ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลแนวแฟนตาซี ( เหมาะกับนักเขียนที่ต้องการหาข้อมูล )

    ลำดับตอนที่ #37 : นิทาน / ตำนาน / ความเชื่อ - อีกา ( แน่นอนว่าจะต้องมีอีกสรรพสัตว์ )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22.34K
      4
      22 ต.ค. 49



      


          
    ในบรรดานก   อีกาน่าจะเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากพอดูเลย แต่คงใกล้ชิดในทางรังเกียจเสียมากกว่า เพราะ อีกาชอบบินวนเวียนโฉบเอาเนื้อที่ผู้คนตากหรือวางไว้ไปรับประทานหน้าตาเฉย  แถมยังเป็นสัญลักษณ์ของความตาย และความอัปมงคลอีกด้วย   

           
    อีกาตามปกติจะร้องกาๆ แต่ถ้าหากมันเกิดร้องอ้อแอ้ในลำคอ ผู้ใหญ่เขาจะบอกว่าเป็น '  กาบอกข่าว  '  ห้ามไม่ให้ไล่  คนแต่ก่อนเวลาได้ยินเสียงการ้องแบบนี้จะพูดว่า  " บอกข่าวดีบอกไป  บอกข่าวร้ายบินหนี "

           
    ความเชื่อเรื่องกาเห็นจะเป็นความเชื่อในหลากหลายพื้นที่ อย่างเช่น

     
    ไทยอัสสัม  ก็เชื่อกันว่าถ้า การ้อง  จะมีแขกมาหา  หรือมีเรื่องร้าย เรื่องดี อะไรก็ให้ดูจากทิศทางที่การ้องด้วย ถ้าร้องอยู่บนหลังคาก็จะไม่ดี  หรือการเดินทางของใครคนใดคนหนึ่งจะเกิดอุปสรรคถ้าการ้องกระชั้นถี่ 

        พวกทมิฬนา ดูก็จะเชื่อเรื่องกา ก่อนกินอาหารก็จะแบ่งให้กากำนึงถือว่าเป็นการแบ่งอาหารให้คนตาย เพราะเชื่อว่ากาเป็นพาหนะของพระเสาร์ จึงนิยมเลี้ยงกาในวันเสาร์กันมาก ( อ้าว....งั้นวันอื่นก็ไม่ได้เลี้ยงสิ  )

         ทางอินเดียตอนเหนือ เชื่อว่าถ้าโยนอาหารให้กากินก็แสดงว่าวิญญาณของคนตายไปดี นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอีกามีอายุยืนถึงพันปี ไม่เคยตายด้วยโรคภัย ( นอกจากหวัดนก ) นอกจากถูกอุบัติเหตุ  ผู้หญิงที่สามีไม่อยู่บ้าน ถ้าเกิดคุณเธอเกิดแลเห็น อีกามีที่ลานบ้านแล้วร้อง " ชู่ " ก็แสดงว่าสามีกำลังจะกลับมา  ที่เชื่อเหมือนกับไทยอัสสัม ว่า เมื่อการ้องจะมีคนมาหา

         ทางความเชื่อของ  จีน อีกาถือเป็นสัตว์อัปมงคล เมื่อจะทำไรถ้าได้ยินเสียงร้องของกาก็ต้องงดหรือเลื่อนไป แต่มีข้อยกเว้นไว้คือถ้าเกิน  100  ก้าว  ถือว่าไม่เป็นไร ( แล้วใครมันจะไปนั่งวัดล่ะ ) หรือถ้าดูตามทิศยามเสียงกาก็ใช่ว่าจะร้ายไปเสียหมด ถเการ้องจากทิศใต้ ยามเช้า จะได้ของกำนัล  ยามกลางวัลจะเกิดลมพายุหรือฝนตก  ยามบ่ายจะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท  ถ้าอีการ้องจากทิศเหนือ ยามเช้ามีเรื่องชวนทะเลาะ ยามสายจะมีแขกมาหา  ยามกลางวันจะเสียสัตว์เลี้ยง  ยามบ่ายของที่หายจะได้คืน  ยามเย็นคนในบ้านจะป่วยไข้  ถเการ้องจากทิศตะวันออก  ยามเช้าจะเกิดเรื่องมงคล  ยามสาย จะมีโลคลาภ ยามกลางวันจะเกิดเรื่องถ้อยร้อยความ เวลากลางวันจะได้ของกำนัล ยามต่อไปมิตรสหายจะมาเยี่ยมเยียน  ถ้าการ้องมาจากทางทิศตะวันตก  ยามเช้าจะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหาร  ยามสายจะเกิดเหตุร้าย  เวลากลางวันจะได้ของกำนัล  เวลาบ่ายจะมีโชคลาถ  ยามต่อไปจะมีแขกแปลกหน้ามาหา    

          ความเชื่อของทาง ญี่ปุ่น  ก็ใช่ว่าจะไม่มี  ในพงศาวดารของญี่ปุ่นกล่าวว่า  คราวหนึ่งพระเจ้ายิมมุ กษัตริย์ญี่ปุ่นยกทัพไปทำศึกสงคราม แล้วหลงทางกลับไม่ถูก ปรากฏว่ามีกาตัวหนึ่งมาช่วยนำทางให้ 

       
    ในภาษาญี่ปุ่นเรียกกาว่า  การาสุ  ที่
    ญี่ปุ่นถือว่ากาเป็น นกร้ายที่นำเรื่องไม่มงคลมาให้ เขาเชื่อกันว่าการ้องอยู่บนหลังคาบ้านใด จะเกิดความตายขึ้นในบ้าน   ชาวญี่ปุ่นจึงพยายามที่จะไม่ได้ยินเสียงกามากที่สุด  แต่ทางความเชื่อของญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะเลวร้ายเสียหมด โดยเฉพาะเวลาเย็นค่ำ เวลาที่การ้องแล้วมงคลจะมี 2 เวลา (  แค่สองเวลาเท่านั้น!! ) คือตอน 6  นาฬิกากับตอนเที่ยงวัน  ถ้าต้องตอน  6  นาฬิกา จะได้สมบัติ และถ้าร้องตอนเที่ยงจะมีความสุขความเจริญ

            แต่ถึงกระนั้นความเชื่อด้านเลวร้ายคนญี่ปุ่นก็ยังถือกันมาก แม้ในปัจจุบันก็ยังเชื่อกันยู่  เวลาที่เขาต้องการพิสูจน์ความจริง เขาจะเขียนรูปกาบนกระดาษสีขาวที่เรียกว่า  ' กยุโอะ ' เป็นกระดาษแผ่นยาวๆ  แต่เจ้าการะดาษแผ่นนี้แหละจะจับตัวขโมยหรือผู้กระทำผิดได้ เวลาจะสาบานว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริง เขาจะเผากระดาษแล้วกลืนขี้เถ้านั่นไปซะ ( ยี๊!! ) ถ้าใครทำผิดจะไม่กล้ากลืนเพราะเชื่อว่าถ้าคนผิดกลืนเข้าไปจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด

              เรื่องของกาของญี่ปุ่นยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เขาเล่ามาว่ามีซามูไรคนหนึ่งมาที่ร้านขายกระดาษ แล้วทำกระเป๋าตังค์ตกโดยไม่รู้ตัว เจ้าของร้านเห็นก็เก็บไว้ สักครู่ซามูไรคนนั้นก็กลับมาถามหากระเป๋าตังค์จากเจ้าของร้าน  หากทว่าเจ้าของร้านกลับปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น  ซามูไรคนนั้นไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินจากไป  สักครู่เขาก็กลับมาอีกพร้อมกับหิ้วอีกามาด้วยตัวหนึ่งแล้วตะโกนบอกเจ้าของร้านว่า    "  คอยดูนะ  ว่าร้านของท่านจะเป็นอย่างไรต่อไป  "  พูดแล้วก็ชักดาบสั้นออกมาตัดลูกตาของอีกาแล้วเขวี้ยงใส่เจ้าของร้าน ( เอ่อ....ซาดิสม์แฮะ  พี่แก ) ตามเรื่องเขาว่าซามูไรคนนั้นได้ฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา  ส่วนเจ้าของร้านนั้น ไม่ช้าก็กิจการทรุดโทรมลง  และตัวเองก็ตาบอดกลายเป็นคนขอทาน ทั้งนี้ก็เชื่อกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์เดชของอีกาไป

            ทางพี่ไทยเราก็มีความเชื่อเรื่องนึงคือตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ได้มีอีกาบินมาตกลงเสียบยอดพระเจดีน์วัดราชบูรณะถึงแก่ความตายเป็นลางบอกเหตุว่ากรุงจะแตก

             ของคนไทยเรามีสุภาษิตข้อนึงที่ถ้าใครไม่รู้ความหมายคงจะงงเอามากดู คือ " จงเอาเยี่ยงอย่างกา  แต่อย่าเอาอย่างกา " คือกาจะเหลียงแลไปมา แสดงถึงการระมัดระวังภัยเป็นการสอนให้เรารู้จักรอบคอบ และ เวลาที่กาได้อาหารไม่ว่านั่นจะเป็นซากศพหรืออาหารดีเลิศอะไรก็ตาม มันมักจะร้องเรียกให้ญาติของตนมากินด้วย แสดงความความโอบอ้อมอารี  แต่ไม่ให้เอานิสัยชอบลักขโมยของชาวบ้านมากินเป็นตัวอย่าง

              ในพงศาวดารเหนือ มีเรื่องพระร่วงเมืองสวรรคโลกเล่าว่า พระยาร่วงนั้นเคยตามว่าวไปถึงเมืองตองอูขึ้นไป เมื่อจะขึ้นไปเอาว่าวบนปราสาทนั้นเหยียบบ่าของพระยาตองอูขึ้นไปแต่ก็ยังหยิบไม่ถึงจึงขึ้นไปเหยียบศรีษะจึงเหยียบถึง  ต่อมาพระยาตองอูรู้เรื่องถูกเหยียบก็โกรธ  ( คนอะไรก็ไม่รู้  ความรู้สึกช๊าช้า ) เรียกพระยาร่วงไปสาวไส้ออกมาโดยที่พระยาร่วงยังไม่รู้ตัว  ( เอ๊ะ...ทำยังไง )  เขาว่าเช่นนี้เป็นเพราะกรรมเก่า ชาติก่อนพระยาร่วงเป็นกา  แล้วพระยาตองอูเป็นปลา  เมื่อกาลากไส้ออกมาจะกินก็ไม่กิน  ชาติต่อไปเลยโดนสาวไส้ออกมาบ้าง

                 เรื่องของกาเป็นแทรกอยู่ในเรื่องรามเกรียรติ์บทหนึ่ง คือตอนที่พระรามอาศัยอยู่ในป่าทัณฑกะกับนางสีดา วันหนึ่งพระรามได้นอนหลับอยู่ในตักของสีดา  ( อุ๊ย....สวีท )  ในเวลานั้นโอรสของพระอินทร์นามว่า ชยันตะ ผู้ประพฤติชั่วช้าในกาลก่อน ได้เอากำเนิดมาเป็นเป็นกาตัวหนึ่ง อยากจะเสพเนื้อสด ถึงตรงเข้าไปจิกถันของนางสีดา  ( น่าน.... ไอ้นกลามก )  นางสีดาก็กลัวสามีจะตื่นจึงอดทนไว้ ทนยอมนั่งนิ่งเฉยๆทั้งๆที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ฝ่ายพระรามครั้งตื่นขึ้นมาเห็นการกระทำของกา ก็มีความโกรธสุดคณาจึงคิดฆ่ากาเสีย พระเองค์จึงเสกต้นหญ้าเป็นศรแผลงไป กาชั่วร้ายตัวนั้นมีรึก็อยู่เฉย มันก็บินหนีไปตามภาษา แต่ลูกศรนั้นก็ยังคงราวีไม่เลิก กาเห็นเช่นนั้นก็รีบไปหาพระอินทร์  แต่พอพระอินทร์เห็นว่าเป็นศรของพระราม ก็ไม่สามารถช่วยได้ กาจึงหันไปขอความเชื่อเหลือจากผู้อื่น แต่ก็ไม่มีใครช่วยได้  กาก็ยังคงบินตามไปขอความช่วยเหลือตามที่ต่างๆแต่ก็ไม่มีใครช่วยได้จึงวกกลับไปพึ่งพระราม ส่วนพระรามเมื่อเห็นกามาขอความช่วยเหลือก็นึกขึ้นได้ว่า " เรามีพรตอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าใครขอร้องว่า ข้าพเจ้าผิดแต่ครั้งเดียวดังนี้ เราจะให้อภัยแด่สัตว์ทั้งปวง"  แต่ถึงพระรามจะหวังช่วยกาแต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ จึงเอาลูกศรแทงตากาข้างนึงแล้วปล่อยไป  ส่วนกาก็พ้นโทษแล้วบินหายไปตามสบายใจเฉิบ

            ตามธรรมเนียบมไทยถ้าจะตั้งบ้านเรือนใหม่จะมีการเสี่ยงทาย ตามตำราให้เอาข้าว 3 กระทงให้กากิน  ปั้นเป็นรูปวัว  สิงห์  และ ช้าง อย่างละ 1 ถ้ากากินรูปวัวจะมีลาภ  ถ้ากินรูปช้างศัตรูจะทำร้าย  ถ้ากินรูปสิงห์จะพลันมรณะ

     

         ความเชื่อเรื่องสีดำของอีกา

    ความจริงแล้ว เรื่องที่กา มีสีดำมี นิทาน หรือ ตำนาน กล่าวไว้มากมาย แต่เราจะขอเอามาเล่า  2  เรื่อง

    นิทานในตำนานกรีก โรมัน

      แต่ก่อนนี้กามีสีขาว  คราวหนึ่งกามาบอกข่าวอพอลโล่ให้รู้ว่า โคโรนิส ซึ่งเป็นชายาของอพอลโล่คบชู้  ทำให้อพอลโล่โกรธมากจึงเกิดพาลสาปกาให้เป็นสีดำ

    นิทานพื้นเมืองอินโดนีเซีย 

       นิทานพื้นเมืองอินโดนิเซียก็เล่าว่า เดิมกามีขนสีขาว และมีหน้าที่สื่อสารนำข่าวของเทพเจ้า     คราวหนึ่งเทพเจ้าแห่งฝนให้อีกานำสารและของขวัญไปให้สาวคนรัก แต่กาดันมัวแต่ไปหลงกินปลาทำให้ศัตรูแอบมาปลอมแปลงสาร และเปลี่ยนของ ทำให้หญิงสาวโกรธ  ศัตรูได้โอกาสก็เข้าไปขอความรัก เทพเจาแห่งฝนมาขอแต่งงานภายหลังจึงไม่สมหวัง เทพเจ้าแห่งฝนโกรธมากบันดาลให้น้ำท่วมจนศัตรูคู่แข่งจมน้ำตาย  ภายหลังเทพเจ้าได้ทราบความจริงจึงสาปกาเป็นสีดำ

    ...........................................................................................................................................

        

     เครดิตจาก :: สัตวนิยาย


      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×