คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สายรุ้ง
ฝนที่ตกวันนี้อาจเป็นแค่มรสุมพัดผ่าน... แต่เมื่อพายุนั้นอันตรธาน... ก็ใช่ว่ารอยแผลจะประสานกลับได้ทันที...
เขาเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มจะมีประกายสว่าง แต่รัศมีแสงเหล่านั้นก็ดูหม่นเศร้าพิลึก... เพลิงแผดเผาในดวงจิตได้ดับสนิทลงไปแล้ว แต่เถ้าภัสมะของมันกลับหนาวระเยือกแปลบจิต... เมื่อภัยพิบัติจบลง รอยยิ้มแจ่มใสก็ย่อมกลับคืนมา เพียงแต่ว่าริมฝีปากของชายผู้กล้าจะหนักอึ้งเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยตุ้มน้ำหนักล่องหน... ผูกเอ็นลวดพันรอบเส้นเลือดอาร์เธอรีร์ แล้วโยงอีกปลายชี้ไปยังใครคนหนึ่งซึ่งอยู่แสนไกล...
“เธอควรจะดีใจนะ...” ในที่สุด บริดจิดด์ก็กล่าวขึ้น เสียงหวานๆของแม่เสือดาวกระสุนเงิน ทำลายความวิเวกของอดีตสมรภูมิเลือดลงอย่างช้าๆ
ฟิลิกซ์หันหน้าไปมองเพื่อนร่วมงานสาว แล้วส่งยิ้มเจื่อนๆให้ “ใช่... ฉันก็ว่างั้น...”
คอนสแตนตินเห็นท่าทางของเพื่อนซี้เปลี่ยนไป จึงเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มให้อย่างร่าเริง “ฟิลิกซ์... อย่าคิดมากน่า... นายก็รู้ว่าหมอนั่นเป็นคนยังไง... ไอ้ที่พล่ามๆมานั่นก็มีแต่จะทำลายขวัญเราเท่านั้น... นับว่าเป็นการหยามน้ำหน้าครั้งสุดท้ายก่อนตาย...”
“ฉันก็พยายามจะคิดแบบนั้นนะ... คิดเลยเถิดถึงขั้นที่ว่า ไลโอเนลยังไม่ตาย ทั้งหมดนี่เป็นแค่การเล่นละครเพื่อหลบหนีไปจากเรา...” ฟิลิกซ์ค่อยๆกล่าว “แต่ว่า... ทำไมนะ... ทำไมความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน มันกลับขัดกับสิ่งที่มันควรจะเป็น...”
คอนสแตนตินมองหน้านักดาบหนุ่ม ส่งยิ้มเย็นๆพร้อมกับสั่นศีรษะให้ช้าๆ “นายเนี่ยนะ... อุตส่าห์ได้ชัยชนะมาแล้ว... ยังอยากจะกลับไปสู่สมรภูมินั่นอีกครั้ง...” เขาเว้นจังหวะว่างไปชั่วหนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขั้นมองยอดสนที่กำลังปลิวไสว คล้ายอุ้มมือสวรรค์ที่กำลังโบกล่ำลาหลั่งน้ำตาออกมาเป็นผลึกหิมะใส กล่าวไว้อาลัยให้กับยอดศัตรูที่ไม่มีวันกลับคืน “อาจเป็นเพราะ... มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันเกินล่ะมั้ง... เราก็เลยช็อคกันไปบ้าง... แต่ถ้ารอให้เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็คงกลับมาเหมือนเดิมเองน่ะแหละ แล้วเราก็น่าจะรู้สึกดีที่สุด ที่ปิดตำนานไอ้วายร้ายมหากาฬนั่นได้สักที”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นน่ะแหละ...” ฟิลิกซ์ยิ้มตอบ ก่อนที่จะเปลี่ยนสายตาไปจับพินิจที่คมดาบของตน แสงจากภายนอกสะท้อนฉายใบหน้าของตนเองให้เห็นซ้อนกันในจักษุภาพ แต่แสงจากก้นบึ้งของจิตใจกลับฉายภาพหลอนของใครอีกคน ทับทุกๆความเป็นตัวตนที่ตนเคยได้เห็นบนผิวดาบ เงาสะท้อนของศัตรูคู่อาฆาต ยังมิอาจจะลบเลือนออกไปจากคมสันดาบโลหะด้ามนี้ได้เลย “แต่กว่าจะถึงวันนั้น... ฉันก็คงเหงาน่าดู...”
แม้สมรภูมิกายภาพจะสิ้นสุด... เลือดอสุรกายได้ปิดฉากหนังแอ็คชั่นไปเสียแล้ว... แต่สมรภูมิจิตภาคก็ยังเพิ่งเริ่มต้น... ไม่ใช่เพราะเศร้า ไม่ใช่เพราะสุข ไม่ใช่เพราะทุกข์ หรือ ไม่ใช่เพราะเหงา แต่ข้าศึกตนใหม่ตอนนี้คือภาพหลอนที่วิ่งสลับฉากเป็นตัวตนแล้วก็เลือนหายไปในเซลล์สมองของตนเอง... มันก็คือทุกๆความทรงจำที่เคยมีร่วมกับคนที่จากไป อันกลั่นออกมาเป็นหนึ่งความรู้สึกซึ่งไม่สามารถหาคำพูดใดใดมาอธิบายได้ถูก คอนสแตนตินแอบเหลือบสายตาไปยังบริดจิดด์เล็กน้อย เหมือนอยากจะให้หล่อนช่วยพูดอะไรขึ้นมาเพื่อแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น แต่แม่นั่นก็กลับส่ายศีรษะมาดื้อๆ แทนความหมายว่าตนก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรเหมือนกัน
“ฟิลิกซ์...” ในที่สุด จอมเวทย์หนุ่มก็กล่าวขึ้น “นายน่ะ... ยังไหวไหม? เอ่อ... ไม่ได้หมายความว่านายอ่อนแอหรืออะไรหรอกนะ... แค่ แค่ฉันอยากจะถามว่า... เรื่องที่เกิดขึ้นเนี่ย... นายรับได้ไหม...” ถึงมันจะเป็นประโยคตะกุกกะกักเหมือนไม่ได้เรียบเรียงคำพูดมาก่อน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง ของคนคนหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ นักดาบหนุ่มหันหน้ากลับมาสบตาจอมเวทย์อีกครั้ง แล้วยิ้มให้ประหนึ่งไม่อยากให้ใครกังวลกับตนเอง
“มันจะมีอะไรที่ฉันจะรับไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็นแล้วนี่ ธรรมะย่อมชนะอธรรม มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ...”
“ใช่ ยกเว้นเสียแต่เธอจะคิดเรื่องผิดธรรมชาติ อย่างเช่นว่า ไอ้หัวเลมอนที่เธอตามล่ามาทั้งชีวิต แท้ที่จริงเป็นเนื้อคู่ของตนเอง... อย่างนั้นน่ะเหรอ?” อยู่ดีๆบริดจิดด์ก็โพล่งขึ้นมา หล่อนคว้าบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อคลุมขึ้นมาคาบไว้ที่ริมฝีปาก ก่อนที่จะมุดหน้าลงไปควานหาไรท์เตอร์จากกระเป๋าตำแหน่งเดียวกัน สิ่งที่ควรพูดดันไม่พูด แต่สิ่งที่ไม่ควรพูดแม่นักแม่นปืนสาวก็ดันพูดออกมา... แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นแบบนั้น เพราะสำหรับหล่อน นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ควรพูดก็ได้
“บริดจี้!” คอนสแตนตินปรามเพื่อนสาว แม่นั่นหันหน้ามาหาแล้วยักคิ้วให้ บุหรี่ที่คาบอยู่ในปากเผยประกายแดงวาบทันที
“ทำไม? มันก็เป็นไปได้นี่?” หญิงสาวพูดหน้าตาย ก่อนที่จะใช้สองนิ้วคีบก้นบุหรี่ แล้วพ่นควันออกจากปาก ละอองเขม่าลาวปะทะกับไอน้ำแข็งหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวทะยานสู่นภากาศ
“แต่เธอก็...”
“เงียบน่ะ...” ในที่สุด ฟิลิกซ์ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูสุขุมเยือกเย็นเป็นปกติ แต่ความรู้สึกภายในมันก็ฟ้องออกมาเป็นคนละอย่าง “แทนที่จะมาพูดเรื่องไร้สาระ... พวกนายควรจะตรวจสอบบริเวณรอบๆนี่ให้แน่ใจก่อนสิว่า ไลโอเนลมันตายแล้วจริงๆ...”
อีกสองคนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกพิลึก แล้วยักไหล่พร้อมกัน “ใช่ เราควรจะทำอย่างนั้น แต่... ถ้าเจอหมอนั่นยืนยิ้มชูนิ้วดับเบิ้ลพีชให้ล่ะ?” บริดจิดด์ถามกลับด้วยสีหน้าอันบอกไม่ถูก ซึ่งถ้าสังเกตดีๆแล้ว ก็จะพบรอยยิ้มแห่งชัยชนะในหลักจิตวิทยานอกรีตของหล่อน... ใช่แล้ว บริดจิดด์ เบิร์ดฮาร์ท ได้ใช้วาทศิลป์ขึ้นสูงในการยื้อนักดาบหนุ่มออกมาจากความคิดจมปลัก หรือไม่ก็การยืนหยัดแข็งแกร่งแบบจอมปลอม... แต่ต้องการให้เขากลับมาอยู่ในโลกของปัจจุบัน ด้วยอารมณ์และเซลล์สมองที่พุ่งเป้าไปยังความจริงของโลกแห่งความจริง
“เป่าขมองมัน...” ฟิลิกซ์ตอบเรียบๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าตอนแรก จากที่เคยแอบสงสารลึกๆก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นความเกลียดชังตามเดิม
“แล้วถ้ามันพนมมือก้มกราบเท้า ขอชีวิตล่ะ?” คอนสแตนตินถามมาบ้าง
“กระทืบให้นิ้วหัก แล้วก็เตะเสยปลายคางอีกที จากนั้นตะโกนเรียกฉัน... เดี๋ยวจะเข้ามากระซวกไส้มันเอง...”
เรื่องทั้งหมดจะได้ ”เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น”
มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นน่ะแหละ... ถ้าพวกนายตามหาไลโอเนลเจอล่ะก็นะ..
ก๊อก! ก๊อก!
“สวัสดี... ใครคะ...”
ก็อก! ก็อก!
“รอเดี๋ยวนะ... มาแล้วๆ... ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือคะ...” แสงไฟจากภายในอาคารเล็ดลอดออกมาจากร่องประตูไม้คร่ำคร่า หญิงสาวก้าวมารับรองผู้มาเยือนตามมารยาทปกติ แต่ทว่า
ทันทีที่กลอนโลหะภายในลั่นออก แผ่นไม้ผุก็ถูกผลักเข้าไปข้างในโดยแรงภายนอก พร้อมๆกับมีดผลึกใสที่จ่อตรงไปยังคอหอยใต้ผ้าพันคอสีแดงของหญิงสาวเจ้าของบ้านด้วยอัตราเร็วที่หล่อนไม่ทันได้ตั้งตัว
หญิงคนนั้นกำลังจะร้องกรี๊ดดังลั่น แต่จำต้องกลั้นใจเอาไว้เมื่อผู้มาเยือนนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนอำมหิตถึงขีดสุด
“เงียบซะ! อย่าส่งเสียง! ไม่งั้นตาย!” เขาคนที่ใช้คมมีดแก้วจี้คอหล่อนย้ำมีดลึกเข้าไปอีก แม้ว่าผ้าพันคอไหมพรมนั่นจะเป็นเกาะกำบังให้ระดับหนึ่ง แต่หญิงสาวก็รู้สึกเสียววาบ เมื่อสัมผัสได้กับคมวัตถุเรียวเล็กที่สะกิดเส้นเสียงตน จนไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้
“แล้วก็อย่าคิดหนี... ไม่งั้นเธอไม่รอด...” ผู้บุกรุกกล่าวต่อ แน่ล่ะ หญิงสาวที่ตกอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมือ ย่อมไม่มีโอกาสที่จะขัดขืนได้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มรีบใช้อีกมือกระชากประตูปิดกลับแล้วลงกลอนอย่างแน่นหนา เสียงไม้กระทบไม้และเสียงเหล็กเฉือนกับเหล็กทำให้สาวเจ้าบ้านเสียวสันหลังวาบ มาตรว่ามันจะเป็นเสียงมัจจุราชที่ได้เชื้อเชิญหล่อนไปยังคุกแห่งมรณกาลแล้วกระนั้น “เงียบซะ! แล้วทำตามที่ฉันพูด!” ผู้บุกรุกสั่ง บัดนี้ ร่างของเขาและหล่อนได้แนบชิดติดกันที่สุด มีเพียงแค่ระยะห่างหนึ่งคมมีดที่คั่นกลางระหว่างคนบริสุทธิ์กับพญามารเท่านั้น นัยน์ตาของมนุษย์ทั้งสองประสานกันตรง “อย่างแรกเลย... เปิดไฟให้กระท่อมสัปรังเคนี่สว่างที่สุด!”
“ฉันเปิดไฟทุกดวงแล้ว... มันสว่างได้แค่นี้น่ะแหละ...” หญิงสาวกล่าวละล่ำละลัก
ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปยังบริเวณโดยรอบ และก็พบว่าคำพูดของแม่สาวนี่เป็นความจริง แม้ว่าภายในบ้านคุณหญิงนี่จะแลดูไม่ต่างอะไรกับรูหนูในท่อน้ำทิ้ง แต่หลอดไส้ทุกหลอดที่แขวนอยู่บนเพดานก็ล้วนแล้วแต่มีประกายจ้าออกมาจากมันแล้วทั้งสิ้น
“โอเค... ทีนี้... เธอมีตู้เสื้อผ้าไหม!”
“มี... มี... ทำไมเหรอ...”
“ฉันจะเข้าไปอยู่ในนั้น! หน้าที่ของเธอคืออย่าให้ใครก็ตามที่จะเข้ามาในกระท่อมหลังนี้เปิดตู้... มิเช่นนั้นคอหอยของเธอจะเปิดออกก่อนที่มันคนนั้นจะเห็นหน้าของฉัน เข้าใจไหม!”
“ค... ค่ะ... ทางนี้เลยค่ะ...” หญิงนางนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวสุดขีด ก่อนที่จะเดินนำไปยังอีกห้องหนึ่งภายในกระท่อมหลังเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นการเดินทางช่วงสั้นๆ แต่ ตลอดระยะเวลาที่คนทั้งสองได้เปลี่ยนที่อยู่ เข็มมีดผลึกก็ยังคงจ่อค้างอยู่ที่ลำคอของหญิงสาวตลอด หล่อนนำชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไม้เก่าๆบานหนึ่ง แสงสว่างจากภายในห้องนั้นสาดผ่านกระจกหน้าต่างกระทบพื้นหิมะภายนอก แลเห็นเป็นช่องไฟสีสี่เหลี่ยม ลมภูเขาจากป่าด้านนั้นยังคงโหมกระหน่ำยอดสนไสวอย่างเต็มที่
“ข้างๆหน้าต่างนี่มีโต๊ะ... ดูเหมือนจะเป็นที่ทำงานของเธอนะ!”
“ค... ค่ะ... ใช่...”
“งั้นเธอก็ไปนั่งตรงนั้นซะ! เหม่อสายตาออกไปข้างนอก... ให้ทุกคนที่อยู่ในดงหิมะนั่นมองเห็นใบหน้าสวยๆ... เร็วๆเข้า! นั่งลงไปเดี๋ยวนี้!”
“ค... ค่ะ...” หญิงสาวตอบรับ ก่อนที่จะถลำตรงไปยังโต๊ะไม้โบราณนั่นทันที เศษข้าวของอะไรต่อมิอะไรยังคงกองอยู่บนนั้นมากมาย แต่หล่อนก็ไม่มีอารมณ์จะเก็บกวาด เพราะตอนนี้ มฤตยูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดนั้นจ่อคอหอยมาจากด้านหลังแล้ว หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาท้าวคาง จากนั้นชำเลืองเหลือบสายตาหวาดหลั่นมาหาผู้บุกรุก
“ดีมาก... เธอนั่งอยู่ตรงนี้ ห้ามลุกไปไหน! จนกว่าฉันจะสั่ง! ไม่งั้นเธอจะไม่ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานโสโครกนี่ไปตลอดกาล!”
“ค... ค่ะ... ได้ค่ะ...” เจ้าของบ้านตอบละล่ำละลัก
ชายคนที่อยู่เบื้องหลังหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม “ดี... จำไว้เสมอล่ะ... ว่ามีดของฉันจะจ่อคอเธออยู่ตลอดเวลา...” กล่าวจบ เขาก็เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ก้าวเท้าเข้าไปข้างใน แล้วจึงปิดบานไม้ทั้งสองจนมิดชิด เหลือเพียงแค่ช่องแสงเล็กๆที่สามารถสอดสายตาออกไปมองความเคลื่อนไหวภายนอกได้เท่านั้น
มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบกริบและเต็มไปด้วยความน่าหวาดหวั่นที่สุด... บัดนี้... ไลโอเนล สโตนเลน ได้เล่นบทตัวร้ายในแบบฉบับที่ร้ายจริงๆแล้ว
จริงอย่างที่เหล่าผู้กล้ากังวล... จอมมารตัวนี้ยังไม่สิ้นชีพ แต่มันกลับทวีความโหดเหี้ยมอำมหิตขึ้นเป็นเท่าตัว... สายตาที่เคยดูสบายๆกลับกลายเป็นถมึงทึงก้าวร้าว... รอยยิ้มกวนๆได้ผวนเป็นซี่แสยะแห่งความกระหายเลือด... เขาได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ
ฉันก็เคยคิดนะ... ที่จะทำตัวชั่วแบบเล่นๆ... เรียกเรตติ้งจากสาวกคลั่งไคล้ตัวร้ายมาดเท่... แต่อย่างว่านี่แหละนะ ถ้าใครสักคนมาบอกให้ฉันซึ่งก็ไม่ได้เลวสักเท่าไหร่ ให้ลาโรงไปก่อนเวลาที่สมควรแบบนี้เนี่ย... ฉันก็มีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ? ที่จะชั่วให้ถึงเกณฑ์มาตรฐานของตัวละครที่สมควรจะตายน่ะ... ให้โลกจารึกชื่อไลโอเนล สโตลเลนคนนี้ไปเลยว่าเป็นตัวร้ายที่เลวขนานแท้!
แล้วก็อีกอย่าง... ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่านี่เป็นโชว์ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย... และฉันก็คงจะไม่ยอมให้มันจบลงไปได้ง่ายๆ จนกว่า ”มันจะเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น”
สติ... สติ... สติ...
ลมหายใจหนักหน่วงหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียวของหญิงที่กำลังจะขาดใจตาย สองมืออันสั่นสะท้านกุมแน่น ณ ขอบคางที่กระทบกันระริก ความรู้สึกของสาวเจ้าบ้านในขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับตัวละครหญิงในหนังสยองขวัญ... ถ้าไม่ตายคนแรก ก็เป็นตัวเดียวที่รอด... แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องเจอกับนรกบนดินทั้งนั้น...
อยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปให้ไกลสุดชีวิตแต่ก็ไม่กล้า... กลัวชายคนนั้นจะตามทัน... อันที่จริงตอนนี้หล่อนไม่รู้สึกถึงคมดาบที่จี้ประกบหลังอยู่แล้ว ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของมัจจุราชหนุ่ม... หรือว่าเขาจะอันตรธานไปเสียแล้วนะ? ไม่สิ... เขาต้องยังอยู่... ซุ่มรอเวลาอย่างเงียบสงบเหมือนกับจระเข้ล่าเหยื่อ... รอให้ตนกระตุกกายทำผิวน้ำไหวเขยื้อนสะเทือนกระทบร่าง... แล้วฟันกรามขนาบคู่ก็จะตะปบกัดกายจนขาดสะบั้นไปในพริบตา...
แต่มันก็เงียบเกินไปจริงๆ...
จะลุกหนีดีไหม? หรือจะยอมนั่งเป็นหุ่นเชิดต่อไปดี?
ความรู้สึกสับสนเริ่มประดังเข้ามาแทนที่ความกลัว... มันเป็นการยากที่จะบอกตัวเองไม่ให้หนีทั้งๆที่รู้ว่ายังมีโอกาส... แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากกว่าที่จะการันตีว่าโอกาสที่เห็นอยู่นั้นเป็นโอกาสของตนจริงๆ หาใช่ภาพลวงตาไม่...
สติ... สติ... ฉันต้องมีสติ...
เขาต้องการอะไรจากฉัน... ต้องคิดให้ออกสิ... ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้... หญิงสาวค่อยๆทบทวนภาพเหตุการณ์ฉุกเฉินนั่นอีกครั้ง ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่ชายหนุ่มเคาะประตู แล้วก็บุกเข้ามาเอาสิ่งที่เหมือนกับมีดน้ำแข็งนั่นจี้อก แล้วเขาก็สั่งให้ฉัน... เปิดไฟทั้งบ้าน... แล้วก็พาฉันมานั่งที่นี่... ทำไมกันนะ... ถ้าอยากซ่อนตัวจริงๆ เขาน่าจะสั่งให้ฉันปิดไฟมืดแล้วเอามีดจ่อคอหอยพร้อมกับยกอีกมือขึ้นอุดปากฉันไม่ดีกว่าเหรอ... หรือว่า เขาอยากจะให้คนที่กำลังตามเขามามองเห็นว่าบ้านนี้ยังเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยไม่คิดที่จะเข้ามาค้นหากันนะ... เพราะในเหตุการณ์ที่มีผู้ร้ายหลบหนี บ้านที่ปิดไฟมืดก็ย่อมต้องน่าสงสัยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถ้าเห็นเจ้าของบ้านนั่งโผล่หน้าออกมาเป็นปกติ มันก็ดูไม่แปลกอะไร... “หรือเปล่า?” เขาคิดอย่างนี้ใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็จะต้องไม่ฆ่าฉันจนกว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้นะสิ... แต่พอถึงพรุ่งนี้เช้า... มันก็ไม่มีอะไรรับประกันอีกแล้ว
แต่ถ้าเขาไม่ได้คิดอย่างนี้ล่ะ...
เขาอาจจะหลอกให้ฉันคิดว่าเขายังอยู่ในบ้าน แล้วก็หนีออกจากตู้ไปแล้วก็ได้... การที่เขาให้ฉันมานั่งอย่างเปิดเผยตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันหลบหนี หรือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออะไรจากคนข้างนอก... ถ้าฉันดันเรียกคนพวกนั้นเข้ามาทั้งๆที่เขาได้หนีออกไปจากบ้านนี้เรียบร้อยแล้ว... มันก็จะทำให้คนกลุ่มนั้นเสียเวลา และตามหาเขาได้ยากขึ้น... ถ้าคิดแบบนี้ มันก็ไม่แปลกสินะ... แต่... แต่ว่า... เขาจะคิดอย่างนี้จริงๆน่ะเหรอ
สติ... สติ... สติเท่านั้นที่จะทำให้ฉันรอดออกไปจากนรกนี่ได้
ประเด็นสำคัญที่สุดมันอยู่ที่ว่าชายคนนั้นยังอยู่ในตู้หรือเปล่า... ฉันจำเป็นต้องรู้ให้ได้... ฉันต้องรู้... แต่... ฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะ...
สติ... ขอแค่สติเท่านั้น... ฉันจะรอดอยู่แล้วนะ!
อันที่จริงลุกไปดูเลยก็ได้นี่! เพราะยังไงๆ ถ้าเขายังอยู่ มันก็แปลว่า ชายคนนั้นจะต้องไม่ฆ่าฉัน “ตอนนี้” เพราะฉะนั้นอย่างมากก็คงแค่โดนตวาดไล่กลับมานั่ง... ไม่ก็เสียเลือดนิดๆ... แต่มันก็ดีกว่าการที่จะเสียโอกาสนี้ไปนี่... แต่มันก็ไม่คุ้มนะ... ถ้าโดนเข้าจริงๆ เอาเป็นว่าฉันลองฟังเสียงเขาดีๆก่อนแล้วกัน... ยังมีเสียงหายใจอยู่หรือเปล่า... เสียงชีพจรหรือเสียงอะไรก็ได้...
แต่ฉันก็ไม่ได้ยิน...
เอาไงดีล่ะทีนี้...
ตายเป็นตายล่ะวะ! ในที่สุด หญิงสาวก็ค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแผ่วเบาที่สุด อากัปกิริยาของหล่อนแลดูเป็นปกติ เหมือนกับเจ้าบ้านที่เดินเที่ยวหยิบจับอะไรไปเรื่อยเปื่อยๆ ผิดกับจังหวะหัวใจที่เต้นระทึก หล่อนค่อยๆหันหลังกลับไปยังตู้เก่าๆใบนั้น สิ่งแรกที่หญิงสาวสังเกต คือ มีดผลึกใสซึ่งเคยเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างประตูตู้ บัดนี้ มันได้อันตรธานไปเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาอาจจะหนีไปแล้วจริงๆ หล่อนค่อยๆเดินตรงต่อไปยังประตูไม้คร่ำคร่านั่นทีละก้าว ทีละก้าว เสียงฝีเท้าของตนเหยียบไม้กระดานบ้านดังเอี๊ยดอ๊าด ผสานกับเสียงลูกตุ้มนาฬิกานกที่ผนังกระดิก ฟังเป็นจังหวะกลองมโหระทึก หญิงสาวกระเดือกน้ำลายลงคอ หล่อนหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูไม้บ้านนั้นก่อนที่จะยกท่อนแขนอันสั่นรัวขึ้นอย่างช้าๆ เหยียดตรงไปยังบานไม้แห่งนรก ก่อนที่จะคว้าหมับเข้าที่หูไม้แกะสลักนั่นอย่างรวดเร็ว
“ก๊อกๆ” เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับไม้ทำให้หล่อนต้องสะดุ้งสุดตัว
มันไม่ใช่เสียงจากภายในตู้... แต่มันมาจาก... จากประตูหน้าบ้าน?
นั่นคือคนที่กำลังตามล่าชายคนนี้อยู่หรือเปล่า... ถ้าใช่ ก็แปลว่าเขามาช่วยฉันแล้วล่ะสิ... แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ...
ด้วยความสับสนระคนกับอาการตื่นตระหนก ทำให้หล่อนปล่อยมือจากหูตู้ไม้สลัก แล้วเพิ่งความสนใจ ไปยังเสียงจังหวะใหม่นั่นในทันที...
“ใครคะ...” หล่อนกลั้นใจถามออกไปด้วยริมฝีปากอันสั่นระริก
แน่นอนว่ามันต้องไม่มีเสียงตอบกลับ หญิงสาวรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่าง เซลล์สมองของคนที่เพิ่งจะพ้นอันตรายมากลับต้องเป็นอัมพาตไปอีกครั้ง... ฉันจะเปิดประตูดีไหม...
“ใครคะ... คุณเป็นใคร” เธอถามไปอีกที แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดใดตามมา ยกเว้นเสียงเคาะประตูไม้อันดังสะท้อนก้องกังวาลมาอีกครั้ง “ก๊อกๆ”
เหมือนประหนึ่งต้องมนตร์สะกด หล่อนค่อยๆผละออกจากตู้ไม้ที่กำลังปิดสนิท ย่างเท้าก้าวไปเรื่อยๆตามทางเดินของเคหสถานเล็กของตน แสงไฟฟ้าที่ยังทอดสว่างช่างไม่มีความหมายอะไรเลยที่จะลดระดับความหวานสะพรึงภายในจิตใจของหญิงนางนี้ได้... แต่เธอก็ยังเดินไปข้างหน้า... สู่ประตูบ้านอันเป็นจุดหมายใหม่... ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะอธิบายการกระทำนี้ ยกเว้นเพียงแต่สัญชาติญาณหญิงซึ่งย่อมแสวงหาผู้ปกป้องในยามที่ตนกำลังประสบมรสุมจิตใจที่โหมกระหน่ำ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
จากหูไม้สู่ลูกบิด นิ้วทั้งห้าของสาวเจ้าบ้านกุมเข้าไปอย่างแน่นถนัด และในจังหวะเดียวกับที่หัวใจของตนกำลังสูบฉีดโลหิตในอัตราเดียวกันกับจังหวะรถจักรไอน้ำ หล่อนก็ดึงประตูเปิดออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด จังหวะนี้เองที่ทำให้เธอรู้สึกเย็นระเยือกไปทั้งไขสันหลัง!
“เจอไลโอเนลหรือยัง...” บริดจิดด์ถามมาเนือยๆ ในขณะที่เดินทอดสายตาไปตามหุบหินภูเขากับทุ่งน้ำแข็งอย่างไม่ค่อยจะสนใจอะไรนัก ลมหุบเขายังลงกระหน่ำพัดเส้นผมดัดฟูของแม่นักแม่นปืนสาวไปพลิ้วไปเรื่อยๆ ควันบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากลอยสูงขึ้นเป็นม่านละอองละเอียดหุ้มอากาศเย็นแห่งผืนพิภพไว้เป็นชั้นๆ
“ยัง... และคิดว่าจะไม่เจอด้วย...” คอนสแตนตินตอบมาด้วยท่าทีเดียวกัน เขาค่อยๆยกมือขึ้นประสานกันบนท้ายทอยอย่างสบายๆ แต่นัยน์ตาที่กราดไปตามสภาพภูมิประเทศก็ยังคงมีประกายคมกริบ “ฉันไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่แถวนี้หรอกนะ... บางทีเขาอาจจะ...”
กรี๊ด!
ฉับพลันนั้นเอง เสียงหวีดแหลมยาวก็ดังสะท้อนออกมาจากป่าลึกท่ามกลางหุบเขา สามอัศวินสะดุ้งสุดตัวพร้อมๆกัน
“เกิดอะไรขึ้น!” นักบวชหนุ่มอุทานลั่นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เสียงผู้หญิงนั่น... หรือว่า...” แม่เสือดาวร้องขึ้นบ้าง
กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด!
คลื่นเสียงแห่งความหวาดสยองยังคงดังต่อเนื่องมาไม่ต่างอะไรกับรถตำรวจที่กำลังวิ่งไล่รุกหน้า บ่งบอกถึงชะตากรรมของผู้ส่งกระแสสั่นประสาทนี้ได้อย่างดีที่สุด
ฟิลิกซ์หันหน้ามองไปทางต้นเสียงอย่างกระสับกระส่าย ก่อนที่จะจ้ำเท้าออกวิ่งไปยังตำแหน่งนั้นอย่างไม่รีรอ “มันล่ะ... ไอ้ไลโอเนล... มันยังไม่ตาย...”
ใช่ เพิ่งรู้เหรอ... ฉันยังไม่ตาย... ฉันก็รอนายอยู่เหมือนกันล่ะฟิลิกซ์... ฉันรอนายอยู่... แต่เราจะได้เจอกันหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ... เพราะป่านนั้นการแสดงของฉันก็อาจจะจบลงแล้วก็ได้... ขอให้สนุกกับการล้างบาปล่ะ...
จาก ไลโอเนล สโตลเลน... เพื่อนซี้ที่ดีที่สุดของนาย
ความคิดเห็น