ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลแนวแฟนตาซี ( เหมาะกับนักเขียนที่ต้องการหาข้อมูล )

    ลำดับตอนที่ #9 : ซาตาน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.51K
      2
      27 เม.ย. 51



     

    ข้อความ : ขอฝากเรื่องซาตานจากในพระคัมภีร์

    - เดิมซาตานคือหัวหน้าฑูตสวรรค์ นามว่า ลูซิเฟอร์ เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในจักรวาล และยังมีฤทธิ์เดชทั้งบนแผ่นดินโลกและฟ้าอากาศอีกด้วย เพราะเมื่อก่อนนั้นที่ยังไม่มีมนุษย์ พระเจ้าให้ซาตานเป็นผู้ปกครองสิ่งสารพัด และมันก็มีอำนาจรองจากพระเจ้า

    แต่มีอยู่วันหนึ่ง ลูซิเฟอร์ หยิ่งผยองในความงาม หรือ ความหล่อ ของตน บวกกับอำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ มันจึงพูดว่า "ข้าจะ..." 5 ครั้ง ดังนี้
    ข้าจะขั้นไปยังสวรรค์
    ข้าจะยกชูพระที่นั่งของข้าขึ้นไป...
    ข้าจะนั่งลงบนขุนเขาชุมนุม...
    ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ
    ข้าจะกระทำตัวของข้าให้เป็นเหมือนองค์ผู้สูงสุด

    ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าซาตานต้องการจะทัดเทียมกับพระเจ้า มันจึงคิดกบฎต่อพระเจ้า

    และหนึ่งในสามของฑูตสวรรค์ทั้งหมด ก็ได้ติดตามซาตานไป ซึ่งก็คือววิญญาณชั่วในปัจจุบันน่นเอง

    ทุกวันนี้ก็มีทูตสวรรค์ดีเป็นผู้ยืนหยัดอยู่ร่วมกับพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์เลวนนั้นเป็นพันธมิตรกับซาตานเพื่อมาต่อต้านพระเจ้า
    และที่อยู่ของพวกมันขณะนี้ก็คือ สภานอากาศ , อากาศ

    ส่วนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดินโลกในเวลานั้น (ก่อนพระเจ้าสร้างมนุษย์ , อาดาม)จึงได้กลายเป็นผีโสโครกบนแผ่นดินโลก และ ที่อยู่ของพวกมันขณะนี้คือ บนแผ่นดินโลก และ ในน้ำ เช่น ในมธ. 8 ข้อ 28-32 ที่มีชายคนหนึ่งถูกผีโสโครกเข้าสิงเป็นจำนวนมาก เมื่อพระเยซูเจ้าทรงขับผีโสโครกออกไปแล้ว พวกมันก็มาขอความยินยอมจากพระองค์ให้มันได้เข้าไปสิงอยู่ในฝูงสุกร เมื่อพวกมันได้เข้าไปสิงอยู่ในฝูงสุกรแล้ว สุกรทั้งฝูงก็วิ่งกระโจนลงในในน้ำ

    ฉะนั้นซาตาน จากเดิมที่เป็น โอรสแห่งรุ่งอรุณ จึงกลายเป็น หัวหน้าผี

    หลังจากที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ คือ อาดาม พระเจ้าก็เห็นว่า อาดามอาจเหงาได้ จึง ให้อาดามหลับไป แล้วดึงกระดูกซี่โครงของอาดามมา 1 ซี่ และ สร้างให้เป็น หญิง ซึ่งก็คือ อีฟ หรือ เอวา

    ฉะนั้น ผู้ชายมีกระดูกซี่โครงน้อยกว่าผู้หญิง 1 ซี่ นะค่ะ

    จากนั้นพระเจ้าได้บอกให้อาดามและเอวากินผลไม้ ได้ทุกอย่างที่อยู่ในสวนเอเดน แต่มีต้นไม้ 1 ต้น ที่ห้ามกินเป็นอันขาด ซึ่งก็คือ ต้นแห่งความรู้ได้และชั่ว ไม่ใช่ต้นแอ๊ปเปิ้ล ที่เรามักเข้าใจกันนะ ส่วนต้นไม้อีกต้นที่พระเจ้าให้กินได้ก็คือ ต้นไม้แห่งชีวิต

    จริงๆแล้ว พระเจ้า จะจัดการกับซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง(พระเจ้าสร้างลูซิเฟอร์) โดยสิ่งที่ถูกสร้างเช่นกัน ซึ่งก็คือมนุษย์ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เป็นผู้ที่จัดการกับซาตาน และ เลือกพระเจ้า

    แต่มนุษย์กลับถูกหลอกลวง ให้เลือก ซาตาน

    แล้วซาตานมันมาหลอกลวงมนุษย์อย่างไรล่ะ

    ก็โดยการที่มันปลอมตัวเป็นงู มาพูดกับ เอวา หรือ ผู้หญิง เพราะผู้หญิงขี้สงสัย และ ชอบถาม ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เธอได้กินต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้าไป

    ซึ่งต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วนี้ก็คือ ซาตาน ส่วน ต้นไม้แห่งชีวิต ก็คือ พระเจ้า ในวันนี้เรากินอะไรเข้าไป เราก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น ณ วันนั้น เอวา และ อาดามไม่เชื่อฟังพระเจ้า ได้หลงเชื่อซาตาน ซึ่งปลอมเป็นงู มาหลอกมนุษย์

    ตอนนั้นซาตาน ก็ได้เข้าสู่มนุษย์ แล้ว เพราะฉะนั้นนับแต่เวลานั้น มนุษย์ก็มีความบาป ไม่ต้องสอนให้โกหก ก็โกหกเป็นตั้งแต่เด็ก , ไม่ต้องสอนให้ขโมยของ ก็ขโมยเป็น

    สิ่งนี้ก็คือความบาปที่อยู่ภายในมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา เกิดมาก็มีบาปว่างั่นเถอะ

    จากวันนั้น พระเจ้าจึงขับไล่ อาดามและเอวา ออกจากสวนเอเดน และ ให้ทูตสวรรค์ของของพระเจ้านำดาบไฟมาล้อมสวนเอเดนไว้ และไม่มีใครที่สามารถเข้าไป และ เห็นได้จนถึงทุกวันนี้


    เช่นนี้ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะแพ้ซะแล้ว แต่พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งสติปัญญา

    พระเจ้าจึงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะจัดการกับซาตานด้วยตัวของพระองค์เอง
    โดยมาเกิดในครรภ์ของนางมาเรีย ซึ่งนางมาเรีย มีเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่) และ กษัตริย์ซะโลโมน (ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก)

    ขณะนั้น นางมาเรีย ได้หมั้น กับ ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า โยเซฟ , แต่ทว่า นางมาเรียได้ท้องขึ้นมาทั้งที่มิได้ร่วมสมสู่กับใคร , ตอนนั้น โจเซฟ ก็คิดว่าจะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ แต่ทูตสวรรค์ ได้มาห้ามไว้ และ บอกกับ โจเซฟ ว่า นางมาเรียได้ตั้งท้อง จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ เมื่อบุตรผู้นี้เกิดมา ให้ตั้งชื่อว่า

    เยซู ซึ่งแปลว่า พระยะโฮวาผู้ช่วย

    พระเยซูผู้นี้แหละที่จะมาช่วยมนุษย์, และพระเยซูจึงได้เกิดในรางหญ้า หมู่บ้านเบธเลเฮม

    เพราะอะไร เพราะตอนนั้นก่อนที่พระเยซูจะเกิด มีนักปราชญ์จากแดนไกลกลุ่มหนึ่ง ได้ตามดาวนำทางมา และรู้ว่าพระเยซูจะเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์

    แต่นักปราชญ์เหล่านี้ กลับไปถามกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่ชื่อว่า เฮโรด ๆจึงกลัวมากและหลอกนักปราชญ์เหล่านี้ว่า หากพบทารกนี้แล้วให้รีบแจ้งพระองค์ด่วน เพื่อที่พระองค์จะไปนมัสการบ้าง แต่เมื่อ นักปราชญ์ได้ไปพบพระเยซูน้อยแล้ว ทูตสวรรค์ก็ได้มาปรากฏและบอกให้เขากลับไปทางอื่น และ อย่าได้บอกแก่กษัตริย์เฮโรด

    เมื่อกษัตริย์เฮโรดนี้ ก็โกรธมาก สั่งให้ฆ่าเด็กทารกทั้งหมด

    อย่างไรก็ตามพระเยซูได้ดำเนินชีวิตอยู่ 33.5 ปีครึ่ง จากนั้นจรึงตายบนไม้กางเขน , ฟื้นคืนพระชนม์หลังจากนั้น 3 วัน แล้ว เสด็จสู่สวรรค์

    ........................

    ตอนที่พระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขนนั้น ซาตานคิดว่ามันได้ชนะต่อ พระเจ้าแล้ว แต่จริงๆแล้ว ณ วันนั้นที่พระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขนนั้น ซาตานได้ถูกตรึงตายร่วมกับพระเยซูด้วย เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้า และ ก็เป็นมนุษย์ด้วย แต่ไม่มีบาปเลย ฉะนั้นจากตอนที่อาดามและเอวา ได้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้าไป และ มนุษย์ได้ตกต่ำไป เต็มไปด้วยความบาปนั้น. ตอนนี้พระเยซูได้มาสิ้นสุดแล้ว

    โดยพระเยซูที่เป็นมนุษย์และพระเจ้า และ ไม่มีบาป ได้ยอมตามเพื่อคนบาปทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกหลานของอาดามซึ่งมีความบาปอยู่ข้างใน ได้ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนนั้น ซาตานก็ถูกตรึงด้วย ซึ่งจริงๆแล้วพระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนที่จะเกิดขึ้นด้วยซ้ำก็คือ พระเยซูคือ รูปภายนอกของงูที่ทำจากทองเหลือง (งูทองเหลือง คือ เป็นงูที่ทำจากทองเหลือง ดูภายนอกมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับงูทุกอย่าง แต่ไม่มีพิษ ซึ่งความหมายก็คือ พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ไม่มีความบาป)

    และพระคัมภีร์ยังได้กล่าวอีกว่า “เผ่าพันธุ์หญิง จะทำให้ หัวงูฟกช้ำไป “ ซึ่งความหมายก็คือ พระเยซูที่เกิดจากเผ่าพันธ์ผู้หญิง คือนางมาเรีย ซึ่งเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากการสมสู่ของชายหญิง และ พระเยซูผู้นี้แหละที่มาตีหัวงู หรือซาตานให้ฟกช้ำ โดยมาเป็นคน แล้วเอาร่างมนุษย์นี่แหละ ให้ซาตานตรึงบนไม้กางเขน

    แล้วทำไมต้องตรึงบนไม้กางเขนด้วย?
    - ด้านหนึ่งเพื่อจัดการกับซาตาน
    - อีกด้านหนึ่งเพื่อเป็นตัวกลางเพื่อคืนดีกับพระเจ้า หรือกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องบูชามอบให้แก่พระเจ้า ซึ่งพระองค์ไม่มีบาป ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอใจ และยอมรับ และยอมยกโทษความผิดบาปให้กับมนุษย์

    แต่มนุษย์ที่จะได้รับการอภัยบาปที่มีมาแต่เกิดนี้ ก็คือมนุษย์ที่ กลับใจเสียใหม่เท่านั้น โดยยอมรับด้วยปากและใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า , พระเยซูสามารถช่วยท่านได้ โดย เปิดปากและร้องออกพระนามของพระเยซูว่า “โอ พระเยซู” สารภาพบาปกับพระองค์ เพียงเท่านี้ท่านก็รอด และพระเยซูก็สามารถเข้าสู่ภายในท่าน

    เข้าสู่วิญญาณ ซึ่งอยู่ส่วนที่ลึกที่สุดของท่าน เป็นชีวิต , เป็นเพื่อน, เป็นทุกสิ่ง และ เป็นพระผู้ช่วยของท่าน
    ไม่จำเป็นต้องติดรูปพระเยซู , ไม่ต้องใส่ไม้กางเขน, ไม่ต้องกราบไหว้รูปปั้นของพระเยซู เพราะพระองค์ได้อยู่ภายในของท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร เวลาใด

    คำถาม...........พระเยซูกลัวไหม ที่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน? เจ็บไหม?
    ตอบ..............กลัวมาก แต่พระองค์ก็อธิษฐาน และขณะที่ใกล้จะถึงเวลาที่พระองค์รู้ว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว พระองค์ได้ไปอธิษฐานแต่เพียงผู้เดียว ขอให้เลื่อนจอกนี้ออกไป ถ้าเป็นไปได้ แถมยังร้องไห้เป็นเลือดอีกด้วย ตามผลการวิจัยทางการแพทย์ การร้องไห้เป็นเลือด คือแสดงว่ามีความเครียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่กลัว แต่พระองค์ยอมที่จะเจ็บปวด และตายเพื่อเรา เพื่อที่จะนำตัวของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาถวายแก่พระเจ้า เพื่อให้พระเจ้ายอมรับมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง หรือ พูดง่ายๆก็คือ เพื่อให้มนุษย์กับพระเจ้าคืนดีกัน

    ในพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าคือ ความรัก, ความสว่าง และ ความชอบธรรม
    เพราะพระเจ้าคือความชอบธรรม ซึ่งก็คือ ผิดคือผิด , ถูกคือถูก เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์กระทำผิด ก็ต้องได้รับโทษตามความผิดนั้น เหมือนกับในครอบครัวๆหนึ่ง หากลูกกระทำความผิดที่รุนแรงมาก และพ่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้วลูกคนนี้ก็เสียไป ฉะนั้นพระเจ้า ก็เหมือนกับบิดา ในบ้าน เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน จึงต้องมีความชอบธรรมมาปกครองคนในบ้านเพื่อให้อยู่อย่างสงบสุข

    จริงๆแล้วพระเจ้าไม่เป็นเพียงแต่ ความรัก, ความสว่าง และ ความชอบธรรม เท่านั้น แต่พระองค์ยังได้กล่าวไว้ว่า
    “เราเป็นซึ่งเราเป็น......”
    ตรงที่ .........ไว้ คือให้เราเติมเอง
    เราอยากให้พระเจ้าเป็นอะไรล่ะ
    เมื่อเรารู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ ไม่มีใครเข้าใจ และ รักเรา ..................... เราก็สามารถอธิษฐาน หรือ พูดคุยกับพระเจ้า ซึ่งเราจะพูดอะไรก็ได้ เช่น โอ พระเยซู ๆ ๆ ๆ ขอพระองค์ทรงเป็น ความรัก ขอข้าพเจ้า / ขอต่าย / ขอจอย ทำไมถึงไม่มีใครรักจอยเลย ไม่มีใครเข้าใจ ....

    เช่นนี้ ท่านจะสัมผัสได้ถึง ความรักของพระเจ้า
    ความรักของพระเจ้าเป็นความรักที่ ไม่เปลี่ยนแปลง , ไม่สิ้นสุด
    แต่ความรักของมนุษย์ นั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เมื่อปีที่แล้วอาจรักกันมาก แต่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นศัตรูกันซะแล้ว หรือความรักของพ่อแม่ที่รักลูก เมื่อพ่อแม่ตายจากไป ความรักนั้นก็หมดไป แต่ความรักของพระเจ้าเป็นความรักที่นิรันดร ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา และสถานที่

    หรือบางครั้ง ท่านอาจรู้สึกเกลียดใครสักคน แต่วันนี้ พระเจ้าเป็นความรัก ซึ่งเป็นความรักที่ไม่มีข้อจำกัด
    ท่านสามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้พระเจ้าเป็นความรักของท่าน เพื่อที่จะรักใครสักคน แม้คนๆนั้นอาจจะเกลียดคุณก็ตาม

    นอกจากนี้
    พระเจ้ายังเป็น ความสว่าง อีกด้วย
    เมื่อเราเชื่อพระเจ้า , พระเจ้าได้เข้าสู่ภายในเรา เป็นชีวิต และ เป็นทุกอย่างของเรา
    พระองค์ยังเป็นความสว่างของเราอีกด้วย เช่น
    เมื่อก่อนนี้เมื่อเราโกหก, ขโมยเงิน, โกง หรือ เถียงคุณพ่อ คุณแม่ หรือใครก็ตาม
    เราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่า เป็นความผิดอะไร
    แต่เมื่อเราได้เชื่อพระเยซู ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เราได้รับบัพติศมา จากน้ำแล้ว เราได้เป็นของพระเจ้าแล้ว
    เมื่อเราได้ทำสิ่งที่ผิดเหล่านี้ เราจะมีความรู้สึกที่มาจากภายในว่า ผิด , ไม่ควรทำ , ไปขอโทษซะ
    นี่ก็คือ การประสบการณ์พระเจ้า เป็น แสงสว่าง
    ปกติแล้ว เมื่อมี แสงสว่าง ก็จะไม่มี ความมืด อีกต่อไป
    พระเจ้า ก็คือ ความสว่าง
    ซาตาน ก็คือ ความมืด
    ท่านกลัวความมืดไหม เวลาที่ท่านอยู่ในที่มืดๆ ท่านรู้สึกปลอดโปร่งไหม รู้สึกสบายใจไหม

    ฉะนั้นเมื่อเรามีพระเจ้าเป็นความสว่างของเราแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป เมื่อใดที่เรากลัว เราเพียงแต่ร้อง โอ พระเยซู ๆ ๆ ๆ โดยพระนามของพระเจ้า ผีมารก็จะกลัว

    คำถาม............... ทำไมตอนอธิษฐาน ต้องเรียกพระนามพระเยซู ด้วย ?
    คำตอบ.............. เพราะว่าในพระคัมภีร์ มีคำกล่าวไว้ว่า ผู้ที่จะมาหาพระบิดา (พระเจ้า) ก็ต้องมาทางบุตรเท่านั้น ซึ่งก็คือ พระเยซู นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราจะพูดว่า โอ พระเยซู เพราะ เยซูแปลว่า ผู้ช่วยให้รอด
    เหมือนกับในวันนี้ ถ้าเราจะพูดกับคุณพ่อว่า ขอตรังค์หน่อย หรือ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม หรือ รักพ่อมากที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเรียกชื่อสักหน่อย “คุณพ่อขา เงินหมดแล้ว ขอตรังค์ใช้หน่อยได้ไหมค่ะ” , “คุณพ่อขา ก้อยรักพ่อจังเลย รักที่สุดในโลกเลย”

    นี่ก็เหมือนกัน เราสามารถร้อง โอพระเยซู หรือ พระเยซู หรือ เยซู ก้อยรักพระองค์ ๆเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของก้อย วันนี้ก้อยรู้สึกเสียใจมาก หรือรู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต หรือรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่..............

    ในบางครั้ง เรามีเรื่องราว ที่ไม่สามารถบอกกับใครได้เลย แม้แต่พ่อแม่ , เพื่อน, หรือคนที่ใกล้ชิดเราที่สุด
    แต่วันนี้เราสามารถบอกทุกสิ่งกับพระเจ้าได้ โดยผ่านพระเยซู ทุกสิ่ง ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการ แต่จากความจริงและวิญญาณของเราเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องท่องเป็นบทสวด ไม่ต้องหาคำอันสูงส่ง ก็แค่พูดธรรมดานี่แหล่ะ แต่เป็นคำที่จริง จริงใจ ออกมาจากส่วนลึกที่อยู่ข้างในที่สุด คือ วิญญาณ

    คนเราเมื่อพูดถึงวิญญาณ มักคิดถึงผี แต่จริงๆแล้วมนุษย์เราทุกคนนั้น มีวิญญาณ แต่สัตว์ไม่มีวิญญาณ
    ผู้ที่มีวิญญาณเท่านั้น ที่สามารถ พูดคุย ติดต่อกับพระเจ้าได้ ในวันนี้หากเราต้องการพูดคุยกับพระเจ้า เราเพียงแต่ใช้วิญญาณของเรา

    มนุษย์เราประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งก็คือ
    - ร่างกาย เช่น ตา หู คอ จมูก ปาก เครื่องใน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกที่สุด ส่วนที่อยู่ในจากร่างกายก็คือ
    - จิตใจ (ประกอบด้วย ความคิดในเรื่องราวต่างๆ / อารมณ์รัก ชอบ เกลียด / ความตั้งใจ ที่จะเลือก หรือทำสิ่งใดๆก็ตาม) และ
    - วิญญาณ ซึ่งอยู่ลึกที่สุด หน้าที่ของวิญญาณก็คือ ไว้ใช้ติดต่อกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้า ทุกที่ ทุกเวลา ทุกเรื่อง
    ฉะนั้น การอธิษฐานต่อพระเจ้าต้องใช้วิญญาณ ร้องโอพระเยซู เรามีเรื่องอะไร ต้องการอะไร บอกใครไม่ได้ ก็บอกพระเจ้าพระเยซู

    ในบางครั้ง ตอนที่เราอธิษฐาน เราอาจเรียก พระบิดา หรือ อับบาบิดา ก็ได้
    เพราะอะไร
    ก็เพราะว่า เมื่อไรก็ตามที่เราเชื่อพระเจ้า ในพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า
    เราก็คือบุตรของพระเจ้า , ลูกของพระเจ้า
    ฉะนั้น เราจึงมี สิทธิ สิทธิ์ ที่จะร้อง พ่อ , อับบาบิดา , พระบิดา

    เพราะฉะนั้นในการอธิษฐาน เราอาจร้องเรียก พระเยซู / อับบาพระบิดา ก็ได้

    ...........
    คำถาม ........ แล้วการรับบัพติสมา คืออะไร
    คำตอบ.......จริงๆแล้วผู้ที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระเจ้า ยอมรับด้วยใจ และปากของท่าน ผู้นั้นก็จะรอดจากบึงไฟ ตอนที่พระเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งในอนาคต ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใด เพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และจะมาพิพากษาโลกที่ชั่วร้ายนี้ แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำในสมัยของโนอา แต่จะมาด้วยไฟ ที่จะมาเผาผลาญ

    สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แน่นอนว่าก็จะต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ
    แต่สำหรับผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และสามารถช่วยท่านได้ ก็จะรอด
    แค่เชื่อ ก็จะรอด

    แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่ง คือ การรับบัพติศมา คือการที่นำผู้ที่เชื่อพระเจ้าลงไปในน้ำแค่1-2 วินาที และขึ้นมาจากน้ำ
    เพื่อเป็นการประกาศแก่ มนุษย์ และ ซาตาน ว่า บุคคลผู้นี้ได้เป็นของ พระเจ้า แล้วโดยสมบูรณ์, รายชื่อของคนผู้นี้ได้ถูกย้ายจาก อาณาจักรของซาตาน หรือ เมืองผี เข้าสู่ อาณาจักรของพระเจ้า แล้ว และชื่อของคนผู้นี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน สมุดแห่งชีวิต แล้ว

    คำถาม..........แล้วเชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องรับบัพติศมา ได้หรือไม่
    คำตอบ........ ได้ เพราะในพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า แค่เชื่อก็จะรอด แต่ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น ท่านอาจถูกซาตานหลอกลวง , ดึงท่านกลับไปอีกก็ได้
    ในโลกนี้มีเพียงแค่ 2 อาณาจักรเท่านั้น คือ อาณาจักรของพระเจ้า และ อาณาจักรของซาตาน
    เมื่อมนุษย์เกิดมาจากท้องแม่ มนุษย์ก็คือคนบาป และชื่อของเขาก็อยู่ในอาณาจักรของซาตาน ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีสักเพียงใด
    แต่เมื่อคนนี้ได้เชื่อเข้าสู่พระเจ้า ก็เหมือนกับ ขาข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า
    แต่ว่าขาอีกข้างหนึ่งยังอยู่ในอาณาจักรของซาตาน ซึ่งท่านอาจถูกซาตานหลวกลวง หรือดึงท่านกลับไป
    พูดง่ายๆก็คือ มันยังไม่สมบูรณ์ นั่นเอง
    เพราะฉะนั้น ควรที่จะเชื่อ และ รับบัพติศมา จึงจะสมบูรณ์ ซึ่งนี่คือความรอดทางด้านหลักกฎหมาย คือ แค่ครั้งแรกและครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

    แต่ยังมีอีกความรอดหนึ่ง ก็คือ ความรอดทางอินทรียภาพ ซึ่งก็คือ ความรอดที่เราต้องรอดทุกวัน
    จากการดำเนินชีวิตของเรา เมื่อเราเป็น คริสเตียนแล้ว เราอาจมีทั้ง สุข ทั้ง ทุกข์ ในชีวิตของเรา
    จงอย่าคิดว่าเมื่อท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ก็สบายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ฮะ ๆๆ
    แต่ว่าท่านยังต้องรอดในทุกๆวันของท่านอีกด้วย เช่น พระเจ้าให้ท่านประสบกับปัญหาอย่างหนึ่งในวันนี้
    และท่านอธิษฐาน ให้พระเจ้าเป็นผู้ช่วยของท่าน เป็นผู้ที่เพิ่มกำลังให้กับท่าน ๆก็จะรอดแบบทางอินทรียภาพ
    ซึ่งความรอดแบบแรก คือ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น , แต่หลังจากนั้นเราเรียกว่า ความรอดทางอินทรียภาพ คือรอดทุกวันจากชีวิตประจำวันของเรา



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×