(Fic Conan | Gin x Sherry) Blooming
(ฟิค GinSherry) เธอเคยเป็นหลายอย่าง เป็นเด็กผู้หญิงผมแดงคนนั้น เป็นแม่หนูน้อย แม่สาวน้อย และเติบโตเป็นหญิงสาว เพราะสุดท้ายเธอก็ต้องกลายเป็นผู้หญิงปีกกล้าขาแข็งที่สามารถจะหนีหายไปจากเขา
ผู้เข้าชมรวม
1,535
ผู้เข้าชมเดือนนี้
18
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Blooming
ภายในห้องเริ่มมีแสงสาดเข้ามา เจือจางความมืดภายในให้ด้อยลง
ตอนที่เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะดังตามกำหนด
เธอไม่แน่ใจนักว่าทำไมความยินดีถึงเอ่อล้นขึ้นมาเป็นประการแรก
และมันดูจะเอิบอาบไปทั่วร่างโดยไม่สามารถหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้
อาจเพราะว่าสิ่งซึ่งผ่านเข้ามาในความคิดทันทีที่สติรับรู้ฟื้นคืนจากการหลับใหลคือการที่ความจำย้ำเตือนว่าวันนี้ผู้ชายคนนั้นจะมา
ชิโฮหลับตาลงอีกครั้งราวกับจะทำให้แน่ใจว่าถ้าลืมตาอีกหน
เรื่องทั้งหมดจะยังคงเป็นความจริงอยู่
หลังผ่านไปชั่วลมหายใจหนึ่งเธอก็ลืมตา แล้วก็พบว่าตนเองเข้าใจถูกแล้ว
จังหวะนั้นเองที่เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงขึ้น
เสียงของมันบาดหูและฟังดูกระตุ้นเตือนอย่างเร่งรัด ทั้งยังไม่คิดจะออมมือ ทว่าเด็กสาวก็ไม่นึกอยากขยับตัวอยู่ครู่หนึ่งเหมือนปรารถนาจะค่อยๆ
ซึมซับความรู้สึกตอนที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีเรื่องที่อาจจะเรียกว่าดีก็ได้ – เธอไม่แน่ใจนัก – รอคอยอยู่ อันที่จริงเธออาจจะหลอกตัวเองก็ได้ว่าไม่ได้นึกยินดีนักหรอกที่จะเจอเขา
ผู้ชายผยองอวดดีนั่นที่คอยเจ้ากี้เจ้าการ มีอะไรก็ไม่บอกตรงๆ
เล่นลิ้นท่ามากจนน่ารำคาญ แถมยังชอบวางท่า ทำทีเป็นมีอำนาจเหนือกว่า
เป็นผู้ชายประเภทน่าหงุดหงิด แต่เพราะการที่นานๆ ทีจะได้เจอคนรู้จักซึ่งอาจเรียกได้ถึงขั้นสนิทสนมมากกว่าบรรดาคนที่รายล้อมรอบตัวเธอในเวลานี้บ้าง
ก็นับว่าน่าดีใจ
อย่างน้อยๆ
เขาก็ยังนับว่าใจดีกับเธอมากกว่าที่ปฏิบัติกับใครคนอื่นอยู่พอสมควร
ตัดสินจากวิถีทางดำเนินชีวิตปกติของเขาแล้ว
การถูกส่งตัวมาเรียนที่นี่ตั้งแต่เด็กไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกหรือเข้ากับใครอื่นที่นี่ไม่ได้ก็จริง
ทว่าคงจะไม่ปฏิเสธหากเธอไม่เหงาหรือหวนคิดถึงบ้าน – ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบ้าน
หรืออะไรที่เป็นของตัวเองจริงๆ เลยก็เถอะ – เธอเป็นคนขององค์กรไปแล้ว
และหากจะมีใครมีอำนาจควบคุมบงการเหนือชีวิตเธอได้ก็คงเป็นองค์กรนี้โดยสมบูรณ์ ผู้ชายคนนั้นคือคนดูแลเธอ
เขาเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ของเธอ
ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรเธอจะต้องบอกผ่านไปทางเขา โดยที่นานๆ
ครั้งเขาจะบินจากญี่ปุ่นมาเยี่ยมเยียน – หรือถ้าพูดให้ถูกคือหน้าที่ตรวจสอบ
จับตาดูจากองค์กร – คอยตามติดสารทุกข์สุกดิบของเธอที่นี่ตลอดไม่เคยให้ห่างตา
อาจจะสี่ห้าเดือนครั้ง และถี่ขึ้นในช่วงหลังๆ เมื่อเธอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย มันอาจจะดูไม่ต่างอะไรจากนักโทษเลยก็จริง
หากลองพิจารณาดูดีๆ แล้ว ทว่าชิโฮก็มีความสุขตามอัตภาพกับชีวิตแบบนี้ดี
และไม่คิดอยากจะเรียกร้องอะไรที่ดีไปกว่านี้มากเป็นพิเศษ เธอพอใจ
กี่ปีมาแล้วนะ นานเหลือเกิน
องค์กรนี้ส่งเธอมาเรียนที่นี่นานแค่ไหนแล้ว
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรมันก็จะนานเท่าๆ กับที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามามีส่วนในชีวิตของเธอ
นาฬิกายังคงร้อง ชิโฮมองเพดานอย่างเลื่อนลอยเมื่อกำลังจมลึกลงสู่ห้วงความคิดแหวกว่ายวนเวียน
ครั้นแล้วร่างเล็กโปร่งบางซึ่งขดตัวเหมือนทารกใต้ผ้านวมหนาก็พลิกตัว
เอื้อมมือไปหยุดเสียงร้องหนวกหูนั่นก่อนจะจำใจลุกขึ้นเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปเมื่อวันนี้มีคาบเรียนในตอนเช้า
เธอไม่แน่ใจว่าเขาจะมาเมื่อไหร่ก็จริง อย่างไรเสียเขาก็ชอบมาไม่บอกไม่กล่าวอยู่แล้วถึงแม้จะส่งข้อความมาบอกล่วงหน้าว่าจะแวะเวียนมาเหมือนเช่นทุกทีก็ตาม
แต่เวลาที่ผู้ชายคนนี้นึกอยากจะปรากฏตัวก็จะมายืนรอเธออยู่หน้าตึกเรียน
หน้าห้องพัก หรือระหว่างเส้นทางซึ่งเธอเดินผ่านเป็นประจำ หรือไม่แล้วบางครั้งก็ถึงขั้นนั่งหน้าลอยหน้าลอยหน้าไม่สะทกสะท้านอยู่บนโซฟาในห้องตอนที่เธอกลับมาอะไรแบบนั้น
ช่างน่าขนลุกดีจริงๆ เหมือนพวกสตอร์คเกอร์ชอบตามติดอะไรแบบนั้น ถ้าหากไม่ได้เป็นฝ่ายเธอหน้าตาชื่นบานขึ้นมา
ทำเหมือนแมวที่อยู่ดีๆ
ก็พึงพอใจเวลาอยากให้ลูบแล้วมีคนมาตอบสนองความต้องการนั้นอย่างน่าสมเพชแบบนั้นกลับไปเวลาเห็นเขาเสียก่อน
มันผิดแผกจากวิสัยของเธอก็จริง ทว่าเวลาเจอคนที่ผูกพันด้วยท่ามกลางหมู่คนซึ่งเธอนับว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตนแล้ว
ความแช่มชื่นเล็กๆ กลับเพาะพันธุ์ลงมาเบ่งบานในใจ และนั่นทำให้เธอเสียอาการไปหน่อย
สูญเสียความควบคุมตัวเองรวมถึงการวางเฉยไปเล็กน้อย
ร่างโปร่งบางซึ่งดูตัวเล็กกว่าที่เห็นภายใต้เสื้อนอนหลวมโพรกนั่นเดินละลิ่วไปทางห้องน้ำ
ชิโฮคิดว่าตนไม่ได้พิถีพิถันเลือกเสื้อผ้ามากกว่าทุกวัน
แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะหยิบเสื้อไหมพรมตัวเก่งที่เคยมีเพื่อนชมว่าใส่แล้วสวยขึ้นมาสวม
เปลี่ยนชุดท่องล่างชิ้นแล้วชิ้นเล่าให้เหมาะเจาะลงตัว จากนั้นก็จัดทรงผมให้ดูดีไม่ได้
แต่งหน้านิดหน่อย แถมยังไม่อาจยอมปล่อยผ่านไปตอนที่ต้องเลือกรองเท้าให้เข้ากับชุด
เธอยังเด็ก และการมีสิ่งให้ยึดเหนี่ยว
โหยหาทางใจก็เรียกว่าทำให้พอเบิกบาน นำพาตัวเองผ่านชีวิตแต่ละวันไปได้
เธอไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรให้มากความไปกว่านั้นนักหรอก ไม่ได้คิดถึงตื้นลึกหนาบาง
ไม่ได้นึกถึงเรื่องราวใดๆ ในโลกความเป็นจริงว่าชายคนนั้นแท้จริงมีจิตใจเช่นไร
กี่ศพแล้วศพเล่าที่ผ่านมือเขาไป ไม่สนใจวิถีชีวิตของเขากับความโหดเหี้ยม
หยาบช้าใดๆ มันไม่ได้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เธอจะหยิบยกมาใส่ใจยามอยู่กับอีกฝ่ายเลยแม้เพียงนิดทั้งที่คนทั่วไปคงจะยิ่งกว่าแค่เป็นกังวล
เธอแค่ดีใจเหมือนเด็กๆ ที่ได้เจอใครสักคนที่คอยตามใจเธอ
คอยยอมอ่อนให้แม้ปกติจะไม่ใช่วิสัยของเขา หรือกระทั่งคอยดูแลเธอมาตลอด
เธอจึงดีใจที่ได้เจอเขาสิ่งที่เหมือนจะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบ้านเกิดเมืองนอนไว้
คนที่อย่างน้อยๆ
ก็ทำให้เธอเผลอหลงคิดไปว่าจะมีอะไรสักอย่างที่พร้อมจะมาเป็นของเธอเอง
เสียงพวงกุญแจดังกระทบกันตอนที่เธอหย่อนมันใส่กระเป๋าหลังจากล็อคประตูห้องพัก
และไม่ทันรู้สึกตัวว่าเผลอฮัมเพลงโปรดออกมาตอนเดินลงบันได
...
นั่นไงเขาอยู่ตรงหน้า
ผู้ชายน่าหมันไส้กับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมคนนั้นน่ะ
เป็นไปตามคาด
เธอเผลอแอบลงขันพนันกับตัวเองในใจว่าวันนี้เขาจะมาปรากฏตัวตรงหน้าเธอในรูปแบบไหน และชิโฮก็นึกลำพองใจเมื่อพบว่าตนเองเดาใจเขาถูกต้อง
ตอนที่เธอออกมาจากตัวอาคารที่ใช้เรียนวันนี้
เขาก็ยืนพิงกำแพงด้วยสีหน้าไม่ยี่หระอยู่แล้ว
เพราะวันนี้เขาไม่ได้ไปทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกขององค์กรถึงได้แต่งตัวดูกลมกลืนกับผู้คนเขาได้ขึ้นมาหน่อย
เทรนช์โค้ทสีดำตัวยาวหายไปแต่ก็ไม่วายยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้วยการสวมใส่โทนสีเข้มราวกับกลัวว่าหากมาในสีสันที่แปลกตากว่านี้
เธอจะจำเขาไม่ได้
“ไง ชิโฮ” เมื่อก่อนตอนที่มาพบกันเขาจะเรียกเธอว่าแม่หนู
หลังจากขึ้นไฮสคูลก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแม่สาวน้อยเหมือนเขากำลังสนุกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ครั้นถึงมหาวิทยาลัย เวลานี้เธอคือชิโฮ แค่ชิโฮสั้นๆ ราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
เขาเป็นฝ่ายทักเธอก่อนเสมอ แต่เธอยังคงเชิดหน้าผึ่งผ่ายเหมือนแมว ทำทีเป็นไม่สนใจ
และพยายามรักษาอาการวางท่าเล็กน้อย ถึงจะเบิกบานใจขึ้นมามากทีเดียวขณะสมองเริ่มคิดคะเนว่าจะชวนเขาไปทำอะไรบ้าง
หรือพูดคุยไต่ถามเรื่องใดๆ กับเขาบ้างอย่างที่ช่วงสองสามวันมานี้ใจเอาแต่หวนประหวัดไปคิดวางแผนเรื่องที่จะทำแทรกผ่านมาเป็นระยะ
แวะเวียนมาทักทายในจิตใจอยู่เนื่องๆ
ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะมีอิทธิพลต่อตัวเด็กสาวมากกว่าที่เธอรู้ตัวเสียอีก
“เธอไม่คิดจะทักทายฉันบ้างเลยเหรอ
ฉันถ่อมาหาเธอถึงที่นี่ทั้งที่ไม่ต้องมาก็ได้” ยินบ่น
เขาพูดมากกว่าปกติธรรมดาไปนิดตอนที่อยู่ต่อหน้าเด็กสาว
อาจเพราะเธอเป็นฝ่ายที่ไม่ค่อยจะปล่อยวาจาใดๆ
ให้เลื่อนหลุดออกมามากยิ่งกว่าเขากระมัง
เขาถึงได้ต้องเป็นฝ่ายพูดจนดูแทบจะผิดปกตินิสัยไป จากนั้นร่างสูงผอมก็ค่อยสาวเท้าตามเด็กสาวซึ่งไม่คิดจะชายตาหันมามองด้วยซ้ำไปพลางรักษาระยะช่วงก้าวไม่ให้เดินล้ำเลยหรือเร็วเกินจนนำหน้าเธอเนื่องด้วยความสูงที่มีมากกว่าและขายาวๆ
ฉับไวที่มีประสิทธิภาพนั่น มิเช่นนั้นคงไม่แคล้วต้องตะโกนคุยกัน
และสาวเจ้าอาจจะหลุดหายไปจากการสอดส่องของขอบข่ายสายตาหากเขาทิ้งรั้งเธอไว้เบื้องหลัง
ชายหนุ่มเห็นเด็กสาวไม่ตอบก็อดหงุดหงิดไม่ได้ แต่ยามที่เขาอยู่กับเธอ บ่อยครั้งและเป็นมาเนิ่นนานนักระหว่างเรา
เขาเรียนรู้ที่จะทำใจเย็นกับเด็กสาวที่เย่อหยิ่ง เอาใจยากราวกับแมวคนนี้
“เธอรู้ไหมว่าฉันต้องปลีกตัวมานะ หลังจากนี้ต้องไปเม็กซิโกจัดการเรื่องบ้าๆ
น่าเบื่ออีก เธอคิดว่าฉันมีเวลามากหรือไง”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมานะยิน และมันก็ฟังดูเหมือนฉันเป็นทางผ่านมากๆ
ด้วย มันคงจะสะดวกสำหรับนายที่แค่แวะมาดูสารทุกข์สุกดิบของฉันตามหน้าที่ให้จบๆ ไป
แล้วรอบหน้าอีกสักสองสามเดือนค่อยหาจังหวะสบโอกาสแวะมาหาฉันใหม่เพื่อจะได้ไม่เดือดร้อนนาย”
เมื่อเด็กสาวเป็นฝ่ายกล่าวบ้าง เธอก็ร่ายยาว ค่อนขอดอย่างเผ็ดร้อนทันทีขณะก้าวฉับๆ
อย่างรวดเร็วเหมือนจะไม่อยากยอมแพ้ขายาวๆ นั่นให้เขาต้องเป็นฝ่ายแกล้งเดินช้าๆ
ก้าวสั้นๆ เพื่อรั้งรอเธอ
“เธอทำตัวเหมือนพวกผู้หญิงน่ารำคาญ
ฉันไม่ได้ดูแลเธอมาให้เป็นคนแบบนั้น” ดวงตาคมกริบที่ดูไร้ร่องรอยความเมตตาปรานีใดๆ
หลุบมองเด็กสาวผมสีแดงที่เดินอยู่ข้างๆ ด้วยมุมมองของคนที่ตัวสูงกว่า
เขาเห็นแพขนตางามงอนของเธอปรกลง
และใบหน้าด้านข้างของเธอในมุมนี้ก็ดูเศร้าสร้อยกว่าปกติ ชายหนุ่มกลอกตา
ขบเคี้ยวฟันเหมือนหนึ่งว่าจะหมดความอดทนในหลายๆ แง่ แต่เขาแค่รู้จักนิสัยเธอดี
และแน่นอนว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด ออกจะห่างไกลเลยล่ะ
เธอเป็นผู้หญิงโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งยังมีนิสัยน่าสนใจอย่างมาก เขาเหลือบตามองเธออีกครั้งแล้วก็พลันรับรู้ถึงความนึกหงุดหงิดรำคาญใจก่อตัวขึ้นมาจริงๆ
เนื่องจากลึกๆ แล้วเขาเกลียดนักเวลาเห็นชิโฮดูเศร้า
แต่กระนั้นความคลุมเครือหม่นเศร้าก็ดูจะเป็นอาภรณ์ของเธอ
เป็นอาภรณ์งดงามที่เหมาะสมแล้วกับผู้สวมใส่
“นายก็ทำตัวเหมือนพวกผู้ชายโอหังวางก้ามที่น่ารังเกียจ” ขณะยังคงก้าวเท้าฉับๆ
ไม่สนใจสิ่งใด เด็กสาวก็โต้ตอบโดยไม่หันมองคู่สนทนา ชายหนุ่มได้ยินเธอทำเสียงกึ่งขบขันปนเย้ยหยันอยู่ในลำคอด้วยเช่นกัน
ชั่วขณะดังกล่าวนั่นเองที่เขาคว้าข้อมือเธอไว้
แต่หาใช่เพราะความโกรธที่ถูกสบประมาท
ยินรักษาจุดเดือดของตัวเองได้ยามอยู่กับเด็กสาว แต่เขาก็เป็นคนที่ตอบสนองสิ่งต่างๆ
อย่างรุนแรง เขาหมุนตัวเธอช้าๆ ให้หันมาเผชิญกับเขาด้วยท่าทีใจเย็น ไม่คุกคาม
จากนั้นเขาก็หยิกแก้มเธออย่างแรงจนขึ้นเป็นปื้นแดง ชายหนุ่มยืดแก้มเด็กสาวราวกับกำลังปฏิบัติกับเด็กที่เอ็นดู
น่าแปลกนัก เขาเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก ทว่าพอมองดูให้ชัดๆ ถนัดตาอีกที
จากยัยเด็กผมแดงนั่น ก็เป็นแม่หนูน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแม่สาวน้อย ต่อมาเขาก็คิดว่าเธอชักจะเริ่มไม่เหมาะกับสรรพนามที่เขาหยิบยกไปประทับตราให้เธอแล้วเช่นนั้น
จึงได้กลายมาเป็นแค่ชิโฮ แค่ชิโฮสั้นๆ ในวันที่เธอบรรลุนิติภาวะ
เพราะตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเธอกลายเป็นอะไรแล้วนะ ผู้หญิงหรือ – ผู้หญิงที่เริ่มปีกกล้าขาแข็งแล้วจะสามารถวิ่งหนีหายไปจากเขาได้
ไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องอยู่ภายใต้ปีกของเขา ไม่จำเป็นต้องมีเขา
ยินรู้สึกชิงชังความคิดที่แล่นผ่านมานั่นของตนนัก
เขาเผลอบีบมือเด็กสาวแน่นจนเธอนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อรู้สึกตัวว่าบีบแรงเกินไปจึงค่อยๆ
คลายมือออก “แล้วฉันต้องทำยังไงให้เธอเชื่อว่าสำหรับฉันแล้วเธอไม่ใช่แค่ทางผ่าน
และไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ฉันเอาสะดวกเข้าว่าด้วย”
ชั่วขณะคำพูดนั้น ชิโฮชะงักไปเล็กน้อย
พยายามสลัดความคิดว่าคำพูดนั่นไม่สามารถตีความไปได้อีกแบบ และไม่มีความนัยใดๆ
แฝงเร้นอยู่ในคำว่าทางผ่านหรือผู้หญิงเพื่อความสะดวกอะไรนั่น แต่ทว่าเด็กสาวก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยเหมือนกันว่าตนไม่ได้จิตใจไขว่เขว่หรือวูบไหวไปครู่หนึ่ง
บางทีอาจจะมีความรู้สึกบางอย่างต่อตัวชายผู้นี้ที่เธอยังไม่แน่ใจคอยกัดกินเธออยู่อย่างเงียบงันโดยไม่ทันรู้สึกตัว
มันอาจจะกัดกืนเหมือนพิษร้าย กลืนกินดุจสิ่งเสพติด และกัดกร่อนเหมือนกรดฤทธิ์แรง
แต่ไม่มีส่วนใดหรือรูปแบบไหนของมันที่จะไม่ทำลายดวงใจเธอ มันไม่ใช่การเยียวยา
ถนอมกล่อมเกลี้ยง หรือปลอบโยนโอบอุ้มดวงใจเธอไว้แน่ และการถลำตัวลงไป
ปล่อยให้มันคืบคลานเข้ามามีบทบาทย่อมหมายถึงอันตรายต่อตัวเอง
แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ถวิลหาสิ่งเหล่านี้หรือ
สิ่งใดกระโจนก้าวเข้าไปด้วยความท้าทายและกระหายอยากต่อความเจ็บปวดที่การันตีว่าก่อนหน้านั้นจะได้เสพความสุขสมก่อนย่อมชวนให้เสพติด
สำหรับชิโฮแล้วเธออาจจะรู้หรือไม่เคยล่วงรู้ถึงใจจริงๆ
ของตนเองเลยก็ได้ แต่ที่แน่นอนยิ่งกว่า
เธอย่อมไม่มีทางรู้ความรู้สึกนึกคิดของชายตรงหน้า
ทว่าในความเป็นจริงซึ่งรวมอยู่ด้วยในนั้น เธอก็ไม่สนใจจะรู้ด้วยเช่นกัน อาจเพราะกลัวคำตอบหรืออาจเพราะสนใจแต่ตัวเอง
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาจะยังเป็นไปเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากยินเป็นคนยึดติด มีแนวทางที่ยึดมั่นถือมั่นแรงกล้า จริงๆ
แล้วถึงได้เป็นคนเถรตรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ตรงไปตรงมาและอ่านได้ง่ายดายนักหากรู้รูปแบบวิธีคิดกับวิถีการดำเนินชีวิตของเขา
ด้วยเหตุนี้ชิโฮถึงได้ไม่เคยตะขิดตะขวงใจหรือไม่ไว้ใจชายคนนี้เลยสักครั้ง
เธอก็แค่รู้จักเขาดี
เด็กสาวมองคู่สนทนาราวกับว่าสามารถอ่านทะลุปรุโปร่งไปยังเบื้องลึกตัวตนภายใน
แต่ใครจะบอกได้กันเล่า – เธอปล่อยให้ช่องว่างจังหวะระหว่างบทสนทนาห่างมากเกินไปแล้ว
และอีกฝ่ายก็กำลังเลิกคิ้วเหมือนต้องการจะย้ำเอาคำตอบ เธอถึงได้ขอสิ่งที่เขาเพียรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาสักพักใหญ่แล้วออกไป
ครึ่งหนึ่งคือลองหยั่งเชิง
อีกครึ่งคือค่อนข้างแน่ใจว่าครั้งนี้เขาอาจจะยอมตามใจเธอในท้ายที่สุด
“นายเคยบอกว่าจะสอนฉันยิงปืน”
แน่นอนละว่าเขาเงียบ ไม่ตอบในทันที เธอช้อนสายตามองเขาตาแป๋ว
บิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิดไม่ใช่ออดอ้อน หญิงสาวห่างไกลจากคำว่าใช้มารยาหญิงนัก
แต่ยินไม่เคยตอบได้เลยว่าทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเล่นเล่ห์กลร้อยมารยาเหมือนบรรดาผู้หญิงส่วนใหญ่ที่รายล้อม
แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตนโดนตกให้คล้อยตามเข้าอย่างจังอยู่ทุกเมื่อ
มันต้องมีอะไรสักอย่างในตัวผู้หญิงคนนี้ที่เขาอธิบายไม่ได้แน่
ยินมองเธอแล้วก็เริ่มจะเข้าใจคำว่าไม่อาจขัดขืนได้ขึ้นมาหน่อยๆ
ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้หรอก
เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายทำให้คนอื่นลิ้มรสความหมายของถ้อยคำดังกล่าว
หรือชิโฮจะเรียนรู้จากเขากันนะ ถ้าอย่างนั้นหากเขาไม่ตอบสนองความต้องการของเธอก็หมายความว่าเขาจะเป็นตัวอย่างที่แย่
เป็นแบบอย่างที่ไม่ประสพผลอย่างนั้นสิ ยินกำลังพยายามหาข้อแก้ต่าง อีกทั้งข้ออ้างให้แก่ตัวเองในการจะตกปากรับคำเด็กสาวเพื่อไม่ให้ตนต้องรู้สึกว่ายอมอ่อนให้เธอมากไปนัก
และเพื่อไม่ให้มันขัดแย้งกับตัวตนและความเชื่อของตนเองมากกว่าที่ควรจะเป็น
ครั้นแล้วเขาก็เอ่ยปากออกไป “ให้ตายสิ เธอจะกัดไม่ปล่อยเลยใช่ไหม”
เขาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นอีก แต่ชิโฮรู้ในทันทีว่าตอนที่เรากำลังออกเดินนี้
เขาจะพาเธอมุ่งหน้าไปยังโรงฝึกยิงปืนตามที่เธอประสงค์
...
“นั่นอะไร” เธอถามเป็นรอบที่สาม และยินก็ได้แต่เบือนหน้าด้วยนึกละเหี่ยใจ
“นกปืนไง เธอต้องดันมันลงก่อน” เขาตอบ
จากนั้นเธอก็ทำหน้าเหยแกเหมือนจะบอกว่าไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มถึงต้องใช้เวลาพร่ำอธิบายทั้งหมดอีกรอบก่อนจะจบลงด้วยคำว่าถ้าอย่างนั้นเธอก็ฝึกปฏิบัติจริงเอาเลยแล้วกันแทนคำกล่าวตรงๆ
ว่าลองผิดลองถูกเอา เดี๋ยวก็เป็นเองอะไรแบบนั้น
ยินถึงได้ปล่อยให้เด็กสาวในความปกครองยืนถือปืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงหน้า
ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ก่อนจะที่เขาจะผละถอยฉากออกมานั่งอยู่ใกล้ๆ
เฝ้าจับตาเธอด้วยความรู้สึกอภิรมย์
บางทีเขาควรจะเลือกปืนออโต้ให้เธอใช้ฝึกจะได้ไม่ต้องยุ่งย่างพร่ำบอก แต่การเรียนรู้จากปืนลูกโม่ดีตรงที่มือใหม่จะระวังและใจเย็นในการยิงทีละนัดก่อนเพราะต้องง้างนกลง
อีกอย่างเขาไม่ได้สะเพร่าที่ให้คนไม่รู้จักปืนจับปืนอยู่คนเดียวแบบนั้น
แต่เขารู้ว่าชิโฮเป็นคนระมัดระวังและยึดกรอบอย่างมาก เธอจะไม่อยู่ดีๆ
ลุกขึ้นมาทำอะไรเสี่ยงๆ หรือลองผิดลองถูกไปกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย
และเขาอาจจะยอมรับว่าตนนึกสนุกนิดหน่อยกับการได้เห็นอีกฝ่ายดูว่าง่ายเพราะไม่รู้
ทำอะไรสักอย่างไม่เป็นจนน่าเอ็นดู
อีกทั้งจะยอมอยู่ใต้โอวาทเขาเพราะต้องร้องขอสิ่งที่ตัวเขารู้ผิดกับเธอจากเขาเอง
นอกจากนี้ ยังแน่ใจว่าเธอจะต้องหันมาร้องขอให้เขาช่วย
ขณะเด็กสาวยืนงุนงง
ตั้งท่าจะรวบรวมเอาสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งสอนเธอเมื่อครู่มาเป็นครูแทนเจ้าตัวจริงๆ
ที่หลบฉากไปราวกับจะแกล้งกัน ทั้งนี้
ผู้ชายคนดังกล่าวกำลังนั่งละเลียดความรู้สึกเป็นใหญ่ของบุรุษเพศอย่างลำพองอยู่เงียบๆ
แต่เมื่อเห็นเธอจะยกปืนง้างนกลงพร้อมเหนี่ยวไกจริงๆ
เขาก็กลอกตาก่อนจะลุกขึ้นหยิบที่ปิดหูสวมลงให้กับเธออย่างง่ายดายด้วยความได้เปรียบจากความสูงและการใช้สัดส่วนนั่นให้เป็นประโยชน์
และคงเพราะเขามองเธอด้วยสายตาดูถูกเยาะหยันที่เต็มไปด้วยความยียวนเนื่องจากต้องการจะกระเซ้าเย้าแหย่เธอ
เด็กสาวถึงได้ค้อนควับทำเป็นไม่พูดไม่จา ทั้งยังไม่คิดจะพูดอะไรให้อีกฝ่ายได้ใจ
เป็นการยอมตกอยู่ใต้สถานะต่ำกว่าอะไรแบบนั้นอีก
จะอย่างไรเสียเธอก็เป็นแมวที่หยิ่งทระนงอยู่นั่นเอง
ทว่ายินดูเหมือนจะยิ่งรู้ทัน
แถมยังนึกสนุกกับการได้กลั่งแกล้งเด็กสาวให้ค้อนฉิว เขาถึงได้หยิบเบเรตต้าของตัวเองขึ้นมาด้วยท่าทีสำราญและชำนิชำนาญด้วยเพราะมันแทบจะกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว
เขาเล็งมันไปทางเป้ายิงเหมือนไม่ใส่ใจจะมองด้วยซ้ำ จากนั้นก็ลั่นไกอย่างเกียจคร้าน
สายตาไม่ได้จดจ่ออยู่ยังเป้าหมาย เขาแค่เหลือบมองขณะทิ้งสายตาหยอกเย้ากับรอยแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมเช่นปกติยามเบื้องหน้าคือเป้าปืน – ที่ส่วนมากจะมีชีวิตดิ้นได้ –
ไว้ที่เด็กสาวผู้ซึ่งมองตอบเขาด้วยใบหน้าหมันไส้และเจ็บใจ
นึกอยากจะตะบันหน้างี่เง่านี่สักที ทว่าก็ได้แต่เก็บงำความปรารถนานี้ไว้พลางทบต้นทบดอกไปชำระความในทางอื่นให้แสบสันต์กว่านั้นแทน
เธอแยกเคี้ยวยิงฟันใส่เขาแบบที่ยินรู้สึกว่าน่าเอ็นดูมากกว่าจะน่ากลัวหรือเจ็บแค้นเคืองโกรธ
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะฮึมฮัมในลำคออย่างอารมณ์ดี ความรื่นรมย์ถูกจุดประกายพร่างพรายทั่วผืนความรู้สึก
และเขายังคงมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาเช่นนั้นตลอดแม้จะเดินกลับมานั่งอยู่ไม่ห่างยังจุดเดิมแล้ว
ดวงตาเยือกเย็นของยินมองส่วนเว้าโค้งของเธอตอนที่อีกฝ่ายพยายามยืดตัว
กะเกณฑ์ท่าที่จะใช้ยิงในรูปลักษณะต่างๆ กล้ามเนื้อเกร็งขึ้นและสัดส่วนก็ถูกขับเร้น
เขาเห็นงานศิลปะกับประติมากรรมมีชีวิตชั้นดี ภายใต้ความเยียบเย็นเคร่งขรึมที่เจือด้วยบรรยากาศชั่วร้ายนั้นมีเปลวเพลิงรุ่มร้อนแผดเผาอยู่
แต่กระนั้น ความรื่นรมย์อันแสนจะบันเทิงใจนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน มันเลือนหายไปโดยฉับพลันราวกับพลิกฝ่ามือเมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาสังเกตเห็นเด็กสาวยืนเก้ๆ กังๆ ไม่แน่ใจอยู่ในช่อง จึงตรงปรี่เข้าไปทักทายตอนที่ชิโฮทำท่าจะสับเซฟตี้แล้ววางปืนลงเพื่อหันมาหาเขาเมื่อยอมลดทิฐิลงได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าหมอนี่เป็นคนที่เธอรู้จัก อาจจะมาจากชั้นเรียนเดียวกัน ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของยินทั้งหมด และเขาควบคุมตัวเองไม่ให้ขบกรามแน่น ใจคุกรุ่นด้วยความขุ่นมัว ไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด ดวงตาพลันวาวโรจน์ขึ้นเป็นประกายคมกล้า รวมทั้งยังดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเต้นเร้าอยู่ภายใน เป็นได้ทั้งความเดือดดาล ความโกรธ ตลอดจนความบ้าคลั่งที่มีต่อหญิงสาวคนที่เขาหวงกั้น มันมีเหตุผลเสมอกับการที่เพื่อนร่วมชั้นต่างเพศของชิโฮหลายต่อหลายคนตลอดหลายปีมานี้ตีตัวออกห่างเด็กสาวอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ เขานี่แหละคือคำอธิบายทั้งหมดนั่น
ในคราวแรก
ยินคิดว่าจะสามารถข่มกลั้น
สะกดความไม่พอใจที่พุ่งพล่านท่ามกลางอารมณ์ขุ่นข้องของตนไว้ได้
เผื่อว่าจะได้ทำหน้าที่จริงๆ ของตัวเองในการเฝ้าจับตาดู ตรวจสอบมิยาโนะ
ชิโฮว่าเธอมีวิถีชีวิตเช่นไร ข้องแวะกับใครบ้าง
และมีความคิดอ่านเปลี่ยนแปลงแบบใดเหมือนเช่นที่เขาเฝ้าสังเกตเก็บข้อมูลมาตลอดทั้งในทางส่วนตัวและตามภาระที่ได้รับมอบหมาย
– ทว่าเขาก็เลือกจะรายงานสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เธอเท่านั้น
เขาปกป้องเธอไว้ใต้ปีก และยอมปล่อยให้เรื่องส่วนตัวกลมกลืนไปกับงานแบบที่ไม่ใช่นิสัยของตนเลยสักนิด
แต่จะทำอย่างไรได้
เขาไม่จำเป็นต้องคัดคานใจกับตนเองในเรื่องนั้นถ้าเขามองเสียว่ามันคือเรื่องงานล้วนๆ
พร่ำหลอกตัวเองไปอย่างนั้นก็น่าพอใจดี
แม้ในความจริงเขามันจะไม่ต่างอะไรกับพวกตามตื้อน่าขนลุกก็ตาม
ชายหนุ่มซึ่งมั่นใจในตัวเองเสมอมาว่าจะสามารถธำรงความเยียบเย็นนิ่งขรึมอันน่าครันคร้ามของตนไว้ได้เสมอไม่ว่าจะประสบเผชิญอะไร
กลับผุดลุกขึ้นทันทียามเด็กหนุ่มจับไหล่
จัดท่าทางให้กับลูกแมวน้อยตัวนั้นที่ดูจะร่าเริงแจ่มใส
เข้ากับเด็กนี่ง่ายดายเหลือเกินทั้งที่เป็นแมวจอมเย่อหยิ่งของเขาแท้ๆ ดังนั้น
ความอดทนข่มกลั้นของเขาจึงไม่ยืนยาวพอจะวางเฉยปล่อยให้แมวของตนไปคลอเคลียกับคนอื่น
และไม่มากพอจะทำใจเฝ้าสังเกตการณ์ตามหน้าที่ที่แท้ของตนอยู่เงียบๆ ได้
ร่างสูงก้าวอาดๆ
อย่างองอาจฉับไว เข้าถึงตัวเด็กสาวทันที เขาผลักไหล่เด็กหนุ่มออกอย่างแรง
ไม่นึกถนอมน้ำใจ เพราะเขาจะทำไปทำไม
ใจจริงนึกอยากจะประหัตประหารฟาดฟันหมอนี่ด้วยซ้ำ
ยินดึงชิโฮให้ห่างจากเด็กหนุ่มผู้กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เข้ามาประชิดอย่างกะทันหัน
แต่ยินไม่ได้ให้ความสนใจนักนอกจากแยกเขี้ยวแสยะยิ้มหยาบช้าไปให้พลางนึกหมายมาดในใจว่าจะเก็บหมอนี่ไว้จัดการทีหลัง
ให้ไกลหูไกลตาชิโฮไปแล้วอะไรแบบนั้น เขานึกหมายมั่นปั้นมือก่อนจะหันมาพูดกับเด็กสาวข้างตัวด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งและเต็มไปด้วยกระแสบงการกับการบริหารอำนาจควบคุมไม่เจือปนอย่างอื่น
“หมดเวลาแล้วชิโฮ เราจะมาฝึกกันวันอื่น”
“แต่ – ทำไมล่ะ –ฉันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย”
ด้วยความงุนงงกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เข้ามาจู่โจมรวดเดียวและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามอารมณ์เปลี่ยนแปรของยินที่เธอเข้าใจโดยพื้นฐานว่าเขาอารมณ์ร้อน
อีกทั้งยังชอบทำอะไรตามใจอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้มันจับต้นชนปลายไม่ถูกเกินไป
ชิโฮพูดตะกุกตะกักด้วยไม่รู้จะเริ่มเรียบเรียงคำถามสงสัยให้อีกฝ่ายแถลงไขจากตรงไหนก่อนดี
ตอนนั้นเอง ยินก็ฉุดกระชากลากถูเธอให้ห่างออกมาแล้ว
รู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกจับยัดเข้าไปในรถ นั่งบื้อใบ้ด้วยความงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ขณะที่เขาแผ่บรรยากาศอำมหิตพร้อมจะปลิดชีพสังหารใครสักคนออกมาไม่สร่าง
...
ตลอดทางที่เขาขับรถกลับมากับเธอยังที่พัก
หลังจากชิโฮเริ่มตั้งสติได้ เธอก็ประท้วงโวยวายอย่างรุนแรง สลับกับถ้อยคำถกเถียงนานัปการซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ขบเคี้ยวลับฝีปากกันมาไม่เว้นว่าง เวลานี้เธอกำลังนั่งไขว่ห่าง
กอดอกเบือนหน้าหนีด้วยความไม่พอใจอย่างที่สุดอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวยาว
ขณะที่ชายหนุ่มยืนตระหง่านคร่อมเหนือตัวเธอราวกับกำลังแสดงอำนาจรุกรานทั้งหมดทุกอย่างของเธออยู่
ดวงตาแน่วแน่อันทรงพลังนั่นไม่เคยทำให้ใครเบือนสายตาหนีไปได้ และมักสะกดทุกคนไว้ด้วยความหวาดกลัวชวนให้พรั่นพรึง
แต่กับเด็กสาวแล้ว ทั้งหมดนั่นไร้ผล เธอกล้าเผชิญหน้า ทั้งยังต่อต้านทุกอย่างในแบบที่ยินเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
เพราะอีกฝ่ายคือเธอ ผู้ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมลงให้ ดังนั้น
บางทีเธอก็จะใช้ประโยชน์จากการถืออภิสิทธ์นั่น อันที่จริง
ตอนนี้ก็กำลังใช้อยู่อย่างไม่ยอมอ่อนข้อทีเดียว
“นายไม่มีสิทธิทำอะไรแบบนี้”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้ากี้เจ้าการและวางอำนาจไม่แพ้เวลาอีกฝ่ายแสดงออกในทิศทางเช่นเดียวกันนี้เลย
ถึงกระนั้นคู่สนทนาดูจะปล่อยให้ประโยคดังกล่าวผ่านเลยไป ไม่เก็บมาใส่ใจ
นั่นยิ่งสุมเชื้อไฟความโกรธให้แก่เด็กสาว
เธอลุกขึ้นยืนและตรงเข้ามาทางเข้าอย่างเดือดดาล
หมายมั่นจะคาดคั้นเอาความจริงจังอย่างที่พึงมีในเรื่องนี้จากเขา
เพราะเขามักจะทำราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเวลามีปากเสียงกัน
เด็กสาวเข้าประชิดตัวเขา
นึกหงุดหงิดทุกครั้งที่พบว่าตัวเองตัวเล็กกว่าจึงดูเหมือนกำลังพยายามอย่างไร้ประโยชน์ในการเอาความกับผู้ชายคนนี้
โดยส่วนมากเธอจึงดึงคอเสื้อเขาไว้ให้โน้มตัวลงมาใกล้ในระยะที่ความได้เปรียบของเขาจะไม่เกิดผลข่มเธอ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายผู้ถูกกระทำยังคงตีสีหน้าเรียบเฉย
ทอดมองเด็กสาวที่กระชากคอเสื้อเขาลงไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจติดจะยอมผ่อนตาม
เขาเพียงแต่มองตอบเธอ สบสายตาไม่คิดหลบเลี่ยงเพื่อแสดงความจริงใจ
พร้อมเปิดเผยไม่คิดหลบหลีก น่าแปลกที่นั่นจุดประกายความโกรธแก่ชิโฮขึ้นอีก
อาจเพราะเธอรู้ว่าเขาจริงใจเช่นนั้นแล้ว แต่ตนเองกำลังดื้อดึงไม่ลดราวาศอกถึงกำลังได้โกรธตัวเองแล้วพาลลงที่เขาแทน
ภายใต้สายตาเงียบงัน ไม่คิดโต้เถียงนั่น อยู่ดีๆ ยินก็พูดขึ้น
“ที่เธอพูดนั่นคิดดีแล้วเหรอ
ฉันมีสิทธิทุกๆ อย่างเหนือตัวเธอ เธอมันก็แค่ลูกไก่ในกำมือ
ฉันจะทำอะไรกับเธอก็ได้ทั้งนั้น” จังหวะหนึ่งชายหนุ่มเกือบจะขานเรียกเธอด้วยถ้อยคำที่ไม่ได้ใช้นานมากแล้ว
แต่กระนั้นมันอาจจะยังแฝงอยู่ในใจ คำว่าแม่สาวน้อยของเขาก็ถูกลืนหายลงไป
ไม่รู้ทำไมยินถึงได้อยากพูดมันออกมาตอนนี้ เพราะมันไม่ใช่เวลาของความเอื้อเอ็นดู
ช่วงเวลานั้นหมดไปนานแล้ว และจะไม่มีอีก
เขาไม่เคยเรียกเธอว่าแม่สาวน้อยมานานแค่ไหนแล้วนะ
ตั้งแต่ก่อนคืนนั้นที่เขาทาบตัวลงเหนือร่างของเธอแล้วตักตวงความสุขร่วมกันหรือ
ต่อแต่นั้นมาเธอคือหญิงสาว เป็นชิโฮ เป็นผู้หญิงผมสีแดงคนที่เขาจะมองตามหาด้วยประกายความใคร่และเยื่อใยความรู้สึก
ยินถอนหายใจ ปกติเขาไม่ทำเช่นนี้แน่ แต่เธอคือข้อยกเว้นของสิ่งหลายๆ
ประการ เป็นอะไรที่พิเศษ เป็นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากทั้งหมด เขาค่อยๆ
ผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “ไม่เอาน่า ชิโฮ เธอมันงี่เง่า ไม่เชื่อฟัง ดื้อมาก”
แต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้ชายหนุ่มจะมีปฏิกิริยาเช่นไรในเวลานี้ก็ดูจะขวางหูขวางตาเด็กสาวไปเสียหมด
เธอยิ่งฉุนเฉียวมากขึ้นแม้จะคลายมือที่ขยุ้มคอเสื้อเขาลงเล็กน้อย และเลิกเขย่ง
กลับไปยืนเต็มเท้าดังเดิม ชั่วพริบตาหนึ่ง
ยินรู้สึกเหมือนใบหน้าเธอหมองลงราวกับจะตัดพ้อ ในคำพูดนั้นมีจุดที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักลงไปเช่นกัน
“นายพูดเหมือนฉันเป็นเด็ก ฉันไม่ใช่เด็กตั้งแต่คืนนั้นแล้ว
ถ้านายจะยังพอจำได้ว่าทำอะไรลงไป
แต่คนอย่างน้อยคงไม่จำหรือให้ความสำคัญกับมันนักหรอก”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองอีกฝ่ายอย่างนิ่งงันและเกือบจะเรียกได้ว่าเย็นชา
“ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันอยู่ต่อ ฉันก็จะกลับ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนั้น”
เสี้ยวหัวใจเต้นจังหวะนั้น
ในอกของเด็กสาวก็พลันว่างโหวง เหมือนถ้อยคำดังกล่าวสูบเอาความแน่ใจว่าต่อให้เธอจะแสดงท่าทีเช่นใดใส่
เรียกร้องอย่างไร เขาก็จะยังคงยอมอ่อนให้ และเธอก็รู้สึกไม่มั่นคง
คลอนแคลนขึ้นมาเหมือนพื้นกับสั่นไหว
ทว่าทิฐิมานะยังคงค้ำคอให้เธอรักษาความเย่อยิ่งไว้ แม้ใจแท้จริงเธอไม่ปรารถนาจะให้มันจบเช่นนี้ ไม่ได้คิดหวังหาความผิดใจบาดหมาง
หรือการแยกย้ายจากกันไปทั้งที่ความรู้สึกยังค้างคา ความอึดอัดและผิดหวังจึงค่อยๆ
ก่อตัวรุมเร้าเหมือนหมอกควันที่ปกคลุมความโกรธจนแทบจะกลบกลืน ไม่เห็นโทสะนั่น ดวงตาคู่สวยพยายามฝืนตนเองไม่ให้มองไปทางเขาเพื่อจะดูว่าอีกฝ่ายมีการตอบสนองอย่างไรต่อไป
เธอยอมให้ตัวเองได้มากที่สุดแค่ปรายตามอง
จึงได้เห็นอีกฝ่ายหยิบของออกจากกระเป๋าเสื้อตัวนอกแล้ววางลงกับโต๊ะ
มันเป็นกล่องเล็กๆ ใสๆ ผูกริบบิ้นน่ารัก ของข้างในนั้นคล้ายจะเป็นขนม
และเขาก็แถลงไขแก่เธอว่าเข้าใจถูกต้องแล้ว “ที่จริงฉันตั้งใจมาวันนี้เพราะจะเอานี่มาให้เธอ
เธอไม่ใช่ทางผ่านหรือผู้หญิงที่ฉันเอาแค่สะดวกด้วยหรอก
เพราะยังไงวันนี้ก็วันเด็กผู้หญิงนี่นะ และเธอก็เคยเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”
น่าแปลกที่เธอลืมไปสนิท ทั้งที่เขาเอามันมาให้เธอทุกปีแท้ๆ ถ้าจะมีใครยังจำได้ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ที่แทบไม่มีใครเลยก็คงมีเขากับพี่สาวซึ่งแทบไม่ได้พบหน้า
แต่ปีนี้เธอกลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาจะนำมันมาให้เธอเพื่อย้ำเตือนว่ายังมีใครสักคนปรารถนาให้เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความสุขบริบูรณ์และเติบโตอย่างดีโดยมีอนาคตอันงดงามคอยอยู่
วินาทีนั้นใจของเด็กสาวก็อ่อนยวบลง จุดเดือดเย็นตัวลงในทันใด
เธอหันมองขนมฮิชิโมฉิในกล่องเต็มสายตาก่อนจะเลื่อนขึ้นไปยังใบหน้าเรียบเย็นของชายหนุ่มที่ตอนนี้ไม่สามารถอ่านอารมณ์ออกแล้ว
ชิโฮหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาเต็มตัวแต่ครั้งนี้ปราศจากร่องรอยความโกรธขึ้ง
เธอค่อยวางมือตรงช่วงอกของเขาเลื่อนผ่านขึ้นไปโอบรัดรอบคอและแนบศีรษะเกยกับใบหน้านั่นโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใดๆ
แม้เพียงสักคำ
ชิโฮปรารถนาให้เขากอดตอบเธอ
และคาดหวังว่าวิธีการนี้จะทำให้อีกฝ่ายเลิกน้อยใจ
จะเมื่อไรหรืออย่างไรเขาก็ยอมลงให้แก่เธอตลอดไม่ใช่หรือ ใช่สิ หนึ่งลมหายใจถัดมาก็ยืนยันความมั่นใจดังกล่าวให้แก่เด็กสาวอย่างไม่อาจเคลือบแคลงเป็นอื่นได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือขึ้นจับข้อมืออีกฝ่าย ไล้ผ่านแขนของเธอ
ทีแรกชิโฮคิดว่าเขาจะดึงมือเธอออกและก็พลันรู้สึกหวาดกลัวจับจิต
แต่แท้จริงแล้วเขากำลังจะดึงเธอให้เข้าไปใกล้มากขึ้นอีก – มากขึ้นจนเขาสามารถซุกไซ้ใบหน้าลงมาได้ถนัด
ก่อนจะพึมพำเสียงอู้อี้ยามริมฝีปาแนบชิดกับผิวเนื้อของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าใครก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจกับการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเด็ดขาด
“จริงๆ แล้วเธอเป็นของฉัน เป็นของของฉัน” เขาบีบมือเธอแน่นเช่นนั้นราวกับจะกดประทับสลักความเป็นเจ้าของลงมา เลื่อนใบหน้าลงประทบที่ใบหูพลางขบกัดลงมาเบาๆ ก่อนจะขยับไปพรมจูบที่ไหล่ งับเล็กน้อย แล้วเลื่อนขึ้นไปอีกครั้งบริเวณลำคอระหงและขบเม้มเพื่อประทับตรา เธอแหงนหน้าอ้าปากพร้อมร้องครางแผ่วเบาด้วยเสียงกระเซ้าสั่นเครือราวกับว่านั่นคือคำตอบรับของประโยคดังกล่าวที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาเสมือนหนึ่งถ้อยคำเว้าวอนขอความรักเมื่อครู่
- End -
ผลงานอื่นๆ ของ McBoffin. ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ McBoffin.
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น