คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 จุดไฟ
Chapter 1 จุดไฟ
มีเรื่องสืบขานเล่ากันมาเนิ่นนานของชาว อีโกทิส-มเอิร์ท (Egotism Earth) ที่เล่าสืบต่อกันมายังรุ่นต่อรุ่น รุ่นแล้วรุ่นเล่า ...
เมื่อหนึ่งพันปีก่อนพุทธศักราช ได้มีสงครามแห่งเทพเกิดขึ้น จนทำให้ดินแดนซึ่งที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์นั้น แหลกสลายสาบสูญไปพร้อมกับสงคราม แต่ผ่านมาเนินนาน การต่อสู้ก็มิได้เลือนหายไป บรรดาเหล่าเทพยังคงเข่นฆ่าต่อสู้และรบกันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผ่านพ้นไปหนึ่งพันปีให้หลัง ก็ได้มีดินแดนซึ่งถือกำเนิดใหม่ ผู้คนในเมืองส่วนมากเป็นพวกที่สืบทอดเชื้อสายของเทพจากครั้งอดีตกาล ผู้คนในดินแดนรักสันติและรักสันโดษ ดินแดนนั้นจึงได้ชื่อว่า “ ดินแดนพ้นโศก ”
ในยามฟ้าสางหญิงที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เคยเห็นหน้าของนาง นางมีผ้าคุมปิดบดบังใบหน้า ชื่อของนางคือ “วาโย” นางเป็นคนเก็บกู้ซากเรือโบราณที่จมอยู่ใต้ก้นทะเล ในขณะที่นางออกเก็บกู้ซากเรือโบราณ และได้ไปเจอกับแผ่นศิลา ซึ่งฝังจมกรองทรายใต้ก้นทะเลลึกที่มีซากเรือที่ผุพังทับถมกันเป็นเวลาที่เนิ่นนานมานับพันปี นางไม่สามารถกู้แผ่นศิลานั้นขึ้นมาได้เนื่องจาก แผ่นศิลาอยู่ลึกเกินไป นางจึงไปบอกผู้คนในเมือง ผู้คนในเมืองจึงพากันมาช่วยเอาแผ่นศิลาเหล็กขึ้นมาจากห้วงท้องทะเลลึก เมื่อแผ่นศิลาเหล็กผ่านพ้นพื้นผิววารีขึ้นสู่ผืนพระสุธา ทุกคนต่างร้องระงมด้วยความอัศจรรย์ใจ แต่ก็พบว่าไม่มีแม้แต่ผู้ใดที่จะอ่านแผ่นศิลานั้นออก
ไม่นานก็มีข่าวลือ ต่าง ๆ นา นา บอกว่าเป็นแผ่นศิลาที่เหล่าเทพได้ทำสัญญาร่วมกันในการปกครองดินแดน บ้างก็บอกว่าภาษาที่สลักไว้เป็นสารท้ารบเพื่อประกาศการทำสงคราม
ผู้คนในเมืองจึงเริ่มสับสนกับข่าวลือที่มีอยู่ และดินแดนซึ่งเป็นที่สงบสุข ที่ได้สมยานามว่าเป็น ดินแดนพ้นโศก ก็กลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อ วาโย ผู้ซึ่งเป็นผู้คนพบแผ่นศิลา ได้อ้างว่าแผ่นศิลานั้นควรเป็นของเธอ เพราะเธอคือผู้ค้นพบแผ่นศิลา
ผู้คนมากมายต่างบอกว่าเธอเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ที่จะเก็บศิลาที่เป็นของล้ำค่าของประวัติศาสตร์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งแผ่นศิลานี้นั้นทุก ๆ คน ช่วยกันนำมันขึ้นมาจากก้นทะเล วาโย จึงล่าถอยไปก่อน เธอได้เชื้อเชิญ ผู้ที่มีเชื่อสายจากเทพวาโย ( ธาตุลม ) ได้จำนวนหนึ่งและบุกชิงแผ่นศิลา
แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่สืบสายเลือดของเทพต่าง ๆ ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่กลับรวบรวมกำลังพักพวกซึ่งสืบเชื้อสายเดียวกันกับตนไว้เช่นกัน
หลังจากนั้นผู้คนในเมืองซึ่งคนอยู่กันอย่างรักสันติและรักสันโดษ ได้ทำการห่ำหั่นกันด้วยความยโส ซึ่งถือว่าตนเองได้สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษ เทพผู้ที่เคยปกครองดินแดน
ซึ่งมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของแผ่นศิลาเหล็กด้วยเช่นกัน เมื่อไม่มีผู้ใดยอมที่จะเชยชมแผ่นศิลาร่วมกัน จึงทำให้ผู้คนที่สืบเชื้อสายจากเทพจึงแบ่งแยกดินแดน
วาโยซึ่งทำการก่อตั้งเมืองขึ้นมาเป็นเมืองลอยฟ้าและแยกตัวเป็นเอกเทศ เมืองนั้นชื่อว่า “ นภาวาโย” ผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งเทพทั้งหลาย จึงแยกออกไปตั้งเมืองขึ้น
ส่วนพวกที่เป็นลูกผสม ก็ได้อาศัยอยู่ที่ท่าเรือมิตรภาพอย่างสันติ และโดนดูถูกจากพวกที่สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์จากเทพทั้ง สี่ ว่าเป็นพวกลูกผสม ผู้ทรงศีลคือผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจึงย้ายตนเองไปอยู่ที่ป่าแห่งความสัตย์จริง
และแผ่นศิลาเหล็กที่พวกชาวดินแดนพ้นโศกร่วมมือร่วมใจช่วยกันยกขึ้นมาจากก้นทะเลก็หายไป ผู้คนต่างสงสัยว่ามีเมืองใดเอาไป
หลังจากนั้นเมืองต่าง ๆ ระส่ำระส่ายต่างค้นหาแผ่นศิลาและต่างกล่าวโทษกันว่าจะต้องมีเมืองใดเมืองหนึ่งเอาไปเป็นแน่
หกเดือนต่อมาดินแดนที่เคยสงบสุขก็กลายเป็นดินแดนที่มีแต่ความทุรยศ ผู้คนต่างคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น และทรนงในเชื้อสายที่ตนถือกำเนิดมา สมควรที่จะเป็นคนครองแผ่นศิลา
เมืองที่เคยมีแต่ความสงบสุขกับกลายเป็นเมืองที่มีแต่ผู้คนที่หยิ่งยโสในสายเลือดของเทพผู้ที่เคยทำสงครามจนดินแดนแหลกสลายล่มจม ได้ขนานนามดินแดนนี้ ว่า อีโกทิสม เอิร์ท (Egotism Earth )
ผู้คนที่มีแต่ความยโสและอวดเก่ง อวดดีถือว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และสิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่อยากให้มีใครอยากให้มันเกิด นั่นคือ “ สงคราม ”
ผ่านพ้นไปห้าร้อยปี สงครามยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง พวกลูกผสมก็มีมากขึ้น ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเทพองค์ใด รู้แต่เพียงว่า “สูงสุดคืนสู่พื้นดิน” พวกเค้าคิดอยากให้เป็นอย่างนั้นกันจริง ๆ สิ่งที่พวกเค้าอยากให้เกิดมากที่สุด
ในคืนที่มืดมิดฟ้าสลัวที่ท่าเรือมิตรภาพมีหญิงสาวผู้หนึ่งได้ให้กำเนิดทารกเพศชายที่ท่าเรือมิตรภาพ และเธอก็หายไปกลับความมืดทิ้งทารกน้อยไว้ที่สะพานขึ้นท่าเรือ
รุ่งสางได้มีชาวประมง เจอเด็กน้อยนั้นและออกตามหาป่าวประกาศว่าผู้ใดคือพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ เขาตามหาพ่อกับแม่ของเด็กอยู่ ถึง 7 วัน แต่ก็ไม่เจอพ่อและแม่ของเด็กคนนี้
เขาจึงนำเด็กคนนี้ไปให้กับสถานที่สงเคราะห์เด็กแถวท่าเรือ เมื่อเค้านำเด็กจะส่งให้กับคนที่บ้านแห่งความหวัง ( สถานสงเคราะห์เด็ก )
แต่เด็กกลับร้องไห้เสียงดังมาก ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นใบ้ด้วยซ้ำ แต่ไหง ? กับเป็นอย่างนี้ล่ะ?!!! เด็กคนนี้กลับร้องไห้โยเยเสียงดัง เขาตกใจมากจึงคว้าเด็กกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา
“โอ๋ ....โอ๋.... เจ้าหนู อย่าร้องไห้นะ ข้าไม่เอาเจ้าทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้าเองก็ได้นะถ้าเจ้าหยุดร้องน่ะ”
ทันใดนั้นเจ้าเด็กตัวน้อย ๆ ก็หยุดร้องและส่งรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาให้กลับเขา และแล้วเขาก็รับเลี้ยงเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่บนเรือกับชายที่เรียกเขาว่าพ่อ มาเกือบ 12 ปี
จนกระทั่งวันนี้ วันที่เด็กคนนี้อายุจะครบ 12 ปีเต็ม แต่เขายังขาดอีกหนึ่งวันที่อายุเขาจะครบ 12 ปี เค้าได้เจอกับหญิงนางหนึ่ง ที่มีใบหน้างดงามหมดจด กับกลิ่นที่หอมละมุนติดปลายจมูก
เพียงแค่นางเอ่ยปากพูดไม่ว่าชายใดที่ยินเสียงและเห็นหน้าใบหน้าของนางก็ยินดีทำตามที่นางสั่งทุกอย่างแม้กระทั่ง นางสั่งให้ไปตาย
แต่นางกับเอิ่นโอด บอกกับผู้ที่ติดตามนางมานับสิบว่า
“ ฆ่า ฆ่า...... ฆ่าชายแก่คนนั้นซะ ”
เด็กชายยังคงตะลึงอยู่กับความงามของนาง ไม่ทันหันไปดูพ่อของตน และทันใดนั้น เด็กชายคนนั้นปากเผยอออก และเสียงที่แข็งกร้าวก็ดังกึกก้อง
“ อย่า.... อย่า ”
ทั้งที่ดวงตายังจดจ้องอยู่กับความงามของนางประดุจเหมือนต้องมนต์ และนางผู้มีใบหน้าเลอโฉม กลับเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มว่า
“ เจ้าชื่ออะไร ”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ ข้าชื่อ เซล ( Sail ท่อง/ล่องทะเล ) ”
นางหัวเราะดังด้วยน้ำเย้ยหยัน
“ อ่อ หึ หึ...ตั้งชื่อสมกับที่ตาแก่นี่เลี้ยงเจ้ามาเลยนะ หวังว่าข้าคงได้พบเจ้าใหม่นะเซล ”
“ อ๊ากกกกกกกกกก......กกกก ”
เสียงที่ร้องโหยหวนด้วยความทรมานดังอยู่ชั่วครู่ และไม่นานเลือดก็พรั่งพรูและร่วงหล่นเหมือนฝนห่าสีแดงตกสู่ท้องทะเลที่ท่าเรือมิตรภาพ เด็กหนุ่ม ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วย.......ช่วยพ่อของข้าด้วย ช่วยด้วย”
ทุกคนตื่นจากความมืดที่เขาได้หลับไหลเพื่อพักร่างกายจากวันที่แสนเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน ออกมาดูเด็กหนุ่มซึ่งกอดพ่อของตนไว้แน่น
“ โธ่..... ช่างน่าสงสารเสียจริง พ่อหนุ่ม...เจ้าไปพักผ่อนเถอะปล่อยให้พวกเราจัดแจงร่างของพ่อเจ้าเถอะนะ ”
ชาวบ้านที่แห่ออกมามุงดูพูดด้วยความเห็นใจ เด็กหนุ่มได้แต่ร้องไห้ปากก็ร้องตะโกน
“ ไม่ ช่วยพ่อข้าทีเค้ายัง.....เขายังไม่ตาย ”
ชาวบ้านช่วยกันแบกร่างที่ไร้วิญญาณของชายแก่ขึ้น
“ พวกท่านจะเอาเขาไปที่ไหน ช่ว.....ย ”
ทันใดนั้นเขาก็สลบไป สองวันต่อมาเขาพื้นอยู่ที่ ที่เขาเคยมาเมื่อสมัยที่ยังเป็นทารก ( บ้านแห่งความหวัง )
แต่เขากลับจำไม่ได้ ผู้คนในหมู่บ้านฝังศพของพ่อเด็กหนุ่มไว้ในสุสานแสนเศร้า เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นที่รักของคนทุกคนในเมืองท่าเรือมิตรภาพ
และเมื่อเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาเหมือนเขาจะจำไม่ได้ในเรื่องคืนวันที่เกิดเหตุร้ายกับพ่อซึ่งเป็นที่รักของเขา
ด้วยความที่เขาจำอะไรไม่ได้ คนในเมืองท่าเรือมิตรภาพจึงบอกกับเขาไปว่า พ่อเขาออกเรือไปยังเกาะวารีมหรรณพ และออกไปนานมาก จึงให้เจ้ารอที่เมืองเพราะกลัวว่าเจ้าจะมีอันตราย
เขารอ...รออย่างใจจดจ่อด้วยความหวังว่าพ่อจะมารับเขาไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย ดั่งวันวานที่แสนสุข หลายชั่วโมงต่อมาเขายังคงรอด้วยใจที่ร้อนรุม
ด้วยคำถามที่เขาต้องมีอยู่ในใจว่า ทำไม? ทำไม?
พ่อจึงไปจากเขาโดยไม่บอกลา เขาสงสัยอย่างมาก ด้วยความสงสัยนี้จึงทำให้เขายิ่งทำให้เขาอยู่รออย่างสงบไม่ได้อีกเสียแล้ว
เขาจึงไปที่ท่าเรือและแอบขึ้นเรือประมงเพื่อข้ามไปยังเกาะวารีมหรรณพ ระหว่างหลบอยู่ในใต้ท้องเรือนั้น เขาได้ยินเสียงผีเท้าที่เดินบนพื้นไม้ดังขึ้นทอดเสียงลงมาสู่ใต้ท้องเรือ
“ หัวหน้าเรานี่ ใช้เก่งจริง ๆ เลยนะ เจ้าว่ามั้ย ? ”
“ นั่นสิ”
ลูกเรือพูดพร้อมกับยกกระสอบข้าวแบกขึ้นหลัง
“ เจ้าได้ยินเรื่องเมื่อคืนนี้มั้ย? ”
“ ได้ยินสิ ”
“ อืม...น่าสงสารเจ้าเด็กคนนั้นเสียจริง ๆ ต้องเสียพ่อแล้วยังต้องเสียความทรงจำอีก ”
ลูกเรืออีกคนหยิบกระสอบข้าวแบกขึ้นพาดไว้ที่บ่า
“ อึบ....ใช่ แต่เห็นคนเขาพูดกันนะว่า สเป็น คนหาปลาน่ะ เก็บเด็กคนนั้นมาเลี้ยงใช่มั้ย ”
“ อ่อ ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน ”
“ อืม ถ้าเด็กคนนั้นรู้เข้าคงเสียใจแน่ ใช่ ๆ ”
“ ว่าแต่.........พวกเรารีบไปกันเถอะเรือจะเทียบท่าแล้ว ”
“ อืม ”
เสียงฝีเท้ากุกกัก กุกกัก ของลูกเรือดังไกลออกไป ชั่วอึดใจหนึ่ง มีเสียงตะโกนว่า เรือ ซันสิบเอ็ด เทียบท่าแล้ว
เซลจึงได้เตรียมตัวหลบลงจากเรือ แต่เค้าสงเกตุว่ามีทางเดียวที่จะลงจาเรือได้คือเขาต้องโดดลงทะเลอย่างเดียว ถ้าขืนเขาลงทางบันได ที่ท่าเรือละก็ สงสัยเค้าต้องโดนจับฐานลักลอบเขาเมืองโดยไม่ *หนังสือสะเวย์ ( *Sway หนังสือเดินทางในการเข้าเมืองต่าง ๆ ) แน่ แน่
เขาจึงได้ตัดสินใจกระโดดลงน้ำ เสียงผู้คนบริเวณท่าเมืองวารีมหรรณพ กลบเสียงน้ำที่เค้ากระโดด ได้อย่างไม่มีผู้ใดสงสัย แต่มีชายผู้หนึ่งมองเห็นทุกอย่างตั้งแต่เขาก้าวขาขึ้นเรือจนเค้ากระโดดลงจากเรือ
เซลออกเดินทางไปตามหาพ่อของเขา เขาออกเดินไปเรื่อย ๆ เสียง โครก ครากกก ดังขึ้น ดังขึ้น จนที่ทำให้ผู้คนภายนอกสังเกตได้ยิน มีมือหนึ่งที่ยื่นขนมปังให้เค้า
“ กินซะซิ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ ”
เซลผงกหัวมองหน้าชายแปลกหน้าอย่างแปลกใจ ในใจก็ได้แต่คิดว่า ไอ้อยากมันก็อยากอยู่หรอกนะ แต่จะให้กินของคนแปลกหน้านี่สิ
ชายคนนั้นสะพายเป้ใบใหญ่ ส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขาและและส่งขนมปังที่มีอยู่ให้มือให้กับเค้า
“ อยู่ในเรือมาตั้งนานมันต้องหิวบ้างแหละน่า”
“ ฉันชื่อไบรน ( Brine น้ำเค็ม ) ”
เซลทำหน้ามึน ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ เอาหล่ะไม่ว่านายจะชื่อไบรน หรือ เดอะกอดไบรน ข้าไม่สนหรอกนะ อย่ามายุ่งกับข้า ”
สีหน้าของเซลดูจริงจัง กับนัยย์ตาที่บ่งบอกว่าอย่ามายุ่งและอย่ามาใกล้เขาอีก
“โครกกกก....คร๊ากกกกก..........“
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าไม่สนข้าแน่รึ รับไปเถอะน่า เจ้าไม่สนข้าแน่ใจรึ ? เจ้าเคยได้ยินเรื่องเมื่อคืนที่ท่าเรือรึเปล่าล่ะ ”
เซลชะงักสักพัก
น้ำเสียงที่หยอกเล่น กับใบหน้าที่ยิ้มกรุ่มกริ่มของชายแปลกหน้าทำให้เซลไม่ค่อยสบอารมณ์กับชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาซักเท่าไหร่
“ แล้วยังไงล่ะ? ”
“ ข้าไม่สนเจ้าหรอก ท่าลงท่าเรืออะไร ... ไร้สาระสิ้นดี ....ข้าไปละ อย่ามากวนข้าอีกล่ะ ”
เซลได้เดินจากไปด้วยสีหน้าที่เมินเฉย เสียงตะโกนกึกก้องดังสนั่น
“ ถ้าเจ้าคือเด็กเมื่อในเรื่องที่เขาเล่าลือกันล่ะ เด็กชายผู้ถูกลบเลือนความจำ....หื้ม...?... ”
เซลพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังที่แสดงออกว่าเขาไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับคำพูดของชายแปลกหน้าซักเท่าไหร่
“นี่แก.........แกจะมากไปแล้วนะ พ่อฉัน....พ่อฉันยังไม่ตาย แกเอาอะไรมาพูด ”
น้ำเสียงของเซลที่บ่งบอกว่า โมโหอย่างสุด สุด กับคำพูดของของชายแปลกหน้าที่พูดกับเค้า
“นี่เจ้ายังนึกไม่ออกอีกหรอ ช่างน่าสงสารพ่อเจ้าจริง ๆ นะ ที่ลูกชายสุดที่รักต้องมาลืมตนไปน่ะ”
ไบรนพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สีหน้าเขาบ่งบอกถึงความสมเพชที่มีให้ต่อเซล เซลวิ่งเขาไปหาไบรนด้วยความโมโหสุดขีด เงื้อมมือกำหมัดที่จะไปต่อยหน้าของไบรนเต็มที่
และก็มีเสียงบ่น พรึมพรำดังขึ้นคล้ายบทสวด ฟ้าวววววว....ววววว...วิ้ง
สายลมที่พัดผ่านเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ในหูของเซลอื้ออึง หัวสมองตีบตัน ภาพในอดีตย้อนกลับมาหาเค้าอย่างไม่รู้จบ น้ำตาไหลพรั่งพรูเอ่อใบหน้า
“ นายคงจำได้แล้วสินะเซล เซลมองหน้าเขา ”
ชายแปลกหน้าสำหรับเซลส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา
“ นาย....ไม่สิไบรน ขอบใจ ”
มือเขาคว้าขนมปังนั้นเอาไว้
“ เซล นายจะทำยังไงต่อล่ะ ”
ไบรนพูดพลางหยิบขนมปังอีกก้อนออกจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเขา
“ อ่อก็ไม่รู้เหมือนกันคงจะ......
แก้แค้นมั่ง ? ”
น้ำตาที่พรั่งพรูกับหยุดไหล และใบหน้าก็อาบไปด้วยรอยยิ้มที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความแค้น
ความคิดเห็น