ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #2 : part I

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 62


    Part I

    และอีกวันหนึ่งสำหรับการเดินหางานอย่างสูญเปล่าของนักศึกษาจบใหม่ก็เวียนมาถึง… ฉันคว้าชุดกระโปรงตัวเก่งที่เพียรรีดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาใส่ หยิบรองเท้าส้นสูงที่โดยปรกติแล้วแทบไม่เคยแลมาสวม และเริ่มออกเดิน

    ฉันไม่แน่ใจว่าค่านิยมการเข้าทำงานในกรุงเทพ ฯ นั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และเพราะเหตุใดคนมากมายหลายล้านคนจึงทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อที่จะนำพาตนเองเข้ามาสู่เมืองที่ผู้คนพากันขนานนามว่า ‘เมืองศิวิไลซ์’ นี้ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ได้คิดผิดไปเสียทีเดียวหรอก

    ภาพของอาคารก่อสร้างมากมายในเมืองหลวงนั้นช่างเป็นภาพที่ดึงดูดใจของเหล่าบัณฑิตปัญญาชนหลายคนรวมทั้งตัวฉัน และแม้ว่าฉันจะได้พบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าในเมืองใหญ่แห่งนี้ ฉันก็ยังคงยืนหยัดและลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ฉันต้องการเสมอ

    ประสบการณ์สอนให้ฉันรู้ว่าใบปริญญาที่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจ เป็นเพียงแค่กระดาษที่ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตของฉันเพิ่มขึ้น กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปมากมาย คำว่า ‘ปริญญา’ คำเดียวยังไม่สามารถยกระดับชีวิตของใครได้ โดยเฉพาะ ‘ปริญญาตรี’ ด้วยแล้ว แม้แต่งานลูกจ้างที่รับค่าแรงแทบจะไม่คุ้มกับงาน ก็ยังยากที่จะไขว่คว้ามาได้

    และถึงแม้ฉันจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักศึกษาดีเด่น และได้รับใบประกาศนียบัตรทางการศึกษามามากมาย สิ่งเหล่านั้นก็หาได้ช่วยให้ฉันได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานที่ต้องการ

    นับตั้งแต่สำเร็จการศึกษา ฉันทุ่มเททุกอย่างที่ฉันมี ทั้งวันเวลา แรงกาย และจิตใจในการหางานทำที่ดีและเหมาะสมกับตัวเอง

    และคำว่า ‘ทุกอย่าง’ นั้น ฉันหมายถึงทุก ๆ อย่างจริง ๆ ฉันยอมแม้ที่จะละทิ้งครอบครัวแสนสุขและแสนอบอุ่นจากต่างจังหวัดมาผจญภัยในเมืองหลวงเพื่อค้นหาชีวิตที่มั่นคงและสวยงาม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า และชีวิตแสนเหนื่อยยากในเมืองหลวง

    ฉันหยุดลง ‘ตรงนี้’ อีกครั้งเมื่อเมื่อรู้สึกถึงอาการปวดจนแทบร้าวที่ส้นเท้า ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าการเดินทางในวันนี้คงต้องสิ้นสุดเสียที

    ตรงนี้’ สถานที่ที่เคยได้พบกับใครบางคน ฉันมองไปรอบ ๆ บริเวณ และมันช่างน่าแปลกใจนัก ที่ฉันคาดหวังว่าจะเห็นชายหนุ่มผู้แสนสุภาพคนนั้นอีกครั้ง!

    แต่ไม่มีวี่แววของเขาอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะแห่งนี้เลย... ฉันหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ นึกขำที่คาดหวังให้ใครคนนั้นปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการที่จะได้พบคน ๆ เดิมอีกครั้งในสวนสาธารณะใจกลางเมืองแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

    เขาคงไม่ได้มาที่นี่เป็นประจำ ฉันรู้เพราะฉันมาที่นี่ทุกวัน และแทบจะจำผู้คนที่มาที่นี่เป็นประจำได้ทุกคน ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุที่มาออกกำลังกายในตอนเย็น และมีความสุขกับการได้พูดคุยกับคนรุ่นลูกรุ่นหลานเช่นฉัน และที่สำคัญ... ฉันไม่เคยเห็นเขาที่นี่เลย

    ฉันหย่อนก้นลงบนม้านั่งตัวเดิม ที่ข้างริมสระน้ำเดิม ในสวนสาธารณะแห่งเดิม และไม่ทันที่ฉันจะถอดรองเท้าคู่สวยออก เสียง ๆ เดิมก็ดังขึ้นทักทาย

    อ้าว คุณนั่นเอง” เสียง ๆ เดิมที่เต็มไปด้วยความแปลกใจนี้ ทำให้ฉันละความสนใจจากความเจ็บปวดที่ส้นเท้า และหันไปพบกับชายหนุ่มที่ได้พบเมื่อวาน... ชายหนุ่มที่ฉันเพิ่งจะหัวเราะเยาะความคิดของตนเองที่บังอาจคิดว่าจะเจอเขาอีกครั้งในวันนี้ “มาทีนี่อีกแล้วหรือครับ?”

    ความประหลาดใจแล่นขึ้นล้นปรี่... ความบังเอิญอันแสนมหัศจรรย์แบบนี้เองกระมัง ที่ทำให้ใคร ๆ พากันเชื่อในพรหมลิขิต เพราะแม้กระทั่งฉัน ผู้ไม่เคยเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติใด ๆ ก็ยังรู้สึกคล้อยตามความเชื่อนั้น และชักจะเชื่อว่า ฉัน และชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้คงถูก ‘ลิขิต’ มาให้พบกันเช่นนี้เสมอ

    ใช่ค่ะ” ฉันตอบ ก่อนจะหันไปถามเขาด้วยความแปลกใจ “คุณมาที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ?”

    ไม่ทุกวันหรอกครับ แต่ก็บ่อยพอสมควร” เขาตอบรับ พร้อมกับถือวิสาสะนั่งลงข้างๆกับฉัน น่าแปลก... ฉันไม่ได้ขยับตัวเลี่ยงเขาเหมือนเมื่อวาน

    เขาหันหน้ามาและส่งยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มจึงส่งยิ้มแกน ๆ กลับไป... ยากนักที่จะสร้างรอยยิ้มอันสดใสเหมือนเช่นรอยยิ้มของเขา ในเมื่อฉันต้องพบเจอกับวันที่เหนื่อยยากเหลือเกิน

    คุณดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีอะไรอยากจะเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าครับ?”

    หากเป็นบุคคลอื่นที่พูดประโยคเดียวกันนี้ ฉันคงสวนกลับด้วยคำพูดที่เผ็ดร้อน และบอกให้บุคคลที่แสนละลาบละล้วงผู้นั้นไปจากตรงนี้เสีย แต่เมื่อเป็นเขาที่แสนสุภาพและอ่อนโยน สิ่งที่ฉันทำจึงมีเพียงส่งยิ้มที่ดูสดใสมากกว่าเดิมเล็กน้อยไปให้และพึมพำ

    สบายใจแล้วล่ะค่ะ แค่ได้มานั่งที่นี่ มองดูธรรมชาติ ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก... ที่นี่สวยมากนะคะ โดยเฉพาะสระน้ำตรงนี้ มองเมื่อไหร่ก็สบายใจ”

    เขาพยักหน้าในเชิงว่าเห็นด้วย

    จริงครับ สระน้ำตรงนี้สวยมาก ผมเองก็มาเดินเล่นแถวนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด ๆ หรือว่าไม่สบายใจ แล้วก็ทุกครั้งที่ต้องการไอเดีย... เรื่องงานน่ะครับ” น้ำเสียงและคำพูดของเขาคล้ายจะตอกย้ำเรื่องราวที่อยู่ในใจของฉัน... เรื่องงาน!

    ฉันเอียงคอ และย้ำคำพูดของเขาด้วยสำเนียงการถาม “คุณทำงานอะไรหรือคะ?”

    งานออกแบบภายในน่ะครับ... คือผมเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบภายในใกล้ ๆ นี้เองครับ” สีหน้าของเขาดูไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก เหมือนเขาไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องงาน และคล้ายกับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมิใช่สิ่งที่ภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย

    ฉันเองเสียอีกที่ทึ่งกับคำพูดนั้น

    คุณอายุเท่าไหร่กันคะเนี่ย?”

    เขาเลิกคิ้วขึ้นในเชิงถาม ฉันจึงเพิ่งตระหนักในความไม่สุภาพของคำถามนั้น

    ฉันแค่อยากทราบน่ะค่ะ... คุณลำบากใจที่จะบอกหรือคะ? ขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉันไม่ควรถามคุณแบบนั้นเลย เสียมารยาทจริง ๆ”

    เมื่อฟังคำแก้ตัวของฉัน เขาก็ยิ้ม และแทนที่จะตอบคำถามเขากลับถามกลับ “ผมดูแก่มากหรือครับ?”

    เปล่าหรอกค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เพียงแต่คุณยังดูอายุไม่มาก แต่กลับมีบริษัทเป็นของตัวเองด้วย ฉันสิคะ เรียนจบมาตั้งเป็นปี แค่งานลูกจ้างธรรมดา ๆ ก็ยังหาไม่ได้เลย”

    คล้ายว่าคำพูดนั้นถูกใจเขานักหนา นัยน์ตาของเขาจึงมีประกายวิบวับขึ้นมาทันที มุมปากทั้งสองข้างของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใส

    คุณยิ้มอะไรคะ? ฉันหางานทำไม่ได้นี่เป็นเรื่องน่าดีใจขนาดนั้นเชียวหรอ?” ฉันถามเสียงขุ่น

    เขาหัวเราะในลำคอ นัยน์ตายังคงพราวระยับ “เปล่าครับเปล่า แค่นึกขึ้นมาได้ว่าที่บริษัทยังมีตำแหน่งว่างอยู่ พอรู้ว่าคุณยังไม่ได้ไปทำสัญญากับใครก็เลยอยากจะถามว่าคุณสนใจไปทำงานที่สำนักงานผมไหม?”

    คุณชวนคนที่เพิ่งรู้จักกันไปทำงานอย่างนี้เสมอหรือคะ?” ฉันย้อนถาม

    เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดต่อไปเหมือนไม่ได้ยินคำถามของฉัน “ผมกำลังคิดอยู่ว่าคุณเนี่ยน่าจะเหมาะกับตำแหน่งอะไรดี อืม... ผมว่าผมคิดออกแล้วล่ะ”

    งานอะไรกันคะ หัวหน้าแม่บ้านรึไง?”

    คำถามประชดปนติดตลกของฉันทำเอาเขาหัวเราะร่วน ดวงตาวิบวับเมื่อครู่เปล่งประกายราวกับดวงดาวประกายพรึกในยามกลางคืน

    อย่าเลยครับ มาเป็นผู้ช่วยของผมดีกว่า ตำแหน่งนี้ยังว่าง ผมเองก็อยากจะหาคนมาช่วยประสานงานกับลูกค้าอยู่ ส่วนตำแหน่งที่คุณเสนอมาเมื่อกี้น่ะ ผมจองเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว อย่ามาแย่งงานผมทำเลยนะครับ”

    น้ำเสียงของเขาฟังดูออดอ้อน และนั่นก็ทำให้ฉันหลุดเสียงหัวเราะออกมาในทันที คำตอบตกลงวิ่งมาอยู่ริมฝีปาก... ฉันอยากใกล้ชิดกับเขา... รู้จักเขา...

    ความคิดหนึ่งแล่นตรงขึ้นมาที่สมอง หยุดคำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากริมฝีปาก... ใช่! ฉันเพียงอยากรู้จักเขา ฉันยังไม่รู้จักเขา

    คำพูดตกลงถูกกลืนลงคออย่างฝืดฝืนยิ่งนัก และแล้วฉันก็ตอบคำชักชวนนั้นด้วยถ้อยคำที่เป็นกลางมากที่สุด

    เอาไว้ฉันจะคิดดูก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าสนใจฉันจะติดต่อคุณไปเอง”

    ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตอบไปเป็นคำปฏิเสธ ในเมื่อการตอบปฏิเสธเขาไปนั้นมันช่างขัดกับความต้องการภายในของฉันเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเขาไม่ได้คะยั้นคะยออีกต่อไป ฉันก็ถือว่าคำชักชวนของเขานั้นคงเป็นไปตามมารยาท

    คุณ... เอ่อ ผมเพิ่งนึกได้ เราพูดกันมาตั้งนาน แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มสดใส “ผมนี่แย่จังเลยนะครับ ผม ประกาศิต คุณล่ะ?” เขายื่นมือมาข้างหน้า ตามธรรมเนียมการทักทายของตะวันตก

    ฉันจิตราค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และไม่มีท่าทีว่าจะยื่นมือไปสัมผัสกับเขา และนั่นทำให้เขาชักมือที่ยื่นมาตรงหน้าไปลูบท้ายทอยด้วยอาการแก้เก้อที่แสนจะมีเสน่ห์

    เขาและฉัน... เรา... พูดคุยกันอีกจนกระทั่งฟ้าสีฟ้าสดใสเริ่มมืดลงและเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทอง เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำเต็มทีฉันจึงขอตัวกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั้น

    ฉันปฏิเสธที่จะให้เขาเดินไปส่งถึงที่พัก และร่ำลาเขาด้วยอาการของคนไม่รู้จักกัน ซึ่งฉันจำเป็นต้องท่องไว้ในใจอยู่เสมอเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกับเขา

    ...การก้าวขาออกจากสวนสาธารณะโดยมีเขามองตามอยู่พร้อมกับดวงตาวิบวับ และรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น มันช่างยากเย็นยิ่งกว่าการตอบปฏิเสธคำชักชวนของเขาเสียอีก

    หอพักสตรีราคาถูกที่เป็นจุดหมายของฉันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เท้าของฉันหยุดชะงัก และจ้องมองด้วยความแปลกใจระคนด้วยความรู้สึกตกใจ หวาดหวั่น และ... ไม่ไว้ใจ

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างหากที่ทำให้เลือดทุกหยดในร่างกายของฉันจับตัวเป็นก้อน และส่งความเย็นยะเยียบไปสู่ทุกอณูของร่างกาย!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×