ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TVXQ] ,,, twelve fourteenth ,,, [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #4 : 4th fourteenth

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 243
      3
      13 ธ.ค. 54

     

    Title ; twelve fourteenths
    Paring ; yunhojaejoong & yoochunjunsu
    Genre ; ramantic, drama
    Author ; hasu




    twelve fourteenths

    4th fourteenth


     






    14 Apr

    Black Day


    วันที่คนที่ยังไม่มีคนรักจะมากินจาจังมยอนด้วยกัน







    จุนซูก็เป็นเหมือนน้องชายคนนึง ชั้นไม่เคยคิดอะไรกับเด็กคนนั้น
    แต่ความคิดของเค้าจะเป็นยังไง... ชั้นเองก็บังคับใจเค้าไม่ได้เหมือนกัน





    ฮึ่ยยยย~!!


    ถ้อยคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยยังวนเวียนอยู่ในหัว สลัดยังไงก็ไม่หลุดซักที 
    ใบหน้าป้อมสะบัดไปมาจนหัวสั่นหัวคลอน แต่ให้ตายเถอะ... สะบัดแบบนี้มาจะเป็นเดือนแล้ว เสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจเค้าโดยไม่รู้ตัวก็ยังไม่เบาลงเลยสักนิด



    ได้แต่ด่าตัวเองว่าโง่เอง ที่เดินย้อนกลับไป ทั้งที่พี่ยุนโฮก็รับช็อคโกแล็ตของเขาไปแล้วก็น่าจะจบๆ กัน จะได้กลับไปนอนฝันอย่างเป็นสุขว่าพี่ยุนโฮจะชอบไวท์ช็อคโกแล็ตที่จุนซูบรรจงเลือกมาจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำไหมนะ (อย่ามองหน้าอย่างนั้น ก็คนมันทำขนมไม่เก่งนี่ ชิ!) 



    แต่เพราะความเอ๋อขั้นเทพของตัวเองนี่สิทำให้เกิดเรื่อง ดันไปทำผ้าเช็ดหน้าตกที่ห้องแต่งตัวของกองถ่ายพี่ยุนโฮซะได้ พอเดินกลับไปหาอีกทีก็ไม่เหลือใครแล้ว แถมไม่มีร่องรอยของสิ่งที่เขาทำหล่นไว้หลงเหลืออยู่ด้วย




    ตอนนั้น... จะงกทำไมนะ? จะอยากได้คืนทำไมนะ?




    ร่างป้อมระบายลมหายใจยาว... คำตอบก็รู้อยู่แก่ใจ ผ้าบาติกลายท้องทะเลสีฟ้าสดผืนนั้นน่ะ เป็นของขวัญที่พี่ยุนโฮซื้อให้เป็นของฝากจากการทำงานที่ทะเลทางใต้... จะปล่อยให้มันหายไปน่ะเหรอ ไม่มีทางซะล่ะ



    หลังจากซักถามทีมงานที่มีหน้าที่เคลียร์พื้นที่จนครบทุกคนแล้วยังไม่ได้วี่แววของผ้าผืนน้อย จุนซูเลยตัดสินใจโทร.หาตัวช่วยสุดท้าย... หวังว่าพี่ยุนโฮจะเก็บไว้ให้เขานะ ถ้าหายไป คงเสียดายแย่เลย




    จุนซูถือสายรอจนเกือบหมดความอดทน ยิ่งไม่มีคนรับนานเท่าไหร่ ตัวเองก็ยิ่งกระวนกระวายนานเท่านั้น ... จนเกือบจะตัดสายแล้วเชียวที่สัญญาณรอสายเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงขลุกขลักอู้อี้ฟังแทบไม่ออก



    สงสัยพี่ยุนโฮจะเผลอกดโดนปุ่ม...
    ความเงียบดำเนินไปครู่หนึ่ง จุนซูนับหนึ่ง สอง สาม ในใจ ตั้งท่าจะแผดเสียงทะลุหูโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่แล้ว ก็มีบทสนทนาจากปลายสายดังขึ้นมาเสียก่อน



    มือสั่น... ใจสั่น




    ไม่ใช่ว่าไม่รู้ จุนซูรู้ดีกว่าใครว่าความอ่อนโยนที่พี่ยุนโฮมีให้นั่นก็แค่ในฐานะพี่ชายคนนึงจะให้กับน้องชายที่สนิทสนมกันได้ อ่อนโยนกว่าใคร ใจดีด้วยกว่าคู่ควงคนไหน นั่นก็เพราะจุนซูมีสิทธิพิเศษของคำว่าญาติ แต่คนตัวเล็กยังหวังลมๆ แล้งๆ ไปว่าตราบใดที่พี่ยุนโฮยังเป็นพี่ยุนโฮที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่รัก แต่การเป็นคนที่ได้ใกล้ชิดมากที่สุดมันก็น่าพึงใจ



    แต่ทั้งหมดมันเปลี่ยนไปแล้ว



    เสียงทุ้มเบสที่แอบได้ยินมาเจือแววจริงจังจนสัมผัสได้
    เหอะ... ต้องยอมรับความจริงแล้วสินะ




    คำพูดของพี่ยนโฮบอกให้เขารู้ว่าพี่ชายต่างสายเลือดรู้อยู่แก่ใจว่าเขารู้สึกยังไง แต่ความรู้สึกของเขามันก็ไม่ได้มีค่ามากพอในความรู้สึกฝ่ายนั้น อันที่จริง ถ้าพี่ยุนโฮจะทำห่างเหินสักนิดเมื่อรู้ความในใจอันไม่บริสุทธิ์ของเขา จุนซูอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้



    ...เพราะมันหมายความว่าพี่ยุนโฮเป็นห่วงความรู้สึกของน้องชายคนนี้ ไม่อยากให้ถลำลึก


    ไม่ใช่แค่ ยังไงก็ได้





    ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย โอ๊ยยยยย!!





    โอ๊ยย!


    เฮ้ย! เสียงอะไรน่ะ เขาไม่ได้เผลอตะโกนออกมาให้ใครเค้าหาว่าบ้าสักหน่อยนะ! ถึงสวนสาธารณะนี่จะเงียบเชียบจนเกือบร้าง แต่ให้มาแหกปากโวยวายคงใช่ที่ ยิ่งดึกแล้วแบบนี้เกิดมีใครลุกขึ้นมาด่าคงขายขี้หน้าแย่ เขาก็แค่เดินไปเดินมาแล้วเตะก้อนหินไปตามเรื่องเท่านั้นเองนะ


    อ๊ะ... เตะก้อนหิน?





    อูย... เจ็บชะมัด
    ชัดแล้วสิงานนี้...



    เหยื่อฆาตกรรม เอ๊ย ผู้เคราะห์ร้ายประจำคืนนี้เป็นกำลังกุมหัวตัวเองด้วยท่าทางเจ็บปวดแบบสุดแสน จนจุนซูอดจะแปลกใจไม่ได้ว่าโดนก้อนหินกระเด็นใส่หรือเป็นเนื้องอกในสมองกันแน่ ถึงได้ทำท่าปวดซะโอเวอร์แอคติ้งขนาดนั้น 



    เหอะ... ถือว่าเจ็บเพราะเขาหรอกนะ



    จุนซูก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปใกล้อีกฝ่าย นี่ นาย... เป็นอะไรมั้ย?”



    พอเข้าใกล้อีกฝ่ายถึงได้สังเกต ผู้ชายคนนี้แต่งตัวเห่ยชะมัด... เสื้อแขนยาวออกจะย้วย กับกางเกงวอร์มที่แม้แต่เด็กม.ปลายยังไม่อยากจะใส่กัน หัวก็ฟูฟ่องเป็นรังนก ไม่รู้เคยสัมผัสโดนหวีบ้างรึปล่าวน่ะ... แล้วกระดาษอะไรเนี่ย กระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด... 




    เต็มพื้น... เต็มพื้น...




    เฮ้ย!!
    เหยียบไปเต็มๆ เลยนี่หว่า!




    เวรแล้ว! 

    พอเห็นชะตากรรมของรายงานที่ตัวเองเฝ้าฟูมฟักไม่ได้หลับได้นอนมาตั้งหลายวัน ที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของไอ้คนซุ่มซ่ามนี่ ปาร์ค ยูชอนที่ปกติเป็นมนุษย์เจี๋ยมเจี้ยมก็แหกปากขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ร่างสูงลืมความเจ็บปวดที่หัวชั่วคราว มันจะปูดเป็นลูกมะนาวก็ช่างมัน สิบห้าคะแนนที่โดนประทับรอยเท้าไปแล้วสำคัญกว่าเยอะ!




    ผมขอโทษ... 

    จุนซูพูดเสียงอ่อย หลังจากก้มลงไปเก็บกระดาษรายงานที่ปลิวว่อนเก็บคืนเจ้าของ... งื่อ ทั้งเปียก แล้วก็เลอะ บนกระดาษสีขาวนั้นเห็นลายดอกยางรองเท้าเค้าครบถ้วนแบบทายยี่ห้อได้เลยอ่ะ 




    ขอโทษแล้วมันหายมั้ย ?”

    อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าปาร์ค ยูชอนนั้นเป็นมนุษย์เจี๋ยมเจี้ยม เป็นเด็กเรียนแว่นหนานั่งหน้าห้องเลคเชอร์คู่กับแจจุง (หน้าตาแบบแจจุง ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะว่าเป็นเด็กเรียนกับเค้าด้วย!) ปกติยูชอนจะใจเย็นจนเข้าขั้นเฉื่อย ไม่เคยเอาเรื่องใครและไม่เคยมีใครมาหาเรื่อง ยกเว้นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องเรียนเนี่ยแหละ ที่พ่อหนุ่มเนิร์ดคนนี้จะอเลิร์ทกับเค้าบ้าง



    โชคดีที่ว่า กองกระดาษแผ่นเมื่อกี้คือรายงานที่ยูชอนถวายวิญญาณนั่งทำติดกันมากว่าสัปดาห์จนเพิ่งจะเขียนเค้าร่างเสร็จเมื่อกี้ซะด้วย แล้วให้ตาย... เละเทะแบบนี้แค่จะอ่านยังไม่ค่อยจะออก แล้วจะเอาไปพิมพ์ได้ยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าต้องทำใหม่น่ะ? ยูชอนสำรวจกระดาษที่เปียกเลอะทีละแผ่นด้วยท่าทีใจสลาย ซึ่งนั่นก็เรียกความหมั่นไส้จากร่างอวบที่ยืนมองอยู่ได้ดีเลยล่ะ



    แล้วจะเอาไงห๊ะ ก็คนมันไม่ตั้งใจ แล้วก็ขอโทษแล้วด้วย จะบ่นอะไรอีกคราบนางฟ้าผู้สำนึกผิดเมื่อกี้ไม่รู้ปลิวหายไปไหนแล้ว เหลือแต่จุนซูคนปากร้ายที่ยืนเท้าสะเอวหวีดเสียงแหลมอยู่นี่แทน ให้ตายเถอะคิมจุนซู นายจะช่วยเป็นหนุ่มน้อยแสนดีต่อไปอีกนานๆ หน่อยไม่ได้หรือไงนะ?



    และแน่นอนว่าคนที่ซวยต้องรับฟังเสียงความถี่สูงเมื่อกี้น่ะ ไม่คิดจะอยู่เฉยๆแน่นอน ปาร์ค ยูชอนที่ปกติเป็นมนุษย์จืดจาง ไม่ชอบหาเรื่องกับใคร ถึงกับอารมณ์ขึ้นกับเขาบ้างเชียวนะ อันที่จริงพ่อหนุ่มแว่นคนนี้ก็ไม่เคยโกรธใครถ้าไม่ใช่เรื่องเรียนอยู่แล้วล่ะ นักเรียนตัวอย่างก็เงี้ยแหละ 



    ถ้าไอ้การตวาดแว๊ดๆ แบบเมื้อกี้เรียกว่าขอโทษล่ะก็ รู้ไว้เลยว่านายเป็นคนที่ขอโทษได้ห่วยแตกที่สุดในโลก... ให้ตาย ดูซิเนี่ย ทำงานของคนอื่นเละเทะขนาดนี้ยังจะมากรี๊ดใส่อีก ไม่รู้รึไงว่าเสียงตัวเองเป็นมลพิษขนาดไหนพูดไปก็หยิบเอากระดาษสีขาวที่เลอะเป็นคราบด่างดวงจนแทบอ่านตัวหนังสือในนั้นไม่ออกโบกไปมาใส่หน้าคนที่ยืนอึ้งมือไม้สั่นอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเม้มปากตัวเองแน่นแต่ไม่พูดอะไรซักที ปาร์ค ยูชอนเลยพาตัวเองเดินจากไปพร้อมส่ายหัวอย่างกับผู้ใหญ่ระอาเด็กน้อยไม่ได้ความ 



    ไม่ได้หันมามองสักนิด ว่าคนที่ยืนนิ่งอยู่กำลังทำหน้ายังไง





    หน-- หนอย



    มลพิษงั้นเหรอ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าว่าจุนซูแบบนี้มาก่อนเลยนะ

    แล้วเสียงแหลมแสบแก้วหูอะไร... แบบนี้เค้าเรียกเสียงใสกังวานต่างหากเล่า!





    ฮึ่ยย... ไอ้บ้าหน้าจืด ไอ้พวกคิ้วต่ำกว่ามาตรฐาน กล้าดียังไงมาว่ากันแบบนี้วะ 

    หนอยแน่ อย่าให้เจอกันอีกทีนะ จะกรี๊ดใส่ให้ขี้หูเต้นระบำเลย โลมาเคือง!!! 





    คิดในใจแบบนี้ อึดอัดชะมัด ขอซักหน่อยเหอะนะ เสร็จแล้วจะรีบติดแม็กซ์สปีดวิ่งกลับบ้านไม่ให้ใครทันเห็นต้น

    เสียงเลยเอ้า.. หนึ่ง สอง สาม...






    ไอ้บ้าหน้าแว่นเอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!!



    .



    .



    .




    กลับไปได้แล้วไป๊ 


    นี่นายพูดกับแฟนที่แสนดี ที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทั้งที่ไม่มีตารางงานเพื่อมาส่งนายให้ทันคลาสเช้าแบบนี้น่ะเหรอ?” เสียงทุ้มยียวนดังขึ้นพร้อมกับใยหน้าหล่อๆ ที่ชะโงกเข้ามาใกล้เกินพอดี คิม แจจุงไม่ใช่สาวน้อยร้อยชั่งที่จะมาใจเต้นตึกตักเพราะพ่อพระเอกสุดฮ็อตหรอกนะ ไม่ต้องเอาความหล่อมาใช้พร่ำเพรื่อ ไม่มีประโยชน์เว้ย! 


    นายกล้าดียังไงบอกว่าตัวเองตื่นเช้าห๊ะ? รู้มั้ยว่าชั้นต้องเสียเวลาและพลังงานมากขนาดไหนกว่าจะงัดนายออกมาจากเตียงได้ ฮึ่ยยย...ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง จะมีซักกี่คนที่รู้บ้างว่าแจจุงต้องลำบากลำบนขนาดไหนกว่าจะงัดพ่อตัวดีที่ยืนหล่อล่อสายตาคนออกจากเตียงได้ ไอ้ครั้นจะทิ้งให้ยุนโฮนอนอืดไว้แล้วออกมาเรียนเองก็ดกรงจะไม่ไหว เพราะคอนโดคุณดาราใหญ่เค้าดันลึกลับซะสมกับระดับความดังนี่สิ รถประจำทางก็ไม่ผ่าน สถานีรถไฟก็ห่างเป็นกิโล แจจุงก็เลยต้องจำใจตั้งหน้าตั้งตาปลุกคนโคตรขี้เซาให้เอารถยุโปคันหรูออกมาส่งถึงนี่ไง



    เห็นยุนโฮฉีกยิ้มยียวนรับแล้วก็ให้ยิ่งอ่อนใจ นัยน์ตาเรียวๆ ยิบหยีด้วยความชอบใจชนิดที่จะเรียกว่าสะใจก็คงได้ เออเว้ย! ลืมไปได้ไงว่าหมอนี่มันหน้าด้านหน้าทนแถมหน้ามึนขนาดไหน แจจุงระบายลมหายใจยาวก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปหาร่างสูง 



    ขับรถกลับดีๆ อย่ามัวแต่หลับในจนไปเสยท้ายสิบล้อที่ไหนล่ะ!


    ปากเสียนะนาย เดี๋ยวปั๊ดพาซิ่งท้านรกด้วยกันซะเลย 


    ล้อเล่นน่า จะกลับไปนอนที่ห้องไหม เดี๋ยวเที่ยงๆ ฉันโทร.ปลุกให้เอง?” ถ้าจำไม่ผิด ยุนโฮน่าจะมีนัดอัดรายการวาไรตี้รายการหนึ่งตอนบ่ายโมง และนี่ก็เพิ่งจะเก้าโมงเช้า มีเวลาพอให้นอนอีกถมเถ แจจุงเลยเสนอทางเลือกให้กาเมร่าหน้าบูดเพราะนอนไม่พอกลับไปบูชาหมอนต่อ ไว้นอนเต็มที่ ตื่นเต็มตา พ่อเจ้าประคุณเค้าจะได้มีอารมณ์ทำตัวให้สมกับเป็นคนของประชาชนซักหน่อย แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นการปฏิเสธ



    ไม่ล่ะ ฉันไปหาที่นอนรอในหอสมุดแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกมารับนายอีก วันนี้คลาสบ่ายนายยกเลิกไม่ใช่เหรอไง?” ...รู้ดีกว่าคนเรียนซะอีก นี่นายกินตารางเรียนของชาวบ้านเข้าไปแทนมื้อเช้าหรือยังไงหา ชองยุนโฮ?


    ระวังโดนสาวๆ รุมล่ะ เด็กมหาลัยนี้ยิ่งหน้าตาดีอยู่ด้วย


    เห็นหน้านายฉันก็เชื่อแล้วล่ะว่าแล้วก็โน้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของผมเบาๆ เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและอ่อนหวานผิดกับหน้าตายียวนกวนประสาทของคนจูบชะมัด




    อะไร... ไม่ต้องมาทำมองเลยนะ

    ผมไม่ได้หน้าแดงซักหน่อย ใจก็ไม่ได้เต้นแรงกว่าปกติ





    ไม่ต้องมายิ้มเลย!!


    .



    .



    .




    แจจุง ไม่สบายเหรอ หน้าแดงเชียว มีไข้หรือเปล่าน่ะ?” 


    สาบานว่าถ้าประโยคเมื่อกี้ไม่ได้มาจาปากของปาร์ค ยูชอนที่ทำหน้าตาใสซื่อได้ยิ่งกว่าเจ้าเหมียวหยิ่งที่บ้าน แจจุงคงได้วางมวยกับคนตรงหน้าไปแล้วล่ะ! ร่างบางวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัว ก่อนจะเริ่มมุดๆ ซุกๆ ลงไปในกองชีทตั้งสูงท่วมหัว ก่อนปากอิ่มจะงึมๆ งำๆ แทบจับใจความไม่ได้



    ฉันไม่เป็นไร 



    ปาร์ค ยูชอนปรายตามองเพื่อสนิทที่เริ่มนอนพังพาบราบไปกับโต๊ะเลคเชอร์แล้วบิดไปบิดมา แถมยังพึมพำกับตัวว่า -อายโว้ยๆ- โดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นมาสนใจสายตาใครที่จับจ้องมา เอาเถอะ เดี๋ยวอาจารย์มาเมื่อไหร่ก็ต้องลุกขึ้นมาเรียนเองแหละน่า... ยูชอนคิดในใจแบบคนไม่สนใจโลก แล้วมันก็เป็นไปตามที่หนุ่มแว่นคิดเสียด้วยสิ



    ชั่วโมงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ทั้งยูชอนและแจจุงแข่งกันทำแต้มนักเรียนดีเด่น นั่งจดเลคเชอร์ด้วยปากกาสารพัดสีของแจจุงที่กระจัดกระจายไปทั่วโต๊ะอย่างกับโดนพายุลง 




    แจจุง... เดี๋ยวจะไปหาพี่ยุนโฮหรือเปล่าจ๊ะเจ้าของเสียงหวานๆ เป็นสาวน้อยผมลอนเพื่อนร่วมเซคชั่นที่แจจุงคุ้นหน้าคุ้นตาดีแต่ไม่ค่อยจะมีเรื่องให้ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอะไรมากมาย แล้วการที่คนไม่สนิทกันจะเดินฉีกยิ้มหวานมาหาแบบนี้ เดาได้เลยว่า...



    ให้ชินมีไปหาด้วยคนได้มั้ย?” 

    นั่นไง... เก็งข้อสอบไม่เห็นจะแม่นแบบนี้บ้าง!





    ก็เอาสิ

    พอร่างบางหลุดปากตอบรับออกมา ในห้องเรียนที่ทุกคนยังนั่งตั้งใจเรียนกันจนถึงเมื่อครู่ก็ลุกกันพรึ่บพรับ เกิดการรวบรวมคณะเดินทางตามหาชองยุนโฮกันทันที ตำแหน่งหัวหน้าขบวนการคือแจจุง ตามติดมาด้วยยูชอน และสาวๆ เกินครึ่งห้องที่สมัครใจเดินตามหลังมาด้วยท่าทางดี๊ด๊า



    น่าหมั่นไส้ชะมัด

    จะกรี๊ดอะไรกันนักหนา! ท่านแจจุงคนนี้หล่อกว่าเป็นไหนๆ ชิ!!






    ยุนโฮ...

    เรียกเสียงแผ่ว ไม่ใช่ว่ากลัวคนตรงหน้าจะตกใจตื่นหรอกนะ แต่เพราะว่าที่นี่มันอยู่ในห้องสมุดต่างหากล่ะ! แถมยังเป็นห้องสมุดที่มีบรรณารักษ์จอมโหดดูแลอยู่เสียด้วย ขนาดแม่สาวๆ แฟนคลับทั้งหลายยังต้องแอบไปยืนหลบมุมเงียบๆ ไม่ยืนเกะกะ ไม่ส่งเสียงรบกวน ทั้งที่ดาราในดวงใจมานอนอ่อยกลางมหาวิทยาลัยแบบนี้แท้ๆ





    ยุนโฮ... ตื่นเถอะ 

    แจจุงยื่นปลายนิ้วเรียวเข้าไปต้นแขนแกร่งเบาๆ เมื่อเห็นว่าการปลุกอีกฝ่ายด้วยเสียงเรียกที่ไม่ได้ดังไปกว่าแมวครางคงจะไม่ได้ผลเป็นแน่ ลืมไปได้ยังไงนะว่ายุนโฮน่ะขี้เซาร้ายกาจขนาดไหน



    ยุนโฮอ่า~~~” 

    แค่ปลายนิ้วคงไม่พอ? ร่างหนาไม่มีทีท่าจะขยับตัวสักนิด แจจุงเลยต้องพาตัวเองเข้าไปใกล้อีกหน่อย




    อ๊ะ

    แล้วใบหน้าหล่อที่อยู่ๆ ก็มาจ่อระยะประชิดนี่มันหมายความว่าไง? สมองที่กำลังบวมเพราะยัดความรู้เข้าไปเกินพิกัดของแจจุงประมวลผลไม่ทันหรอกนะ




    ว่า ว่า ว่า...

    ว่าไอ้คนที่แกล้งทำเป็นแมวหลับเมื่อกี้ ที่จริงเป็นสิงซุ่มต่างหากล่ะ! แค่แจจุงเอื้อมมือไปแตะโดนไหล่หนาปุ๊บ มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของคนแกล้งหลับก็คว้าหมับที่ข้อมือและกระชากร่างบางเข้าไปใกล้ตัวทันที นั่นแหละ ตามสเต็ปเลย ตาประสานตา ลมหายใจประสานกัน




    หวานกว่านี้มีอีกมั้ย!!?




    ปล่อยเดี๋ยวนี้นะชองยุนโฮ 

    โหดจริง ขอค่ารอหน่อยก็ไม่ได้

    อย่ามาทุ่มร่ามในนี้ ฉันขอร้อง

    งั้นแปลว่าถ้าข้างนอกก็โอเคสินะ?” จบประโยคปุ๊บร่างสูงก็สปริงตัวขึ้นมาได้ยังกับติดสปริง มือหนาเอื้อมมากุมรอบข้อมือบอบบางกว่าแล้วลากให้เดินตามจนตัวเซ ... เออ ใช่ซี่ แจจุงไม่ได้ขายาวเท่าพ่อซูเปอร์โมเดลนี่!!





    อ้าว จุนซูจังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นหัวมุมของตึกขาวอันเป็นที่ตั้งของหอสมุด ก็มีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารักอีกคนนึงเดินผ่านเข้ามาในจอสายตา



    พี่... 

    จุนซู พี่ไปก่อนนะ นายกลับเองได้ใช่มั้ย ไปล่ะมือเล็กที่ยกขึ้นมาทำท่าจะโบกชะงักค้าง เสียงแหลมที่ๆ กำลังจะส่งเสียงเรียกพี่ชายตัวสูงก็ขาดหายไปกับอากาศเสียอย่างนั้น ก็ในเมื่อคนที่จุนซูตั้งใจจะเรียกเค้าไม่มีทางจะหันกลับมาตามเสียงเรียกได้นี่นา




    อ่า... เจ็บกว่าที่คิดแฮะ



    ร่างเล็กมองตามท้ายรถของพี่ชายนอกสายเลือดไปจนลับสายตา ที่นั่งข้างคนขับนั่นเคยเป็นที่ของจุนซูมาก่อน... พี่ยุนโฮไม่ค่อยชอบให้มายุ่งกับออดี้คันโปรดของตัวเองซักเท่าไหร่หรอก เพราะนั่นเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากแม่ที่จากไปแล้วน่ะสิ



    แต่นี่... 



    บางที คิมแจจุงคนนั้นคงจะมีค่ากับพี่มากกว่าตุ๊กตาหน้ารถ

    และบางที... จุนซูก็ควรจะตัดใจเสียที





    แต่มันยากนี่นาาาาา!!!!



    ทำไมนายถึงชอบโวยวายนัก หืม ไม่รู้หรือไงว่าอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยน่ะ?”
    เจอทีไร เด็กตรงหน้านี่ก็มีเรื่องให้เขาต้องอุดหูเสียทุกครั้ง ปาร์คยูชอนไม่เข้าใจ!!



    นาย... ไอ้คนปากเสียเมื่อวันนั้นนี่!เสียงหวีดแหลมมาพร้อมนิ้วสั่นระริกที่ชี้ตรงมายังหน้าผากกว้างๆ ของอีกคน

    ปล่าว... ไม่ได้จงใจนะ ก็แค่พื้นที่ตรงนั้นมันเยอะกว่าชาวบ้านเฉยๆ จะชี้หน้า มันเลยแถมผากเข้ามาก็เท่านั้นเอ๊ง จุนซูไม่ได้ตั้งใจหาว่าใครเถิกหรอกนะ~! 



    แล้วเด็กขี้โวยวายมาทำอะไรแถวนี้เนี่ยเมื่อวันนี้หนังสือและอุปกรณ์การเรียนทุกชิ้นยังอยู่ดีมีสุขในกระเป๋าเป้สะพายหลัง ยูชอนเลยไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องอารมณ์เสียใส่เด็กแก้มพอง ที่ยืนทำหน้างงอยู่กลางถนนคนเดียว … “หรือว่าโดนทิ้ง?”


    แถมยังอารมณ์ดีพอจะกวนประสาทเด็กเสียด้วยสิ~



    หนอย... ไอ้แว่นปากเสีย ไปไหนก็ไปไป๊ อย่ามาหาเรื่องกัน วันนี้ชั้นไม่ได้ทำนายเจ็บแล้วไม่พอใจเหรอไง อยากโดนก้อนหินเจาะหัวอีกซักรอบเหรอ หา!ถึงจะเศร้าอยู่แต่ต่อมสร้างสรรค์คำพูดของจุนซูก็ยังทำงานเป็นปกติ... อ่า ดีเกินปกติ ถึงยังด่าฉอดๆ ได้



    คิดอีกแง่ มันก็อาจจะเป็นวิธีระบายอารมณ์วิธีหนึ่งล่ะมั้ง

    แต่เสียตรงที่ว่าที่ว่า คนด่าน่ะ ... ทำไมต้องยืนหน้าแดงตัวแดง แถมยังหอบจนสั่นไปทั้งตัวอีกด้วย





    เด็กเอ๊ย...ปาร์คยูชอนผู้ไม่สนใจโลกกำลังทำให้โลกต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวเดินเข้าไปฉุดร่างเล็กให้ซุกซบกับอกตัวเอง ปล่อยให้เสื้อเชิ้ตลายตารางเลอะเป็นด่างดวง


    ด่าเค้าแล้วมาร้องไห้ใส่ทำไมมือหนาที่ลูบแผ่นหลังบางเป็นจังหวะกลับทำให้เสียงสะอื้นดังรุนแรงขึ้นอีก


    ก... ก็ไม่ได้...ฮึก... อยากจะให-ห้... มา... ฮึก... ปลอบซักหน่อยแล้วเสียงสะอื้นไม่จางนี่หมายความว่าอะไรเล่า?


    โอเค ไม่ปลอบก็ไม่ปลอบ... หยุดร้องเสียทีสิ ฉันหิวแล้วยืนยันคำพูดด้วยเสียงจากท้องที่ร้องทันที รู้คิวชะมัด... เสียงโครกครากจากกระเพาะดังเสียจนจุนซูที่น้ำตาไหลพรากอยู่ยังอดขำไม่ได้


    จ-- จาจังมยอน...ร่างเล็กผละออกจากแผงอกที่ใช้แทนทิชชู่ซึมซับเยี่ยม ใช้มือป้อมปาดน้ำตาออกจนเหลือแค่คราบจางๆ กับตาบวมๆ นิดหน่อย


    ห๊ะ อะไรนะ?” หน้าตาเหรอหราซะไม่มี 


    จาจังมยอนไงเล่า!! จาจังมยอน!! ไปกินจาจังมยอนฉลองความโสดกันเถอะ ฮึ่ยยยย... อย่ามาปฏิเสธนะ หน้าลุงๆ แบบนี้ให้ตีลังกามองอีกกี่ร้อยรอบก็โสดชัวร์ เพราะงั้น ไปกินจาจังมยอนฉลองแบล็คเดย์กันเถอะคุณลุงงง!



    พูดจบ จุนซูก็เอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับแขนอีกฝ่าย เขย่าไปมาเสียจนยูชอนนึกว่าแขนของตัวเองจะหลุดออกจากตัวเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ที่ถอดประกอบได้อยู่แล้วเชียว ในที่สุดก็ต้องยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ พร้อมกับเดินนำทางไปยังโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยโดยมีคนตัวเล็กเกาะติดยังกับเหาฉลามนั่นแหละ ใบหน้ากลมๆ ถึงได้มีรอยยิ้มประดับกับเค้าบ้าง


    เด็กก็แบบนี้ เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด~

    ว่าแต่... นี่หน้าผมแก่ขนาดคุณลุงแล้วเหรอเนี่ย?






    To be continued...











    ทำไมฟอนท์มันเพี้ยน
    แก้ยีงไงก็แก้ไม่ได้ แง TTTTT









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×