ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #5 : สุดสัปดาห์อันตราย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.94K
      5
      23 มี.ค. 48







                                      หมายเหตุ      เขียนวันที่  23 มี.ค.48      หนัก    88.4   กิโลกรัม





                                      พอผมใช้เทคนิคการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างเดียวตั้งแต่วันอังคารที่ 1-วันศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 น้ำหนักลดโดยเฉลี่ยวันละครึ่งกิโล จาก 107 เป็น 105 ทั้งสี่วันนี้ผมปฏิบัติเหมือนกันคือ มื้อเช้าและกลางวันผมกินเกาเหลาโฟ 1 ชามกับน้ำเปล่า 1 ขวด ส่วนมื้อเย็นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้เป็นสีสันในการกินอาหาร เท่าที่จำได้ วันอังคารผมกินส้มตำแครอท วันพุธผมกินสลัดปลา วันพฤหัสบดีผมกินยำปลาทูน่า ปิดท้ายวันศุกร์ผมกินส้มตำมะละกอ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน 4 วันแรกโดยออกกำลังกายควบคู่เล็กน้อยให้ผลดีเกินคาด เพราะตอนแรกคิดว่าจะลดสัปดาห์ละโล แต่ 4 วันแรกก็ปาไปแล้ว 2 โล โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก



                                     เท่าที่คุยกับเพื่อนในกลุ่มพบว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใน 4 วันแรกของแต่ละคนจะได้ผลไม่เท่ากัน บางคนอาจจะลดได้ครึ่งโล บางคนอาจลดได้ 1 โล สำหรับบางคนน้ำหนักไม่ลดเลย แต่น้ำหนักก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ยังไงเสียก็นับว่าเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับผมอาจจะเรียกได้ว่าเห็นผลค่อนข้างไว เพราะถ้า 4 วันนี้ผมยังมีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม วันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมาผมคงหนัก 110 กิโลไปแล้ว คิดแล้วก็น่ากลัวนะครับ ถ้าผมไม่เริ่มตั้งแต่วันนั้น ยังตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนเดิม วันนี้ผมคงหนัก 115-120 โลไปแล้ว คงไม่ใช่ 88.4 โลอย่างในปัจจุบัน ด้วยความคิดนี้ทำให้ผมพยายามบอกทุกคนที่มีโอกาสว่า ถ้าคุณหนัก 100 โลกว่าๆแล้วด้วยพฤติกรรมการกินของคุณเอง คุณควรทำอะไรสักอย่าง



                                    แต่การพูดของผมก็คงจะไม่ผลีผลามหรือเชิงบังคับ เพราะผมทราบดีว่า\"ความพร้อม\"ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนๆหนึ่ง  อยากลดน้ำหนักหรือไม่ อย่างตัวผมเองถึงใครจะมาทักผมเมื่อปีที่แล้วว่าให้ผมลด ผมก็คงไม่ลดหรอกเพราะเงื่อนไขมันผิดกัน สำหรับผมนั้น คนรอบข้างทุกคนเขาทำใจกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ายังไงเดือน มี.ค.48 นี้ผมก็ต้องหนักไม่ต่ำกว่า 110 โลเป็นแน่ แต่พอวันนี้ผมหนัก 88.4 กิโล ก็เลยทำให้คนที่ไม่ได้เจอกันมานานแปลกใจใหญ่ ผมจึงคิดเอาเองว่าเรื่องแบบนี้ \"ความพร้อม\"นั้นสำคัญมาก



                                    ไอ้เรื่องควรชั่งน้ำหนักบ่อยแค่ไหนก็เหมือนกัน รู้สึกว่าจะมีหลายทฤษฎีเอามากๆ บางคนบอกว่านานๆชั่งที บางคนบอกว่าชั่งบ่อยๆ ผมเลยสรุปเอาเองว่าผมจะชั่งวันละ 2 เวลาคือตอนเช้าเพื่อให้รู้น้ำหนักของผม กับตอนเย็นเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ทำมาวันนี้ทั้งหมดมันทำให้น้ำหนักของผมเปลี่ยนไปอย่างไร และผมก็ชั่งแบบนี้เป็นประจำไม่ขาดไม่เกิน ผมคิดว่าเทคนิคแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมสามารถลดน้ำหนักจาก 107 มาเป็น 88.4 ได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน เพราะฉะนั้นชั่งวันละ 2 ครั้งน่าจะใช้ได้



                                    พอ 4 วันลดได้ 2 โล และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเสาร์แล้ว เพื่อนๆเลยส่งคำเตือนกันเข้ามาใหญ่เพราะรู้ว่าวิถีชีวิตของผมนั้น การฉลองในวันสุดสัปดาห์ถือว่าสำคัญมาก มีหลายคนเตือนให้ระวังให้ดี ควรงดเจอเพื่อนฝูงและก็งดบุฟเฟ่ด้วย งดงานเลี้ยงมันให้หมดเลย คำแนะนำเหล่านี้ถือว่าทำให้ผมคิดหนักมากทีเดียว จริงๆผมก็อยากจะงดแหละครับ เพราะเราเพิ่งเข้าโปรแกรมมาได้ 4 วันเอง แต่ถ้าเราจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตของเราด้วยมันจะเป็นหนทางที่ดีเหรอ มันจะทำให้เราเครียดมากเกินไปรึเปล่า การเครียดมากเกินไปอาจทำให้กลับมากินแบบเดิมก็เป็นได้ ผมลืมบอกไปว่า ผมเองก็มีพฤติกรรมเครียดแล้วกินคนหนึ่งเหมือนกัน บางมื้อต้องกินตั้ง 6 จานกว่าจะหายเครียด ผมยังจำได้ติดตา ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่แล้วอาจจะเรียนหนักประกอบกับมีปัญหาชีวิตบางอย่างเลยกินแบบไม่หยุดเลยมื้อนั้น เริ่มตั้งแต่ 4 โมงเย็นผมก็กินข้าวแกงกับก๋วยเตี๋ยว ประมาณ 6 โมงก็ล่อข้าวมันไก่กับราดหน้า และปิดท้ายด้วยข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวกับหอยทอดตอน 2 ทุ่ม ผมหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเลยครับ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าน้ำหนักมันจะเพิ่มสักเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นยังไม่มีเครื่องชั่งประจำบ้าน



                                   คิดไปคิดมาผมก็เลยตัดสินใจไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนครับ ผมเองจะมีเพื่อนหลายกลุ่มมาก ทั้งกลุ่มนักกีฬา นักวิชาการ และนักกิน เสาร์ที่ 5 นั้นผมต้องไปสังสรรค์กับพวกนักกินทั้งหลาย แล้วก็อย่างที่ผมคิด พวกเขาพาผมไปที่ร้านบุฟเฟ่แห่งหนึ่งหนึ่ง หัวละเกือบ 600 บาท หยั่งงี้มันแกล้งกันชัดๆเลย พอไปถึงที่ร้าน ขอบอกครับว่าคนแน่นมาก เพื่อนๆก็บอกผมว่าซัดให้เต็มที่เลย ผมก็บอกกับเขาว่าตอนนี้\"ผมเข้าโปรแกรมอยู่\" เขาก็บอกว่าเว้นสักมื้อเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเข้าใหม่ ฟังแล้วเหมือนหวังดี แต่การที่ผมใช้คำว่า \"เข้าโปรแกรม\"นั้นมันหมายความว่า \"ความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด\" ตอนนั้นผมก็เกือบตบะแตกแล้วเหมือนกัน เพราะอาหารแต่ละอย่างมันดูน่าอร่อยทั้งนั้น แต่ผมก็ตั้งใจกินสลัดไปจานเดียว สลัดจานนี้ช่างแพงจังเลย พวกเขาบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า \"ผมกินไม่คุ้มเลย\" แต่ผมคิดว่ายังไงๆก็คุ้มเพราะผมยังอยู่ในโปรแกรม และก็เลยพาลคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า ทำไมอาหารที่แพงๆนั้นมันต้องอุดมไปด้วยคาลอรี่ทั้งนั้นเลย ส่วนอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างมันก็ถูกแสนถูก ไม่เห็นสมดุลกันเลยเนอะระหว่างอาหารกับราคา เมื่อผมยืนยันว่าจะกินตามนั้นและไม่ยอมออกจากโปรแกรมกลางคันเด็ดขาด ก็ไม่มีใครกล้าขัดผมอีก



                                  พอผ่านไป 10 วัน จาก 107 ก็เหลือ 102 โล น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะครับตอนนั้นที่ผมจะก้าวเข้าสู่หลักเลขเก้าด้วยวิธีเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นเรื่องหลักและออกกำลังกายเป็นเรื่องรอง  แต่พอย่างเข้าวันที่ 11 น่ะสิ มารผจญตัวใหม่ก็เข้ามาแบบคาดไม่ถึง และมันก็เกือบทำให้ผมอยากจะออกจากโปรแกรม แต่ก็ยังดีครับที่ยังควบคุมตัวเองไว้ได้ มารผจญนั้นคืออะไรเหรอครับ เอาไว้ลุ้นกันตอนหน้าก็แล้วกันครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×