ผู้เข้าชมรวม
6,177
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 4.2 : ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ
เรื่องที่ 4.2.1 : ความหมายของระบอบการปกครองแบบเผด็จการ
1. ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ มีความหมายเป็น 2 นัย กล่าวคือ
(1) เป็นระบอบการปกครองชั่วคราวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกปักรักษาระบอบการปกครองเดิมที่เผชิญกับวิกฤติการณ์ร้ายแรงในทางสังคม อันอาจเป็นอันตรายต่อสถาบันการเมืองการปกครองที่มีอยู่ในขณะนั้น
(2) เป็นระบอบการปกครองที่อำนาจปกครองของรัฐบาลไม่ได้มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนไม่มีโอกาสถอดถอนรัฐบาลซึ่งตนไม่พอใจ และเป็นระบอบการปกครองที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล
2. ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ แบ่งตามระบบเศรษฐกิจออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
(1) การปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
(2) การปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
เรื่องที่ 4.2.2 : ระบอบการปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยอมให้เอกชนเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต และเปิดโอกาสให้เอกชนแข่งขันกันในการประกอบการทางเศรษฐกิจ รัฐจะเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจเฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
2. การปกครองแบบเผด็จการ จะเกิดขึ้นเมื่อสังคมของประเทศเกิดวิกฤติ ซึ่งแยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
(1) วิกฤติการณ์ในสังคม (ความวุ่นวายจากการเรียกร้อง ประท้วง และเดินขบวน)
(2) วิกฤติการณ์เกี่ยวกับความชอบธรรมแห่งอำนาจการปกครอง (ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ของกลุ่ม
การเมือง)
3. การปกครองแบบเผด็จการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) เผด็จการแบบปฏิวัติ เป็นเผด็จการชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าวคือ เป็นเผด็จการที่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อทดแทนแบบเดิม
(2) เผด็จการแบบปฏิรูป เป็นเผด็จการแบบอนุรักษ์นิยม กล่าวคือ เป็นเผด็จการที่ไม่ได้มุ่งหมายที่จะนำระบบการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด มาทดแทนที่มีอยู่เดิม ยังคงอาศัยพึ่งพากันอยู่
4. สถาบันการเมืองของระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ประกอบด้วย
(1) กำลังทหาร เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองหรือสนับสนุนระบบเผด็จการ
(2) พรรคการเมืองแบบพรรคเดียว เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดต่อระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ช่วยเผย
แพร่ความรู้ทางการเมือง โฆษณา ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมือง
5. วิธีการทำให้ประชาชนยอมรับอำนาจปกครองแบบเผด็จการ มี 2 แนวทาง คือ
(1) การปราบปราม
- การปราบปรามประชาชนที่โต้แย้งคัดค้านระบบเผด็จการ จะใช้วิธีการทางกฎหมาย ศาล และ
ตำรวจ แต่ถ้าต้องการปราบปรามเด็ดขาด จะใช้ตำรวจลับ
- การกำจัดศัตรูทางการเมือง จะใช้ตำรวจติดตามเฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆ ก่อน
- วิธีการต่างๆ ที่ใช้ปราบปรามคือ การจับกุมคุมขัง การส่งตัวไปกักกันในค่าย การทรมาน และ
การประหารชีวิต
(2) การโฆษณาชวนเชื่อ
- รูปแบบและวิธีการโฆษณาชวนเชื่อขึ้นอยู่กับว่าเป็นเผด็จการแบบไหน
6. รูปแบบของการปกครองแบบเผด็จการในระบบทุนนิยม แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
(1) การปกครองแบบเผด็จการฟาสซิสม์
- เป็นการปกครองของประเทศอุตสาหกรรม
- เป็นการปกครองที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียว
- เป็นการปกครองที่จัดให้มีการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบทันสมัย
(2) การปกครองแบบเผด็จการที่อาศัยพรรคการเมืองพรรคเดียว
- มักเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา
- มักเป็นเผด็จการแบบอนุรักษ์นิยม
(3) การปกครองแบบเผด็จการทหาร
- มักเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา
- มีทั้งแบบทหารเป็นผู้ปกครอง และแบบทหารอยู่เบื้อหลังให้พลเรือนปกครอง
7. สถาบันการเมืองการปกครองของเผด็จการแบบฟาสซิสม์ ได้แก่
(1) พรรคการเมืองแบบพรรคเดียว เป็นเครื่องค้ำจุนการปกครองแบบฟาสซิสม์มากกว่ากองทัพ
(2) การจัดตั้งสมาคมอาชีพ โดยรวมกิจการประเภทเดียวกันของเอกชนให้องค์กรของรัฐดูแล
(3) การโฆษณาชวนเชื่อ ด้วยคำขวัญ สัญลักษณ์ขิงพรรค และภาพผู้นำ ผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ
(4) การปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ด้วยวิธีการรุนแรงและเหี้ยมโหด โดยใช้ตำรวจลับ
8. คำว่า “โฟรบันซิอามิเอ็นโด” เป็นระบบเผด็จการที่กองทัพไม่ได้เข้ามามีอำนาจปกครองเอง แต่จะใช้วิธีการสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งหรือคณะบุคคลพลเรือนหนึ่ง ให้เป็นหัวหน้าปกครองประเทศ
9. คำว่า “เพลโตเลียน” หมายถึง เผด็จการทหารที่ทหารเข้ามาปกครองประเทศ โดยมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ของทหารด้วยกัน แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน
เรื่องที่ 4.2.3 : ระบอบการปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
1. ลักษณะสำคัญของประเทศสังคมนิยม ได้แก่
(1) เป็นสังคมที่เครื่องมือในการผลิตเป็นของส่วนรวม ซึ่งอาจเป็นของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นหรือของสหกรณ์
(2) เอกชนสามารถประกอบกิจการส่วนตัวได้ แต่การประกอบกิจการนั้นต้องไม่มีความสำคัญต่อ
ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
(3) ระบบเศรษฐกิจนั้น ยึดถืออุดมการณ์มาร์กซิสม์เป็นสำคัญ
(4) ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครอง โดยมีพรรคการเมืองแบบพรรคเดียว
(5) ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางสังคมและอุดมการณ์สังคมนิยม
2. ลัทธิมาร์กซิสม์ มีความเห็นว่า มนุษย์ยังไม่อาจมีเสรีภาพได้ ตราบใดที่ยังมีเอกชนเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต และมีการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
3. อุดมการณ์ของมาร์กซิสม์ในเรื่องรัฐและอำนาจทางการเมือง คล้ายกับอุดมการณ์เสรีนิยม กล่าวคือ รัฐและอำนาจทางการเมือง หมายถึง สิ่งทั้งหลายที่เป็นเครื่องมือในการปกครองในการใช้อำนาจ เช่น กำลังตำรวจ กำลังทหาร ศาล และคุก เป็นต้น
4. ตามความเห็นของพวกมาร์กซิสม์ ทฤษฎีว่าด้วยรัฐและอำนาจทางการเมือง สามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ ซึ่งมี 3 ขั้นตอน คือ
(1) รัฐมีฐานะเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจปกครองของชนชั้นหนึ่ง ต่ออีกชนชั้นหนึ่ง
(2) รัฐมีฐานะเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคม ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
(3) รัฐจะหมดสภาพสิ้นสูญไปจากสังคมมนุษย์
5. ทฤษฎี “จาโคแบงค์” ถือกันว่าเป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีมาร์กซิสม์ ที่ว่าด้วยการใช้อำนาจเผด็จการ มีรายละเอียด ดังนี้
(1) ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นสมัยปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส
(2) จาโคแบงค์ คือกลุ่มบุคคลที่ได้อำนาจรัฐเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1793 ซึ่งตอนนั้นมีกองทัพต่างชาติ
บุกรุกเข้าประเทศฝรั่งเศสถึง 5 ประเทศ และเขตปกครองต่างๆ ภายในประเทศก็แตกแยก
(3) จาโคแบงค์ จึงต้องใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองประเทศ
(4) ทฤษฎีจาโคแบงค์ มีหลักการสำคัญ ดังนี้คือ
- การปกครองแบบเผด็จการต้องเด็ดขาดและแข็งกร้าว เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย
- การใช้อำนาจเผด็จการ เพียงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัยที่เคยชินของประชาชน
- เป็นระบบการปกครองแบบเผด็จการชั่วคราวเท่านั้น
เรื่องที่ 4.2.4 : รัฐธรรมนูญของประเทศเผด็จการสังคมนิยม
1. การปกครองของประเทศเผด็จการสังคมนิยม มีส่วนคล้ายและต่างกับประเทศในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย กล่าวคือ
(1) มีรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีการเลือกตั้งทั่วไป และมีรัฐสภา
(2) การปกครองโดยการผสมผสานระหว่างสถาบันการเมืองกับการเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองแบบพรรคเดียว
(3) การเลือกตั้งทั่วไปนั้นใช้วิธีให้การรับรองผู้สมัครรับการเลือกตั้ง ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจคัดเลือก
(4) มีรัฐสภาทำหน้าที่ควบคุมและจำกัดอำนาจของฝ่ายรัฐบาล แต่การแบ่งแยกอำนาจนั้น ฝ่ายรัฐบาลจะมีอำนาจกว้างขวางกว่า ส่วนฝ่ายรัฐสภามีอำนาจค่อนข้างจำกัด
2. สาเหตุที่ต้องให้อำนาจของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า เนื่องจากเหตุผลสำคัญ 3 ประการ
(1) พรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลครอบงำกลไกต่างๆ ของรัฐ
(2) กฎหมายจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของจุดมุ่งหมายแห่งการปฏิวัติ
(3) ความอ่อนแอของรัฐสภา
3. ลักษณะโดยทั่วไปของประเทศเผด็จการสังคมนิยม ได้แก่
(1) อำนาจทางการเมืองใช้อยู่ 2 ทางคือ ทางกลไกของพรรคคอมมิวนิสต์ และกลไกของรัฐ
(2) กลไกของพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเหนือกว่ากลไกของรัฐ
(3) ผู้นำที่แท้จริงคือ ผู้นำพรรค ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
(4) รัฐบาลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากเป็นกรณีที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปฏิวัติ
ผลงานอื่นๆ ของ ::- [ คุ J x นู n ! c * Z ]-:: ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ::- [ คุ J x นู n ! c * Z ]-::
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น