I BITE
ผมหนีจากเนวาดา มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ยูทาห์ ที่ที่ผมได้พบ 'เดฟ'ผู้ชายในแก๊งฮาร์เล่ย์ที่ถูกเปรียบเหมือนสุนัขลาดตระเวณของเมือง
ผู้เข้าชมรวม
256,208
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Starts: 30/06/2559
Writer: Cinzano 505
“ในฐานะที่นายเพิ่งย้ายเข้าเมืองมาใหม่ ฉันเตือนขอเตือนเลยดีกว่า อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่จำเป็น”
"ทำตัวเงียบๆ แล้วอยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจใช่ไหม"
...
“คุณมายุ่งกับผมทำไม ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกคุณเดือดร้อนเลย”
“รู้ได้ไง” เขาสวนกลับมาทันควัน ดวงตามีประกายสนุกสนาน ผิดกับผมที่หน้าเสียไปเรียบร้อยแล้ว
บุหรี่มวนยาวถูกหยิบขึ้นคาบไว้ในปาก
“แล้วผมทำอะไร”
“ทำให้ร้อนใจล่ะมั้ง?”
ผู้แต่ง: cinzano 505
ราคา: 450 บาท
จำนวนหน้า: 470+
ขนาด: A5
ของแถม: ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงในเว็บ
สั่งซื้อได้ที่ FB เพจ: Cinzano 505
DAKR PARADISE
[ by Cinzano 505 ]
I BITE[ by Cinzano 505 ]
[ by Cinzano 505 ]
[ by R.I.P ANNA ]
[ by R.I.P ANNA ]
to the
/ P E A C E OF x /
ผลงานอื่นๆ ของ Cinzano 505 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Cinzano 505
"I BITE กัดหัวใจฉันไป ยอมแล้วจ้า"
(แจ้งลบ)ไม่เคยเขียนคำนิยมให้เรื่องไหน เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังกับมันมากเลยนะคะ ฮ่ะๆ ก่อนอื่นเราขอชื่นชมวิธีการบรรยายที่เก็บรายละเอียดส่วนเล็กส่วนน้อยได้ดีมากเลยค่ะ ซึ่งมันมีผลมากๆกับการจินตนาการให้เข้าถึงความรู้สึกตัวละคร ส่วนเล็กส่วนน้อยที่ว่านี้ เช่น การอธิบายสายตา การขมวดคิ้ว การยิ้ม การขยับตัว พออ่านแล้วก็กลับมานั่งมองตัวเองเลยค่ะ ว่าเคยสังเกตุอะไรเล็กๆ ... อ่านเพิ่มเติม
ไม่เคยเขียนคำนิยมให้เรื่องไหน เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังกับมันมากเลยนะคะ ฮ่ะๆ ก่อนอื่นเราขอชื่นชมวิธีการบรรยายที่เก็บรายละเอียดส่วนเล็กส่วนน้อยได้ดีมากเลยค่ะ ซึ่งมันมีผลมากๆกับการจินตนาการให้เข้าถึงความรู้สึกตัวละคร ส่วนเล็กส่วนน้อยที่ว่านี้ เช่น การอธิบายสายตา การขมวดคิ้ว การยิ้ม การขยับตัว พออ่านแล้วก็กลับมานั่งมองตัวเองเลยค่ะ ว่าเคยสังเกตุอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้บางรึเปล่า555 --มาพูดถึงตัวละคร ตัวละครมีความนึกคิดที่ลึกดีค่ะ ถึงแม้ไม่ได้อธิบายตรงๆว่าฟลอยด์และเดฟมีนิสัยยังไงแต่ก็พอเดาได้จากความคิดและการกระทำทั้งคู่ อาจจะมีหักมุมให้รู้สึกเจ็บๆถลอกที่เยื้อหัวใจเล็กน้อย แต่ก็ชอบนะ เราชอบความหน่วง ฮ่าาาา แล้วก็ชอบความแอ๊วของพี่เดฟในช่วงแรกๆมากค่ะคุณขา พี่แกสามารถบอกรักโดยที่ไม่ต้องใช้คำว่ารักให้สิ้นเปลือง คือดีย์ อธิบายให้ตายยังไงก็คงไม่หมด เพราะยิ่งอ่านก็ยิ่งพบหลายความรู้สึกโผล่มาเรื่อยๆ --อีกอย่างที่ชอบมากๆในซีรี่ย์นี้คงเป็นบรรยากาศในเรื่อง เรานี่ถึงกับไปค้นหาเนวาด้า ยูทาห์เลยทีเดียว และที่น่าขำสุดๆคือเมื่ออ่านถึงบุชคอร์เนอร์ เราก็หาซื้อแฮมเบอร์เกอร์กินทันที! อีนี่จะอินไปไหน บ้าไปแล้ว555 ---สุดท้ายนี้...เราเสียใจที่เรามาไม่ทันรอบพรีเซล คืออยากได้เล่มเล็กมากเลยงะ มีขายแยกไหมคะ?//โดนตบ//---รักนักเขียน...จากผู้อ่านคนนึง (พร้อมกับมินิฮาร์ทส่งไป ปิ้วๆ) อ่านน้อยลง
Yada28 | 28 ต.ค. 60
3
0
"ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี"
(แจ้งลบ)ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี หลังจากอ่านจบไปเมื่อคืน(26/04/2018) ซึ่งใช้เวลาราวๆ สามวันในการอ่าน ฟังดูเหมือนใช้เวลานานมากในการอ่านนิยายสักเรื่อง แต่ถ้าได้ลองเทียบกับระยะเวลาที่คนเขียนได้รังสรรค์ตัวหนังสือตลอด 1 ปี 5 เดือนแล้วนั้น ยังนับว่าเราใช้เวลาเร็วมากอยู่ดี แต่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก ... อ่านเพิ่มเติม
ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี หลังจากอ่านจบไปเมื่อคืน(26/04/2018) ซึ่งใช้เวลาราวๆ สามวันในการอ่าน ฟังดูเหมือนใช้เวลานานมากในการอ่านนิยายสักเรื่อง แต่ถ้าได้ลองเทียบกับระยะเวลาที่คนเขียนได้รังสรรค์ตัวหนังสือตลอด 1 ปี 5 เดือนแล้วนั้น ยังนับว่าเราใช้เวลาเร็วมากอยู่ดี แต่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็ยังเดินทางมาพร้อมกับตัวหนังสือของคุณซินจนถึงตอนจบนะคะ ก่อนจะมาเขียนคำนิยมก็พยายามนั่งคิดและเรียบเรียงอยู่นานมาก ด้วยความที่อ่านในห้วงช่วงเวลาที่ไม่สามารถคอมเม้นต์ทุกความรู้สึกออกไปในแต่ละตอนได้ครบถ้วนจึงตัดสินใจว่าระหว่างอ่านในแต่ละตอนนั้นจะเป็นการให้กำลังใจคนเขียนผ่านการกดกำลังใจแทน อย่างน้อยๆ คนเขียนก็น่าจะรู้ว่าคนอ่านไม่ได้เพิกเฉยต่องานเขียนนั้นนัก แต่ในฐานะคนเสพงานเรารู้ว่าต่อให้มีกำลังใจเป็นร้อยๆคะแนน มันก็เทียบไม่ได้เลยกับคอมเม้นต์และความรู้สึกของคนอ่านที่มีต่อตัวหนังสือที่คนเขียนตั้งใจสรรค์สร้างผลงานออกมา ใครๆ ต่างก็ชอบกำลังใจที่ชัดเจนและจับต้องได้จริงไหมล่ะคะ? ก่อนอื่นขอเล่าที่มาที่ไปของการมาเจอนิยายเรื่องนี้แล้วกัน แรกแริ่มจากการเข้าไปส่องแท๊กรีวิวนิยายวาย จากนั้นก็ตามไปส่องแท๊กของเรื่องนี้ ด้วยความที่เป็นคนชอบเสพดราม่าหน่วงๆอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นคนรีวิวเอาไว้เลยไม่รอช้าที่จะตามไปกดเฟบ หลังจากนั้นก็ทิ้งช่วงเวลาเอาไว้นานอยู่เหมือนกัน กระทั่งอยู่ในจุดที่ว่างหลังจากภาระงานถาโถมตั้งแต่ช่วงต้นปี คล้ายว่าความลงตัวนี้ทำให้เราได้มาพบกับนิยายเรื่องนี้ในที่สุด เริ่มอ่านเมื่อกลางดึกของวันอังคาร ก่อนจะนอนเลยลองกดเข้าไปดูนิยายในคลังที่เฟบเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจลองเข้าไปอ่านเรื่องนี้ ยอมรับว่าคำโปรยที่เห็นในตอนแรกนั้นไม่ได้ฉุดความสนใจจากเราเท่าไหร่นัก ในตอนที่เข้าไปอ่านเลยไม่ได้คาดหวังสักเท่าไหร่ แต่ใช่ว่าจะไม่หวังเลย เพราะด้วยที่ทุกคนต่างอวดอวยว่าภาษาสวยเราเลยหวังว่าอย่างน้อยๆ ถึงแม้เนื้อหาที่เรียงร้อยออกมาจะไม่ได้ถูกจริตนัก สุดท้ายก็น่าจะได้เสพงานเขียนดีๆ ด้วยตัวหนังสือและภาษาสวยๆสักเรื่องก่อนนอน นั่นแหละคือความคาดหวัง และตัวหนังสือของคุณซินก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ ด้วย ตอนที่อ่านตอนแรกนั้นมันมีความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ น้อยครั้งมากที่อ่านนิยายตั้งแต่ตอนแรกแล้วจะรู้สึก touch มากขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างที่บอกไปว่าคำโปรยหรือกระทั่งรูปปกไม่ได้ดึงหรือฉุดความสนใจจากเราเท่าไหร่นักในตอนนั้น และเพราะความไม่คาดหวังหรือเปล่านะ ในตอนที่เราได้อ่านและได้รับผลลัพธ์กลับมาความรู้สึกมันถึงได้ impact มากขนาดนี้ ดังนั้นถ้าไม่ใช่รักแรกพบและถ้าจะพูดให้ถูกกับบริบทสักหน่อยคงต้องบอกว่าเป็นการตกหลุมรักตั้งแต่อ่านตอนแรก แบบนั้นฟังดูเข้าท่ากว่าเยอะจริงไหมล่ะ? เอาล่ะวกวนอยู่นานถึงเวลากลั่นความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้สักที ออกตัวก่อนว่าปกติเวลาอ่านนิยายสักเรื่องเราจะพยายามให้กำลังใจคนเขียนตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเล่นแท๊กในทวิต หรือพื้นฐานมากๆสำหรับนักอ่านทั่วไป นั่นก็คือการคอมเม้นต์ในแต่ละตอนด้วยความรู้สึกที่มีในขณะนั้น ประมาณว่าหลังอ่านจบแต่ละตอนนี่แหละที่ความรู้สึกเรามันสดใหม่พร้อมที่จะพรั่งพรูระบายออกมาต่อตัวหนังสือนั้นๆในแต่ละตอน แต่อย่างที่บอกไปว่าด้วยห้วงช่วงเวลาที่เราหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านนั้นไม่สะดวกต่อการเว้นจังหวะเอาไว้แล้วค่อยคอมเม้นต์ เราจึงลดหย่อนช่องว่างตรงนั้นแล้วเติมเต็มความรู้ตัวเองต่องานเขียนเรื่องนี้ด้วยการกดส่งกำลังใจให้นักเขียน และการมานั่งรีวิวตลอดจนการเขียนคำนิยมอย่างบ้าคลั่งนี้แทน ใช่มันบ้ามาก!! นิยายเรื่องนี้ทำเราคลั่งจริงๆนั่นแหละ หากจะให้เริ่มระบายความคลั่งไคล้และความบ้านี้ออกมาจนหมด คงต้องทึ้งหัวตัวเองแรงๆ สักทีสองทีเพื่อช่วยเรียกสติกลับมาสักหน่อย พอควบคุมตัวเองได้แล้วก็เริ่มจากการชมภาษาที่คนเขียนเรียงร้อยในเนื้อเรื่องนี้ก่อนเลยแล้วกัน ^^ ใครๆ ต่างบอกว่าภาษาที่ใช้บรรยายในเรื่องสวยงามแต่สำหรับเรากลับมองว่าภาษาที่คนเขียนเขียนออกมานั้นมัน 'เท่' มากกกกกกกกกก แต่ละการบรรยายของตัวละคร แต่ละบทสนทนาที่เรียงร้อยโต้ตอบกันนั้นมันฉุดให้เราไม่อาจละสายตาไปจากตัวหนังสือได้เลย ไม่มีแม้แต่สักบรรทัดที่เราจะอ่านข้ามด้วยกลัวว่าจะพลาดอะไรไป ไม่ใช่ว่างานเขียนไม่สมบูรณ์หรอกนะ หากแต่ด้วยความเชื่อมโยงหรือแม้แต่บางถ้อยคำ ท่าทาง การแสดงออก ทุกๆ อย่างในเรื่องมันมีที่มาที่ไปและการเชื่อมโยงถึงกันหมด เพราะอย่างนั้นเราจึงไม่อยากพลาดแม้แต่วลีเดียว ในการบรรยายแต่ละฉากมันเหมือนว่าคนเขียนนำพาเราไปอยู่ ณ ที่แห่งนั้นจริงๆ ทั้งบรรยากาศ ความกดดัน อารมณ์ หรือแม้แต่การแทนที่ความรู้สึกตัวเองลงไปที่ตัวละคร เป็นอะไรที่เรียกง่ายๆ ว่า "อินสุดๆ" ไปแลย ดังนั้นการใช้คำบรรยาย การหยิบจับวลีมาเรียงร้อยสร้างพันธะระหว่างตัวหนังสือ จนสุดท้ายออกมาเป็นเนื้อเรื่องที่เราได้อ่าน มันจึงทำให้นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในความรู้สึกของเรา โค-ตร เท่เลยล่ะ มาที่ตัวละครกันบ้าง เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบการนำเสนอบุคลิกตัวละครของคนเขียนมาก จริงอยู่ว่าเรามองทุกคนในเรื่องผ่านมุมมองคนเล่าซึ่งนั่นก็คือฟลอยด์หรือเจนินนั่นเอง หลายๆ แง่มุม หลายๆ มุมมองจึงถูกบีบกรอบความคิดและความรู้สึกต่อตัวละครอื่นๆ โดนผ่านกรอบสายตาและความนึกคิดของฟลอยด์ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมดทุกอย่างซะทีเดียว แรกเริ่ม เราเองก็มีความระแวดระวังต่อตัวละครเดฟเหมือนกับฟลอยด์เช่นกัน หลายๆ การกระทำแม้จะแสดงออกมาในทางที่ดี หากแต่มันก็มักจะเกิดคำถามลอยฟุ้งขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้ ทำไม ทำไม และทำไม... นั่นคือความรู้สึกของเราขณะที่ค่อยๆ เคลื่อนสายตาอ่าน พร้อมกันนั้นก็หวั่นไหวไปพร้อมกับตัวละครเมื่อพ่อพระเอกทำหรือแสดงออก ตลอดจนเอ่ยถ้อยคำบางคำพูดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างมาพร้อมกับความสับสนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายทำให้รู้สึกดีจริงๆ ก่อนที่ความคลางแคลงใจเหล่านั้นจะค่อยๆ ลดทอนลงเมื่อเราเริ่มอ่านโดยที่มองฉากของนิยายเรื่องนี้ให้กว้างมากขึ้น มากกว่าที่ฟลอยด์มอง มันเลยทำให้เราเห็นเสน่ห์อีกข้อของนิยายเรื่องนี้ คือ ...ตัวละครดูมีมิติมาก มันมากกว่าภาพสีสองมิติทั่วไป ที่บอกว่าเทามาก เทาน้อย จริงๆ เราว่าตัวละครที่คนเขียนสร้างมานั้นมันมีอะไรที่มองได้ลึกลงไปกว่านั้นอีก หากแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจตัวละครยากจนคว้าไม่ถึง ชอบการค่อยๆ ตั้งคำถาม เพราะนั่นคือสิ่งที่มนุษย์เรามักกระทำเสมอเมื่อเกิดความสับสน ฟลอยด์เองก็เช่นกัน ในสภาวะแบบนั้น แล้วยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งถูกบีบให้มีทางเลือกหรือทางออกเพียงน้อยนิด ตลอดจนการถูกกดและตีกรอบให้คิดอยู่เพียงไม่กี่อย่าง นั่นทำให้ฟลอยด์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามมากมายขึ้นมาในหัว ขณะที่เราอ่านเรายังเกิดคำถามเลย พานให้เกิดความไม่เข้าใจในการกระทำบางอย่างของตัวละครหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ อย่างล้วนมีเหตุและผลมารองรับกันเสมอตามเส้นเรื่อง และในตอนท้ายที่สุดคนเขียนก็สามารถทักทอเนื้อเรื่องออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเรื่องการลำดับเนื้อเรื่องกระทั่งความสมเหตุสมผลของนิยายเรื่องนี้เราว่าคนเขียนทำออกมาได้ดีมากเลยค่ะ ยังจำฉากที่ทั้งคู่เจอกันได้อยู่เลย ตอนฟลอด์เจอกับเดฟครั้งแรกเราก็ตั้งคำถามเหมือนฟลอยด์ ตอนหนีออกมา เราก็ยังตั้งคำถามต่ออีกว่าทำไมพระเอกถึงยอมปล่อยให้น้องไป ก่อนจะใจชื้นขึ้นมากับฉากที่เดฟเดินมาหาตอนที่น้องคิดจะกลับไปทำเรื่องนั้นอีกครั้ง ยังจำฉากที่พระเอกหึงและหวงน้องได้ดี เราว่าเสน่ห์ของเดฟอีกอย่างที่ชัดมากในความคิดเราคือเขาพุดในสิ่งที่ต้องการพูดและรู้สึกออกมาตรงๆ แต่ก็ไม่บอกทั้งหมดที่ตัวเองคิด แต่ก็ไม่ได้ปิดจนทำให้ทั้งคู่คลางแคลงใจกันนานนัก เห็นได้ชัดเลยเวลาเดฟหึงหรือหวงเดฟก็บอกตรงๆ หรือจะเป็นการพยายามทำให้ฟลอยด์ยอมง้างปากพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายคิดเดฟก็มักมีวิธีจัดการ เดฟเป็นตัวละครหนึ่งที่เราว่ามีเสน่ห์มากเลยนะ จริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะเราอ่านและมองเดฟผ่านกรอบสายและความคิดของฟลอยดืก็เป็นได้ มันเลยทำให้เรารักตัวละครเดฟ และเหตุผลที่ทำให้เราคิดแบบนั้นก็เพราะว่าฟลอยด์เองก็ชอบเดฟเหมือนกันไงล่ะ เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกตอนเราอ่านมันไม่ได้รู้สึกเรื่อยๆ เลยสักนิด ทุกตัวอกษรที่เคลื่อนสายตาอ่านเราคอยลุ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฟลอยด์เกิดความไม่มั่นใจในตัวเดฟ หรือตอนที่ทั้งคู่หยั่งเชิงกันยิ่งอ่านยิ่งสนุก อีกฉากที่ทำให้เราชอบคือเดฟพยายามบีบฟลอยด์โดยที่เราเองที่เป็นคนอ่านผ่านมุมมองของฟลอยด์แต่กลับไปเอาใจช่วยเดฟแทนเสียนี่ ฮ่าๆๆๆ คือลุ้นมากว่าเมื่อไหร่น้องจะยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที ชอบการแสดงความเป็นเจ้าของของเดฟมาก แต่เข้าใจแหละว่าวูบหนึ่งเราเองก็คิดเหมือนฟลอยด์ ว่าการที่เดฟพามาอยู่ในห้องที่คลับมันคือการจำกัดพื้นที่ ทั้งที่อีกฝ่ายพร่ำบอกว่ามันคือความปลอดภัยของฟลอยดื ก่อนจะตามมาด้วยคำถามในหัวของฟลอยด์ที่ทวงถามถึงคำว่าอิสระ จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูค่อยๆ เทาขึ้นในความรู้สึกเรา ตอนอ่านหลังจากตอนสิบเก้ามา เราต้องคอยจิบน้ำตลอดเลย แบบอ่านๆ ไปแล้วรู้สึกฝืดคอแปลกๆ สงสัยจะอินจัดจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อผู้ชายที่ชื่อลูคัสปรากฎตัว อันที่จริงก็พอเข้าใจได้โดยง่ายมากถึงบรรยากาศและท่าทางคนในแก๊งค์ที่เปลี่ยนไป กับการกลับมาของผู้ชายคนนั้น ตอนแรกเราเดาว่าทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน และก็ใช่จริงๆ เรารู้สึกไม่ชอบใจตัวละครฟลอยด์ที่พยายามถามเรื่องของเดฟจากคนอื่น ซึ่งคนอื่นที่ว่าดันเป็นคนที่เราพยายามอยากให้ฟลอยด์อยู่ห่างๆ แต่ก็เข้าใจไปด้วยในที เพราะถ้าจะให้ถามเอาตรงๆ จากเจ้าตัวเลยก็กลัวว่าจะไม่ได้คำตอบตามที่หวังไว้ ทั้งๆ ที่ตัวฟลอยด์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครหรอกที่อยากได้ยินหรือรับรู้เรื่องที่ตนไม่พึงปรารถนา ฟลอยด์เองก็เช่นกัน เราคิดว่าน้องอยากรู้จักกับผู้ชายที่ตัวเองให้ความรู้สึกที่เรืยกว่าชอบ ไม่สิถ้าอ่านไปถึงช่วงนั้นเราคิดว่านอกจากเราแล้วฟลอยด์ในตอนนั้นก็คงรับรู้และมั่นใจแหละ ว่าตัวเองรักเดฟแล้วและเพราะรักนั่นแหละในตอนที่ไปเจอกับฉากนั้นมันเลยทำให้น้องเริ่มไม่เชื่อใจเดฟอีกเหมือนเคย อันที่จริงต้องบอกว่าทำให้ไม่เชื่อใจอย่างที่พยายามย้ำบอกตัวเองตลอดมา ทุกๆ อย่างมันยิ่งแย่ลง แย่ลง หลังจากที่ฟลอยด์สับสนระหว่างความรู้สึกตัวเองที่มีต่อฟลอยด์กับภาพและเสียงในค่ำคืนนั้น อีกทั้งบรรยากาศระหว่างฟลอยด์กับเดฟดูแย่ลงไปอีกขั้นเมื่อฟลอยด์มีท่าทีต่อคฃต้านเดฟ และเดฟก็ไม่สามารถง้างหรืองัดวิธีที่เคยใช้มาจัดการได้เหมือนอย่างที่เคยทำ ทุกอย่างดำเนินต่อไปจวบจนถึงบรรยกาศของเรื่องที่เราแทบไม่คิดว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสั่นคลอนลงไปอีก ตอนที่ฟลอยดืเข้าไปช่วยจัดของเราเองก็ภาวนาให้รีบจัดและรีบออกมาซะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เลยว่าคนเขียนจะเล่นแง่แบบไหน แต่เพื่อความสบายใจของตัวเองและแน่นอนว่ามันย่่อมนำพาความสบายใจมาสู่ตัวละครอื่นๆ อีกได้ถ้าฟลอยด์ไม่อยู่ใกล้กับผู้ชายที่ชือลูคัสคนนั้น แต่คำภาวนาของเราไร้ผล... ทุกสิ่งทุกอย่างมาได้จังหวะเป๊ะๆ ตามบท ตามเส้นเรื่องที่คนเขียนวางไว้ เดฟมาเจอท้งคู่อยู่ด้วยกัน และเรื่องราววุ่นวายก็ดำเนินต่อไป... ฉากบีบหัวใจเราอีกฉากหนึ่ง ไม่ใช่ฉากที่ฟลอยด์กลับไปเป็นเจนิน ตัวตนที่น้องพยายามวิ่งหนีให้ไกลที่สุด แต่เป็นฉากที่ฟลอยดืจ้องมองไปที่ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ตอนหนึ่งในเรื่องเราเองก็แอบสงสารเขา "โจ" เราเข้าใจความรู้สึกฟลอยด์นะ ยังจำถ้อยคำตัดพ้อได้อยู่เลย ตอนที่กลับมาเจอเดฟ เพราะตอนนั้นเราเองที่ไล่สายตาอ่านตัวหนังสือขณะนั้น เราเองก็ภาวนาให้เดฟเป็นคนมาเจอและพาน้องออกไปจากที่แห่งนั้น จริงอยู่ว่าทุกคำขอไม่อาจเป็นไปตามที่เราหวังทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดสิ้นหวังเสียทีเดียว อย่างหนึ่งคือเราดีใจที่น้องไม่ได้คิดว่าเดฟไม่ต้องการตัวเอง แม้จะมีเพียงเสี้ยวหนึ่งในห้วงความรู้สึกเล้กๆ ที่น้องคิด เช่นเดียวกับถ้อยคำของเดฟที่ลอยคลุ้งยามที่น้องต้องเจอเรื่องแย่ๆ แล้วฟลอยด์พูดคำว่า โกหก โกหก เราว่าตอนนั้นมันเจ็บปวดมากเลย แต่น้องก็ฮึดสู้อีกครั้ง ตั้งสติ และใช้ความสิ้นหวังมาสร้างเป็นความหวังสุดท้าย ก่อนจะเริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อน ตอนนั้นที่อ่านก็ยังรู้สึกขัดใจในความง่ายดายเสียเหลือเกินในการปลิดชีพแชพ แต่ใจหนึ่งก็ดีใจและเอาใจช่วยให้น้องรีบทำแล้วรีบออกมาจากที่สวะแห่งนั้นซะ และน้องก็ทำได้ ฉากที่ทำให้เรามือสั่นไปพร้อมกับความตื่นเต้นในใจอีกฉากคือ ฉากที่น้องโทรกลับไปหาเดฟ หลังจากหนีมาแล้ว เรากลัวมากว่ารถที่จอดแล้วมองมายังน้องจะเป็นคนที่ไปบอกพวกในคลับ แล้วทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ในใจภาวนาว่าก่อนที่น้องจะหมดสติไป เราภาวนาให้เดฟรีบตามหาน้องเจอ หรือไม่ก็รับสายน้องสักที คำอ้อนวอน(ต่อคนเขียน)ของเราเป็นจริงในที่สุด ...และทั้งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันในรอบสี่เดือน ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำถามและข้อสงสัยในตัวละครเดฟ ทำเรากกระจ่างอีกครั้งในทอลืกของคนเขียน ซึ่งอันที่จริงเราว่าทอลืกของคนเขียนมาช่วยย้ำสำทับสิ่งที่เราคิดและเดาเอาเองมากกว่า ตอนอ่านทอล์กเราเลยยิ้มแก้มปริ แบบเอ่ออออ เราไม่ได้มโนไปเอง เดฟเข้าใจว่าน้องหนีไป เลยไม่ได้ตามหา เราเข้าใจอย่างนั้นในช่วงสี่เดือนที่น้องต้องกลับไปอยู่เนวาด้า ขณะนั้นเราก็โกรธเดฟแหละ น้อยใจประหนึ่งเป็นฟลอยด์ลงมาจุติในร่าง ฮ่าาา ก่อนที่เดฟจะเป็นคนเฉลยอีกครั้งตอนที่ทั้งคู่ได้กลับมาคุยกัน เดฟบอกในสิ่งที่คนในคลับบอก และเหตุผลจากเหตุการณ์จากตอนที่สามสิบมันก็ช่วยสนับสนุนได้อย่างดี เราว่าฟลอยด์เองก็คงเข้าใจระดับหนึ่ง เลยไม่หยิบยกขึ้นมาตัดพ้อให้ยืดยาว แต่คำที่เดฟพูดว่า "พวกเขาคือครอบครัว" ตอนที่เราอ่านเราแบบสะดุดกึกเลย คำว่าครอบครัวมันทำให้เราน้อยใจเดฟอีกครั้ง บางทีมันก็โหดร้ายกับฟลอยด์เกินไป ถึงจะบอกว่าเข้าใจและไม่น้อยใจแต่วูบหนึ่งคนเราก็ต้องมีรู้สึกบ้าง ชอบอีกอย่างคือพระเอกยอมรับในสิ่งที่นายเอกไปเผชิญมา ทั้งคู่เหมือนพังด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายเลยต่างหาคนมายึดเหนี่ยว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เดฟตัดสินใจได้อย่างง่ายดายในตอนที่ฟลอยด์บอกว่ากลับมาไม่ได้แล้ว เพราะคนในคลับไม่ได้มองฟลอยด์ในแบบเดิมอีกต่อไป และนั่นจึงทำให้เดฟตัดสินถามว่าอยากไปที่ไหน เราชอบฉากสุดท้ายที่บรรยายมากเลย แบบให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังน้ำดีสักเรื่องจริงๆ ชอบภาพที่ตัดมาที่ฉากรถยนต์หรือกระทั่งฉากที่คนเขียนบรรยายตอนเดฟวางกุญแจรถ ไหนจะเสื้อหนังที่ห่อหุ้มกายและหัวใจอีกฝ่ายมาทั้งชีวิต ปล่อยตัวตนที่พยายามสร้างมาตลอดให้ล่วงล่นลงไปแล้วรีบคว้ามือของฟลอยด์เอาไว้ ฉากจบเราว่าอิ่มมาก แต่เพราะความละโมบโลภมากอยากจะเห็นตัวละครทั้งสองคนต่ออีกสักนิด ใจจึงขวนขวายที่จะได้พบกับตัวละครเหล่านั้นในตัวหนังสืออีก น่าเสียดายที่มาเจอเรื่องนี้ช้าไป เรามาไม่ทันช่วงพรี นี่คืดอีกเรื่องทีทำให้ช้ำใจสุด ฮืออออออ สุดท้ายนี้หวังเหลือเกินว่าคุณคนเขียน(คุณซิน)จะได้อ่านความเวิ่นเว้อของเรา ก่อนอื่นอยากขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้เราได้มาเจอนิยายเรื่องนี้ อยากขอบคุณเวลา 1 ปี 5 เดือนที่คุณคนเขียนได้สละเวลาจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายมาสรรค์สร้างตัวหนังสือและเรียงร้อยออกมาเป็นนิยายชั้นดีอย่างนี้ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ และอยากบอกว่านิยายเรื่องนี้ตลอดจนตัวละครในเรื่อง ฉากแต่ละฉาก หรือแม้แต่บางคำพูด ถอยคำสนทนาภายในเรื่อง จะยังอยู่ในความทรงจำและติดตรึงใจใจเราไปอีกนานเลยค่ะ ขอบคุณที่สร้างตัวละครออกมาได้สมจริงและดีเยี่ยมอย่างนี้ ขอบคุณมากเลยนะคะ และยินดีที่ได้รู้จักผ่านตัวหนังสือค่ะ ขอบคุณค่ะ อ่านน้อยลง
aliskyu | 27 เม.ย. 61
3
0
ดูทั้งหมด
"ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี"
(แจ้งลบ)ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี หลังจากอ่านจบไปเมื่อคืน(26/04/2018) ซึ่งใช้เวลาราวๆ สามวันในการอ่าน ฟังดูเหมือนใช้เวลานานมากในการอ่านนิยายสักเรื่อง แต่ถ้าได้ลองเทียบกับระยะเวลาที่คนเขียนได้รังสรรค์ตัวหนังสือตลอด 1 ปี 5 เดือนแล้วนั้น ยังนับว่าเราใช้เวลาเร็วมากอยู่ดี แต่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก ... อ่านเพิ่มเติม
ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมดต่อนิยายเรื่องนี้อย่างไรดี หลังจากอ่านจบไปเมื่อคืน(26/04/2018) ซึ่งใช้เวลาราวๆ สามวันในการอ่าน ฟังดูเหมือนใช้เวลานานมากในการอ่านนิยายสักเรื่อง แต่ถ้าได้ลองเทียบกับระยะเวลาที่คนเขียนได้รังสรรค์ตัวหนังสือตลอด 1 ปี 5 เดือนแล้วนั้น ยังนับว่าเราใช้เวลาเร็วมากอยู่ดี แต่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็ยังเดินทางมาพร้อมกับตัวหนังสือของคุณซินจนถึงตอนจบนะคะ ก่อนจะมาเขียนคำนิยมก็พยายามนั่งคิดและเรียบเรียงอยู่นานมาก ด้วยความที่อ่านในห้วงช่วงเวลาที่ไม่สามารถคอมเม้นต์ทุกความรู้สึกออกไปในแต่ละตอนได้ครบถ้วนจึงตัดสินใจว่าระหว่างอ่านในแต่ละตอนนั้นจะเป็นการให้กำลังใจคนเขียนผ่านการกดกำลังใจแทน อย่างน้อยๆ คนเขียนก็น่าจะรู้ว่าคนอ่านไม่ได้เพิกเฉยต่องานเขียนนั้นนัก แต่ในฐานะคนเสพงานเรารู้ว่าต่อให้มีกำลังใจเป็นร้อยๆคะแนน มันก็เทียบไม่ได้เลยกับคอมเม้นต์และความรู้สึกของคนอ่านที่มีต่อตัวหนังสือที่คนเขียนตั้งใจสรรค์สร้างผลงานออกมา ใครๆ ต่างก็ชอบกำลังใจที่ชัดเจนและจับต้องได้จริงไหมล่ะคะ? ก่อนอื่นขอเล่าที่มาที่ไปของการมาเจอนิยายเรื่องนี้แล้วกัน แรกแริ่มจากการเข้าไปส่องแท๊กรีวิวนิยายวาย จากนั้นก็ตามไปส่องแท๊กของเรื่องนี้ ด้วยความที่เป็นคนชอบเสพดราม่าหน่วงๆอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นคนรีวิวเอาไว้เลยไม่รอช้าที่จะตามไปกดเฟบ หลังจากนั้นก็ทิ้งช่วงเวลาเอาไว้นานอยู่เหมือนกัน กระทั่งอยู่ในจุดที่ว่างหลังจากภาระงานถาโถมตั้งแต่ช่วงต้นปี คล้ายว่าความลงตัวนี้ทำให้เราได้มาพบกับนิยายเรื่องนี้ในที่สุด เริ่มอ่านเมื่อกลางดึกของวันอังคาร ก่อนจะนอนเลยลองกดเข้าไปดูนิยายในคลังที่เฟบเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจลองเข้าไปอ่านเรื่องนี้ ยอมรับว่าคำโปรยที่เห็นในตอนแรกนั้นไม่ได้ฉุดความสนใจจากเราเท่าไหร่นัก ในตอนที่เข้าไปอ่านเลยไม่ได้คาดหวังสักเท่าไหร่ แต่ใช่ว่าจะไม่หวังเลย เพราะด้วยที่ทุกคนต่างอวดอวยว่าภาษาสวยเราเลยหวังว่าอย่างน้อยๆ ถึงแม้เนื้อหาที่เรียงร้อยออกมาจะไม่ได้ถูกจริตนัก สุดท้ายก็น่าจะได้เสพงานเขียนดีๆ ด้วยตัวหนังสือและภาษาสวยๆสักเรื่องก่อนนอน นั่นแหละคือความคาดหวัง และตัวหนังสือของคุณซินก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ ด้วย ตอนที่อ่านตอนแรกนั้นมันมีความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ น้อยครั้งมากที่อ่านนิยายตั้งแต่ตอนแรกแล้วจะรู้สึก touch มากขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างที่บอกไปว่าคำโปรยหรือกระทั่งรูปปกไม่ได้ดึงหรือฉุดความสนใจจากเราเท่าไหร่นักในตอนนั้น และเพราะความไม่คาดหวังหรือเปล่านะ ในตอนที่เราได้อ่านและได้รับผลลัพธ์กลับมาความรู้สึกมันถึงได้ impact มากขนาดนี้ ดังนั้นถ้าไม่ใช่รักแรกพบและถ้าจะพูดให้ถูกกับบริบทสักหน่อยคงต้องบอกว่าเป็นการตกหลุมรักตั้งแต่อ่านตอนแรก แบบนั้นฟังดูเข้าท่ากว่าเยอะจริงไหมล่ะ? เอาล่ะวกวนอยู่นานถึงเวลากลั่นความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้สักที ออกตัวก่อนว่าปกติเวลาอ่านนิยายสักเรื่องเราจะพยายามให้กำลังใจคนเขียนตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเล่นแท๊กในทวิต หรือพื้นฐานมากๆสำหรับนักอ่านทั่วไป นั่นก็คือการคอมเม้นต์ในแต่ละตอนด้วยความรู้สึกที่มีในขณะนั้น ประมาณว่าหลังอ่านจบแต่ละตอนนี่แหละที่ความรู้สึกเรามันสดใหม่พร้อมที่จะพรั่งพรูระบายออกมาต่อตัวหนังสือนั้นๆในแต่ละตอน แต่อย่างที่บอกไปว่าด้วยห้วงช่วงเวลาที่เราหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านนั้นไม่สะดวกต่อการเว้นจังหวะเอาไว้แล้วค่อยคอมเม้นต์ เราจึงลดหย่อนช่องว่างตรงนั้นแล้วเติมเต็มความรู้ตัวเองต่องานเขียนเรื่องนี้ด้วยการกดส่งกำลังใจให้นักเขียน และการมานั่งรีวิวตลอดจนการเขียนคำนิยมอย่างบ้าคลั่งนี้แทน ใช่มันบ้ามาก!! นิยายเรื่องนี้ทำเราคลั่งจริงๆนั่นแหละ หากจะให้เริ่มระบายความคลั่งไคล้และความบ้านี้ออกมาจนหมด คงต้องทึ้งหัวตัวเองแรงๆ สักทีสองทีเพื่อช่วยเรียกสติกลับมาสักหน่อย พอควบคุมตัวเองได้แล้วก็เริ่มจากการชมภาษาที่คนเขียนเรียงร้อยในเนื้อเรื่องนี้ก่อนเลยแล้วกัน ^^ ใครๆ ต่างบอกว่าภาษาที่ใช้บรรยายในเรื่องสวยงามแต่สำหรับเรากลับมองว่าภาษาที่คนเขียนเขียนออกมานั้นมัน 'เท่' มากกกกกกกกกก แต่ละการบรรยายของตัวละคร แต่ละบทสนทนาที่เรียงร้อยโต้ตอบกันนั้นมันฉุดให้เราไม่อาจละสายตาไปจากตัวหนังสือได้เลย ไม่มีแม้แต่สักบรรทัดที่เราจะอ่านข้ามด้วยกลัวว่าจะพลาดอะไรไป ไม่ใช่ว่างานเขียนไม่สมบูรณ์หรอกนะ หากแต่ด้วยความเชื่อมโยงหรือแม้แต่บางถ้อยคำ ท่าทาง การแสดงออก ทุกๆ อย่างในเรื่องมันมีที่มาที่ไปและการเชื่อมโยงถึงกันหมด เพราะอย่างนั้นเราจึงไม่อยากพลาดแม้แต่วลีเดียว ในการบรรยายแต่ละฉากมันเหมือนว่าคนเขียนนำพาเราไปอยู่ ณ ที่แห่งนั้นจริงๆ ทั้งบรรยากาศ ความกดดัน อารมณ์ หรือแม้แต่การแทนที่ความรู้สึกตัวเองลงไปที่ตัวละคร เป็นอะไรที่เรียกง่ายๆ ว่า "อินสุดๆ" ไปแลย ดังนั้นการใช้คำบรรยาย การหยิบจับวลีมาเรียงร้อยสร้างพันธะระหว่างตัวหนังสือ จนสุดท้ายออกมาเป็นเนื้อเรื่องที่เราได้อ่าน มันจึงทำให้นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในความรู้สึกของเรา โค-ตร เท่เลยล่ะ มาที่ตัวละครกันบ้าง เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบการนำเสนอบุคลิกตัวละครของคนเขียนมาก จริงอยู่ว่าเรามองทุกคนในเรื่องผ่านมุมมองคนเล่าซึ่งนั่นก็คือฟลอยด์หรือเจนินนั่นเอง หลายๆ แง่มุม หลายๆ มุมมองจึงถูกบีบกรอบความคิดและความรู้สึกต่อตัวละครอื่นๆ โดนผ่านกรอบสายตาและความนึกคิดของฟลอยด์ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมดทุกอย่างซะทีเดียว แรกเริ่ม เราเองก็มีความระแวดระวังต่อตัวละครเดฟเหมือนกับฟลอยด์เช่นกัน หลายๆ การกระทำแม้จะแสดงออกมาในทางที่ดี หากแต่มันก็มักจะเกิดคำถามลอยฟุ้งขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้ ทำไม ทำไม และทำไม... นั่นคือความรู้สึกของเราขณะที่ค่อยๆ เคลื่อนสายตาอ่าน พร้อมกันนั้นก็หวั่นไหวไปพร้อมกับตัวละครเมื่อพ่อพระเอกทำหรือแสดงออก ตลอดจนเอ่ยถ้อยคำบางคำพูดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างมาพร้อมกับความสับสนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายทำให้รู้สึกดีจริงๆ ก่อนที่ความคลางแคลงใจเหล่านั้นจะค่อยๆ ลดทอนลงเมื่อเราเริ่มอ่านโดยที่มองฉากของนิยายเรื่องนี้ให้กว้างมากขึ้น มากกว่าที่ฟลอยด์มอง มันเลยทำให้เราเห็นเสน่ห์อีกข้อของนิยายเรื่องนี้ คือ ...ตัวละครดูมีมิติมาก มันมากกว่าภาพสีสองมิติทั่วไป ที่บอกว่าเทามาก เทาน้อย จริงๆ เราว่าตัวละครที่คนเขียนสร้างมานั้นมันมีอะไรที่มองได้ลึกลงไปกว่านั้นอีก หากแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจตัวละครยากจนคว้าไม่ถึง ชอบการค่อยๆ ตั้งคำถาม เพราะนั่นคือสิ่งที่มนุษย์เรามักกระทำเสมอเมื่อเกิดความสับสน ฟลอยด์เองก็เช่นกัน ในสภาวะแบบนั้น แล้วยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งถูกบีบให้มีทางเลือกหรือทางออกเพียงน้อยนิด ตลอดจนการถูกกดและตีกรอบให้คิดอยู่เพียงไม่กี่อย่าง นั่นทำให้ฟลอยด์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามมากมายขึ้นมาในหัว ขณะที่เราอ่านเรายังเกิดคำถามเลย พานให้เกิดความไม่เข้าใจในการกระทำบางอย่างของตัวละครหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ อย่างล้วนมีเหตุและผลมารองรับกันเสมอตามเส้นเรื่อง และในตอนท้ายที่สุดคนเขียนก็สามารถทักทอเนื้อเรื่องออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเรื่องการลำดับเนื้อเรื่องกระทั่งความสมเหตุสมผลของนิยายเรื่องนี้เราว่าคนเขียนทำออกมาได้ดีมากเลยค่ะ ยังจำฉากที่ทั้งคู่เจอกันได้อยู่เลย ตอนฟลอด์เจอกับเดฟครั้งแรกเราก็ตั้งคำถามเหมือนฟลอยด์ ตอนหนีออกมา เราก็ยังตั้งคำถามต่ออีกว่าทำไมพระเอกถึงยอมปล่อยให้น้องไป ก่อนจะใจชื้นขึ้นมากับฉากที่เดฟเดินมาหาตอนที่น้องคิดจะกลับไปทำเรื่องนั้นอีกครั้ง ยังจำฉากที่พระเอกหึงและหวงน้องได้ดี เราว่าเสน่ห์ของเดฟอีกอย่างที่ชัดมากในความคิดเราคือเขาพุดในสิ่งที่ต้องการพูดและรู้สึกออกมาตรงๆ แต่ก็ไม่บอกทั้งหมดที่ตัวเองคิด แต่ก็ไม่ได้ปิดจนทำให้ทั้งคู่คลางแคลงใจกันนานนัก เห็นได้ชัดเลยเวลาเดฟหึงหรือหวงเดฟก็บอกตรงๆ หรือจะเป็นการพยายามทำให้ฟลอยด์ยอมง้างปากพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายคิดเดฟก็มักมีวิธีจัดการ เดฟเป็นตัวละครหนึ่งที่เราว่ามีเสน่ห์มากเลยนะ จริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะเราอ่านและมองเดฟผ่านกรอบสายและความคิดของฟลอยดืก็เป็นได้ มันเลยทำให้เรารักตัวละครเดฟ และเหตุผลที่ทำให้เราคิดแบบนั้นก็เพราะว่าฟลอยด์เองก็ชอบเดฟเหมือนกันไงล่ะ เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกตอนเราอ่านมันไม่ได้รู้สึกเรื่อยๆ เลยสักนิด ทุกตัวอกษรที่เคลื่อนสายตาอ่านเราคอยลุ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฟลอยด์เกิดความไม่มั่นใจในตัวเดฟ หรือตอนที่ทั้งคู่หยั่งเชิงกันยิ่งอ่านยิ่งสนุก อีกฉากที่ทำให้เราชอบคือเดฟพยายามบีบฟลอยด์โดยที่เราเองที่เป็นคนอ่านผ่านมุมมองของฟลอยด์แต่กลับไปเอาใจช่วยเดฟแทนเสียนี่ ฮ่าๆๆๆ คือลุ้นมากว่าเมื่อไหร่น้องจะยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที ชอบการแสดงความเป็นเจ้าของของเดฟมาก แต่เข้าใจแหละว่าวูบหนึ่งเราเองก็คิดเหมือนฟลอยด์ ว่าการที่เดฟพามาอยู่ในห้องที่คลับมันคือการจำกัดพื้นที่ ทั้งที่อีกฝ่ายพร่ำบอกว่ามันคือความปลอดภัยของฟลอยดื ก่อนจะตามมาด้วยคำถามในหัวของฟลอยด์ที่ทวงถามถึงคำว่าอิสระ จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูค่อยๆ เทาขึ้นในความรู้สึกเรา ตอนอ่านหลังจากตอนสิบเก้ามา เราต้องคอยจิบน้ำตลอดเลย แบบอ่านๆ ไปแล้วรู้สึกฝืดคอแปลกๆ สงสัยจะอินจัดจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อผู้ชายที่ชื่อลูคัสปรากฎตัว อันที่จริงก็พอเข้าใจได้โดยง่ายมากถึงบรรยากาศและท่าทางคนในแก๊งค์ที่เปลี่ยนไป กับการกลับมาของผู้ชายคนนั้น ตอนแรกเราเดาว่าทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน และก็ใช่จริงๆ เรารู้สึกไม่ชอบใจตัวละครฟลอยด์ที่พยายามถามเรื่องของเดฟจากคนอื่น ซึ่งคนอื่นที่ว่าดันเป็นคนที่เราพยายามอยากให้ฟลอยด์อยู่ห่างๆ แต่ก็เข้าใจไปด้วยในที เพราะถ้าจะให้ถามเอาตรงๆ จากเจ้าตัวเลยก็กลัวว่าจะไม่ได้คำตอบตามที่หวังไว้ ทั้งๆ ที่ตัวฟลอยด์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครหรอกที่อยากได้ยินหรือรับรู้เรื่องที่ตนไม่พึงปรารถนา ฟลอยด์เองก็เช่นกัน เราคิดว่าน้องอยากรู้จักกับผู้ชายที่ตัวเองให้ความรู้สึกที่เรืยกว่าชอบ ไม่สิถ้าอ่านไปถึงช่วงนั้นเราคิดว่านอกจากเราแล้วฟลอยด์ในตอนนั้นก็คงรับรู้และมั่นใจแหละ ว่าตัวเองรักเดฟแล้วและเพราะรักนั่นแหละในตอนที่ไปเจอกับฉากนั้นมันเลยทำให้น้องเริ่มไม่เชื่อใจเดฟอีกเหมือนเคย อันที่จริงต้องบอกว่าทำให้ไม่เชื่อใจอย่างที่พยายามย้ำบอกตัวเองตลอดมา ทุกๆ อย่างมันยิ่งแย่ลง แย่ลง หลังจากที่ฟลอยด์สับสนระหว่างความรู้สึกตัวเองที่มีต่อฟลอยด์กับภาพและเสียงในค่ำคืนนั้น อีกทั้งบรรยากาศระหว่างฟลอยด์กับเดฟดูแย่ลงไปอีกขั้นเมื่อฟลอยด์มีท่าทีต่อคฃต้านเดฟ และเดฟก็ไม่สามารถง้างหรืองัดวิธีที่เคยใช้มาจัดการได้เหมือนอย่างที่เคยทำ ทุกอย่างดำเนินต่อไปจวบจนถึงบรรยกาศของเรื่องที่เราแทบไม่คิดว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสั่นคลอนลงไปอีก ตอนที่ฟลอยดืเข้าไปช่วยจัดของเราเองก็ภาวนาให้รีบจัดและรีบออกมาซะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เลยว่าคนเขียนจะเล่นแง่แบบไหน แต่เพื่อความสบายใจของตัวเองและแน่นอนว่ามันย่่อมนำพาความสบายใจมาสู่ตัวละครอื่นๆ อีกได้ถ้าฟลอยด์ไม่อยู่ใกล้กับผู้ชายที่ชือลูคัสคนนั้น แต่คำภาวนาของเราไร้ผล... ทุกสิ่งทุกอย่างมาได้จังหวะเป๊ะๆ ตามบท ตามเส้นเรื่องที่คนเขียนวางไว้ เดฟมาเจอท้งคู่อยู่ด้วยกัน และเรื่องราววุ่นวายก็ดำเนินต่อไป... ฉากบีบหัวใจเราอีกฉากหนึ่ง ไม่ใช่ฉากที่ฟลอยด์กลับไปเป็นเจนิน ตัวตนที่น้องพยายามวิ่งหนีให้ไกลที่สุด แต่เป็นฉากที่ฟลอยดืจ้องมองไปที่ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ตอนหนึ่งในเรื่องเราเองก็แอบสงสารเขา "โจ" เราเข้าใจความรู้สึกฟลอยด์นะ ยังจำถ้อยคำตัดพ้อได้อยู่เลย ตอนที่กลับมาเจอเดฟ เพราะตอนนั้นเราเองที่ไล่สายตาอ่านตัวหนังสือขณะนั้น เราเองก็ภาวนาให้เดฟเป็นคนมาเจอและพาน้องออกไปจากที่แห่งนั้น จริงอยู่ว่าทุกคำขอไม่อาจเป็นไปตามที่เราหวังทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดสิ้นหวังเสียทีเดียว อย่างหนึ่งคือเราดีใจที่น้องไม่ได้คิดว่าเดฟไม่ต้องการตัวเอง แม้จะมีเพียงเสี้ยวหนึ่งในห้วงความรู้สึกเล้กๆ ที่น้องคิด เช่นเดียวกับถ้อยคำของเดฟที่ลอยคลุ้งยามที่น้องต้องเจอเรื่องแย่ๆ แล้วฟลอยด์พูดคำว่า โกหก โกหก เราว่าตอนนั้นมันเจ็บปวดมากเลย แต่น้องก็ฮึดสู้อีกครั้ง ตั้งสติ และใช้ความสิ้นหวังมาสร้างเป็นความหวังสุดท้าย ก่อนจะเริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อน ตอนนั้นที่อ่านก็ยังรู้สึกขัดใจในความง่ายดายเสียเหลือเกินในการปลิดชีพแชพ แต่ใจหนึ่งก็ดีใจและเอาใจช่วยให้น้องรีบทำแล้วรีบออกมาจากที่สวะแห่งนั้นซะ และน้องก็ทำได้ ฉากที่ทำให้เรามือสั่นไปพร้อมกับความตื่นเต้นในใจอีกฉากคือ ฉากที่น้องโทรกลับไปหาเดฟ หลังจากหนีมาแล้ว เรากลัวมากว่ารถที่จอดแล้วมองมายังน้องจะเป็นคนที่ไปบอกพวกในคลับ แล้วทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ในใจภาวนาว่าก่อนที่น้องจะหมดสติไป เราภาวนาให้เดฟรีบตามหาน้องเจอ หรือไม่ก็รับสายน้องสักที คำอ้อนวอน(ต่อคนเขียน)ของเราเป็นจริงในที่สุด ...และทั้งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันในรอบสี่เดือน ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำถามและข้อสงสัยในตัวละครเดฟ ทำเรากกระจ่างอีกครั้งในทอลืกของคนเขียน ซึ่งอันที่จริงเราว่าทอลืกของคนเขียนมาช่วยย้ำสำทับสิ่งที่เราคิดและเดาเอาเองมากกว่า ตอนอ่านทอล์กเราเลยยิ้มแก้มปริ แบบเอ่ออออ เราไม่ได้มโนไปเอง เดฟเข้าใจว่าน้องหนีไป เลยไม่ได้ตามหา เราเข้าใจอย่างนั้นในช่วงสี่เดือนที่น้องต้องกลับไปอยู่เนวาด้า ขณะนั้นเราก็โกรธเดฟแหละ น้อยใจประหนึ่งเป็นฟลอยด์ลงมาจุติในร่าง ฮ่าาา ก่อนที่เดฟจะเป็นคนเฉลยอีกครั้งตอนที่ทั้งคู่ได้กลับมาคุยกัน เดฟบอกในสิ่งที่คนในคลับบอก และเหตุผลจากเหตุการณ์จากตอนที่สามสิบมันก็ช่วยสนับสนุนได้อย่างดี เราว่าฟลอยด์เองก็คงเข้าใจระดับหนึ่ง เลยไม่หยิบยกขึ้นมาตัดพ้อให้ยืดยาว แต่คำที่เดฟพูดว่า "พวกเขาคือครอบครัว" ตอนที่เราอ่านเราแบบสะดุดกึกเลย คำว่าครอบครัวมันทำให้เราน้อยใจเดฟอีกครั้ง บางทีมันก็โหดร้ายกับฟลอยด์เกินไป ถึงจะบอกว่าเข้าใจและไม่น้อยใจแต่วูบหนึ่งคนเราก็ต้องมีรู้สึกบ้าง ชอบอีกอย่างคือพระเอกยอมรับในสิ่งที่นายเอกไปเผชิญมา ทั้งคู่เหมือนพังด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายเลยต่างหาคนมายึดเหนี่ยว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เดฟตัดสินใจได้อย่างง่ายดายในตอนที่ฟลอยด์บอกว่ากลับมาไม่ได้แล้ว เพราะคนในคลับไม่ได้มองฟลอยด์ในแบบเดิมอีกต่อไป และนั่นจึงทำให้เดฟตัดสินถามว่าอยากไปที่ไหน เราชอบฉากสุดท้ายที่บรรยายมากเลย แบบให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังน้ำดีสักเรื่องจริงๆ ชอบภาพที่ตัดมาที่ฉากรถยนต์หรือกระทั่งฉากที่คนเขียนบรรยายตอนเดฟวางกุญแจรถ ไหนจะเสื้อหนังที่ห่อหุ้มกายและหัวใจอีกฝ่ายมาทั้งชีวิต ปล่อยตัวตนที่พยายามสร้างมาตลอดให้ล่วงล่นลงไปแล้วรีบคว้ามือของฟลอยด์เอาไว้ ฉากจบเราว่าอิ่มมาก แต่เพราะความละโมบโลภมากอยากจะเห็นตัวละครทั้งสองคนต่ออีกสักนิด ใจจึงขวนขวายที่จะได้พบกับตัวละครเหล่านั้นในตัวหนังสืออีก น่าเสียดายที่มาเจอเรื่องนี้ช้าไป เรามาไม่ทันช่วงพรี นี่คืดอีกเรื่องทีทำให้ช้ำใจสุด ฮืออออออ สุดท้ายนี้หวังเหลือเกินว่าคุณคนเขียน(คุณซิน)จะได้อ่านความเวิ่นเว้อของเรา ก่อนอื่นอยากขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้เราได้มาเจอนิยายเรื่องนี้ อยากขอบคุณเวลา 1 ปี 5 เดือนที่คุณคนเขียนได้สละเวลาจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายมาสรรค์สร้างตัวหนังสือและเรียงร้อยออกมาเป็นนิยายชั้นดีอย่างนี้ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ และอยากบอกว่านิยายเรื่องนี้ตลอดจนตัวละครในเรื่อง ฉากแต่ละฉาก หรือแม้แต่บางคำพูด ถอยคำสนทนาภายในเรื่อง จะยังอยู่ในความทรงจำและติดตรึงใจใจเราไปอีกนานเลยค่ะ ขอบคุณที่สร้างตัวละครออกมาได้สมจริงและดีเยี่ยมอย่างนี้ ขอบคุณมากเลยนะคะ และยินดีที่ได้รู้จักผ่านตัวหนังสือค่ะ ขอบคุณค่ะ อ่านน้อยลง
aliskyu | 27 เม.ย. 61
3
0
"รักเจนินนนน หลงฟลอยด์"
(แจ้งลบ)ชอบอ่ะ อ่านทีเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเลย เข้าไปอ่านแอชเรย์แล้วก็ชอบเหมือนกันนะ แต่ไม่คลั่งไคล่เขย่าประตูเท่าเดฟฟลอยด์เลยให้ตายสิ พวกเขาขโมยหัวใจฉันไป ปกติแล้วไม่ชอบพระเอกเถื่อนเลยนะ เกลียดมาก แบบส่วนใหญ่ที่อ่านมา ไม่ว่าเรื่องนั้นคนจะรีวิวว่าพระเอกโหดขนาดไหน แต่พอเราเข้าไปอ่านแล้วเหมือนจับความได้แค่ว่า "พยายามเขียนให้มันเถือน" อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกว่าธรรม ... อ่านเพิ่มเติม
ชอบอ่ะ อ่านทีเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเลย เข้าไปอ่านแอชเรย์แล้วก็ชอบเหมือนกันนะ แต่ไม่คลั่งไคล่เขย่าประตูเท่าเดฟฟลอยด์เลยให้ตายสิ พวกเขาขโมยหัวใจฉันไป ปกติแล้วไม่ชอบพระเอกเถื่อนเลยนะ เกลียดมาก แบบส่วนใหญ่ที่อ่านมา ไม่ว่าเรื่องนั้นคนจะรีวิวว่าพระเอกโหดขนาดไหน แต่พอเราเข้าไปอ่านแล้วเหมือนจับความได้แค่ว่า "พยายามเขียนให้มันเถือน" อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกว่าธรรมดา แต่งเว่อวังจริม ๆ แต่พี่เดฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ว๊ากกกกกกกกก (เขย่าลูกกรง) นั่งนิ่ง ๆ ซินซาโน่ห้าศูนย์ห้า(เรียกให้เต็ม) เขียนและสื่อออกมาได้แบบ ว้าว ว้าว ว้าว!! อ่านแล้วรู้สึกว่าอย่าเข้าใกล้ดีกว่าว่ะ นักเขียนบางคนเขียนออกมาพระเอกข่มขืนนายเอกเพื่อให้ดูเถื่อน(เอิ่ม...) ขนาดเรย์ยังเกลียดไรอัน เจนินก็คงเกลียดแชฟ โลกความจริงมันไม่มีใครรักคนที่ข่มขืนตัวเองลงหรอก เพราะงั้นเดฟฟลอยด์จึงเรียลมากสำหรับเรา บางคนเขียนความโหดโดยให้พระเอกฆ่าคนนู้น ข่มคนนั้นแบบเว่อวังมาก ถึงบอกไงว่าเขียนออกมาพยายามให้ดูเถื่อน แต่เดฟไม่ใช่เถื่อน มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ถ้าเรายืนอยู่แถวนั้นกับเพื่อนแล้วเห็นเดฟ เราก็คงจะสะกิดเพื่อนแล้วบอกมันว่า "เดฟอยู่ทางนั้น เราไปจากที่นี่กันเถอะ" อะไรประมาณนั้น มันไม่ได้ให้ความรู้สึกกลัว แต่เป็นคนที่เห็นแล้วเกรงไม่กล้า เดฟไม่ใช่คนที่ข่มคนอื่นหรือทำร้ายคนอื่นมั่วซั่ว นี่คือจุดที่ได้ใจเราไปสุด ๆ เดฟเป็นพระเอกสายดาร์กคนแรกที่เรายกให้เป็นที่หนึ่ง(สารภาพอย่างตรงไปตรงมา ชอบเดฟมากกว่าแอชชช 555) ชอบในความหวานที่มาในช่วงเวลาที่ชีวิตมันขม ชอบความอ่อนโยนที่เดฟมองให้เจนินฟลอยด์ มันอ่อนหวาน มันอ่อนโยน มันเป็นสิ่งที่บรรยายออกมาไม่ถูกเลยว่ามันดียังไง เข้าใจเลยตรงที่เจนินฟลอยด์บอกว่า "เขาทำให้ผมเห็นคุณค่าในชีวิตที่น่ารังเกียจนี้" น้ำตามาค่ะ ฮอลลลล (เขย่าลูกกรง) ส่วนเจนนินฟลอยด์............. ไม่อยากพูดอะไรมากอ่ะ เดี๋ยวมาเป็นพรืดดด ชอบทั้งชื่อเจนินและฟลอยด์ แต่เอาจริง ๆ ใจเอนเอียนชอบชื่อเจนิน ชอบมากเวลาเดฟเรียนชื่อเจนิน มันเหมือนเดฟได้เห็นเจนินในอดีก่อนที่จะเจอกัน การเรียกชื่ออดีตที่ขมขื่นให้ความรู้สึกว่าเจนินที่ทรมานได้เจอเดฟแล้วนะ ปลอดภัยแล้วนะเจนิน แต่ทั้งนี้ไม่ว่าเจนินหรือฟลอยด์ก็คือคน ๆ เดียวกัน ต่างกันแค่ชื่อ ชอบที่เจนินอยากเจอเจฟ มันเหมือนชีวิตที่เจนินเคยเกลียดนั้น เจนินอยากเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนที่เห็นคุณค่า และใช่! เดฟเห็น แต่แค่บางครั้งประคองมันไว้ไม่ดีก็เท่านั้น ร้องไห้เป็นเผาเต่าคือตอนที่เจนินพยายามขูดรอยสักออก เหมือนพยายามขีดฆ่ามันทิ้งไม่ยอมรับใครอีกแล้วนอกจากเดฟ กลัวเดฟเห็น ร้องไห้บ้านถล่มกรงทลายคือตอนที่เจนินยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้เบอร์เดฟ ออยยยยยย ปวดอกไปหมด ขอให้ไม่ผิดหวังในรักนะเจนินฟลอยด์ของฉันนน ชอบม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สู้ ๆ นะคะ จะแวะเวียนมาเม้นท์มาเขียนให้บ่อย ๆ ชอบ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านน้อยลง
Ney-ver | 22 พ.ย. 60
2
0
ดูทั้งหมด
ความคิดเห็น