ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fallen Angel เคหาสน์เทวทูต

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 ชายลึกลับในคืนฝนพรำ

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 59




     

    พระจันทร์สีทองแดงลอยอ้อยอิ่งเฝ้ามองงานเลี้ยงราตรีกลางลานหญ้าสีมรกตซึ่งคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไวน์

     

     

    แสงไฟสว่างไสวล้วนชวนพร่าตาราวกับภาพมายา ผู้คนในงานเลี้ยงต่างตกอยู่ในความลุ่มหลงและมึนเมา พวกเขาหัวเราะเสียงดังลั่น ดื่มกินอาหารหลากสีซึ่งเย้ายวนเรียงยาวเป็นแถบ เหล่าสุภาพบุรุษจุดมวนบุหรี่ควันคลุ้งจับกลุ่มพูดคุยโอ้อวด เหล่าสุภาพสตรีต่างกรีดกรายนิ้วอวดเนื้อผ้าสีฉูดฉาดและเครื่องเพชรซึ่งสะท้อนแสงวูบวาบ

    ฉับพลัน! แสงไฟและเสียงเพลงในงานเลี้ยงพร้อมใจกันดับพรึ่บ ผู้คนบนลานหญ้าตกตะลึงและตื่นตระหนก เสียงกระซิบกระซาบดังระงมไปทั่ว

    ไวโอลินปริศนาพลันกรีดเสียงกระชากกระชั้นขันแข่งกับเสียงเกรียวพายุอื้ออึง นิ้วเรียวบางไล่สลับเต้นระบำไปตามเส้นสายบนสะพานวางนิ้วอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน ทิวยอดไม้เสียดสีไหวแรงร่วมบรรเลงบทเพลงบาดขั้วหัวใจ ลมเย็นเยือกกรีดผ่านเนื้อหนังของเหล่าผู้ฟัง สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในงานเลี้ยงล้วนหยุดชะงัก ดวงตาพวกเขาเบิกค้าง ลมหายใจถูกฉุดกระชากหาย ไวน์สีเลือดในแก้วแน่นิ่งดั่งต้องสาป

    บทเพลงชวนพิศวงทำให้พวกเขาลืมรสหอมฉุนของเหล้าองุ่น  ลืมบรรดาสตรีชั้นสูงในชุดฟู่ฟ่าอวดเครื่องเพชรแพรวพราย  ลืมความหนาวเหน็บปานเข็มทิ่มแทงของสายลมสุดท้ายแห่งเหมันต์ฤดู ละม้ายมีมนต์วิเศษทำให้ทุกสถานกลืนหายกลายเป็นสีดำ...ให้เห็นเพียงเรือนร่างระหงของเทพธิดาแห่งเสียงเพลง

    จันทร์สีทองแดงฉายแสงโลมไล้เรือนร่างโดดเด่นของนักไวโอลินสาวที่ยืนกลางลานหญ้ามรกต อาบชุดราตรีสีเลือดนกของเธอให้ฉายรัศมีบางเบาดุจเทพธิดาแห่งความงามมาปรากฏ เส้นผมยาวสยายถึงบั้นท้ายพลิ้วสะบัดเฉกเช่นขนปลิวไหวของอีกา ผิวขาวดั่งหิมะแรกเหมันต์บางใสดุจตุ๊กตาแก้ว ริมฝีปากแดงระเรื่อคล้ายใครนำทับทิมเม็ดงามไปประดับ และที่หยุดวิญญาณของผู้ชมในคืนนี้ คือดวงตาดำซึ่งเปล่งประกายสีแดง คมปราบและเร่าร้อนดังว่ามีเปลวเพลิงลุกไหว

    “ดนตรีเปี่ยมจินตนาการ ทรงพลังและยิ่งใหญ่ เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา! ปรบมือให้เธอ เทพธิดาแห่งดนตรีคืนนี้ของเรา อินทุอร!!” เสียงผู้ประกาศดังกึงก้อง

    ชื่อของหญิงสาวคือ อินทุอรหมายถึงโคมไฟแห่งความมืด เช่นเดียวกับการปรากฏตัวของเธอในรัตติกาลนี้ เสียงเพลงจบลงนานแล้ว ทว่าผู้ฟังต่างนิ่งสงัดเสมือนถูกตรึงด้วยมนตรา จนเมื่อใครบางคนตบมือ เสียงปรบมือก็พร้อมใจดังกึกก้องขานรับ เสียงชื่นชมอื้ออึง ฉายาเทพธิดาแห่งเสียงเพลงของอินทุอรฟุ้งไกลเหมือนไร้ที่สิ้นสุด

    นักดนตรีสาวผู้มีดวงตาดุจเปลวเพลิงยิ้มรับ  สัมผัสมือทักทายผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนเพ่งพิศเธอด้วยความชื่นชมจากใจจริง บางคนเหลือบแลอย่างประเมินค่า และหลายคนมองมาเพราะริษยา

    “เขาส่งดอกไม้มาให้อีกตามเคย” เพื่อนสาวผู้มีผมลอนประณีตคลอเคลียบ่ายื่นดอกกุหลาบสีขาวไร้หนามให้อินทุอร “เขาคงคลั่งไคล้เธอมาก” เจ้าหล่อนขยิบตาให้แล้วยิ้มพราย

    อินทุอรไล้นิ้วไปตามกลีบเรียบเนียนแสนบอบบาง กลิ่นที่กำจายออกมานั้นหอมอ่อนโยน การ์ดเล็กๆ ติดอยู่ตรงก้านซึ่งไร้หนาม เขียนข้อความสั้นๆ ดังเช่นทุกครั้ง

    จากชายผู้หลงรักและริษยาพรสวรรค์ของคุณ

    หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาคือใคร...เขาเป็นชายลึกลับซึ่งไม่ยอมเปิดเผยตัว ทุกครั้งที่เธอแสดงไวโอลินจบ เขาจะส่งดอกกุหลาบสีขาวพร้อมการ์ดเล็กๆ มาให้เสมอ ไวโอลินเก่าแก่ที่เธอถืออยู่ก็เป็นของขวัญล้ำค่าจากชายลึกลับผู้นี้เช่นกัน

    หญิงสาวเก็บไวโอลินลงกล่องอย่างถนอม มันเป็นไวโอลินเก่าแก่ฝีมือช่างสกุลช่างชื่อดังแห่งอิตาลี ตัวไวโอลินทำจากไม้เมเปิล เคลือบน้ำมันวานิสสีน้ำตาลเข้ม แผ่นไม้ด้านหลังสลักลวดลายเถาหนามกุหลาบที่พันเกี่ยวอยู่รอบกายนกไนติงเกลตัวน้อย เปรียบเช่นสัญลักษณ์ของผู้ลุ่มหลงพลีตนแด่เสียงเพลง

    อินทุอรปรารถนาจะได้พบชายลึกลับ หวังจะได้ตอบแทนเขาสักครั้ง

    หญิงสาวกล่าวลาหญิงอ้วนบวมฉุ ภรรยาท่านทูตอย่างสุภาพ แล้วปฏิเสธแก้วไวน์จากบริกรหนุ่มร่างสูงโย่ง ท่ามกลางแสงไฟวูบวาบ ใครคนหนึ่งกลับทอดสายตาพินิจเธออย่างเยือกเย็น...เขายืนแอบหลังเงาของต้นสนไร้ใบ สวมโค้ทสีดำแทบกลืนหายกับความมืด ปกคอยกสูงบดบังใบหน้า หมวกผ้าสักหลาดปีกกว้างโน้มต่ำไม่ให้เห็นดวงตา อินทุอรชะงักงันและมองเขาอย่างสงสัย

    ทว่า...ชั่ววินาทีที่บุตรีของท่านรัฐมนตรีมาขอจับมือหญิงสาว เครื่องเพชรรุงรังของหล่อนสะท้อนแสงสว่างวาบจนดวงตาพร่ามัว

    เมื่อเหลียวไปอีกที...ชายลึกลับก็หายไปเสียแล้ว

     

    ฟ้าคำรามสนั่น เมฆทะมึนเคลื่อนจับกลุ่ม เม็ดฝนบางเบาเปล่งประกายทองแดงเพราะต้องแสงจันทร์สีเลือด

    งานเลี้ยงเลิกราเหลือเพียงเศษซากอาหารให้เจ้าหมาสองสามตัวคุ้ยเขี่ย ปลาย่างอบซอสตัวยักษ์กลายเป็นอาหารแมว แก้วไวน์ตั้งบ้างล้มบ้าง หนูฝูงหนึ่งวิ่งกันให้วุ่นอยู่ใต้เก้าอี้ คราบเหล้าองุ่นเปรอะไปตามยอดหญ้าและผ้าลูกไม้ปูโต๊ะ

    อินทุอรยังไม่กลับ เธอนั่งหลบฝนลำพังอยู่ในซุ้มศาลาเหล็กดัดสีขาว เสียงเม็ดฝนร่วงกราวกระทบหลังคากระเบื้องดังเป็นท่วงทำนองแห่งวัสสานฤดู[1] หญิงสาวกอดไวโอลินไว้ในอ้อมแขน เหม่อมองกุหลาบขาวชุ่มน้ำฝน

    ต่อให้โด่งดังเสียจนคณะดนตรีทั่วประเทศต่างยื้อแย่งตัวเธอ อินทุอรก็ยังเป็นเพียงนักไวโอลินธรรมดา เสียงเพลงของเธอแค่ไพเราะจับใจ เต้นระบำอยู่ในโสตประสาทของผู้ฟัง ทำให้พวกเขาหยุดหายใจชะงักงัน และก็จบลงเมื่องานเลี้ยงเลิกรา เสมือนมนตราของนางฟ้าที่จบสิ้นเมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน

    อินทุอรนึกปรารถนาให้ใครสักคนจดจำเสียงเพลงของเธอไปจนวันตาย...ให้เสียงเสียดสีของไวโอลินบาดหัวใจของผู้ฟัง เป็นตราฝังไหม้ ไร้วันเลือนราง

    “มันจะดีสักแค่ไหน หากไวโอลินคันนั้นได้ขับกล่อมชายน่าเวทนาคนหนึ่ง”

    ฟ้าส่งเสียงครืนครางข่มขวัญ นกกากางปีกกว้างกรีดร้องโผบินจากทิวไม้ เกิดเงาดำวูบไหวบดบังเสี้ยวจันทร์ เสียงแห้งแหบของชายชราคนหนึ่งดังขึ้น ร่างสูงและผอมเกร็งของเขาเดินผ่านสายฝนมาหยุดอยู่ด้านล่างของศาลา ชายผู้นั้นสวมโค้ทตัวยาว ยกปกคอสูงและซ่อนใบหน้าใต้ปีกกว้างของหมวกดำ

    แสงสลัวทำให้คนทั้งสองเห็นหน้ากันไม่ถนัด แต่เธอจำเขาได้ในวินาทีแรก...

    “ฉันควรเรียกชื่อคุณว่าอะไรดีคะ ?” อินทุอรถาม ดวงตาสีดำประกายเพลิงพยายามมองใบหน้าที่ซ่อนใต้ปีกหมวกผ้าสักหลาดของเขา

    “ผมต้อยต่ำเกินกว่าจะมีชื่อ” ชายผู้มากับฝนพรำหัวเราะแผ่ว ใบไม้เสียดสีซู่ซ่าคล้ายกับร่วมขบขัน เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้สายฝนหยดกระทบทักทายจนเสื้อโค้ทเปียกปอน อินทุอรเอียงศีรษะอย่างสงสัย

    “คุณพูดถึงชายน่าเวทนา...เขาเป็นใครกันคะ ? หรือว่าเป็นคุณนั่นเอง”

     “ชายน่าเวทนา ไม่ใช่ผมหรอก แต่เขาคือเศรษฐีผู้เดียวดายคนหนึ่ง” เสียงของชายนิรนามแหบพร่า บ่งบอกวัยที่ล่วงผ่าน “...แม้เขาจะร่ำรวยและเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง  แต่นั่นไม่ต่างจากช่วงเวลาของเปลวเทียนที่สว่างวาบแล้วดับไป ตอนนี้ไม่มีใครสักคนรู้จักชื่อของเขา ชายน่าเวทนาป่วยหนักและกำลังจะตายอย่างโดดเดี่ยว เป็นชายอาภัพที่ต้องการความเมตตาจากคุณ”

    “ทำไมต้องเป็นฉัน” อินทุอรวางไวโอลินแสนรักไว้บนโต๊ะเหล็กดัด ดวงตาฉายแววลึกล้ำเมื่อมองชายชราปริศนาตรงหน้า หวังฉุดดึงความลับของอีกฝ่ายออกมาให้หมด

    “คุณรู้จักเขาดี เขาคือเจ้าของกุหลาบสีขาวผู้หลงรักและริษยาพรสวรรค์ของคุณ” เสียงของเขาแฝงความเยาะหยันอย่างแนบเนียน “ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องคุณ โปรดใช้เสียงเพลงจุมพิตเขาให้หายจากความทรมาน”

    ชายชราผู้อยู่ด้านล่างศาลา เปิดหมวกและแหงนหน้ามองหญิงสาว แสงสลัวสีทองแดงจากจันทร์ยามดึก ทำให้เห็นดวงตาสีเหล็กกล้า...ชั่ววูบนั้นเธอมองเห็นความหม่นหมองซ่อนเร้น

    ต้นไม้หยุดโยกไหว สายฝนหยุดชะงัก นกน้อยหยุดโบยบิน เสมือนเงามืดต่างเฝ้ารอให้หญิงสาวตอบรับคำขอนั้น



    [1] วัสสานฤดู หมายถึง ฤดูฝน

     

     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×