บันทึกการเดินทางทั่วดาร์คแลนด์ของ สการ์เล็ต แบล็ค
เอาล่ะ..ข้าต้องบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างการเดินทางมาส่งเป็นภารกิจสินะ เข้าใจล่ะ งั้นเริ่มจากแผนการเดินทางเลยแล้วกัน
ที่ที่จะไปและระยะเวลาในการเดินทาง : ครบทุกแคว้นทั้ง 7 ภายในเวลา 3 วัน เลือกเอาจากสถานที่ที่ข้าสนใจ
สัมภาระ :
- แผนที่โดยละเอียดของดาร์คแลนด์ 1 ชุด
- เสื้อผ้าทั้งหมด 4 ชุด
- อาหารแห้ง (ขนมปัง, ผลไม้อบแห้ง และน้ำดื่ม คิดว่านอกจากนี้อาจจะหาทานเอาได้จากที่ที่ข้าไป)
- ยารักษาโรคและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล (อืม…จากภารกิจงูพิษท่านคงจะทราบแล้วว่าข้าไม่ต้องใช้ แต่คราวนี้ข้าพกไปด้วยเผื่อมีใครโดนมังกรเหยียบเข้าจะได้พอช่วยได้ ตามหลักการของปราชญ์ที่ต้องมีเมตตาธรรม)
- เชื้อเพลิง (ไม้ขีดกับไฟแช็ก เอาไปทั้งคู่)
- เต๊นท์ขนาดเล็ก
- เงินสกุลดาร์คิส (จำนวนเท่าไหร่ขออุบไว้)
- สมุด ดินสอ กล้องถ่ายภาพ ตามที่อาจารย์เนริวแนะนำ
- อาวุธ (ปืน+ลูกกระสุน และ มีด)
- ถุงผ้าหลากขนาดจำนวนหนึ่ง
- บัตรประชาชนดาร์คแลนด์
วันที่ 1
: แคว้นเทียร์ดอลล่า
หากจะเริ่มต้นการเดินทางจากที่ไหนซักที่ ข้าคิดว่าเริ่มจากบ้านและเมืองที่อยู่ติดกันก่อนคงดีกว่า
ตอนนี้ข้าตรวจดูสัมภาระเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจัดเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินออกจากบ้านมาเป็นระยะทางพอสมควรเพื่อไปยังสถานที่แห่งแรก “ป่าดงดิบเทียร์ดอลล่า” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองท่าโซเนีย ถัดจากเมืองโซฟีเทียร์ นครเพรอฟีล่า บ้านของข้า
จากที่ทำการเดินสำรวจมา ข้าพบว่าธรรมชาตินี่ช่างเป็นสิ่งที่เงียบสงบและน่ารื่นรมย์เหลือเกินหากท่านเป็นคนที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีแต่เสียงอึกทึกครึกโครมทุกวัน ถือว่าที่แห่งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมเลยสำหรับนักศึกษาที่กำลังเติบโตอย่างข้า เป็นที่ที่ช่วยให้สมองแล่นอย่างน่าประหลาด อย่างไรก็ดี แต่งไฮกุชมความงามของป่าแห่งนี้หน่อยคงไม่เสียหาย
เขียวขจีเมืองแห่งน้ำตา
งามไพรงามธารา
อันตรายยามไร้กังวล
(ปล.ข้าลื่นตอนเดินดูน้ำตก)
รู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของเสือดาวตัวนี้เลยถ่ายเก็บมา
ดูมันเซื่องซึมอย่างไรชอบกล…ข้าสันนิษฐานว่าพี่น้องผองเพื่อนของมันอาจจะโดนชาวดาร์คจับกินไปหมดแล้วก็เป็นได้
แคว้นต่อไปเลยแล้วกัน..
: แคว้นไดซิเนส
ไดซิเนส..นครหลวงแห่งดาร์คแลนด์ที่รวบรวมสถานที่สำคัญไว้มากมาย ที่ที่ข้าเลือกจะไปเป็นแห่งที่ 2 ก็ขอเป็น “หอสมุดต้องห้ามแห่งดาร์คแลนด์” ที่ที่เก็บรวบรวมเรื่องราวน่าสนใจไว้มากมาย ข้าเคยมาที่นี่เพียงครั้งสองครั้งแต่ก็รู้สึกถูกใจกับความเงียบและหนังสือเก่าๆพอควร ฉะนั้นอาจจะไม่มีอะไรตื่นเต้นเท่าไหร่ในสถานที่แห่งที่ 2 นี้แต่หลังจากได้เดินชมหนังสือไปเรื่อยๆมันก็กระตุ้นให้ข้านึกถึงสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่ว่า “เรารู้ว่าหนังสือ ไม่ใช่วิธีการที่จะให้คนอื่นมาคิดแทนเรา ในทางตรงข้าม.. หนังสือ คือเครื่องมือที่กระตุ้นให้เราคิดได้ไกลมากยิ่งขึ้น”
ลึกซึ้งและจริง…ว่าแล้วข้าก็กล่าวลากับบรรณารักษ์ที่นี่อย่างสุภาพ (เผื่อจะได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันในอนาคต) ก่อนที่จะออกมาด้านนอกเพื่อหาที่สำหรับพักผ่อนก่อนเดินทางไปยังโพเทสต้า เบลเลียมมอร์ธ และไอร์กลาเซียร์ในวันต่อไป
(ปล. เพราะคิดว่าสถานที่อย่างหอสมุดโดยเฉพาะหอสมุดต้องห้ามนี่คงเก็บภาพออกมาไม่ได้ ข้าเลยไม่ได้ควักกล้องออกมาถ่ายบรรยากาศไว้ อีกอย่างคือได้แต่เดินดูคร่าวๆเพราะหอสมุดนี้ใหญ่ถึงขนาดแบ่งหนังสือออกเป็น 4 หมวดตามสถานที่)
วันที่ 2
: แคว้นโพเทสต้า
บ่ายวันที่ 2 ของการเดินทาง จุดหมายที่ 3 ของการเดินทาง โพเทสต้า
ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมวันนี้ข้าถึงโหมเดินทาง 3 แคว้นภายในวันเดียว คำตอบก็ง่ายมากเนื่องจากแคว้นแรกที่ข้ายืนอยู่ตอนนี้…ไม่ค่อยมีสถานที่ที่น่าสนใจเท่าไหร่นอกจากบ้านเรือน ข้าลองดูในแผนที่หลายๆรอบแล้วเลยตัดสินใจว่าจะเข้าไปใน “มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือคนต่างด้าวแห่งดาร์คแลนด์” เสียหน่อย เพราะดูเหมือนแคว้นอื่นจะไม่มีแบบนี้
ถือว่าเป็นที่ที่ดีที่หนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเลยล่ะ ดูจากสถานที่แล้วทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้อย่างดี แม้ในตอนนี้จะไม่เหลือชนที่เรียกว่าต่างด้าวอยู่แล้วก็เถอะ แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าชาวดาร์คเราไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำต่อคนแปลกถิ่น ข้าเห็นด้วยกับอริสโตเติลอยู่หน่อยๆที่ท่านว่า “รักคือหนึ่งวิญญาณที่แบ่งอยู่ในสองร่าง” คำกล่าวนี้อาจจะมีความหมายถึงคู่รัก แต่ก็สามารถสื่อถึงคนหลายๆคนได้เช่นเดียวกัน
“ความรัก” สามารถทำให้ผู้คนที่แปลกแยกรวมกันเป็นหนึ่งได้ อาจจะเหมือนกับคนต่างด้าวและชาวดาร์คละมั้ง ข้าเข้าใจว่าแบบนี้..ความรักจากการช่วยเหลืออะไรทำนองนั้นน่ะ
เอาล่ะ ไปต่อเลยดีกว่า
: แคว้นเบลเลียมมอร์ธ
สนุกดีนะ นั่งรถไฟ (ขี้เกียจเดิน) สถานที่แห่งที่ 4 ของการเดินทาง “ศูนย์พิษวิทยาและดูแลสัตว์ดุร้ายแห่งดาร์คแลนด์”
เป็นสถานที่สำหรับวิจัยงานทางชีววิทยาที่ใหญ่โตดีจริงๆ เดินสำรวจไปข้าก็นึกสงสัยในใจว่าที่นี่ประสานงานกับศูนย์อนุรักษ์แมวของดาร์คด้วยหรือเปล่า..ต้องรอถามใครซักคน
ระหว่างเดินชมในที่ทางที่เจ้าหน้าที่อนุญาตให้เดินได้ ข้าก็นึกถึงเจ้าเสือดาวในป่าที่เทียร์ดอลล่าขึ้นมา ไม่รู้ว่าถ้ามันมาอยู่ที่นี่จะสบายขึ้นรึเปล่า รึมันไม่ยอมให้ทางนี้จับเพราะอยากอยู่ของมันแบบนั้นต่อไปโดยไม่มีใครควบคุมดูแล…เกิดคำถามขึ้นเป็นข้อที่ 2 ต้องลองกลับไปถามมันดู
ว่าแต่ข้าโดนตัวอะไรกระโจนใส่ละเนี่ย
อันตรายอีกแล้ว.
: แคว้นไอร์กราเซียร์
ที่นี่หนาวดี ระหว่างนั่งรถมาข้าก็เอาเสื้อกันหนาวออกมาสวมก่อนเดินย่ำหิมะต่อไปที่ “ภูเขาหิมะคูเลร์ลิช” โดยไม่ได้เสียเวลาคิด ที่นี่เป็นที่ที่สวยเหมาะสำหรับการเยี่ยมชมที่สุด
ระหว่างเยี่ยมชมข้าก็ได้ยินนิทานปริศนาเข้า หลังจากฟังจบก็รู้สึกว่ามันหม่นหมองชอบกล เมื่อได้เห็นคำเฉลยของปริศนาแล้วจึงไม่ได้ติดใจอะไรอีก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีชีวิต” ตามที่ท่านมหาตมะ คานธีบอก ถ้ามีชีวิตที่ไม่รู้จักความรักอยู่จะยังเรียกสิ่งนั้นว่าชีวิตได้หรือไม่ แล้วถ้าความรักเป็นบ่อเกิดของการคร่าชีวิตพอๆกับสร้างชีวิตล่ะ ความรักเช่นนั้นจะยังสมควรเรียกได้ว่าเป็นความรักอยู่หรือไม่..หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมนุษย์ไม่เข้าใจความรักที่แท้จริงจนไปสับสนกับความลุ่มหลงกันแน่
ข้าขอพักผ่อนเพื่อหาคำตอบจากข้อสงสัยทั้งหมดที่ได้มาในวันนี้ ณ นครแห่งความเหน็บหนาวนี่ล่ะ.
วันที่ 3 วันสุดท้าย
: แคว้นไฟร์ไอนิซ
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหันไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไหร่เลยสำหรับข้า ที่มาถึงแคว้นแห่งเพลิงไฟในยามบ่ายแบบนี้
ในที่สุดข้าก็ยืนอยู่ ณ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามอีกแห่งหนึ่งของดาร์คแลนด์ “ภูเขาไฟร์ไอนิซ” หลังจากเลือกที่จะเดินเท้ามาจากแคว้นที่แล้ว (และจ่ายค่าอุดหนุนสถานที่ท่องเที่ยวของแคว้นนี้เรียบร้อย) ข้าก็พบว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้าเคยพาน้องสาวของตัวเองมาเยี่ยมชมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยวัยคะนองนี่เอง เป็นอดีตที่น่าจดจำยิ่ง
ข้าเดินตามเส้นทางเดินป่าไปเรื่อยๆและดูเหมือนว่าความร้อนในอากาศก็เริ่มลดลงทีละน้อย ทำให้ข้าพอจะหยิบกล้องออกมาเก็บภาพได้อย่างรู้สึกสบายตัว ข้าเดินชมน้ำตก (โดยพยายามไม่ลื่นอีก), ทะเลสาบ, ทุ่งหญ้า ต่างๆนานา ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายแห่งสุดท้ายด้วยความรู้สึกที่โหวงเหวงชอบกล…ข้าเริ่มไม่มีอะไรจะหวนนึกถึงซะแล้วสิ
: แคว้นเนพีอา
หลังจากเสียเวลาไปกับความเอ๋อของตัวเอง(?) ข้าก็มาถึงเนพีอาและกำลังลังเลอย่างหนักว่าจะเยี่ยมชมที่ใดเป็นแห่งสุดท้าย…ที่นี่เต็มไปด้วยสถานที่ที่เป็นตำนานจริงๆ
ในที่สุดข้าก็เลือกไป “คฤหาสน์กลไก” หลังจากพบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นเขตหวงห้าม
ระหว่างเดินเข้ามาในคฤหาสน์วังเวงหลังนี้ข้าก็เริ่มทำให้ตัวเองผ่อนคลายลงโดยการสำรวจข้าวของและลักษณะของคฤหาสน์อย่างเพลินตา ไม่ช้าก็เริ่มตระหนักได้ว่าการเดินทางในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลง แม้จะรู้จุดหมายสุดท้ายที่ต้องไปอย่างชัดเจนก่อนจะไปจบลงที่ห้องสอบ แต่คำถามที่ว่าต่อจากนั้นข้าจะไปไหนต่อก็รบกวนจิตใจข้านิดหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าใช้ชีวิตในโรงเรียนและที่อื่นๆอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวาและพบว่ามันมีความสุขดี แต่ก็รู้สึกไร้เป้าหมาย …ไม่แน่ว่าสิ่งที่เหมาะกับข้าจริงๆอาจจะเป็นการเดินทางเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างและค้นพบสิ่งที่อาจมีค่ากว่าระหว่างทางก็เป็นได้
จนกว่าจะถึงเวลานั้น ในตอนนี้ “ค่อยเป็นค่อยไป” คงดีที่สุด
ขอจบการเดินทะ…
กึก
ตอนที่ข้ากำลังนึกฉากจบของการเดินทางนี้กับตัวเองอย่างคลาสสิก…เท้าก็ดันไปเหยียบอะไรที่ไม่ควรจะเหยียบเข้า ผลคือลูกธนูนับร้อยพุ่งออกจากคันธนูที่อยู่ในมือของเหล่ารูปปั้นประจำเสาต่างๆในคฤหาสน์อย่างบ้าคลั่ง เป็นเหตุให้ข้าต้องเสียมีดสำหรับการขัดกลไกที่ควบคุมโดยรูปปั้นที่น่าสงสัยไป 1 เล่ม
หลังจากได้ข้อคิดว่าด้วยการเหม่อแล้วถึงตายมาสดๆร้อนๆ ข้าจึงรีบเดินออกจากคฤหาสน์กลไกหลังนั้นแล้วเก็บภาพ ก่อนที่จะเริ่มการเขียนบันทึกนี้อย่างครึ้มใจแปลกๆ
จบ.