ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DNAสายพันธุ์ทุกชีวิต

    ลำดับตอนที่ #2 : การค้นพบและความหมายของ DNA

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 49


    DNA ย่อมาจาก Deoxyribonucleic acid หรือ กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก เป็นโมเลกุลสายคู่ มีหน้าที่สะสมข้อมูลพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถสืบทอดมรดก (ชุดคำสั่ง) จากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่ง

         การค้นพบว่า  DNA คือสารพันธุกรรม

            ใน ค.ศ. 1928  นายแพทย์ชาวอังกฤษ  ชื่อเอฟ  กริฟฟิท (F. Griffith) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรีย  Streptococcus pneumoniae  หรือที่เรียกว่า  Pneumococcus  ชนิดต่างๆ  ที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม  โดยแยกชนิดของสายพันธุ์เชื้อแบคทีเรียที่ได้จากเสมหะของผู้ป่วยโรคปอดบวมแล้วนำเชื้อนั้นไปทดลองกับหนูที่เลี้ยงไว้ในห้องทดลอง  เพื่อศึกษาความรุนแรงของเชื้อแบคทีเรียนี้  จากการสังเกตพบว่าเชื้อแบคทีเรียพวกนี้มีโคโลนีที่ต่างกัน  2  แบบ  คือ  ชนิดหนึ่งเป็นโคโลนีขนาดเล็ก  ผิวขุระและขอบหยาบเรียกว่า  ชนิด R (R-type)  แบคทีเรียสายพันธุ์นี้ไม่มีแคปซูลหุ้ม  อีกแบบหนึ่งเป็นโคโลนีขนาดใหญ่และผิวเรียบเรียกว่า ชนิด S (S-type)  แบคทีเรียสายพันธุ์นี้มีแคปซูลซึ่งเป็นสารประกอบพวกมิวโคพอลิแช็กคาไรด์ห่อหุ้ม

            กริฟฟิทได้จำแนกแบคทีเรียพันธุ์  S  ตามสมบัติทางเคมีออกเป็น  ||S  และ  |||S  เมื่อเลี้ยงสายพันธุ์  |||S  จำนวนมากในจานเพาะเชื้อ  พบว่ามีสายพันธุ์  R  เกิดขึ้น  กริฟฟิทจึงตั้งสมมติฐานว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์นี้ขาดสมบัติในการสร้างแคปซูลจึงกลายเป็นพันธุ์  R  ที่เกิดขึ้นใหม่

            เพื่อเป็นการทดสอบสมมติฐานดังกล่าว  จึงทำการทดลองโดยเอาพันธุ์  R  ที่ยังมีชีวิตอยู่ผสมกับพันธุ์  |||S  ที่ถูกฆ่าให้ตายด้วยความร้อนแล้วฉีดเข้าไปในหนูทดลอง  พบว่าหนูบางตัวจะตายและพบเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ปะปนอยู่กับแบคทีเรียสายพันธุ์  R  ในหนูทดลงอที่ตาย  แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียพันธุ์  R  บางตัว  แปรสภาพกลายเป็นแบคทีเรียพันธุ์  |||S  และสามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบ  |||S  ต่อไปได้  กริฟฟิทเรียกปรากฏการณืที่สารพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งว่า  ทรานสฟอร์เมชัน  (Transformation)

            ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทรานสฟอร์เมชันได้รับความสนใจจากนักชีววิทยาชาวอเมริกัน 2 คน  คือ  เอ็ม เอช ดอร์สัน (M. H. Dawson)  กับ อาร์  เอช เซีย (R. H. Sia)  ได้ทำการทดลองในหลอดทดลอง (In Vitro)  แทนการใช้หนูทดลอง  โดยเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์  R  ผสมพันธุ์ |||S   ที่ถูกฆ่าด้วยความร้อนแล้วนำส่วนผสมดังกล่าวไปเลี้ยงในหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อ   เมื่อเพาะเลี้ยงไว้ระยะหนึ่ง  พบว่ามีแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ในหลอดเพาะเชื้อนั้น  แสดงให้เห็ฯว่าปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทรานสฟอร์เมชันสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหลอดทดลอง  (In Vitro)  และในสัตว์ทดลอง    (In Vitro)

            ใน ค.ศ. 1944  มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน  3  ท่านคือ  โอ ที เอเวอรี (O.T. Avery)  เอ็ม  แมกคาร์ที (M. Mc Carty)  และ ซี  แมกลอยด์  (C Macleod)  ได้ทำการวิจัยเพื่อหาคำตอบว่าสารตัวกลางที่ทำให้ปรากฏการณ์ทรานสฟอร์เมชันคืออะไร  จึงทำการวิจัยอย่างรัดกุม  โดยสกัดแยกเอา  DNA  ออกจากเซลล์แบคทีเรียสายพันธุ์  |||S   แล้วนำแบคทีเรียพันธุ์  |||S  ที่สกัด  DNA  ออกแล้วไปเลี้ยงปนกับแบคทีเรียพันธุ์  R  ปรากฏว่าไม่มีปรากฏการณ์ทรานสฟอร์เมชันเกิดขึ้นและเมื่อทำหารทดลองโดยสกัดแยก  DNA  จากแบคทีเรียพันธุ์  |||S  แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งนำไปย่อยสลายโดยใช้เอนไซม์  DNAase  อีกส่วนหนึ่งยังคงสภาพโมเลกุลของ  DNA  บริสุทธิ์  แล้วนำทั้งสองส่วนนี้ไปแยกผสมกับแบคทีเรียพันธุ์  R  พบว่า  DNA  ที่ถูกทำลายโดยเอนไซม์  DNAase  ไม่สามารถทำให้เกิดทรานสฟอร์เมชันได้  แต่ส่วนที่เป็นโมเลกุลของ  DNA  หรือจีนเป็นสารพันธุกรรมที่สามารถเปลี่ยนลักษณะทางพันธุกรรมได้

            ใน ค.ศ. 1952  นักชีววิทยาชาวอเมริกัน  2 ท่าน  คือ  เอ ดี เฮอร์เชย์  (A. D. Hershey)  และเอม เชส  (M. Chase)  ได้ศึกษาเกี่ยวกับไวรัสที่เข้าไปเจริญแพร่พันธุ์ในแบคทีเรียและทำให้แบคทีเรียตายเรียกไวรัสพวกนี้ว่า  แบคเทริโอเฟจ  หรือเรียกว่าย่อๆ ว่า  เฟจ (Phage)  และที่ศึกษากันมากคือพวกที่ทำอันตรายแบคทีเรีย  Escherichia coli  ซึ่งพบอยู่โดยทั่วไปในลำไส้ของสัตว์ชั้นสูง  เมื่อนำเฟจใส่ลงในกลุ่มเชื้อ  E. coli  พบว่า  ส่วนที่เป็นหางของเฟจจะเกาะอยู่ที่ผิวของแบคทีเรีย  เมื่อแบคทีเรียถูกทำลายให้สลายตัวไปจะมีเฟจเกิดขึ้นมามากมายเฮอร์เชย์และเชสได้อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเฟจกับแบคทีเรียดังกล่าวประกอบกับการใช้วิธีการที่เกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสี  ซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของสารประกอบที่มีธาตุกัมมันตรังสีนั้นอยู่ในกรณีทั้งสองใช้  32P  เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับ  DNA  และ   35 S  เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับโปรตีนในตัวเฟจ  ซึ่งพบว่าส่วนที่เป็น   32P  ของเฟจเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในตัวแบคทีเรีย  ส่วน   35S  อยู่ภายนอกแบคทีเรีย  ชี้ให้เห็นว่าส่วนที่เป็น  DNA   ของเฟจเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในตัวของแบคทีเรีย  ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถควบคุมการสังเคราะห์ส่วนประกอบต่างๆ  ของตัวเฟจขึ้นมาใหม่เป็นจำนวนมาก  แสดงว่า  DNA  เท่านั้นที่ทำหน้าที่ควบคุมและการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  ส่วนโปรตีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  เป็นการสนับสนุนการทดลองของเอเวอรีและคณะ

            ใน ค.ศ. 1928  นายแพทย์ชาวอังกฤษ  ชื่อเอฟ  กริฟฟิท (F. Griffith) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรีย  Streptococcus pneumoniae  หรือที่เรียกว่า  Pneumococcus  ชนิดต่างๆ  ที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม  โดยแยกชนิดของสายพันธุ์เชื้อแบคทีเรียที่ได้จากเสมหะของผู้ป่วยโรคปอดบวมแล้วนำเชื้อนั้นไปทดลองกับหนูที่เลี้ยงไว้ในห้องทดลอง  เพื่อศึกษาความรุนแรงของเชื้อแบคทีเรียนี้  จากการสังเกตพบว่าเชื้อแบคทีเรียพวกนี้มีโคโลนีที่ต่างกัน  2  แบบ  คือ  ชนิดหนึ่งเป็นโคโลนีขนาดเล็ก  ผิวขุระและขอบหยาบเรียกว่า  ชนิด R (R-type)  แบคทีเรียสายพันธุ์นี้ไม่มีแคปซูลหุ้ม  อีกแบบหนึ่งเป็นโคโลนีขนาดใหญ่และผิวเรียบเรียกว่า ชนิด S (S-type)  แบคทีเรียสายพันธุ์นี้มีแคปซูลซึ่งเป็นสารประกอบพวกมิวโคพอลิแช็กคาไรด์ห่อหุ้ม

            กริฟฟิทได้จำแนกแบคทีเรียพันธุ์  S  ตามสมบัติทางเคมีออกเป็น  ||S  และ  |||S  เมื่อเลี้ยงสายพันธุ์  |||S  จำนวนมากในจานเพาะเชื้อ  พบว่ามีสายพันธุ์  R  เกิดขึ้น  กริฟฟิทจึงตั้งสมมติฐานว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์นี้ขาดสมบัติในการสร้างแคปซูลจึงกลายเป็นพันธุ์  R  ที่เกิดขึ้นใหม่

            เพื่อเป็นการทดสอบสมมติฐานดังกล่าว  จึงทำการทดลองโดยเอาพันธุ์  R  ที่ยังมีชีวิตอยู่ผสมกับพันธุ์  |||S  ที่ถูกฆ่าให้ตายด้วยความร้อนแล้วฉีดเข้าไปในหนูทดลอง  พบว่าหนูบางตัวจะตายและพบเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ปะปนอยู่กับแบคทีเรียสายพันธุ์  R  ในหนูทดลงอที่ตาย  แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียพันธุ์  R  บางตัว  แปรสภาพกลายเป็นแบคทีเรียพันธุ์  |||S  และสามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบ  |||S  ต่อไปได้  กริฟฟิทเรียกปรากฏการณืที่สารพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งว่า  ทรานสฟอร์เมชัน  (Transformation)

            ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทรานสฟอร์เมชันได้รับความสนใจจากนักชีววิทยาชาวอเมริกัน 2 คน  คือ  เอ็ม เอช ดอร์สัน (M. H. Dawson)  กับ อาร์  เอช เซีย (R. H. Sia)  ได้ทำการทดลองในหลอดทดลอง (In Vitro)  แทนการใช้หนูทดลอง  โดยเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์  R  ผสมพันธุ์ |||S   ที่ถูกฆ่าด้วยความร้อนแล้วนำส่วนผสมดังกล่าวไปเลี้ยงในหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อ   เมื่อเพาะเลี้ยงไว้ระยะหนึ่ง  พบว่ามีแบคทีเรียสายพันธุ์  |||S  ในหลอดเพาะเชื้อนั้น  แสดงให้เห็ฯว่าปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทรานสฟอร์เมชันสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหลอดทดลอง  (In Vitro)  และในสัตว์ทดลอง    (In Vitro)

            ใน ค.ศ. 1944  มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน  3  ท่านคือ  โอ ที เอเวอรี (O.T. Avery)  เอ็ม  แมกคาร์ที (M. Mc Carty)  และ ซี  แมกลอยด์  (C Macleod)  ได้ทำการวิจัยเพื่อหาคำตอบว่าสารตัวกลางที่ทำให้ปรากฏการณ์ทรานสฟอร์เมชันคืออะไร  จึงทำการวิจัยอย่างรัดกุม  โดยสกัดแยกเอา  DNA  ออกจากเซลล์แบคทีเรียสายพันธุ์  |||S   แล้วนำแบคทีเรียพันธุ์  |||S  ที่สกัด  DNA  ออกแล้วไปเลี้ยงปนกับแบคทีเรียพันธุ์  R  ปรากฏว่าไม่มีปรากฏการณ์ทรานสฟอร์เมชันเกิดขึ้นและเมื่อทำหารทดลองโดยสกัดแยก  DNA  จากแบคทีเรียพันธุ์  |||S  แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งนำไปย่อยสลายโดยใช้เอนไซม์  DNAase  อีกส่วนหนึ่งยังคงสภาพโมเลกุลของ  DNA  บริสุทธิ์  แล้วนำทั้งสองส่วนนี้ไปแยกผสมกับแบคทีเรียพันธุ์  R  พบว่า  DNA  ที่ถูกทำลายโดยเอนไซม์  DNAase  ไม่สามารถทำให้เกิดทรานสฟอร์เมชันได้  แต่ส่วนที่เป็นโมเลกุลของ  DNA  หรือจีนเป็นสารพันธุกรรมที่สามารถเปลี่ยนลักษณะทางพันธุกรรมได้

            ใน ค.ศ. 1952  นักชีววิทยาชาวอเมริกัน  2 ท่าน  คือ  เอ ดี เฮอร์เชย์  (A. D. Hershey)  และเอม เชส  (M. Chase)  ได้ศึกษาเกี่ยวกับไวรัสที่เข้าไปเจริญแพร่พันธุ์ในแบคทีเรียและทำให้แบคทีเรียตายเรียกไวรัสพวกนี้ว่า  แบคเทริโอเฟจ  หรือเรียกว่าย่อๆ ว่า  เฟจ (Phage)  และที่ศึกษากันมากคือพวกที่ทำอันตรายแบคทีเรีย  Escherichia coli  ซึ่งพบอยู่โดยทั่วไปในลำไส้ของสัตว์ชั้นสูง  เมื่อนำเฟจใส่ลงในกลุ่มเชื้อ  E. coli  พบว่า  ส่วนที่เป็นหางของเฟจจะเกาะอยู่ที่ผิวของแบคทีเรีย  เมื่อแบคทีเรียถูกทำลายให้สลายตัวไปจะมีเฟจเกิดขึ้นมามากมายเฮอร์เชย์และเชสได้อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเฟจกับแบคทีเรียดังกล่าวประกอบกับการใช้วิธีการที่เกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสี  ซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของสารประกอบที่มีธาตุกัมมันตรังสีนั้นอยู่ในกรณีทั้งสองใช้  32P  เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับ  DNA  และ   35 S  เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับโปรตีนในตัวเฟจ  ซึ่งพบว่าส่วนที่เป็น   32P  ของเฟจเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในตัวแบคทีเรีย  ส่วน   35S  อยู่ภายนอกแบคทีเรีย  ชี้ให้เห็นว่าส่วนที่เป็น  DNA   ของเฟจเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในตัวของแบคทีเรีย  ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถควบคุมการสังเคราะห์ส่วนประกอบต่างๆ  ของตัวเฟจขึ้นมาใหม่เป็นจำนวนมาก  แสดงว่า  DNA  เท่านั้นที่ทำหน้าที่ควบคุมและการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  ส่วนโปรตีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  เป็นการสนับสนุนการทดลองของเอเวอรีและคณะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×