ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]NeRVe รัก โลก จิต [TeukCin][BumHyuk]

    ลำดับตอนที่ #10 : [NeRVe] 9 In become Out จากในเป็นนอก 150%//เรื่องSF

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 52


    Chapter: 9
    Title: In become Out
    Type: Uninvited
    Author: Deirc


    กระเป๋าเดินทางใบโตที่เคยเต็มไปด้วยเสื้อผ้าข้าวของบัดนี้กลับว่างเปล่าด้วยฝีมือของเจ้าของผู้รักความเป็นระเบียบ ตลอดการเดินทางเกือบสองชั่วโมงจากญี่ปุ่นกลับมาเกาหลีข้อมูลการทำงานมากมายที่ได้รับฟังมาไม่มีสิ่งใดติดใจเท่ากับคำกำชับที่ว่า ห้ามให้ฮีชอลรู้เด็ดขาดว่าเขาเคยเป็นจิตแพทย์
     
    หลังเก็บสัมภาระทั้งหมดเข้าที่เรียบร้อยลีทึกจึงตัดสินใจเดินทำความคุ้นเคยกับบ้านโดยไม่ลืมขออณุญาติเจ้าบ้านเสียก่อน
     
    เมื่อพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรร่างโปร่งจึงตัดสินใจกลับเข้าห้องเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะ ทั้งนี้ก็ถือเป็นมารยาทของคนมาใหม่ด้วย
     
    การย้ายเข้ามาอาศัยในคฤหาสน์ตระกูลคิมวันแรกดูราบรื่น ทางตัวคนมาใหม่เองด้วยความที่เป็นคนรู้จักกาลเทศะจึงไม่ได้เป็นที่ขวางหูขวางตาของใครในบ้านทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอีกเว้นแต่ คิมคิบอมลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งใส่จนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะอะไรนักหนา รู้จักกันหรือก็ไม่ใช่ จึงได้เพียงสันนิษฐานว่านี่อาจเป็นอาการ ไม่ถูกชะตา หรืออาการผิดปกติทางความคิดเล็กๆน้อยๆของคนทั่วๆไป
     
    ทางด้านลูกชายคนเล็กทีแรกที่รู้ว่าคนที่จะมาแทนเยซองเป็นใครก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรมากมาย แต่ทันทีที่เห็นหน้าทำไมกันนะหน้าหล่อๆนั่นถึงได้กวนใจเขามากมายขนาดนี้ บางทีอาจเพราะนายคนนี้จะต้องมาใกล้ชิดกับพี่ชายคนสำคัญของเขาก็เป็นได้ ที่สำคัญผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่พวกกระจอกอย่างคนก่อนๆ
     
    หลังมื้ออาหารอันน่าอึดอัดจบลงลีทึกก็รีบพุ่งตรงขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน ก่อนจะเปิดโน๊ตบุ๊คแสนรักขึ้นอ่านข้อมูลทางการแพทย์อย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกวัน
     
    แล้วหนึ่งสิ่งที่ตระหนักได้ก็คือตั้งแต่กลับมาเขายังไม่ได้พบกับคนที่เจ้าบ้านได้ไหว้วานให้ดูแลเลย ใจนึงก็อยากจะไปถามให้รู้แล้วรู้รอดแต่อีกด้วยความเหมาะสมแล้วก็ไม่ควร แน่นอนลีทึกเลือกทางที่ถูกต้องที่สุด
     
    นาฬิกาบอกเวลาว่าเป็นเวลาของวันใหม่เพราะได้ล่วงเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ร่างสูงลุกจากโต๊ะทำงานทำท่าจะเดินไปปิดไฟเข้านอน แต่ก็ต้องหยุดเมื่อมองเห็นแสงสว่างจากบริเวณสระว่ายน้ำลอยผ่านผ้ามาสีขาวสะอาดเข้ามา
     
    ใครกันมาว่ายน้ำเอาดึกดื่นป่านนี้
     
    ว่าแล้วก็แง้มผ้าม่านมองดูว่าใครกันนะที่มาขยันออกกำลังกายเอากลางดึกเช่นนี้ คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะคนๆนั้นคือคุณคิบอม ที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไปจากปกติ
     
    แต่แปลกที่แปลกกว่าก็คือเมื่อขึ้นจากสระหลังเข้าไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทนที่ร่างสูงในความมืดจะกลับเข้าบ้าน กลับเดินไปยังโรงรถ จากนั้นจึงมีเสียงรถแล่นออกไปจากบริเวณบ้าน
     
    ความค้างคาใจถูกทิ้งไว้กับช่วงเวลานั้นก่อนร่างสูงจะล้มตัวลงนอนอย่างไม่ใส่ใจ รอให้วันใหม่มาถึงจะเอายังไงต่อไปค่อยมาคิดอีกที
     
    ในตอนเช้ามื้อเช้าเป็นไปตามปกติคนที่ออกจากบ้านไปกลางดึกปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารตรงตามเวลาราวกับไม่ได้ไปไหนมาเมื่อคืน
     
    “วันนี้ว่างไหมเจ้าบอม” ชายสูงวัยถามลูกชายหลังรวบช้อนทานอาหารเสร็จ
    “ว่างช่วงหลังเที่ยงครับ” มองหน้าคนถามเป็นเชิงถามว่าทำไม
    “ดีงั้นพาคุณลีทึกไปเยี่ยมพี่แกที่โรงพยาบาลหน่อยแล้วกัน”
     
    คนถูกใช้ทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจกำลังต่อต้านอย่างถึงที่สุด แต่ยังไงเขาก็ไม่อยากขัดความต้องการของพ่อ
     
    “เข้าใจแล้วครับ ตอนบ่ายผมจะโทรหาคุณลีทึกอีกทีแล้วกันนะครับ” ตอบรับก่อนหันไปบอกอีกคนแล้วลุกจากโต๊ะไปเงียบๆ
     
    บทสนทนานี้ได้แก้ข้อข้องใจไปได้หนึ่งอย่าง แต่คำถามมากมายกลับเพิ่มขึ้นตามมาอีกทวีคูณ
     
    คิมฮีชอล...    จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
     
    หลังมื้ออาหารเวลาว่างก็มาเยือนอีกครั้ง สิ่งแรกที่ผู้อาศัยใหม่ควรจะทำคือการปรับตัวกับสถานที่ และเพราะเมื่อวานได้เดินสำรวจภายในตัวบ้านจนเจนทางแล้ว คราวนี้ก็ต้องลองดูบริเวณสวนและภายรอบบ้าน จากนั้นก็ต้องไปศึกษาถนนหนทางซะใหม่ เพราะตั้งแต่เรียนที่อเมริกาจบก็ย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น รวมๆกันก็ร่วมสิบปี เกาหลีในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้มาเยือน
     
    รอบบ้านเป็นสวนที่ได้รับการดูแลตกแต่งเป็นอย่างดี บรรดาดอกไม้ใบไม้เริ่มร่วงหล่นตาฤดูกาล มีเพียงอย่างเดียวที่ดูผิดแปลกไปจากปกติ ทำไมต้นดอกลิลลี่ที่ควรจะบานสะพรั่งเตรียมพร้อมสำหรับการร่วงหล่น ถึงได้เป็นดอกตูมเช่นนี้..... ออกจะบิดเบือนธรรมชาติไปหน่อยไม่ใช่หรือ
     
    อีกครั้งที่ความอยากรู้ประดังเข้ามาในสมอง ความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกแทรกเข้ามาเต็มอก
     
    เมื่อไหร่ที่สงสัยเขาจะต้องหาคำตอบ แต่ตั้งแต่มาที่นี่ได้เพียงวันกว่าๆ ข้อสงสัยทั้งหมดทั้งปวงแทบจะไม่ได้รับการคลี่คลาย ช่างเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยปริศนา...........................   น่าอึดอัดเสียจริง
     
    เมื่อตาคมเหลือบมองเข้าไปพบแผ่นศิลาสองแผ่นภายในส่วนที่แยกเข้าไป อาการอึดอัดยิ่งคับแน่นกว่าเดิม ความสงสัยเริ่มครอบงำจิตใจอีกครั้ง
     
    แต่ข้อข้องใจคราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ขอแค่เดินไม่กี่ก้าวเข้าไปอ่านบรรดาตัวอักษรที่ถูกสลักไว้อย่างประณีตเท่านั้น
     
    ชื่อแปลกๆบนแผ่นศิลาทำให้ร่างสูงรับรู้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผืนดินสงบนี้คงเป็นร่างไร้ชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่นายในบ้านนี้เลี้ยงเป็นแน่
     
    ความอึดอัดเริ่มผ่อนหหายไป หลังจากได้คำตอบที่ต้องการ หลายๆครั้งเขาเองก็เบื่อกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง นิสัยที่มักจะเครียดโดยไม่รู้ตัวเวลาที่ไม่สามารถหาคำตอบให้กับสิ่งที่เก็บไว้ในใจได้ ประกอบกับเป็นคนช่างสังเกตช่างสงสัยอีกดังนั้นความเครียดจึงมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
     
    เมื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับป้ายหลุมศพได้ร่างสูงจึงเริ่มสะบัดเอาความคิดที่ไม่จำเป็นออกจากหัวแล้วเดินสำรวจต่อ แต่ความร่มรื่นก็อยู่ได้ไม่นานอีกตามเคย เพราะทีนี้ปริศนาอันใหญ่โตได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
     
    อะไรอยู่หลังประตูไม้เก่าๆนี่
     
    ร่างสูงเลือกที่จะทำตามใจตนเอง มือหนายกขึ้นด้วยถือวิสาสะจะเข้าไปดูให้หายสงสัยว่าอะไรกันนะที่จะอยู่ภายใต้ประตูไม้อันไม่ธรรมดาบานนี้
     
    แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เมื่อมีใครอีกคนมารั้งเขาเอาไว้เสียก่อน
     
    “คุณลีทึก”
     
    - - - - - - - - - - - - - - - -
     
    นับตั้งแต่ทงแฮได้เจอกับฮีชอลคนที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของคิบอมคำพูดของคนๆนั้นทำให้เขาต้องเก็บเรื่องนั้นมาคิดทบทวนนับพันครั้ง
     
    -จำไว้นะ ความรักน่ะ ไม่ได้หามาได้ง่ายๆ ถ้าจะโยนทิ้งก็คิดให้มากๆซะก่อน-
     
    นำมาคิดแต่ไม่ได้คำตอบที่ดีที่สุด สมการที่แก้ไม่เสร็จสร้างความหนักใจให้เจ้าตัวไม่น้อย แต่ในเมื่อมันหามายาก จะสู้เพื่อมันเสียหน่อยก็คงไม่เกินกำลัง
     
    “คยูฮยอน เดี๋ยวนี้นายกับฮยอคแจ ดูสนิทกันดีนะ” ทงแฮทักคนที่กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวกับหนังเล่มเล็กในมือ
    “อืม ทำไมหรอ” นี่นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่โจคยูฮยอนจะเงยหน้าจากหนังสือในมือเพื่อตอบรับอีกฝ่าย
     
    “ตั้งแต่วันนี้ฉันจะไปส่งฮยอคแจเอง ไม่ต้องรบกวนนายแล้วล่ะ ที่ผ่านมาขอบใจมากนะ” ยิ้มสดใสให้เพื่อนสนิททั้งที่ในใจกลับสุมไปด้วยความร้อนรน ร้อนรนกับท่าทีไม่สนใจของอีกฝ่าย
     
    “ไม่เป็นไรหรอก ฮยอคแจตกลงกับฉันแล้วว่าต่อจากนี้ไปฉันจะไปส่งเขาแทนนายเอง เห็นเขาบอกฉันว่านายยุ่งๆนี่เดี๋ยวนี้” คยูฮยอนยิ้มน้อยๆกลับไป
     
    เป็นจริงอย่างที่พูด แม้จริงๆแล้วคนเสนอความคิดจะไม่ใช่ฮยอคแจแต่ฝั่งนั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะเห็นว่าช่วงนี้ทงแฮมักไม่ค่อยว่าง กลัวจะเป็นการรบกวน ส่วนตัวเขาเองสาเหตุหนึ่งคือการช่วยฮยอคแจตบตานายคิมคิบอมอะไรนั่น ถือเป็นการไถ่โทษที่ตัวเขาเองดันพาเพื่อนไปเจอกับดักแผลงๆของหมอนั้นโดยไม่ตั้งใจ อีกหนึ่งก็ถือเป็นประโยชน์ส่วนตัวของเขาเองที่จะได้ดูปฏิกิริยาตอบรับจากลีทงแฮ
     
    ทงแฮชักสีหน้าเล็กๆ
     
    ทำไมจะดูไม่ออกว่าลีทงแฮคิดอะไร
     
    ทำไมจะดูไม่ออกว่าลีทงแฮกำลังกังวลแทบบ้า
     
    ทำไมจะไม่รู้ในเมื่อสิ่งที่เห็นเน้นให้โจคยูฮยอนรู้ว่าเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนๆนี้แม้จะไม่ได้เหมือนไปซะหมด แต่รู้เพียงเท่านี้อะไรๆก็ดูจะง่ายขึ้น
     
    “ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่นายเริ่มเป็นเพื่อนกับพวกเรา” คนตัวเล็กกว่าจงใจเน้นคำสุดท้ายอันแบ่งแยกให้อีกฝ่ายรู้ตัว
    “ไม่รู้สิ ตั้งแต่ที่ฉันเข้าไปในโรงเรียนตอนปีสามล่ะมั้ง” ตอบเหมือนไม่ใส่ใจ ทั้งที่เข้าใจแจ่มแจ้งในความหมายของคำว่า เรา
     
    ความเงียบอันน่าอึดอัดเริ่มปกคลุมบริเวณม้านั่งประจำของทั้งสามที่บัดนี้มีอยู่เพียงสอง จนกระทั่งคนที่สามเข้ามาทำลายความเงียบ
     
    “มาแล้ว ขอโทษนะที่มาช้าเมื่อกี๊ฉันไปต่อแถวแล้วดันโดนพวกพี่ชินดงแซงซะได้ เฮ้อ ใครว่ามาก่อนได้ก่อนกันเล่า ไม่เห็นจริงเลย” บ่นกระปอดกระแปดโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดดันไปจี้ใจดำใครบางคนเข้า
     
    ใครว่ามาก่อนได้ก่อนกันเล่า งั้นก็หมายความว่าถ้ามาช้าแต่มีวิธีที่ดีกว่าก็จะได้ก่อนอย่างนั้นหรอ
     
    เสียงครุ่นคิดในใจส่งผลให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
     
    “แน่ล่ะ มาก่อนแต่ไม่รู้จักรักษาจุดยืนดีๆสุดท้ายก็ตกกระป๋องแบบนี้แหละ ฮ่าๆ” คยูฮยอนเอ่ยขนาดเก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วหันมาล้อเลียนฮยอคแจที่กำลังทำแก้มพองลมอย่างไปพอใจ พลางชายตามองอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนา… นั่นไงสายตาครุ่นคิดเหมอนสมองจะระเบิด
    “เป็นอะไรทงแฮ นั่งหน้าบึ้งเป็นปลาเน่าอยู่นั่นล่ะ” ร่างบางถามทีเล่นทีจริงกับอีกคนที่นั่งเงียบไปเสียดื้อๆ ความจริงเขาก็รู้สึกแปลกๆมาได้สักพักแล้ว เพราะช่วงนี้ทงแฮที่ปกติต้องจ้อไม่หยุดปากกลับดูสงบปากสงบคำผิดวิสัยเล็กน้อย
     
    แม้จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของเพื่อนซี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่พูดเขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ เพราะปกติถ้ามีปัญหาอะไรทงแฮมันจะบอกเขากับคยูฮยอนเสมอ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อยากบอก กาลเวลาคงจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นเองนั่นแหละ ส่วนคยูฮยอนเองที่เงียบเป็นปกติแม้จะไม่แสดงออกอะไร แต่ก็คงดูออกแล้วเป้นห่วงอย่างเงียบๆอยู่เหมือนกัน เพียงแต่หนึ่งอย่างที่เขาไม่เข้าใจก็คือ...... สายตาของทั้งสองคนที่เปลี่ยนไป
     
    “เปล่านี่ เอ้าๆกินได้แล้ว หิวไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย เพราะมัวแต่รอนายเลยเป็นแบบนี้ทุกทีอ่ะ เฮ้อ ทีหลังฉันไปซื้อแทนดีกว่า” คนถูกเริ่มบ่นจนอีกคนชักอย่าจะเปลี่ยนคำถามแสนห่วงใยเป็นหมัดย่อมๆสักหมัด
     
    ทุกอย่างเป็นไปตามปกติฮยอคแจกับทงแฮที่ตีกันไม่เลิกขณะกินข้าว กับคยูฮยอนที่คอยมองยิ้มๆบางครั้งก็ต้องคอยห้ามศึกทุกอย่างเหมือนเดิม มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนไปคือ ความรู้สึกของทุกคน
     
    หลังทางมื้อเที่ยงเวลาว่างก็มาเยือนอีกครั้ง วันนี้ทั้งสามคนมีเวลาว่างตรงกันพอดีเป๊ะหลังจากที่มีภารกิจต้องแยกย้ายกันไปทำช่วงก่อนสอบจนทำให้ไม่ค่อยได้รวมตัวนั่งเล่นกันเหมือนอย่างวันนี้ซักเท่าไหร่
     
    ปึง!
     
    “นี่ๆ ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำกันมั้ย” คนตัวบางลุกขึ้นตบโต๊ะอย่างแรงแล้วเอ่ยชวนเพื่อนทั้งสอง
     
    “ก็ดี ไปนั่งริมแม่น้ำเผื่ออากาศมันจะดีกว่าที่นี่” คยูฮยอนเห็นด้วยก่อนจะลุกขึ้นตาม พูดตามจริงอากาศริมน้ำมันดีกว่าอากาศในมหาลัยจริงๆ
     
    อีกคนเพียงมองตามโดยไม่คิดแม้จะลุกขึ้น
     
    “นายไม่ไปอยากหรอทงแฮ” ร่างผอมบางถามอย่างแปลกใจความจริงทงแฮควรจะเป็นคนแรกที่ดีใจอยากจะรีบกระโดดไปให้ถึงแม่น้ำเร็วๆสิ
    “ไม่ดีกว่า ฉันจะนั่งอ่านหนังสืออยู่นี่แหละ”
     
    ที่นั่นน่ะฉันอยากจะให้เป็นที่ๆมีแค่คนสองคนเท่านั้น แล้วอากาศก็คงจะดีกว่าถ้าไม่มีฉันอยู่
     
    “อ่านหนังสือ? นายอ่ะนะอ่านหนังสือ ไม่ใช่คยูฮยอนซะหน่อย” มึนไปอีกระลอก ลีทงแฮอ่านหนังสือในเวลาที่ไม่ได้สอบ แบบนี้หมีโคอาล่าก็คงกินต้นไผ่แล้ว
    “ทำไม เพื่อนจะอ่านหนังสือไม่ดีตรงไหน” ถามด้วยเสียงห้วนๆเหมือนอารมณ์ไม่ดีคนฟังก็งงโดยมีคนตัวสูงข้างๆยืนมองนิ่งๆ
    “ก็แค่แปลกใจน่า สรุปนายจะไม่ไปกับพวกเราจริงๆใช่มั้ย” คนถามตั้งใจถามจริงๆ
     
    แต่คนฟังกลับคิดเป็นอื่น
     
    พวกเราอย่างนั้นหรอ......    คำว่าเราของนาย เปลี่ยนไปแล้วใช่มั้ย
     
    “ไม่อ่ะ บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ฉันน่ะเป็นคนรักษาจุดยืนนะจะบอกให้ ฮ่าๆ” หัวเราะร่วน อารมณ์ขึ้นๆลงๆทำให้คนตัวเล็กแปลกใจนิดๆทั้งยังคำพูดที่เหมือนยืมของอีกคนมาใช้ แต่คนตัวสูงนั้นเข้าใจทุกอย่างที่คนพูดต้องการสื่อ ต่างฝ่ายต่างจ้องเข้าไปในดวงตาของกันและกัน
     
    ขณะเดียวกันทั้งคนที่ลั่นวาจาในความยึดมั่นกับอีกคนที่หยั่งเชิงไว้แต่แรกต่างก็คิดอะไรบางอย่างที่ตรงกัน
     
    ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่รู้มั้ย................ นายคิดผิด!!
     
    ส่วนอีกคนซึ่งได้แต่มองสายตาแปลกๆที่ทั้งสองใช้จ้องกันก็เพียงแค่คิดในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
     
    พวกนายคิดอะไรกันอยู่นะ หรือว่านายสองคนจะมีอะไรที่ไม่ยอมบอกฉัน
     
    ท่ามกลางเวลาแห่งห้วงนิทราสายน้ำเย็นเฉียบรอบกายบังคับให้ต้องออกแรงขยับร่างกายมากกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างสูงซึ่งแหวกว่ายอยู่ในแสงริบหรี่นี้
     
    ทุกครั้งที่มีเรื่องวุ่นวายใจจนหลับไม่ลงคิบอมจะลงมาว่ายน้ำอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆ แม้ว่ากระแสน้ำจะเย็นเฉียบเพียงใด
     
    เพราะการจะเอาชนะสิ่งอะไรก็ตาม ต้องเริ่มจากตัวเอง
     
    คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาหลับไม่ลง ชีวิตประจำวันดูแสนจะมีความสุข ตื่นมาก็มีทุกอย่างพร้อมคฤหาสน์หลังใหญ่ พ่อที่แสนจะอบอุ่น พี่ชายคนสวย บรรดาบริวาณมากมายพร้อมทำตามทุกอย่างที่ต้องการ ก้าวเท้าออกจากบ้านก็เป็นที่นิยมชมชอบ ดีพร้อมไม่ว่าจะเรื่องความรู้ความสามารถ
     
    แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการอย่างไม่จำกัด แล้วอะไรคือสิ่งกำหนดความต้องการ
     
    ความทุกข์ สุข ทุกคนต้องการสุข และปราศจากทุกข์ แต่ก็มีผู้กล่าวไว้ว่า ไม่มีใครที่จะสุขไปเสียทั้งหมดหรือทุกข์ไปเสียทั้งหมด แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะไขว่คว้าเอาสิ่งที่ตัวเองต้องการมาเพื่อความสุขของตัวเอง
     
    จะผิดไหมหากเขาอยากจะฉีกเฉือนวาจาเหล่านั้น ให้ได้เห็นว่า เขาเป็นคนปราศจากความทุกข์
     
    ก่อนจะกลับมาถึงบ้าน คิบอมเห็นว่าฮยอคแจไม่ได้กลับบ้านทันทีหลังเลิกงานพิเศษ จึงลอบตามไปดูอย่างเงียบๆ
     
    ร้านซีดีหรืออะไรซักอย่างในซอยเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นกับรอยยิ้มของคนตัวเล็กตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าร้านทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังห่างไกลจากฮยอคแจขึ้นเรื่อยๆ ความแตกต่างนั้นช่างมากมาย และเมื่อเห็นว่าอีกคนคงไม่กลับออกมาจากร้านนั้นง่านๆ จึงตัดสินใจกลับบ้านพร้อมการพยายามทำจิตใจว่างเปล่า
     
    เมื่อของเล่นชิ้นบนสุดของตู้หยิบออกมายาก…………. ก็พลอยนึกถึงอีกคนใกล้ๆตัวแทนที่ของเล่นชิ้นนั้น
     
    แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ของเล่นชิ้นนั้นนั่งสบายอยู่บนตู้
     
    ใบหน้าสวยหวานของใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณบ้านดึงความคิดทั้งหมดของร่างโปร่งออกไป รู้สึกอยากพบ อยากเห็นหน้า
     
    คิดถึง
     
    แล้วคิดถึงถือเป็นความทุกข์รึเปล่า?
     
    แม้แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจ
     
    ถ้าไม่แน่ใจ แค่ขจัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปก็พอไม่ใช่หรือ และนี่คือสิ่งที่ร่างสูงคิดได้หลังจากการพยายามเอาชนะความฟุ้งซ่านของตัวเอง
     
    แขนแกร่งยันขอบสระพร้อมแรงส่งจากขายาวเพื่อให้ตัวลอยขึ้นถึงระดับที่จะสามารถปีนออกจากสระน้ำในบริเวณที่ลึกเกือบสองเมตรได้
     
    การอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว ใช่แล้ว เพราะเขาจะรีบไปเจอหน้าคนคนนั้น

    ถนนยามค่ำคืนสงบเงียบ มีเพียงรถสีดำคันนี้ซึ่งมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
     
    แม้จะเลยเวลาเยี่ยมของโรงพยาบาล แต่หากเอากันตามจริง ก็ไม่มีใครคิดจะมาขัดใจทักท้วงคิบอมเรื่องเวลาเข้าออกอยู่แล้ว เพราะตระกูลคิมเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้
     
    ทางเดินมีเพียงพยาบาลเข้าเวณชั้นละไม่กี่คนคอยเดินไปมาตามห้องผู้ป่วย เส้นทางเดิมๆพาร่างสูงมายังห้องพักเดิม คนๆเดิม แต่เป็นความรู้สึกที่แตกต่าง
     
    ฝ่ามือหนาผลักบานประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกคนจะนอนอยู่หรือเปล่า ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศอย่างชัดเจน
     
    เสียงสะอื้นไห้เบาๆดังขึ้นขัดคลื่นความเงียบ
     
    คนๆนั้นกำลังร้องไห้?
     
    แม้คนที่มองความอ่อนแอเป็นสิ่งโง่เขลาก็ไม่อาจหยุดน้ำตาของตนได้อย่างนั้นหรือ
     
    ร่างสูงเพียงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆมองคนที่นอนร่ำไห้ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
     
    เท่าที่จำได้ หลังการตายของแม่การร้องไห้ของร่างบางนั้นนับครั้งได้ สองครั้งสำหรับการจากไปของผู้ชายสองคนนั้น
     
    แต่ร่างสูงเองก็ไม่รู้ว่า
     
    น้ำตาในครั้งนั้นคือความเศร้าเสียใจหรือ
     
    ความรู้สึกผิด
    แล้วครั้งนี้ล่ะ…….. คืออะไร
     
    ไม่ว่าจะสักกี่หน คงเป็นไปไม่ได้หากจะไม่มีความเสียใจหลั่งไหลออกมาพร้อมหยาดน้ำตาเลยแม้สักครั้ง และเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ คิมคิบอมจะคอยโอบกอดคิมฮีชอลทุกครั้งที่ต้องร้องไห้
     
    ร่างบอบบางบนเตียงผู้ป่วยสั่นเทาไปตามแรงสะอื้น
     
    รู้บ้างไหมว่าน้ำตาแต่ละหยดทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้หวั่นไหว เจ็บปวด
     
    ร่างสูงเดินเข้าไปข้างเตียง ยกมือขึ้นใช้นิ้วเกลี่ยขอบตาช้ำ หวังจะปาดเอาน้ำตาออกไปจากใบหน้าแดงก่ำ ออกไปพร้อมกับความเศร้า ดวงตาเหม่อลอยตวัดหลับมามองคนที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียง
     
    คิบอม เอ่ยเรียกอย่างแผ่วเบาเมื่อดวงตาชื้นแฉะมองเห็นอีกคน
     
    เจ้าของชื่อแม้ไม่ขานรับ แต่แววตานั้นสื่อถึงความเข้าใจเป็นอย่างดี ช่วงเวลาอันย่ำแย่คือเวลาที่จะแสดงให้เห็นถึงอีกด้าน
     
    แขนแกร่งโอบพยุงร่างบางขึ้นนั่งแล้วกอดไว้อย่างหวงแหน แม้ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ ณ ตอนนี้ เขารักคนคนนี้เหลือเกิน ต้องปกป้อง ต้องดูแล แม้จะไม่มีทางได้ครอบครองไว้เพียงคนเดียว
     
    เรียวแขนเล็กยกขึ้นเกาะบ่ากว้างซบลงพึมพำเบาๆแต่ก็ดังพอที่ร่างสูงจะได้ยินอย่างชัดเจน
     
    อีกแล้ว ฉัน ทำ ทำมันลงไปอีกแล้ว คิบอม
    ผิดมากใช่มั้ย อย่างนั้นใช่มั้ยเนื้อเสียงบ่งบอกถึงความสับสน ดวงหน้าหวานผละออกจากบ่ากว้าง จ้องเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกคนอย่างหาคำตอบ
     
    ความเจ็บปวดแล่นเข้าไปในอก อะไรกันหนอ ทำให้พี่ชายของเขากลายเป็นแบบนี้ แม้ตอนนี้ตามกฎหมายฮีชอลจะเป็นบุคคลทั่วไป แต่อย่างไรความคิดก็ยังคงเป็นบุคคลวิกลจริตอยู่ แม้เขาจะเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้
     
    และจะมีแค่คนเดียวที่ได้รู้เรื่องนี้
     
    อีกแล้ว ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ คำถามซ้ำซากวนเวียนไม่ได้ก่อความรำคาญใจแก่อีกฝ่าย ร่างสูงเพียง โอบกอดร่างสั่นเทาไว้นิ่งๆ
     
    ไม่ว่าจะเพราะอะไร จะผิดหรือถูกยังไง ผมก็จะอยู่ข้างพี่ พี่รู้ไว้แค่นี้ก็พอ
    ไม่ไม่ถูก ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ พร่ำกล่าววกวนต่อไปเรื่อยๆราวกับไม่ได้ยินคำพูดของอีกคน
     
    เรื่องอะไรที่รู้แล้วเจ็บก็ไม่ต้องรู้ แม้มันจะจำเป็นขนาดไหนก็ตาม เขาจะไม่บอก เพื่อรักษาหัวใจของคนในอ้อมแขนนี้ แม้จะต้องหลอกลวง ก็จะทำ
     
    เมื่อการเคลื่อนไหวในอ้อมแขนหยุดลงให้รู้ว่าอีกคนเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว จึงค่อยๆวางร่างบางให้นอนลงบนหมอนอย่างแผ่วเบา ตาคมเหลือบมองขาที่ถูกบลอคไว้ในเฝือกอันหนักอึ้งพลางเกิดความคิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง
     
    ทั้งที่เจ็บตัวขนาดนี้ บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจพี่หรอกนะ กระซิบกับคนที่กำลังหลับไหล ก้มลงประทับจูบบนกลีบปากแดงเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมความว่างเปล่าในจิตใจ
     
    ทำใจให้ว่างงเปล่าเพื่อหลีกหนีความจริง
     
    - - - - - - - - - - - - - - - -
     
    “คุณลีทึก ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เจ้าบ้านสูงอายุหยุดการหาคำตอบของร่างโปร่งไว้แค่นั้น เขารู้ว่าร่างโปร่งกำลังจะเข้าไปในห้องเล็กๆอันดูเป็นปริศนา พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะแม้แต่เจ้าของบ้านอย่างเขาเองก็ยังไม่เคยเข้าไปในห้องเล็กๆนั่น
     
    ทีแรกเขาไม่เคยรู้ว่าด้านข้างของบ้านมีประตูไม้อีกหนึ่งบาน ที่เขาไม่เคยสังเกตเห็น จนกระทั่งฮีชอลพบมันเข้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ห้องๆนั้นจึงกลายเป็นของเด็กชายจนบัดนี้
     
    และเพราะฮีชอลไม่เคยเชิญชวนให้เขาเข้าไป เขาก็ไม่คิดจะก้าวก่าย ทุกคนย่อมมีโลกที่สร้างไว้เพื่อตัวเองเพียงคนเดียว
     
    แต่……….. เขาก็ไม่คิดจะห้ามลีทึกซึ่งกำลังจะก้าวก่ายอาณาเขตส่วนตัวอย่างลูกชายอย่างไม่รู้ตัว ถ้าลีทึกรู้ เขาก็จะได้รู้ โดยที้ไม่ต้องไปก้าวก่ายใคร
     
    ชายสูงวัยเดินนำเข้าบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน จนถึงห้องทำงานใหญ่ บานประตูถูกเปิดออก ชายสูงวัยยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วบอกให้เดินไปนั่งที่ชุดรับแขกกลางห้องก่อนจะเดินตามไปนั่งลงบนโซฟาหรูฝั่งตรงข้าม
     
    บัตรเครดิตสีทองอร่ามถูกวางลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีแล้วดันมาตรงหน้าร่างสูง
     
    “ต่อไปค่าใช้จ่ายต่างๆก็ใช้เจ้านี่แล้วกันนะ”
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ให้มาก็มากเกินพอแล้ว” ปฏิเสธอย่างอ่อนน้อม ก็จริงนี่ แค่เงินเดือนที่เจ้าบ้านเสนอจะโอนให้ในบัญชีก็เป็นเลขเจ็ดหลักอยู่แล้ว
    “ฮะๆ รับไว้เถอะ ต่อไปถ้าต้องอยู่กับฮีชอลน่ะ บัตรใบนี้จะไม่พอใช้ด้วยซ้ำ” หัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงความฟุ้งเฟ้อของลูกชายคนโต
     
    คนฟังยังคงทำหน้าลำบากใจต่อไป เพราะกับแค่การคอยดูแลคนที่โตแล้วคนนึง มันจะลำบากอะไรขนาดที่ต้องได้รับค่าตอบแทนมากมายขนาดนี้
     
    เมื่อคุณคิมเห็นสีหน้าลำบากใจจึงรีบตัดบท
     
    “รับไว้เถอะ แล้วเธอจะรู้ว่าดูแลฮีชอลน่ะ ลำบากกว่าที่คิด” แววตาที่สื่อความหมายชัดเจนทำให้ลีทึกต้องจำใจเก็บการ์ดสีทองใบนั้นเข้ากระเป๋าก่อนจะออกจากห้องไป
     
    ขณะตั้งใจจะเดินกลับไปที่ประตูห้องปริศนานั่นอีกโทรศัพทืมือถือก็ดังขึ้นพอดี
     
    “สวัสดีครับ” กรอกเสียงทักทายคนโทรมาอย่างสุภาพเป็นปกติ
    “ผมจอดรถอยู่หน้าบ้านแล้ว”
    “ครับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
     
    น้ำเสียงเรียบๆติดจะเย็นชาของคิบอมดึงดูดให้เขาอยากรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้น อยากจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เป็นคนที่ดูนิ่งสงบถึงเพียงนี้ ทั้งที่ดูก็พอรู้ว่าไม่ใช่คนใจเย็นอย่างที่เห็น
     
    ระหว่างการเดินทางทุกอย่างเป็นไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครคิดจะเปิดปากเริ่มบทสนทนา แต่ก็ต่างครุ่นคิดเรื่องของอีกฝ่ายอย่างหาคำตอบไม่ได้ ต่างกันตรงที่ คนหนึ่งเป็นไปด้วยความสนใจอีกคนเป็นไปด้วยความต่อต้าน
     
    เมื่อมาถึงที่หมายและจอดรถเรียบร้อย คิบอมจึงเดินนำร่างสูงเข้าไปในตัวอาคาร ตลอดทางมีผู้คนหันมองพร้อมซุบซิบกันอยู่เป็นระยะ ด้านคิบอมเองก็เคยชินกับสายตาน่ารำคาญเหล่านั้น ส่วนคนมาใหม่ก็ได้เพียงสงสัยในสายตาเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคนตระกูลคิมนั้นดูเป็นปริศนาไปเสียหมด
     
    ประตูห้อง 1312 ถูกคิบอมผลักเข้าไปโดยไม่สนใจว่าเสียงจะดังเสียงเท่าไรเพราะเขารู้ว่าคนป่วยในห้องไม่มีทางหลับในเวลานี้แน่นอน
     
    “เอ้า กินเข้าไปสิพี่ บอกให้ผมปอกก็กินดิ” เสียงซึ่งไม่ใช่ของพี่ชายคนสวยลอยมาแตะประสาทหูทำให้คิบอมรีบเดินเข้าไปอย่างร้อนใจ  
     
    ร่างสูงใหญ่ที่มักจะมีแว่นตาล้ำสมัยอยู่บนใบหน้าวันนี้เพียงใส่แว่นกรอบดำไม่มีเลนส์ธรรมดานั่งข้างเตียงที่มีพี่ชายสุดที่รักนั่งยิ้มแป้นมองชามผลไม้บนโต๊ะอย่างเริงรื่น
     
    ดูก็รู้ว่ากำลังพยายามจะป้อนผลไม้ให้อีกคน เพราะไอ่แอปเปิลมะละกอกล้วยส้มมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ บางส่วนที่อยู่บนจานในมือใหญ่ๆนั่น กับอีกหนึ่งชิ้นที่ติดอยู่บนส้อมซึ่งจ่ออยู่ตรงริมฝีปากแดงจัดนั่น
     
    “นายจะทำอะไร” คิบอมเอ่ยเสียงเรียบแต่กลับดังก้องไปทั่วห้องอย่างน่าประหลาดใจ
     
    ทางคนที่ไม่รู้จักใครได้เพียงยืนมองเหตุการณ์ไปเงียบๆ ขณะเดียวกัน คนสวยบนเตียงสังเกตุเห็นคนมาใหม่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ...................   เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตัวอยู่อย่างไม่ละสายตา
     
    จะเป็นใครก็ช่าง ถ้าไม่ใช่คนที่จะมาเป็นหมากในเกมนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปใส่ใจ
     
    “ก็พี่ชายนายน่ะสิ บอกให้ฉันซื้อผลไม้เข้ามา ซื้อเสร็จก็สั่งให้ปอก ปอกเสร็จสั่งอีก บอกให้ป้อนด้วย แล้วดู ไม่ยอมกิน จะสั่งเพื่อ” พูดไปก็ชี้โบ้ชี้เบ้ ยกส้อมที่มีผลไม้ปักอยู่ยื่นใส่หน้าคิบอม
     
    “พี่เค้าไม่อยากกินก็ช่างเค้าสิ เดี๋ยวหิวเมื่อไหร่เค้าก็ทานเองแหละ ขอบคุณที่ช่วยดูแล เชิญนายกลับไปได้แล้ว” คำขอบคุณของคิบอมช่างรื่นหูคนฟังเสียเหลือเกิน
    “พี่นายเรียกฉันมาเองนะ หึ” ยิ้มมุมปากกับเสียงทุ้มนั่นอาจดูดีในสายตาใครหลายๆคนแต่ที่แน่ไม่ใช่สำหรับคิบอม
     
    ร่างสูงโปร่งไม่มีท่าทีจะลุกไปจากเก้าอี้ข้างเตียง แน่นอนคนที่เรียกเขามาคือฮีชอล เขาจะไปก็ต่อเมื่อฮีชอลเป็นคนไล่ ไม่ใช่คิบอม
     
    “เท๊มมี่ๆ มานี่หน่อย” คนบนเตียงกวักเรียกให้ร่างหนาเขยิบไปเข้าไปฟังกระซิบอะไรบางอย่าง
     
    คิบอมชักสีหน้าก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟารับแขกโดยมีลีทึกผู้ไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ส่วนไหนของห้องตามไปนั่งด้วยที่อีกฝั่งของโซฟา วางตัวให้มีมารยาทมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
    ร่างสูงที่กำลังฟังคำกระซิบกระซาบของคนตัวบางเพียงยิ้มเนือยๆพยักหน้าเบาๆ ชั่วอึดใจคนสวยก็หอมฟอดเข้าไปที่แก้มสากๆนั่น ทำเอาคนที่นั่งจ้องเขม็งอยากจะพุ่งเข้าไปเสยหมัดหนักๆใส่หน้าโหดๆของอีกคนให้ได้ แต่ในเมื่อฮีชอลเป็นคนเริ่มก่อน เขาจะทำอะไรได้
     
    “ไปแล้วนะ บายคิบอม บายคุณคนแปลกหน้า” ซึงฮยอนเดิมหน้าระรื่นออกจากห้องไปโดยมีสายตาอาฆาตมาดร้ายมองส่งจนกระทั่งบานประตูปิดลง
     
    “หวัดดีคิมบี้ มานั่งนี่สิ แล้ววันนี้พาใครมาเนี่ย” คนบนเตียงถามอย่างร่าเริงราวไม่มีอะรเกิดขึ้น พร้อมเอามือตบเบาๆที่เก้าอี้ข้างเตียง
     
    คิบอมเพียงนั่งเงียบๆไม่เดินไปตามคำเชิญชวน ทำให้ร่างบางรู้ว่าน้องชายตัวโตกำลังไม่พอใจ
     
    ร่างโปร่งไม่พอใจที่ร่างบางไปเข้าใกล้คนตัวโตมากมายขนาดนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนแต่อย่างใด เพราะดูก็รู้ว่าคนตัวบางจำเรื่องอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
     
    “แล้วอย่ามานั่งตรงนี้ให้เห็นนะ สวัสดีครับ ผมคิมฮีชอลพี่ชายของคิบอมครับ” บ่นเบาๆเห็นว่าไม่ได้ผลก่อนหันไปสนใจคนแปลกหน้าแทน
    “ลีทึกครับ ผมจะมาดูแลคุณฮีชอลแทนคุณเยซองครับ เสียใจด้วยเรื่องคุณเยซองครับ” ลุกขึ้นโค้งให้ สายตามองตรงไปยังนายคนใหม่อย่างแน่นิ่ง
     
    ใบหน้าสวยขยับขึ้นลงเบาๆเป็นเชิงรับรู้
     
    ดวงตากลมโตกับรอยยิ้มเชื่อมๆก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด อาจเป็นความหลงไหล แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน
     
    การแสดงออกอันน่าพิศวง
     
    แลดูเปี่ยมสุขเสียแทบจะปักใจตาม
     
    หรือว่างเปล่า เพราะคุ้นเคยและแสนเบื่อหน่าย
     
    ยิ้มร่าให้กับปมขัดแย้ง
     
    ถึงเล็กน้อย แต่จะแก้ได้ง่ายๆงั้นหรือ
     
    สภาพร่างกายอันไม่พร้อม
     
    การจากไปของคนใกล้ตัว
     
    ยิ้มประชด
     
    ยิ้มหลอกลวง
     
    ยิ้มมีชัย
     
    คำไหนกันคือนิยามอันเหมาะสม
     
    หรือทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่า.............................................
     
    ทุกการแสดงออกเป็นที่สะดุดใจแก่คนมาใหม่ เรื่องบางเรื่องหากไม่สังเกตไม่ไตรตรองก็ไม่มีวันมองเห็น บางทีงานครั้งนี้อาจท้าทายกว่าครั้งไหนๆก็เป็นได้
     
    ดวงตาคมที่จับจ้องมาช่างมั่นคง ไร้แววคล้อยตาม เต็มไปด้วยความคิดพิจารณา แม้กลีบปากจะฉีกยิ้มประกอบแววตาอันน่าเชื่อ ทำไมคนๆนี้จึงจ้องมองราวกับไม่ปักใจในการแสดงออกอันแนบเนียนนี้ หรืออะไรๆจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
     
    แววตามั่นคงนั้น
     
    ทำให้ดวงตาสั่นไหว
     
    แม้เพียงเสี้ยวนาที
     
    เป็นความท้าทาย ต้องการเอาชนะ
    ……..
    …………….
    ……………………..
    หรือความกลัว ที่จะพ่ายแพ้
     
    ร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟา เฝ้ามองสายตาที่คนทั้งสองจ้องมองกันอย่างพิจารณา ไม่ว่าลีทึกจะมองฮีชอลอย่างไร เขาไม่สน แค่…………   …… …        อย่าล้ำเส้นเป็นพอ
     
    ทั่วทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบ ความเงียบที่ไม่แม้แต่จะอึดอัด ห้วงแห่งความคิด เล่ห์กล ความท้าทาย การเอ่ยปากเพียงคำเดียวถนนอันบิดเบือนก็อาจเบี่ยงเบนซ้ายขวาโดยไม่อาจกลับสู่ทางเดิมได้
     
    “คุณลีทึก ทานมื้อเที่ยงหรือยังครับ” เสียงสดใสเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
    “ยังเลยครับ เดี๋ยวว่าจะไปทานหลังพบคุณฮีชอลน่ะครับ” ยิ้มบางๆ ทำให้เห็นลักยิ้มข้างใบหน้า ดูน่าหลงไหล แต่แววตากลับฉายแววที่คิมฮีชอลไม่พิศวาทเอาเสียเลย
     
    ดูรอบคอบไปเสียทุกอย่าง ราวกำลังบอกว่า

    นายไม่มีทางเอาชนะฉันได้
     

    NeRVe - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




    ยังคงรอเม้น

    เม้นหาย ฟิคไม่หาย ไรเตอร์ไม่หาย แค่ไม่อัพ~

    SF ลงละนะ~


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×