คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : part I
Part I
และอีกวันหนึ่งสำหรับการเดินหางานอย่างสูญเปล่าของนักศึกษาจบใหม่ก็เวียนมาถึง…
ฉันคว้าชุดกระโปรงตัวเก่งที่เพียรรีดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาใส่
หยิบรองเท้าส้นสูงที่โดยปรกติแล้วแทบไม่เคยแลมาสวม และเริ่มออกเดิน
ฉันไม่แน่ใจว่าค่านิยมการเข้าทำงานในกรุงเทพ
ฯ นั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
และเพราะเหตุใดคนมากมายหลายล้านคนจึงทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อที่จะนำพาตนเองเข้ามาสู่เมืองที่ผู้คนพากันขนานนามว่า
‘เมืองศิวิไลซ์’ นี้ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ได้คิดผิดไปเสียทีเดียวหรอก
ภาพของอาคารก่อสร้างมากมายในเมืองหลวงนั้นช่างเป็นภาพที่ดึงดูดใจของเหล่าบัณฑิตปัญญาชนหลายคนรวมทั้งตัวฉัน
และแม้ว่าฉันจะได้พบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าในเมืองใหญ่แห่งนี้
ฉันก็ยังคงยืนหยัดและลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ฉันต้องการเสมอ
ประสบการณ์สอนให้ฉันรู้ว่าใบปริญญาที่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจ
เป็นเพียงแค่กระดาษที่ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตของฉันเพิ่มขึ้น
กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปมากมาย คำว่า ‘ปริญญา’ คำเดียวยังไม่สามารถยกระดับชีวิตของใครได้
โดยเฉพาะ ‘ปริญญาตรี’ ด้วยแล้ว แม้แต่งานลูกจ้างที่รับค่าแรงแทบจะไม่คุ้มกับงาน
ก็ยังยากที่จะไขว่คว้ามาได้
และถึงแม้ฉันจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักศึกษาดีเด่น
และได้รับใบประกาศนียบัตรทางการศึกษามามากมาย
สิ่งเหล่านั้นก็หาได้ช่วยให้ฉันได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานที่ต้องการ
นับตั้งแต่สำเร็จการศึกษา
ฉันทุ่มเททุกอย่างที่ฉันมี ทั้งวันเวลา แรงกาย
และจิตใจในการหางานทำที่ดีและเหมาะสมกับตัวเอง
และคำว่า ‘ทุกอย่าง’ นั้น
ฉันหมายถึงทุก ๆ อย่างจริง ๆ
ฉันยอมแม้ที่จะละทิ้งครอบครัวแสนสุขและแสนอบอุ่นจากต่างจังหวัดมาผจญภัยในเมืองหลวงเพื่อค้นหาชีวิตที่มั่นคงและสวยงาม
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
และชีวิตแสนเหนื่อยยากในเมืองหลวง
ฉันหยุดลง ‘ตรงนี้’
อีกครั้งเมื่อเมื่อรู้สึกถึงอาการปวดจนแทบร้าวที่ส้นเท้า
ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าการเดินทางในวันนี้คงต้องสิ้นสุดเสียที
‘ตรงนี้’
สถานที่ที่เคยได้พบกับใครบางคน ฉันมองไปรอบ ๆ บริเวณ และมันช่างน่าแปลกใจนัก
ที่ฉันคาดหวังว่าจะเห็นชายหนุ่มผู้แสนสุภาพคนนั้นอีกครั้ง!
แต่ไม่มีวี่แววของเขาอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะแห่งนี้เลย...
ฉันหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ นึกขำที่คาดหวังให้ใครคนนั้นปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ทั้ง
ๆ ที่รู้ดีว่าการที่จะได้พบคน ๆ
เดิมอีกครั้งในสวนสาธารณะใจกลางเมืองแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
เขาคงไม่ได้มาที่นี่เป็นประจำ
ฉันรู้เพราะฉันมาที่นี่ทุกวัน และแทบจะจำผู้คนที่มาที่นี่เป็นประจำได้ทุกคน
ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุที่มาออกกำลังกายในตอนเย็น
และมีความสุขกับการได้พูดคุยกับคนรุ่นลูกรุ่นหลานเช่นฉัน และที่สำคัญ...
ฉันไม่เคยเห็นเขาที่นี่เลย
ฉันหย่อนก้นลงบนม้านั่งตัวเดิม
ที่ข้างริมสระน้ำเดิม ในสวนสาธารณะแห่งเดิม และไม่ทันที่ฉันจะถอดรองเท้าคู่สวยออก
เสียง ๆ เดิมก็ดังขึ้นทักทาย
“อ้าว
คุณนั่นเอง” เสียง ๆ เดิมที่เต็มไปด้วยความแปลกใจนี้
ทำให้ฉันละความสนใจจากความเจ็บปวดที่ส้นเท้า
และหันไปพบกับชายหนุ่มที่ได้พบเมื่อวาน...
ชายหนุ่มที่ฉันเพิ่งจะหัวเราะเยาะความคิดของตนเองที่บังอาจคิดว่าจะเจอเขาอีกครั้งในวันนี้
“มาทีนี่อีกแล้วหรือครับ?”
ความประหลาดใจแล่นขึ้นล้นปรี่...
ความบังเอิญอันแสนมหัศจรรย์แบบนี้เองกระมัง ที่ทำให้ใคร ๆ พากันเชื่อในพรหมลิขิต
เพราะแม้กระทั่งฉัน ผู้ไม่เคยเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติใด ๆ
ก็ยังรู้สึกคล้อยตามความเชื่อนั้น และชักจะเชื่อว่า ฉัน
และชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้คงถูก ‘ลิขิต’ มาให้พบกันเช่นนี้เสมอ
“ใช่ค่ะ” ฉันตอบ
ก่อนจะหันไปถามเขาด้วยความแปลกใจ “คุณมาที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ?”
“ไม่ทุกวันหรอกครับ
แต่ก็บ่อยพอสมควร” เขาตอบรับ พร้อมกับถือวิสาสะนั่งลงข้างๆกับฉัน น่าแปลก...
ฉันไม่ได้ขยับตัวเลี่ยงเขาเหมือนเมื่อวาน
เขาหันหน้ามาและส่งยิ้มให้ฉัน
ฉันยิ้มจึงส่งยิ้มแกน ๆ กลับไป...
ยากนักที่จะสร้างรอยยิ้มอันสดใสเหมือนเช่นรอยยิ้มของเขา
ในเมื่อฉันต้องพบเจอกับวันที่เหนื่อยยากเหลือเกิน
“คุณดูไม่ค่อยสบายใจเลย
มีอะไรอยากจะเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าครับ?”
หากเป็นบุคคลอื่นที่พูดประโยคเดียวกันนี้
ฉันคงสวนกลับด้วยคำพูดที่เผ็ดร้อน
และบอกให้บุคคลที่แสนละลาบละล้วงผู้นั้นไปจากตรงนี้เสีย
แต่เมื่อเป็นเขาที่แสนสุภาพและอ่อนโยน
สิ่งที่ฉันทำจึงมีเพียงส่งยิ้มที่ดูสดใสมากกว่าเดิมเล็กน้อยไปให้และพึมพำ
“สบายใจแล้วล่ะค่ะ
แค่ได้มานั่งที่นี่ มองดูธรรมชาติ ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก... ที่นี่สวยมากนะคะ
โดยเฉพาะสระน้ำตรงนี้ มองเมื่อไหร่ก็สบายใจ”
เขาพยักหน้าในเชิงว่าเห็นด้วย
“จริงครับ
สระน้ำตรงนี้สวยมาก ผมเองก็มาเดินเล่นแถวนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด ๆ
หรือว่าไม่สบายใจ แล้วก็ทุกครั้งที่ต้องการไอเดีย... เรื่องงานน่ะครับ”
น้ำเสียงและคำพูดของเขาคล้ายจะตอกย้ำเรื่องราวที่อยู่ในใจของฉัน... เรื่องงาน!
ฉันเอียงคอ
และย้ำคำพูดของเขาด้วยสำเนียงการถาม “คุณทำงานอะไรหรือคะ?”
“งานออกแบบภายในน่ะครับ...
คือผมเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบภายในใกล้ ๆ นี้เองครับ”
สีหน้าของเขาดูไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก เหมือนเขาไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องงาน
และคล้ายกับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมิใช่สิ่งที่ภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย
ฉันเองเสียอีกที่ทึ่งกับคำพูดนั้น
“คุณอายุเท่าไหร่กันคะเนี่ย?”
เขาเลิกคิ้วขึ้นในเชิงถาม
ฉันจึงเพิ่งตระหนักในความไม่สุภาพของคำถามนั้น
“ฉันแค่อยากทราบน่ะค่ะ...
คุณลำบากใจที่จะบอกหรือคะ? ขอโทษจริง ๆ
นะคะ ฉันไม่ควรถามคุณแบบนั้นเลย เสียมารยาทจริง ๆ”
เมื่อฟังคำแก้ตัวของฉัน เขาก็ยิ้ม
และแทนที่จะตอบคำถามเขากลับถามกลับ “ผมดูแก่มากหรือครับ?”
“เปล่าหรอกค่ะ”
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เพียงแต่คุณยังดูอายุไม่มาก
แต่กลับมีบริษัทเป็นของตัวเองด้วย ฉันสิคะ เรียนจบมาตั้งเป็นปี
แค่งานลูกจ้างธรรมดา ๆ ก็ยังหาไม่ได้เลย”
คล้ายว่าคำพูดนั้นถูกใจเขานักหนา
นัยน์ตาของเขาจึงมีประกายวิบวับขึ้นมาทันที มุมปากทั้งสองข้างของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใส
“คุณยิ้มอะไรคะ? ฉันหางานทำไม่ได้นี่เป็นเรื่องน่าดีใจขนาดนั้นเชียวหรอ?” ฉันถามเสียงขุ่น
เขาหัวเราะในลำคอ
นัยน์ตายังคงพราวระยับ “เปล่าครับเปล่า
แค่นึกขึ้นมาได้ว่าที่บริษัทยังมีตำแหน่งว่างอยู่
พอรู้ว่าคุณยังไม่ได้ไปทำสัญญากับใครก็เลยอยากจะถามว่าคุณสนใจไปทำงานที่สำนักงานผมไหม?”
“คุณชวนคนที่เพิ่งรู้จักกันไปทำงานอย่างนี้เสมอหรือคะ?” ฉันย้อนถาม
เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น
แต่กลับพูดต่อไปเหมือนไม่ได้ยินคำถามของฉัน
“ผมกำลังคิดอยู่ว่าคุณเนี่ยน่าจะเหมาะกับตำแหน่งอะไรดี อืม...
ผมว่าผมคิดออกแล้วล่ะ”
“งานอะไรกันคะ
หัวหน้าแม่บ้านรึไง?”
คำถามประชดปนติดตลกของฉันทำเอาเขาหัวเราะร่วน
ดวงตาวิบวับเมื่อครู่เปล่งประกายราวกับดวงดาวประกายพรึกในยามกลางคืน
“อย่าเลยครับ
มาเป็นผู้ช่วยของผมดีกว่า ตำแหน่งนี้ยังว่าง ผมเองก็อยากจะหาคนมาช่วยประสานงานกับลูกค้าอยู่
ส่วนตำแหน่งที่คุณเสนอมาเมื่อกี้น่ะ ผมจองเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว
อย่ามาแย่งงานผมทำเลยนะครับ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูออดอ้อน
และนั่นก็ทำให้ฉันหลุดเสียงหัวเราะออกมาในทันที คำตอบตกลงวิ่งมาอยู่ริมฝีปาก...
ฉันอยากใกล้ชิดกับเขา... รู้จักเขา...
ความคิดหนึ่งแล่นตรงขึ้นมาที่สมอง
หยุดคำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากริมฝีปาก... ใช่! ฉันเพียงอยากรู้จักเขา
ฉันยังไม่รู้จักเขา
คำพูดตกลงถูกกลืนลงคออย่างฝืดฝืนยิ่งนัก
และแล้วฉันก็ตอบคำชักชวนนั้นด้วยถ้อยคำที่เป็นกลางมากที่สุด
“เอาไว้ฉันจะคิดดูก่อนแล้วกันนะคะ
ถ้าสนใจฉันจะติดต่อคุณไปเอง”
ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตอบไปเป็นคำปฏิเสธ
ในเมื่อการตอบปฏิเสธเขาไปนั้นมันช่างขัดกับความต้องการภายในของฉันเสียเหลือเกิน
แต่เมื่อเขาไม่ได้คะยั้นคะยออีกต่อไป
ฉันก็ถือว่าคำชักชวนของเขานั้นคงเป็นไปตามมารยาท
“คุณ... เอ่อ
ผมเพิ่งนึกได้ เราพูดกันมาตั้งนาน แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มสดใส “ผมนี่แย่จังเลยนะครับ ผม ประกาศิต คุณล่ะ?” เขายื่นมือมาข้างหน้า ตามธรรมเนียมการทักทายของตะวันตก
“ฉันจิตราค่ะ”
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และไม่มีท่าทีว่าจะยื่นมือไปสัมผัสกับเขา
และนั่นทำให้เขาชักมือที่ยื่นมาตรงหน้าไปลูบท้ายทอยด้วยอาการแก้เก้อที่แสนจะมีเสน่ห์
เขาและฉัน... เรา...
พูดคุยกันอีกจนกระทั่งฟ้าสีฟ้าสดใสเริ่มมืดลงและเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทอง
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำเต็มทีฉันจึงขอตัวกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั้น
ฉันปฏิเสธที่จะให้เขาเดินไปส่งถึงที่พัก
และร่ำลาเขาด้วยอาการของคนไม่รู้จักกัน
ซึ่งฉันจำเป็นต้องท่องไว้ในใจอยู่เสมอเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกับเขา
...การก้าวขาออกจากสวนสาธารณะโดยมีเขามองตามอยู่พร้อมกับดวงตาวิบวับ
และรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น มันช่างยากเย็นยิ่งกว่าการตอบปฏิเสธคำชักชวนของเขาเสียอีก
หอพักสตรีราคาถูกที่เป็นจุดหมายของฉันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เท้าของฉันหยุดชะงัก
และจ้องมองด้วยความแปลกใจระคนด้วยความรู้สึกตกใจ หวาดหวั่น และ... ไม่ไว้ใจ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างหากที่ทำให้เลือดทุกหยดในร่างกายของฉันจับตัวเป็นก้อน
และส่งความเย็นยะเยียบไปสู่ทุกอณูของร่างกาย!
ความคิดเห็น