ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Egotism Earth ( โลกประหลาดของคนอวดดี )

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 จุดไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 52


    Chapter 1  จุดไฟ

     

    มีเรื่องสืบขานเล่ากันมาเนิ่นนานของชาว  อีโกทิส-มเอิร์ท (Egotism Earth)  ที่เล่าสืบต่อกันมายังรุ่นต่อรุ่น  รุ่นแล้วรุ่นเล่า  ... 

     

    เมื่อหนึ่งพันปีก่อนพุทธศักราช  ได้มีสงครามแห่งเทพเกิดขึ้น จนทำให้ดินแดนซึ่งที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์นั้น  แหลกสลายสาบสูญไปพร้อมกับสงคราม  แต่ผ่านมาเนินนาน  การต่อสู้ก็มิได้เลือนหายไป  บรรดาเหล่าเทพยังคงเข่นฆ่าต่อสู้และรบกันอย่างต่อเนื่อง 

     

    เมื่อผ่านพ้นไปหนึ่งพันปีให้หลัง ก็ได้มีดินแดนซึ่งถือกำเนิดใหม่ ผู้คนในเมืองส่วนมากเป็นพวกที่สืบทอดเชื้อสายของเทพจากครั้งอดีตกาล  ผู้คนในดินแดนรักสันติและรักสันโดษ ดินแดนนั้นจึงได้ชื่อว่า ดินแดนพ้นโศก ” 

    ในยามฟ้าสางหญิงที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เคยเห็นหน้าของนาง  นางมีผ้าคุมปิดบดบังใบหน้า  ชื่อของนางคือ  วาโย  นางเป็นคนเก็บกู้ซากเรือโบราณที่จมอยู่ใต้ก้นทะเล  ในขณะที่นางออกเก็บกู้ซากเรือโบราณ  และได้ไปเจอกับแผ่นศิลา ซึ่งฝังจมกรองทรายใต้ก้นทะเลลึกที่มีซากเรือที่ผุพังทับถมกันเป็นเวลาที่เนิ่นนานมานับพันปี นางไม่สามารถกู้แผ่นศิลานั้นขึ้นมาได้เนื่องจาก  แผ่นศิลาอยู่ลึกเกินไป  นางจึงไปบอกผู้คนในเมือง ผู้คนในเมืองจึงพากันมาช่วยเอาแผ่นศิลาเหล็กขึ้นมาจากห้วงท้องทะเลลึก เมื่อแผ่นศิลาเหล็กผ่านพ้นพื้นผิววารีขึ้นสู่ผืนพระสุธา ทุกคนต่างร้องระงมด้วยความอัศจรรย์ใจ แต่ก็พบว่าไม่มีแม้แต่ผู้ใดที่จะอ่านแผ่นศิลานั้นออก

    ไม่นานก็มีข่าวลือ ต่าง ๆ นา นา บอกว่าเป็นแผ่นศิลาที่เหล่าเทพได้ทำสัญญาร่วมกันในการปกครองดินแดน บ้างก็บอกว่าภาษาที่สลักไว้เป็นสารท้ารบเพื่อประกาศการทำสงคราม

    ผู้คนในเมืองจึงเริ่มสับสนกับข่าวลือที่มีอยู่ และดินแดนซึ่งเป็นที่สงบสุข ที่ได้สมยานามว่าเป็น ดินแดนพ้นโศก ก็กลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อ วาโย ผู้ซึ่งเป็นผู้คนพบแผ่นศิลา ได้อ้างว่าแผ่นศิลานั้นควรเป็นของเธอ เพราะเธอคือผู้ค้นพบแผ่นศิลา

    ผู้คนมากมายต่างบอกว่าเธอเป็นคนที่เห็นแก่ตัว  ที่จะเก็บศิลาที่เป็นของล้ำค่าของประวัติศาสตร์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งแผ่นศิลานี้นั้นทุก ๆ คน ช่วยกันนำมันขึ้นมาจากก้นทะเล วาโย จึงล่าถอยไปก่อน เธอได้เชื้อเชิญ ผู้ที่มีเชื่อสายจากเทพวาโย ( ธาตุลม ) ได้จำนวนหนึ่งและบุกชิงแผ่นศิลา

    แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่สืบสายเลือดของเทพต่าง ๆ ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่กลับรวบรวมกำลังพักพวกซึ่งสืบเชื้อสายเดียวกันกับตนไว้เช่นกัน


    หลังจากนั้นผู้คนในเมืองซึ่งคนอยู่กันอย่างรักสันติและรักสันโดษ ได้ทำการห่ำหั่นกันด้วยความยโส ซึ่งถือว่าตนเองได้สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษ เทพผู้ที่เคยปกครองดินแดน

    ซึ่งมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของแผ่นศิลาเหล็กด้วยเช่นกัน เมื่อไม่มีผู้ใดยอมที่จะเชยชมแผ่นศิลาร่วมกัน จึงทำให้ผู้คนที่สืบเชื้อสายจากเทพจึงแบ่งแยกดินแดน

    วาโยซึ่งทำการก่อตั้งเมืองขึ้นมาเป็นเมืองลอยฟ้าและแยกตัวเป็นเอกเทศ เมืองนั้นชื่อว่า นภาวาโยผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งเทพทั้งหลาย  จึงแยกออกไปตั้งเมืองขึ้น

     

    ส่วนพวกที่เป็นลูกผสม ก็ได้อาศัยอยู่ที่ท่าเรือมิตรภาพอย่างสันติ และโดนดูถูกจากพวกที่สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์จากเทพทั้ง สี่ ว่าเป็นพวกลูกผสม ผู้ทรงศีลคือผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจึงย้ายตนเองไปอยู่ที่ป่าแห่งความสัตย์จริง

    และแผ่นศิลาเหล็กที่พวกชาวดินแดนพ้นโศกร่วมมือร่วมใจช่วยกันยกขึ้นมาจากก้นทะเลก็หายไป ผู้คนต่างสงสัยว่ามีเมืองใดเอาไป

    หลังจากนั้นเมืองต่าง ๆ  ระส่ำระส่ายต่างค้นหาแผ่นศิลาและต่างกล่าวโทษกันว่าจะต้องมีเมืองใดเมืองหนึ่งเอาไปเป็นแน่

     

    หกเดือนต่อมาดินแดนที่เคยสงบสุขก็กลายเป็นดินแดนที่มีแต่ความทุรยศ ผู้คนต่างคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น และทรนงในเชื้อสายที่ตนถือกำเนิดมา  สมควรที่จะเป็นคนครองแผ่นศิลา

    เมืองที่เคยมีแต่ความสงบสุขกับกลายเป็นเมืองที่มีแต่ผู้คนที่หยิ่งยโสในสายเลือดของเทพผู้ที่เคยทำสงครามจนดินแดนแหลกสลายล่มจม ได้ขนานนามดินแดนนี้ ว่า อีโกทิสม เอิร์ท (Egotism Earth )

     

    ผู้คนที่มีแต่ความยโสและอวดเก่ง อวดดีถือว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และสิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่อยากให้มีใครอยากให้มันเกิด นั่นคือ สงคราม



    ผ่านพ้นไปห้าร้อยปี สงครามยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง พวกลูกผสมก็มีมากขึ้น ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเทพองค์ใด   รู้แต่เพียงว่าสูงสุดคืนสู่พื้นดินพวกเค้าคิดอยากให้เป็นอย่างนั้นกันจริง ๆ  สิ่งที่พวกเค้าอยากให้เกิดมากที่สุด

     

    ในคืนที่มืดมิดฟ้าสลัวที่ท่าเรือมิตรภาพมีหญิงสาวผู้หนึ่งได้ให้กำเนิดทารกเพศชายที่ท่าเรือมิตรภาพ และเธอก็หายไปกลับความมืดทิ้งทารกน้อยไว้ที่สะพานขึ้นท่าเรือ

    รุ่งสางได้มีชาวประมง เจอเด็กน้อยนั้นและออกตามหาป่าวประกาศว่าผู้ใดคือพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ เขาตามหาพ่อกับแม่ของเด็กอยู่ ถึง 7 วัน  แต่ก็ไม่เจอพ่อและแม่ของเด็กคนนี้

    เขาจึงนำเด็กคนนี้ไปให้กับสถานที่สงเคราะห์เด็กแถวท่าเรือ เมื่อเค้านำเด็กจะส่งให้กับคนที่บ้านแห่งความหวัง ( สถานสงเคราะห์เด็ก )

    แต่เด็กกลับร้องไห้เสียงดังมาก ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นใบ้ด้วยซ้ำ แต่ไหง ? กับเป็นอย่างนี้ล่ะ?!!! เด็กคนนี้กลับร้องไห้โยเยเสียงดัง เขาตกใจมากจึงคว้าเด็กกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา


    โอ๋ ....โอ๋.... เจ้าหนู อย่าร้องไห้นะ ข้าไม่เอาเจ้าทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้าเองก็ได้นะถ้าเจ้าหยุดร้องน่ะ


    ทันใดนั้นเจ้าเด็กตัวน้อย ๆ ก็หยุดร้องและส่งรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาให้กลับเขา และแล้วเขาก็รับเลี้ยงเด็กคนนั้น

    เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่บนเรือกับชายที่เรียกเขาว่าพ่อ มาเกือบ 12 ปี

    จนกระทั่งวันนี้ วันที่เด็กคนนี้อายุจะครบ 12 ปีเต็ม  แต่เขายังขาดอีกหนึ่งวันที่อายุเขาจะครบ 12 ปี เค้าได้เจอกับหญิงนางหนึ่ง ที่มีใบหน้างดงามหมดจด กับกลิ่นที่หอมละมุนติดปลายจมูก

    เพียงแค่นางเอ่ยปากพูดไม่ว่าชายใดที่ยินเสียงและเห็นหน้าใบหน้าของนางก็ยินดีทำตามที่นางสั่งทุกอย่างแม้กระทั่ง นางสั่งให้ไปตาย

    แต่นางกับเอิ่นโอด บอกกับผู้ที่ติดตามนางมานับสิบว่า


    ฆ่า ฆ่า...... ฆ่าชายแก่คนนั้นซะ


    เด็กชายยังคงตะลึงอยู่กับความงามของนาง ไม่ทันหันไปดูพ่อของตน และทันใดนั้น เด็กชายคนนั้นปากเผยอออก และเสียงที่แข็งกร้าวก็ดังกึกก้อง


    อย่า.... อย่า


    ทั้งที่ดวงตายังจดจ้องอยู่กับความงามของนางประดุจเหมือนต้องมนต์ และนางผู้มีใบหน้าเลอโฉม กลับเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มว่า


    เจ้าชื่ออะไร


    เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว


    ข้าชื่อ เซล ( Sail ท่อง/ล่องทะเล )


    นางหัวเราะดังด้วยน้ำเย้ยหยัน


    อ่อ หึ หึ...ตั้งชื่อสมกับที่ตาแก่นี่เลี้ยงเจ้ามาเลยนะ หวังว่าข้าคงได้พบเจ้าใหม่นะเซล


    อ๊ากกกกกกกกกก......กกกก


    เสียงที่ร้องโหยหวนด้วยความทรมานดังอยู่ชั่วครู่ และไม่นานเลือดก็พรั่งพรูและร่วงหล่นเหมือนฝนห่าสีแดงตกสู่ท้องทะเลที่ท่าเรือมิตรภาพ เด็กหนุ่ม ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ


    ช่วย.......ช่วยพ่อของข้าด้วย ช่วยด้วย


    ทุกคนตื่นจากความมืดที่เขาได้หลับไหลเพื่อพักร่างกายจากวันที่แสนเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน ออกมาดูเด็กหนุ่มซึ่งกอดพ่อของตนไว้แน่น


    โธ่..... ช่างน่าสงสารเสียจริง พ่อหนุ่ม...เจ้าไปพักผ่อนเถอะปล่อยให้พวกเราจัดแจงร่างของพ่อเจ้าเถอะนะ

     

    ชาวบ้านที่แห่ออกมามุงดูพูดด้วยความเห็นใจ เด็กหนุ่มได้แต่ร้องไห้ปากก็ร้องตะโกน

     

    ไม่ ช่วยพ่อข้าทีเค้ายัง.....เขายังไม่ตาย

     

    ชาวบ้านช่วยกันแบกร่างที่ไร้วิญญาณของชายแก่ขึ้น


    พวกท่านจะเอาเขาไปที่ไหน ช่ว.....ย ” 

    ทันใดนั้นเขาก็สลบไป สองวันต่อมาเขาพื้นอยู่ที่ ที่เขาเคยมาเมื่อสมัยที่ยังเป็นทารก ( บ้านแห่งความหวัง )

    แต่เขากลับจำไม่ได้ ผู้คนในหมู่บ้านฝังศพของพ่อเด็กหนุ่มไว้ในสุสานแสนเศร้า เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นที่รักของคนทุกคนในเมืองท่าเรือมิตรภาพ

     

    และเมื่อเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาเหมือนเขาจะจำไม่ได้ในเรื่องคืนวันที่เกิดเหตุร้ายกับพ่อซึ่งเป็นที่รักของเขา

    ด้วยความที่เขาจำอะไรไม่ได้ คนในเมืองท่าเรือมิตรภาพจึงบอกกับเขาไปว่า พ่อเขาออกเรือไปยังเกาะวารีมหรรณพ และออกไปนานมาก จึงให้เจ้ารอที่เมืองเพราะกลัวว่าเจ้าจะมีอันตราย

     

    เขารอ...รออย่างใจจดจ่อด้วยความหวังว่าพ่อจะมารับเขาไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย ดั่งวันวานที่แสนสุข หลายชั่วโมงต่อมาเขายังคงรอด้วยใจที่ร้อนรุม

    ด้วยคำถามที่เขาต้องมีอยู่ในใจว่า ทำไม? ทำไม?

    พ่อจึงไปจากเขาโดยไม่บอกลา เขาสงสัยอย่างมาก ด้วยความสงสัยนี้จึงทำให้เขายิ่งทำให้เขาอยู่รออย่างสงบไม่ได้อีกเสียแล้ว

    เขาจึงไปที่ท่าเรือและแอบขึ้นเรือประมงเพื่อข้ามไปยังเกาะวารีมหรรณพ ระหว่างหลบอยู่ในใต้ท้องเรือนั้น เขาได้ยินเสียงผีเท้าที่เดินบนพื้นไม้ดังขึ้นทอดเสียงลงมาสู่ใต้ท้องเรือ

    หัวหน้าเรานี่  ใช้เก่งจริง ๆ เลยนะ เจ้าว่ามั้ย ? ”


    นั่นสิ


    ลูกเรือพูดพร้อมกับยกกระสอบข้าวแบกขึ้นหลัง


    เจ้าได้ยินเรื่องเมื่อคืนนี้มั้ย? ”


    ได้ยินสิ  


    อืม...น่าสงสารเจ้าเด็กคนนั้นเสียจริง ๆ  ต้องเสียพ่อแล้วยังต้องเสียความทรงจำอีก


    ลูกเรืออีกคนหยิบกระสอบข้าวแบกขึ้นพาดไว้ที่บ่า


    อึบ....ใช่ แต่เห็นคนเขาพูดกันนะว่า สเป็น คนหาปลาน่ะ เก็บเด็กคนนั้นมาเลี้ยงใช่มั้ย


    อ่อ  ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน


    อืม  ถ้าเด็กคนนั้นรู้เข้าคงเสียใจแน่ ใช่ ๆ


    ว่าแต่.........พวกเรารีบไปกันเถอะเรือจะเทียบท่าแล้ว


    อืม


    เสียงฝีเท้ากุกกัก กุกกัก ของลูกเรือดังไกลออกไป ชั่วอึดใจหนึ่ง มีเสียงตะโกนว่า เรือ ซันสิบเอ็ด เทียบท่าแล้ว

    เซลจึงได้เตรียมตัวหลบลงจากเรือ แต่เค้าสงเกตุว่ามีทางเดียวที่จะลงจาเรือได้คือเขาต้องโดดลงทะเลอย่างเดียว ถ้าขืนเขาลงทางบันได ที่ท่าเรือละก็ สงสัยเค้าต้องโดนจับฐานลักลอบเขาเมืองโดยไม่ *หนังสือสะเวย์ ( *Sway หนังสือเดินทางในการเข้าเมืองต่าง ๆ ) แน่ แน่

    เขาจึงได้ตัดสินใจกระโดดลงน้ำ เสียงผู้คนบริเวณท่าเมืองวารีมหรรณพ กลบเสียงน้ำที่เค้ากระโดด ได้อย่างไม่มีผู้ใดสงสัย แต่มีชายผู้หนึ่งมองเห็นทุกอย่างตั้งแต่เขาก้าวขาขึ้นเรือจนเค้ากระโดดลงจากเรือ


    เซลออกเดินทางไปตามหาพ่อของเขา เขาออกเดินไปเรื่อย ๆ เสียง โครก ครากกก ดังขึ้น ดังขึ้น จนที่ทำให้ผู้คนภายนอกสังเกตได้ยิน มีมือหนึ่งที่ยื่นขนมปังให้เค้า


    กินซะซิ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ


    เซลผงกหัวมองหน้าชายแปลกหน้าอย่างแปลกใจ ในใจก็ได้แต่คิดว่า  ไอ้อยากมันก็อยากอยู่หรอกนะ  แต่จะให้กินของคนแปลกหน้านี่สิ   

    ชายคนนั้นสะพายเป้ใบใหญ่ ส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขาและและส่งขนมปังที่มีอยู่ให้มือให้กับเค้า

     

    อยู่ในเรือมาตั้งนานมันต้องหิวบ้างแหละน่า


    ฉันชื่อไบรน ( Brine  น้ำเค็ม ) ”

     

    เซลทำหน้ามึน ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ


    เอาหล่ะไม่ว่านายจะชื่อไบรน หรือ เดอะกอดไบรน ข้าไม่สนหรอกนะ อย่ามายุ่งกับข้า


    สีหน้าของเซลดูจริงจัง กับนัยย์ตาที่บ่งบอกว่าอย่ามายุ่งและอย่ามาใกล้เขาอีก


    โครกกกก....คร๊ากกกกก..........


    ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า   เจ้าไม่สนข้าแน่รึ รับไปเถอะน่า เจ้าไม่สนข้าแน่ใจรึ ? เจ้าเคยได้ยินเรื่องเมื่อคืนที่ท่าเรือรึเปล่าล่ะ


    เซลชะงักสักพัก


    น้ำเสียงที่หยอกเล่น กับใบหน้าที่ยิ้มกรุ่มกริ่มของชายแปลกหน้าทำให้เซลไม่ค่อยสบอารมณ์กับชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาซักเท่าไหร่


    แล้วยังไงล่ะ? ”


    ข้าไม่สนเจ้าหรอก ท่าลงท่าเรืออะไร ... ไร้สาระสิ้นดี ....ข้าไปละ  อย่ามากวนข้าอีกล่ะ
     

    เซลได้เดินจากไปด้วยสีหน้าที่เมินเฉย เสียงตะโกนกึกก้องดังสนั่น


    ถ้าเจ้าคือเด็กเมื่อในเรื่องที่เขาเล่าลือกันล่ะ เด็กชายผู้ถูกลบเลือนความจำ....หื้ม...?... ”


    เซลพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังที่แสดงออกว่าเขาไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับคำพูดของชายแปลกหน้าซักเท่าไหร่


    นี่แก.........แกจะมากไปแล้วนะ พ่อฉัน....พ่อฉันยังไม่ตาย  แกเอาอะไรมาพูด


    น้ำเสียงของเซลที่บ่งบอกว่า  โมโหอย่างสุด สุด กับคำพูดของของชายแปลกหน้าที่พูดกับเค้า


    นี่เจ้ายังนึกไม่ออกอีกหรอ ช่างน่าสงสารพ่อเจ้าจริง ๆ นะ ที่ลูกชายสุดที่รักต้องมาลืมตนไปน่ะ


    ไบรนพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สีหน้าเขาบ่งบอกถึงความสมเพชที่มีให้ต่อเซล เซลวิ่งเขาไปหาไบรนด้วยความโมโหสุดขีด เงื้อมมือกำหมัดที่จะไปต่อยหน้าของไบรนเต็มที่

    และก็มีเสียงบ่น  พรึมพรำดังขึ้นคล้ายบทสวด   ฟ้าวววววว....ววววว...วิ้ง

    สายลมที่พัดผ่านเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ในหูของเซลอื้ออึง หัวสมองตีบตัน ภาพในอดีตย้อนกลับมาหาเค้าอย่างไม่รู้จบ น้ำตาไหลพรั่งพรูเอ่อใบหน้า


    นายคงจำได้แล้วสินะเซล เซลมองหน้าเขา


    ชายแปลกหน้าสำหรับเซลส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา


    นาย....ไม่สิไบรน ขอบใจ


    มือเขาคว้าขนมปังนั้นเอาไว้


    เซล นายจะทำยังไงต่อล่ะ


    ไบรนพูดพลางหยิบขนมปังอีกก้อนออกจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเขา

    อ่อก็ไม่รู้เหมือนกันคงจะ......


    แก้แค้นมั่ง ? ”

    น้ำตาที่พรั่งพรูกับหยุดไหล และใบหน้าก็อาบไปด้วยรอยยิ้มที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความแค้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×