร่างหมดลมหายใจของคนรัก
ท่านอสุราเหมือนกับคนหมดเรี่ยวแรงทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้หลักยึด
อีกทั้งยังร้องไห้รีบเข้าไปประครองร่างไร้ลมหายใจของรักมากอดไว้
แล้วก็พูดกับร่างไร้วิญญาณของนางอัปสรคนรักของตนเองว่า
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องจากลากันแล้วเหรอ? หรือเพราะว่าชาติคนทั้งสองไม่ได้เคียงคู่กัน
นางอัปสรถึงได้ตายไปก่อนที่จะทันได้พูดหรือบอกลา พร้อมกันนั้นก็ยังให้คำสัญญาไว้อีกว่า
ตนจะรอจนกว่าคนรักของตนเองเกิดใหม่ เมื่อถึงเวลาตนจะลงมาหาและอยู่ดูแลใกล้ๆ ไม่ให้ห่างเหมือนอย่างเหตุการณ์ในวันนี้
และเมื่อได้เจอในภพชาติใดก็ตามก็ขอให้ตนเองกับคนรักเกิดมาคู่กันไม่แยกจากกันเหมือนชาตินี้อีก}
กรุงเทพมหานคร
ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑
เวลา ๑๐.๓๒ นาฬิกา
[ทับทิมตอนนี้อยู่ไหนน่ะลูก?]
“ตอนนี้ทับทิมกำลังจะไปช่วยพี่ๆ เขาดูชุดที่วัดจ้ะแม่...”
[ดูชุดอะไรกัน กองละครเขาเริ่มเปิดกล้องกันแล้วเหรอ?]
“ยังจ้ะแม่ วันนี้เขาจะทำพิธีบวงสรวงเปิดกล้องกันเฉยๆ อ๊ะ...พี่คะ
จอดรถที่หน้าวัดข้างหน้านั่นก็ได้ค่ะ...แม่จ๋าทับทิมวางก่อนนะจ้ะ
เดี๋ยวต้องเข้าไปในวัดแล้ว”
[ตั้งใจทำงานล่ะ อย่าเถรไถล] สิ้นเสียงบอกกล่าวพร้อมกับสายโทรศัพท์ของผู้เป็นแม่ถูกตัดไป
รถแท็กซี่โดยสารที่ฉันนั่งมาก็เลี้ยวเข้าเทียบบริเวณหน้าวัดซึ่งเป็นสถานที่เป้าหมายพอดิบพอดี
นั่นจึงทำให้ฉันรีบเก็บโทรศัพท์มือถือก่อนเปลี่ยนมาคว้านหาธนบัตรสักใบเพื่อใช้สำหรับจ่ายค่ารถทันที
“นี่ค่ะลุง ไม่ต้องทอนก็ได้” ทันทีที่จ่ายค่ารถเสร็จ
ฉันก็ไม่รอช้ารีบพาตัวเองลงจากรถทันทีด้วยความรีบร้อน
โดยประคองชุดนางรำที่เช่ามาสำหรับพิธีบวงสรวงในวันนี้ไว้แนบอก
เท้าสองข้างรีบเร่งจ้ำไปตามทางเดินภายในวัด ขณะสายตากวาดมอง
สอดส่องหากลุ่มคนซึ่งน่าจะเป็นคนของเหล่าทีมงานกองละครดั่งดวงหทัยยักษ์
ด้วยเพราะนี่ก็กินเวลามาสิบนาทีจากเวลานัดแล้ว ขืนช้าไปกว่านี้ฉันอาจจะถูกตำหนิและส่งผลต่องานที่ทำอยู่ก็ได้
ทว่า ที่เห็นผ่านตาตอนนี้ ดูเหมือนจะมีแค่พวกนักข่าวที่พากันมายืนจับตัวเป็นกลุ่มก้อน
รอเวลาพิธีบวงสรวงเปิดกล้องเริ่มแต่เพียงเท่านั้น
ตึก! ตึก! ตึก!
เพราะมองหากลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายไม่เจอ
ฉันจึงรีบเร่งจ้ำเท้าเดินลึกเข้ามาภายในตัววัด และแล้วโชคก็เข้าข้างในที่สุด เมื่อสายตาดันสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินออกมาจากหน้าทางเข้าพระอุโบสถใหญ่โดยบังเอิญ
เห็นดังนั้นฉันจึงไม่รอช้าที่จะโบกไม้โบกมือและตะโกนเรียก
“คุณกรองขวัญคะ!” ซึ่งการทำเช่นนั้นดูเหมือนจะได้ผล
เมื่อเจ้าของชื่อซึ่งก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเงยหน้าขึ้น มองมายังจุดที่ฉันยืนอยู่
จำต้องรีบวิ่งจ้ำเท้าตรงดิ่งเข้าไปหาเธอทันที
“สวัสดีค่ะคุณกรองขวัญ” เมื่อมีโอกาสได้ยืนต่อหน้า
ฉันก็รีบยกมือขึ้นไหว้หญิงสาวหน้าตาสะสวยตรงหน้าทันทีตามมารยาท
“อ้าวทับทิม มาหาเมรีเหรอ?” คนตัวระดับพอๆ กันเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าค่าตากันใกล้ๆ
“เปล่าค่ะ...แต่หนูเอาชุดนางรำมาส่งน่ะค่ะ
ไม่ทราบว่าพวกคอสตูมช่างแต่งหน้าตั้งกองกันอยู่ตรงไหนเหรอคะ?”
“ขอดูชุดหน่อยจ้ะ...” ว่าแล้วคุณกรองขวัญก็เอื้อมมือรับชุดนางรำไปจากจากฉันอย่างช้าๆ
เธอใช้เวลาเพ่งพินิจรายละเอียดบนชุดซึ่งถูกห่อพลาสติกไว้อย่างดีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สังเกตได้ว่าสีหน้าของเธอยามกวาดตามองชุกนางรำนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลงใหลและชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด
จนคนที่ถือมาอย่างฉันอดรู้สึกดีใจตามไม่ได้
หลังกวาดตาสำรวจไปทั่วเครื่องแต่งกายได้ครู่หนึ่ง คุณกรองขวัญก็ถามขึ้น
“ชุดนี้เป็นของเมรีเหรอจ๊ะ?” ถามทั้งที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับชุดนางรำในมือ
“ใช่ค่ะ พอดีคุณพี่ช้างรบกวนให้ทับทิมช่วยดูเรื่องเครื่องแต่งกายให้นะคะ”
“อ๋อผู้ช่วยแผนกคอสตูมงั้นสินะ...ถ้าอย่างงั้น เดี๋ยวเจ๊เอาชุดนี่ไปให้พวกคอสตูมเอง
ทับทิมไปนั่งพักเถอะจ๊ะ”
“เอางั้นเหรอคะ?” ฉันย้อน ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณกรองขวัญพยักหน้ายิ้มๆ
แทบคำตอบกลับมาทันที “ค่ะ งั้นฝากด้วยนะคะคุณกรองขวัญ”
สิ้นเสียงรับคำ หญิงสาวความสูงระดับพอๆ กันก็ตั้งท่าที่จะเดินปลีกตัวออกไป
ทว่า ตอนนั้นเองเหมือนคุณกรองขวัญจะนึกอะไรขึ้นมาได้ถึงได้หันมาถาม
“เออนี่ ตอนเดินเข้ามา เจอพวกนักข่าวบ้างไหมจ๊ะ?”
“เจอค่ะอยู่ตรงลานกว้างข้างหน้านู้นน่ะค่ะ”
“อ๋อ ขอบใจมากจ้ะ แล้วนี่จะกลับเลยหรือเปล่าจ๊ะ?”
“ยังค่ะ ทับทิมว่าจะอยู่จนกว่าเมรีจะรำบวงสรวงเสร็จน่ะค่ะ”
“งั้นก็ตามสบายนะจ๊ะ...เดี๋ยวเจ๊ขอตัวไปรับมือกับพวกกองทัพนักข่าวแทนเมรีก่อน” คุณกรองขวัญยิ้มเล็กน้อย ก่อนเป็นฝ่ายปลีกตัวก้าวเท้าเดินไวทิ้งระยะห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
คล้ายกับรีบร้อนอะไร เห็นดังนั้นฉันจึงไม่รอช้าที่จะตะโกนเตือนเธอไปด้วย
“อย่าลืมเอาชุดนางรำไปที่กองคอสตูมนะคะคุณกรองขวัญ!”
เหตุผลที่ตะโกนออกไปแบบนั้นก็เพราะสำหรับฉันแล้วการทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงและสำเร็จกิจตามคำสั่งและความคาดหมายคือเรื่องที่พึ่งจะทำที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นใช่ว่าฉันจะไม่เชื่อถือคุณกรองขวัญที่ตอนนี้เป็นผู้ถือครองชุดนางรำไว้กับตัวเสียที่ไหน
ฉันก็แค่ต้องการความมั่นใจว่าเธอจะไม่ออกรับหน้ากับพวกนักข่าวแทนเพื่อนฉัน
จนลืมเอาชุดไปให้คนในกองต่างหาก
ส่วน คุณกรองขวัญ เธอคือผู้หญิง ซึ่งมีพระคุณอย่างมากกับ เมรี เพื่อนสมัยเด็กและสมัยเรียน เนื่องด้วยหน้าที่การงานของคุณกรองขวัญเป็นถึงแมวมองและผู้จัดการส่วนตัวคนดัง ที่ทำให้เพื่อนสนิทของฉันมีอนาคตและเฉิดฉายอยู่ในวงการบันเทิงได้จนถึงทุกวันนี้
อีกทั้งเพราะฉันถือคติ ใครที่เพื่อนให้ความเคารพ
ฉันจึงต้องให้เคารพเขาด้วยเหมือนกัน ทว่า ขณะที่เพื่อนสาวคนสนิทมีอนาคตก้าวไปไกล แต่ตัวฉันนั้น กลับย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ก้าวไปไหนไกลมากกว่าเคยเลยสักนิด
ฉันยังเป็นคนปกติธรรมดา ทำงานหาเลี้ยงชีพไปแบบวันต่อวันนับตั้งแต่เรียนจบ
งานของฉันคือเป็นพนักงานชั่วคราวของทางกรมศิลป์ คอยดูแล ให้ความรู้
และศึกษาประวัติศาสตร์เก่าๆ
เพื่อนำมาปรับใช้และประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
อีกทั้งหากเมื่อไหร่มีการบูรณะปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ
ฉันเองก็มักจะเป็นหนึ่งในตัวแทนที่เข้าไปช่วยเหลือ
ไม่ว่าจะช่วยลงมือทำหรือให้คำแนะนำ
ฉันชอบเรื่องโบราณ ความเชื่อ หรือแม้ตำนานเก่าต่างๆ
งานประเภทนี้จึงไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรนัก หากมีมาต้องลงมือปฏิบัติในทุกวัน
ถนัดนักแหละพวกงานแบกหามอะไรแบบนี้!
และเพราะฉันเป็นแค่พนักงานชั่วคราว ในบางวันที่ไม่มีงานเข้ามาเลย
ฉันจึงต้องหารายได้เสริมพิเศษอื่นๆ อย่างเช่นการมาช่วยดูแลพวกข้าวของเครื่องใช้
เครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่กริยาภายในกองถ่าย แต่นั่นก็จำเพราะแค่การถ่ายทำละครพีเรียดเท่านั้นแหละ
ซ้ำยังใช้เส้นเพราะเพื่อนสาวซึ่งเป็นดาราดังอีกด้วย
เอาเข้าจริงแล้วมันก็น่าอายนิดหน่อย แต่ว่าอะไรที่ทำได้แล้วเงิน
ฉันก็มักจะรับงานไว้หมดนั่นแหละ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นฉัน ทับทิม คนนี้นี่เอง
สิ้นเสียงความคิด บรรยากาศรอบกาย จู่ๆ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้เหตุผล
สายลมเอื่อยๆ ภายในวัดที่เคยพัดผ่านกายฉัน ยามนี้กลับเริ่มโหมแรงขึ้น
จำต้องรีบแหงนมองท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ ก่อนพบว่าท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสตั้งแต่ช่วงเช้า
ยามนี้กลับถูกเมฆดำเลื่อนเข้าปกคลุมจนฟ้ามืดราวกับจะเกิดพายุ
หรือว่าฝนจะตกกันนะ?
พอคิดได้แบบนั้น สมองจึงสั่งการให้เท้าทั้งสองข้างก้าวพาตัวเองเดินหาที่ร่ม
เพื่อหนีลมฟ้า ลมฝนที่อาจจะโปรยปรายลงมาในอีกไม่กี่นาทีหน้าข้าง ทว่า
ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าไปไหนไกล จู่ๆ
ฟ้าผ่าก็ดันผ่าลงมาเสียงดังอย่างไม่ทันให้เตรียมตัวเตรียมใจ มิหนำซ้ำเสียงดังกล่าวยังดังใกล้มากจนน่ากลัว
เปรี้ยง!!!!
ฟึ่บ!
“อ๊ะ!”
ความตกใจทำเอาร่างทั้งร่างทรุดตัวลงกับพื้นแทบจะทันทีกับตอนที่เกิดเสียง
เช่นเดียวกับสองมือที่ถูกยกขึ้นปิดหูตัวเองด้วยอาการสั่น นอกจากเสียงฟ้าที่ดูน่ากลัวและเหมือนเกิดในระยะใกล้แล้ว
หากไม่ได้คิดไปเอง ฉันยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนตามแรงผ่าเมื่อครู่เสียด้วย
กะ เกิดอะไรขึ้น !?
ขณะความคิดกำลังเตลิดเพราะเหตุอาเพศของสภาพอากาศอยู่นั้น จังหวะเดียวกันกับที่เสียงฟ้าสงบลง
หูกลับได้ยินเสียงอื่นเข้ามาแทนที่
ตึก... ตึก...
มันคือเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งซึ่งดังเข้าใกล้ตัวมากขึ้นตามจังหวะการเดิน
หากไม่ได้คิดไปเองเพราะอาการใจหายจากเสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ล่ะก็ เชื่อไหมว่า
ทุกเสียงก้าวที่ใกล้เข้ามานั้น ฉันยังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ของพื้นดินได้จากทุกจังหวะการย่างเท้าของผู้เป็นต้นกำเนิดเสียงเดินดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน
ตึก.. ตึก... ตึก...
แม้จะรู้สึก แต่ฉันไม่กล้าที่จะเงยมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบกายหรอกนะ
ร่างกายยังคงทำปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์อาเพศอย่างหวาดกลัว ซึ่งการเอาแต่นั่งก้มหน้าปิดอยู่อยู่เช่นนั้น
มันเลยทำให้เจ้าของเสียงฝีเท้าคู่ดังกล่าวก้าวพาตัวเอง มาหยุดอยู่ตรงหน้าได้ในที่สุด
กึก...
“พี่ตามหาเจ้าแทบพลิกธรณี นางอัปสร...” ซึ่งนั่นมาพร้อมกับคำพูดสำเนียงแปลกๆ ซึ่หากแต่ฟังคล้ายกับหลุดมาจากละครพื้นบ้านยามเช้า “ไฉนเจ้าจึงหนีมานั่งหลบตาพี่อยู่ตรงนี้เล่า?”
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น