คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ยิ้มให้โลก
มันกำลังร่วงมาจากฟ้า... มันอยากจะแหวกว่ายไปในพสุธา...
มันคงเริงระบำจนฉ่ำอุรา... แล้วมันจะกลับสู่นภาไม่ได้อีกต่อไป...
“หิมะที่นี่ขาวดีเนอะ...”
“ขึ้นชื่อว่าหิมะ... ที่ไหนก็ขาวเหมือนกันน่ะแหละ...”
“ใช่... นายพูดถูก... แต่... บางครั้งเราจะรู้สึกถึงความบริสุทธิ์... เป็นพิเศษ...”
“บริสุทธิ์ในแบบที่คนชั่วช้าอย่างแกไม่มีวันจะเป็นสินะ...” พูดจบ ดาบยักษ์ก็ถูกชูขึ้นเหนือศีรษะ เกล็ดน้ำแข็งใสในอากาศหมุนวนด้วยลมภูเขายามดึก ยอดสนชะลูดพลิ้วสะบัดใบเข็มไกวกวักเหมือนประหนึ่งผู้ชมที่กำลังโบกมือเรียกร้องให้โชว์วิปริตนี้เริ่มต้น
ชายคนที่ถูกตราหน้าว่า “สกปรก” เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่สามารถอ่านอารมณ์ได้ถูก ร่างของเขากำลังเอนกายพิงไม้เนื้อแข็งต้นหนึ่งซึ่งถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสวรรค์ใส แต่แล้วสองมือที่เคยกอดอกสนิทนิ่ง ก็ผายอ้าออก รอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก “อาจจะใช่... แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ชอบหิมะที่ขาวสะอาดและแสนบริสุทธิ์นะ”
“เลิกออกนอกเรื่องได้แล้ว... ไลโอเนล... แกเองก็น่าจะรู้นะว่า ที่ฉันมาที่นี่เนี่ย...”
“ก็เพื่อจะกำจัดฉันสินะ...” ชายหนุ่มผมเลมอนยิ้ม เขาค่อยๆลดมือลงช้าๆ ก่อนที่จะก้าวออกจากแหล่งพักพิง “นายก็พูดแบบนี้ตลอด...”
“ใช่... แล้วก็จะพูดต่อไปจนกว่าแกจะได้ลงนรก...” นักดาบกวาดดาบลง ชี้ตรงไปยังเป้าหมายเบื้องหน้า นัยน์ตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังคู่ต่อสู้ กล้ามเนื้อทั้งหมดเกร็งแกร่งพร้อมเผชิญหน้ากับทุกรูปแบบการโจมตีที่อีกฝ่ายอาจระเบิดใส่ในทุกขณะ
“นี่... คุณเมททัลวิง...” ไลโอเนลกล่าว เขาค่อยๆก้าวตรงมาเบื้องหน้าช้าๆ แต่ก็ไม่ได้ช้าเกินไปที่จะเร่งจังหวะหัวใจอันเต้นระทึกของอัศวินหนุ่มให้กระตุกปั๊มสูบฉีดโลหิตพล่าน มหากาพย์อันยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว “นายเองนี่ก็ชอบทำอะไรโบราณๆนะ... เอาแต่พูดประโยคเท่ๆอยู่ได้... น่าเบื่อชะมัด!”
“แกพูดบ้าอะไรอีกเนี่ย...” แม้ว่าคำพูดที่โพล่งออกไปจะดูเหมือนเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้น นักดาบหนุ่มหาได้วู่วามไปเพราะลมปากของอสุรกายไม่ นัยน์ตาคมกริบก็ยังคงจ้องตรงประสาน สองมืออันแข็งเกร็งก็ยังคงกระชับดาบแน่น มีเพียงแค่เศษความคิดในสมอง ก็กลั่นออกมาเป็นความหวาดระแวงบางอย่าง... มันกำลังหลอกให้ฉันเผลอ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นละก็...
“ฟิลิกซ์... ถามจริงเถอะ... ทำไม... ฉันกับนาย ถึงต้องมายืนทำอะไรบ้าๆแบบนี้ ดูยังไงๆเหมือนกับฉากจบของหนังต่อสู้เด็กๆ... พระเอกก็จะพูดอะไรเท่ๆไป ตัวร้ายก็จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็กระโจนเข้าสู้กัน” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์แล้วก็เดินตรงมาข้างหน้า เฉียดใกล้กับวิถีอาวุธคู่ต่อสู้ “สุดท้าย พระเอกก็จะเกือบแพ้ แต่ก็พลิกล็อคฆ่าตัวร้ายได้สำเร็จ...”
ความเงียบเข้าปกคลุมอาณาบริเวณชั่วขณะ เหลือเพียงแต่เสียงลมภูเขาซัดกับไม้สนไทกาดังหวีดชัด ผลึกนางฟ้าตกสวรรค์กรีดเล้าโลมร่างบุรุษทั้งสองหวังจะให้สติสั่น แต่แรงตัณหาของหล่อนก็ดูเหมือนจะไร้ค่า เพราะร่างของคนทั้งสองยังคงสนิทนิ่ง นัยน์ตาทั้งสองประสานกัน เหมือนกำลังกินชั้นเชิง... และแล้วพระพายก็ขับไล่ผลึกมุกระเยือก พร้อมๆกับที่เป่าร่างของคนทั้งสองเหมือนอยากจะแช่แข็งให้เป็นตัวหมากรุกประดับหุบหินไว้ตราบนานเท่านาน
“ก็รู้ชะตากรรมตัวเองดีนี่...” ในที่สุดฟิลิกซ์ก็กล่าวขึ้น เสียงของเขาทำลายความเงียบสงัดลงไปในทันที
“ใช่... ก็พอๆกับที่นายรู้นั่นแหละ... ยังไงๆ... ฉันก็ตายอยู่แล้ว... แต่นายเอง...” รอยยิ้มชนิดหนึ่งผุดขึ้นที่ริมฝีปากของชายหนุ่มกระหายบาป “นายเอง ก็คงต้องตายเหมือนกัน...”
“ฉันยินดีตาย... ถ้าฉันสามารถส่งเศษสวะอย่างแกลงนรกสำเร็จแล้วน่ะ!”
“งั้นฉันก็ยินดีตาย... ถ้านายสามารถสร้างโลกใบนี้ให้เป็นสวงสวรรค์ได้จริงๆ!”
“แกไม่รู้เหรอ! ว่าโลกนี้น่ะ... เป็นสวรรค์บนดินมาตั้งแต่ต้นแล้ว...”
“แล้วนายไม่รู้เหรอ! ว่าสวรรค์บนดินนี้น่ะ... เป็นนรกใต้ฟ้ามาตั้งแต่เริ่ม...”
“คนอย่างแก... คนอย่างแกน่ะ เคยเห็นความงามของการมีชีวิตอยู่บ้างไหม!”
“คนอย่างนาย... คนอย่างนายน่ะ เคยเห็นความเสื่อมทรามของการหายใจหรือเปล่า!”
“แกมันบ้า...”
“ฉันอาจบ้า... แต่ฉันก็เข้าใจในศิลปะของสัจธรรมมากกว่านาย...”
“ในโลกนี้ไม่มีศิลปะที่ต้องสังเวยชีวิตคนหรอกนะ...”
“แต่ก็ไม่มีศิลปะที่สามารถสร้างด้วยอะไรที่อธิบายได้แค่สิ่งนอกกายใช่ไหมล่ะ?”
“แกต้องการอะไรกันแน่?”
หนุ่มผมเลมอนแสยะยิ้ม ผมหางม้าของเขาปลิวไปตามกระแสห้วงหิมะ “ฉันต้องการอะไรงั้นเหรอ? นั่นสินะ... จะตอบดีไหมนา...” วัตถุแหลมใสชนิดหนึ่งโผล่ปลายออกมาจากปลายแขนเสื้อคลุมของไลโอเนล แต่อัศวินขี่ม้าขาวดูเหมือนจะยังไม่สังเกตเห็น “ฉันน่ะนะ... อยากปลดปล่อยทุกคน... ปลดปล่อยทุกสิ่ง... ปลดปล่อยจากกรงนรกที่เรียกว่าโลกมนุษย์นี้ไงล่ะ...”
“หนวกหูน่า! หยุดพล่ามอะไรไร้สาระได้แล้ว! แกน่ะ! มาตัดสินกับฉันตัวต่อตัวดีกว่าน่า!” อัศวินหนุ่มโพล่งขึ้นอย่างเดือดดาล สติที่เคยกุมไว้นิ่งไม่อาจจะทนความร้อนที่ก่อตัวขึ้นมาจากสมรภูมิหิมะนี้ได้อีกต่อไป “ก็เพราะแกเอาแต่ยึดมั่นในคติโง่ๆนั่น... แกก็เลยฆ่าคนบริสุทธิ์ไปมากมายโดยไม่รู้สึกอะไรเลยสินะ! ก็เพราะแก... แก... แก!” ฟิลิกซ์หมดความอดทน ในที่สุดเขาก็เปิดฉากการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น ชายหนุ่มสปริงกายสู่อากาศ หิมะที่พื้นถูกน้ำหนักสองเท้ากดลงจนเป็นหลุม ก่อนที่จะกระจายฟุ้งออกเมื่อขาคู่ของอัศวินขาวได้กระโจนขึ้น พร้อมๆกับดาบโลหะในมือที่เหวี่ยงสันล่อนคมเข้าหาลำคอของหนุ่มกักขฬะในทันที
แต่แล้วหุบหิมะก็เงียบลงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะการมอดดับของดวงชีวิต แต่เป็นเพราะไลโอเนลสามารถตั้งรับการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดายที่สุด แท่งผลึกใสที่งอกออกมาจากแขนเสื้อของเขาได้ประสานรับกับดาบยักษ์นั่นได้พอดี รอยร้าวเล็กๆปรากฏขึ้นบนท่อนแก้ว แต่มันก็หาได้หมดซึ่งพิษสงไม่ เพราะกิ่งก้านเล็กๆนับร้อย ก็ได้งอกออกมาจากแท่งกำเนิด แตกปลายคมพุ่งประจันเข้าสู่ร่างของนักดาบที่กำลังบ้าเลือดในทันที
ถึงกระนั้นฟิลิกซ์ก็ยังไวพอที่จะหลบ เขาสปริงตัวกลับหลัง พร้อมๆกับที่ไลโอเนลก็หมุนตัวกลับไปตั้งหลักในระยะห่างเช่นกัน สายตาของนักฆ่าทั้งสองประสานตรงพร้อมที่จะทำศึกตัดสิน ไอน้ำแข็งเบื้องล่างฟุ้งตลบขึ้นในอากาศจนทำให้ทุกอย่างแลดูขาวโพลนไปหมด
“น่าเบื่อ...” หนุ่มผมเลมอนครางเบาๆแล้วสั่นศีรษะ ก่อนที่จะแสยะยิ้มให้ ก่อนที่จะกระโจนเข้าตะลุมบอนกับร่างที่เงื้อดาบตรงรี่เข้ามาอย่างบ้าดีเดือด
แล้วพวกเขาก็ต่อสู้กันเหมือนอย่างที่ไลโอเนลพูดเอาไว้
“น่าเบื่อ”
ฉันเรียกที่นี่ว่าบ้านหลังใหญ่...
ฉันเห็นอาคารทรงวิคตอเรียหรูตั้งตระหง่านอยู่สุดถนนที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
ฉันเห็นหลังคาสีน้ำตาลถูกเกล็ดหิมะขาวโพลนทับถม
ฉันเห็นหอคอยกลมที่ชูยอดชะลูดเหนือผิวหิมะใดใดทั้งปวง
ฉันเห็นต้นโอ๊คใหญ่ยืนต้นตระหง่านแตกกิ่งก้านปกคลุมอาณาบริเวณสีบริสุทธิ์
ฉันเห็นชิงช้าไม้ขัดมันที่แขวนโยงลงมาจากกิ่งมหาไม้ซึ่งไร้คนนั่งเล่น
ฉันเห็นแสงไฟสีส้มสว่างจากทุกบานหน้าต่างสาดปะทะพื้นหิมะด้านนอก
ฉันเห็นทุกอย่างนั่นแหละ... แม้กระทั่งพี่น้องสองสาวที่ร้องระบำขับกล่อมบุพการีด้วยสำเนียงเสนาะหวานดุจน้ำผึ้งแช่แข็ง...
ฉันเห็นมันหมดเลย... แต่... ฉันก็ไม่มีมันสักอย่าง
ด้านนอกของอาคารแห่งไออบอุ่น... พายุหิมะหนาวสะท้านได้พัดปะทะร่างของหญิงนางหนึ่งที่แอบยืนหลบอยู่หลังต้นสนภูเขา นัยน์ตาสีเทาหม่นนั้นเพ่งพินิจตัดไอหมอกสู่แดนสวรรค์เบื้องหน้า ริมฝีปากอันเย็นระเยือกเม้มเข้าหากันซ่อนความรู้สึกลึกซึ้ง นิ้วมือสีขาวซีดกระชับก้านร่มกระบอกที่หุบแน่น ของเหลวบางอย่างซึ่งยังไม่เยือกแข็งไหลผ่านแก้มบางๆซึ่งปราศจากสีโลหิต... นางไม้กำลังร่ำไห้...
“เธอมาอีกแล้ว...” ชายคนพ่อกระซิบกับหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เธอคนนั้นน่ะเหรอ...” หญิงที่เหมือนจะเป็นภรรยาของเขาถามกลับ
“ใช่... เธอมาแอบมองบ้านเราอีกแล้ว...”
เสียงพูดของบุพการีนั้นเอง ที่ทำให้บทบรรเลงอันรื่นรมย์ของค่ำคืนนั้นสิ้นสุด สองสาวที่เล่นเปียโนร้องเพลงกันอยู่ผละออกจากที่นั่ง เดินเร็วมาหาผู้ให้กำเนิดตน
“เจนนี่... แอนนี่... พ่อว่า เราควรจะไล่เธอไปได้แล้วนะ...”
หญิงสาวผมน้ำตาลดัดหยิกส่ายศีรษะ “พ่อคะ... เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ... เธอคนนั้นไม่มีครอบครัว... เธอก็แค่... ก็แค่อยากมีบ้าง...”
“แต่พฤติกรรมของเธอมันก็เข้าขั้นวิปริตแล้วนะ” หญิงอีกคนกล่าว ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะมีอายุมากกว่าสาวคนแรก เส้นผมสีน้ำตาลตัดบ๊อบเสมอบ่าสะท้อนกับแสงไฟจรรโลงรัตติกาลแลดูเป็นประกาย
“ไม่เอาน่า แอน... เธอก็รู้นี่ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารจะตาย... เธอเป็นแค่ช่างเย็บผ้าจนๆ”
“ถูก แต่เธอก็ไม่ควรมารบกวนเรานะ...” หญิงผมบ๊อบสั่นศีรษะ
“พ่อก็เห็นด้วยกับแอนนี่นะเจน... ลูกไม่ควรคิดว่า...”
“พ่อคะ...” หญิงผมดัดยกมือขึ้นกอดอกแล้วยิ้มให้ “หนูรู้จักเธอ... เธอไม่ใช่คนเลวค่ะ...”
“แต่ว่า...”
“อันที่จริงแล้ว... เราควรจะช่วยเธอด้วยซ้ำ... อย่างเช่นรับมาทำงานในบ้าน...”
“ไม่... เจนนี่... ไม่... พ่อจะไม่ให้ผู้หญิงแปลกๆนั่นเข้ามาทำลายครอบครัวเรา...”
“เธอไม่ทำอะไรเราหรอกค่ะพ่อ... เชื่อหนูเถอะ... ป้าอีลินอร์ ป้าว่าไงคะ ป้าคิดว่าเธอ...”
หญิงที่เคยถูกเข้าใจว่าเป็นแม่สั่นศีรษะ “อย่ามาถามความเห็นฉันในเรื่องนี้... หนูก็รู้นี่ว่าป้าตาบอด... ป้าไม่เคยหน้าเธอด้วยซ้ำ แล้วป้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเจตนาดีหรือร้าย...”
“เอาเป็นว่าพ่อไม่สนหรอกนะ ว่าเธอจะเจตนาดีหรือร้าย แต่พ่อคิดว่า... ถ้าเธอยังทำตัวเป็นแมวขโมยแบบนี้อีก... พ่อคงจะต้องจัดการกับเธออย่างจริงจังแล้วล่ะ...” ชายคนนั้นตัดบท แม้ว่าลูกสาวผมดัดจะทำท่าเหมือนจะคัดค้านอะไรอีก แต่เธอก็จำต้องชะงักไว้ เพราะชายผู้เป็นพ่อยกมือขึ้นปรามเงียบๆ หญิงสาวได้แต่หันกลับไปยังใต้ร่มไม้ที่เธอคนนั้นยืนอยู่ด้วยนัยน์ตาสงสาร ความรู้สึกในใจอยากจะเชื้อเชิญให้หญิงผู้อาภัพเข้ามาจิบน้ำชาเที่ยงคืนกับครอบครัวตนสักแก้ว แต่ร่างนั้นก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว เหลือเพียงแต่หย่อมหิมะสีขาวที่บ่งบอกถึงตำแหน่งรอยเท้าที่ใครสักคนเคยยืนประทับอยู่เท่านั้น...
ฉันไม่ควรให้พวกเขาเห็น... เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น มันก็เท่ากับว่า ฉันทำร้ายพวกเขา...
ให้พายุหิมะยกท่อนขาที่หนักอึ้งเหมือนประหนึ่งมันได้หลอมรวมไปกับพื้นน้ำแข็ง ให้กระแสลมป่าเปล่าดันเรือนร่างอันเปลี่ยวเปล่าไปข้างหน้า ให้เงาจันทร์ที่เล็ดลอดทะลุมวลเมฆหนาฉายขอบเส้นมคราฉุดชักตุ๊กตาไร้ลานจนคลานวกกลับ... ให้ความอาภัพดื่มด่ำกับความเดียวดายระเบิดสลายละลายร่างจนแหลกเหลว... ทุกสิ่งในโลกนี้... ล้วนพร้อมใจกันตอกลิ่มน้ำแข็งอันสุดท้ายทะลุคอหอยหญิงไร้ญาติ แล้วกระชากมันคืนกลับพร้อมกับปล้ำปลุกหล่อนให้ลุกขึ้นนั่งใหม่ แต่จิตใจที่เคยมีอยู่เหมือนเดิมก็คงจะละลายสิ้นอันตรธานไปไม่หวนคืน...
เธอคนนั้นเดินแหวกฝุ่นน้ำแข็งไปด้วยจังหวะที่ช้าที่สุด แต่ในใจก็อยากจะให้การเดินทางนี้ผ่านไปเร็วที่สุด น้ำตาที่แก้มก็เหือดแห้งหายไปหมดแล้ว มือข้างหนึ่งกำแน่นที่ก้านร่มเก่าๆ ส่วนอีกข้างซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท เส้นผมหยักสีบลอนด์ปลิวไปตามทิศทางของการเคลื่อนที่ หล่อนกำลังเดินกลับบ้าน...
เธอไม่เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่กำลังแอบสะกดรอยตามมาอย่างช้าๆ...
เลือดสีแดง หิมะสีขาว ดาบสีเงิน ผมสีทอง และ แท่งแก้วใสๆ... วัตถุเหล่านี้ต่างผลัดกันแสดงพลานุภาพละเลงพื้นแผ่นพิภพเหมือนดั่งพายุหมุนอันเกรี้ยวกราด ศิลปะที่สวยงามที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวผลัดกันรุกรับหลอกล่อและเล่นลิ้นไปบนเส้นด้ายแห่งชีวิต... มีบทเพลงเป็นเสียงดาบปะทะ มีจังหวะเป็นเสียงลมเป่า มีภูเขาเป็นผู้เชยชม... ซึ่งถ้าหากลีลาศเลือดนี้ไร้สีสัน อัฒจันทร์น้ำแข็งที่รายรอบนั้นหรือฤๅจะสั่นไหว... นาฏกรรมของสตรีใดในโลกจะเลิศเลอได้เท่าระบำศาตราวุธของกักขฬะบุรุษหามีไม่... ไลโอเนลกับฟิลิกซ์กำลังถ่ายทอดศิลปะชิ้นเอกออกมาให้โลกทั้งใบได้ประจักษ์ ณ บัดนี้
ยอดสนไทกาสะบั้นหลุดจากโคนพุ่งทะลุลมภูเขากระทุ้งผืนน้ำแข็งดิบให้กระจายเป็นฝอยละอองออก หากคมโลหะนี้พัดกราดนั้นพาดผ่านกิ่งปลายใด ไม้เนื้ออ่อนก็ย่อมต้องร่วงสลายจากปลายแกนยึดติดอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และถ้าหากเข็มแก้วกระจกเสียบทะลวงซีกหุบหินคอกน้ำแข็งด้านข้าง ศิลาระเยือกก็ย่อมต้องปริทลายลงกราบแทบเท้าบุรุษมารเจ้ามหาวุธนั่นในบัดดล
“เป็นการร่ายรำ... ที่ไม่มีวันสิ้นสุด...” ไลโอเนลกล่าวขึ้นพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในทันทีที่เกล็ดโลหะนรกจากอุ้มมือสามารถปัดดาบยักษ์ของอัศวินหนุ่มให้เบ้ไปได้สำเร็จ
“แต่ฉันก็จะทำให้มันสิ้นสุด...” ฟิลิกซ์โต้กลับ เขารีบพลิกตัวข้ามคมผลึกนั่นอย่างรวดเร็ว เงื้อดาบขึ้นสูงก่อนที่จะกระโจนตัวหวังจากฟาดกลางกระบาลของคู่ต่อสู้ แต่ปีศาจตนนั้นกลับหลบได้ มันแสยะยิ้มกว้าง แล้วก็พ่นเกล็ดกระจกหินเรียวเล็กนับร้อยใส่เขาทันที “ใช่... ด้วยการรนหาที่ตายยังไงล่ะ ฟิลิกซ์...”
มันดูเหมือนกับว่าทุกอย่างจะจบสิ้น แต่มันก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อนักดาบหนุ่ม สามารถพลิกเอาสันส่วนหนาของดาบมากันเข็มมฤตยูนั้นได้ทันท่วงที ผลึกนรกที่ปะทะกับเนื้อโลหะแกร่งได้แตกสลายเหลือแค่ฝุ่นไม่ต่างอะไรกับหิมะเบื้องล่าง ไลโอเนลกัดกรามแน่น เขาเงื้อแขนไปข้างหลัง แท่งแก้วยาวร่วมวางอกออกมาจากแขนเสื้อโค้ทสีดำในทันที ชายหนุ่มเหวี่ยงแขนตรงไปหาศัตรูของตนอย่างรวดเร็วที่สุด
แทนที่ร่างของฟิลิกซ์จะขาดสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ ดาบผลึกใสนั้นกลับปริออกและแตกสลายกระจายออกเป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย “เฮ้ย! บ้าน่า!” ไลโอเนลครางอย่างตกใจ เมื่อพบว่าอาวุธคู่ใจของตนได้สูญสลายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ร่างของนักดาบหนุ่มที่ยืนเป็นเป้านิ่งให้ตอนแรกได้เคลื่อนไหวหลบจากตำแหน่งเริ่มต้น เสียงหัวเราะชนิดหนึ่งดังออกมาจากลำคอของเขาคนนั้นอย่างมีชัย
พริบตานั้นเองที่ไลโอเนลได้ตระหนักถึงภัยหายนะที่คืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตตน พื้นหิมะขาวที่ตนกำลังยืนประทับอยู่นี้ ได้บังเกิดวงแสงเรืองอร่ามขึ้น ประกายจ้าสว่างนั้นได้สะท้อนไปทั่วอนุภาคน้ำแข็งผลึกกลายเป็นโดมประกายจ้าทำลายความมืดมิดของรัตติกาลไปหมดสิ้น... ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว... มันคือวงเวทย์... อาวุธของคอนสแตนติน...
หนุ่มผมเลมอนพยายามจะยกขาหนีจากกับดักมายานั้น แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เมื่ออุ้มมืออันเรียวบาง แต่ก็สว่างจ้าด้วยประกายสวรรค์ได้งอกขึ้นมาจากห้วงหิมะขาว... หัตถ์สตรีที่จุติขึ้นได้จับข้อเท้าของชายหนุ่มไว้แน่น มือหนึ่งรั้ง อีกมือหนึ่งก็ไต่ขึ้นไปตามท่อนขาเหมือนประหนึ่งแมงมุมแม่ม่ายขาวที่กำลังปืนไปบนต้นไผ่ ก่อนที่ไลโอเนลจะขยับตัวได้อีก ขยุ้มแสงนั้นก็ได้ตรึงขาทั้งสองของชายหนุ่มไว้กับที่เสียแล้ว “แย่แล้วไง บรรลัยแน่คราวนี้!” เขาสบดลั่น สูญสิ้นภาพพจน์ของวายร้ายขี้เก๊กไปในทันที
ร่างของเจ้าของวงรัศมีปรากฏขึ้นบนชะง่อนหินเหนือศีรษะของเหยื่อ ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นกำลังยืนยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ผมสีดำกับเสื้อโค้ทสีขาวปลิวไปตามลมแลดูสบายๆ จอมเวทย์แห่งแสงสว่าง... คอนสแตนติน ริบลีย์... ชายอีกคนที่ไลโอเนลเกลียดที่สุดได้เสด็จมาเยือนสมรภูมิแห่งนี้แล้ว
“ขอพระเจ้าโปรดประทานพร...” บุรุษขาวกล่าวอย่างนุ่มนวล แต่ความหมายนั้นแสนเจ็บแสบสำหรับคนที่กำลังจะตาย
ไลโอเนลจ้องร่างของคนคนนั้นพลางขบเขี้ยวอย่างฉุนเฉียว “นาย... นายมัน...” แต่ก่อนที่เขาจะพูดพ่นด่าใดใดออกมาได้นั้น ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงระเบิด ปัง! ดังมาจากเบื้องหลัง วินาทีนี้เองที่จิตใต้สำนึกของหนุ่มผมเลมอนบอกกับตัวเองว่า มรณกาลได้มาถึงแล้ว
ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเห็นภาพของแหล่งกำเนิดเสียง กระสุนโลหะก็พุ่งปะทะแผงอกของตนจนร่างลอยละลิ่วไปด้านหลังจนปะทะกับชะง่อนหินใต้ฝ่าเท้าของจอมเวทย์หนุ่ม ความเจ็บปวดเหมือนประหนึ่งถูกค้อนโลหะยักษ์ตะบันร่างได้ถาโถมเข้าสู่เซลล์สมองของชายชั่วในทันที
เขม่าควันที่ฟุ้งหายเผยให้เห็นใบหน้าสวยๆของแม่นักแม่นปืนสาวสุดเซ็กซี่... ผมดัดฟูกับผิวดำคล้ำ แต่ก็คมขำยั่วเสน่ห์ ได้เป็นลางบอกเหตุให้หนุ่มใจฉกรรจ์รู้ถึงจังหวะลมหายใจของตนที่กำลังจะสิ้นสุด ท่อนขากับหน้าอกซึ่งอวบอิ่มและเต่งตึงไปด้วยลักษณะหญิงได้เล็ดลอดจากร่มผ้าออกมาให้เห็น ไม่ต่างจากเพชรเม็ดยักษ์ ที่ฝังอยู่บนลิ้นของนางพญากระสุนเงิน บริดจิดด์ เบิร์ดฮาร์ทค่อยๆเดินสะบัดสะโพกตรงมายังเขาอย่างช้าๆ ปลายกระบอกปืน 7 ทิศชี้ตรงมาที่กลางหน้าผากของชายหนุ่ม
“เจอกระสุนรักปักอกแล้วเป็นไงบ้าง... โลกสวยขึ้นเยอะไหม?” แม่นั่นพูดยั่วๆ
ถ้าหากฉันยังมีแรงมากกว่านี้ก็คงจะอัดเข็มผลึกทะลวงคอหอยไอ้ปลาสลิดสองตัวนี้ไปนานแล้ว... ไลโอเนลอยากจะคิดแบบนั้น ยกเว้นเพียงแต่ เขากำลังทอดกายพิงไปบนผนังเขาอย่างหมดเรี่ยวแรง เลือดขุ่นขลักทะลักออกมาจากแผ่นอกเรื่อยๆ วาระสุดท้ายกำลังจะมาถึง แต่หนุ่มผมเลมอนก็ยังคงฝืนยิ้ม และกล่าวโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงอันอ่อนละโหย
“สวยเหมือนกับอยู่ในสวรรค์เลยล่ะ... ยิ่งตอนที่ได้เห็นนางฟ้าอย่างเธอเนี่ย... ฉันมีความสุขเป็นบ้าเลยล่ะ...” ชายหนุ่มสะบัดหน้าทำเท่ แต่แล้วก็ต้องครางอ๋อย เมื่อกระดูกซี่โครงของเขาลั่นไปกร๊อบหนึ่ง
“เก๊กแล้ว เก๊กอีก... สุดท้ายก็ลงหลุม...” เสียงของฟิลิกซ์ดังขึ้นอีกครั้ง นักดาบหนุ่มเดินตรงมารวมกลุ่มกับเพื่อนสาวพร้อมๆกับจอมเวทย์ “การทำศึกกับแกน่ะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ... ใครว่าฉันจะเก๊กหล่อแล้วก็สู้คนเดียวเล่า...”
“เทียบกับฉันไม่ได้... เท่ที่สุด แล้วก็ตายเร็วที่สุด...”
“ก็รู้ตัวนี่...” บริดจิดด์พูด ก่อนที่จะทรุดกายลงคุกเข่าเบื้องหน้า หวังจะประกบพลอยในปากเข้ากับแก้มศัตรู แต่ก็จำต้องถอยออกห่าง เมื่อได้ยินเสียงปรามของเพื่อนร่วมงาน
“บริดจี้ ถอยมาซะ... ฉันไม่อยากให้เธอเล่นบทนางเสือดาวตอนนี้...” คอนสแตนตินว่า
“จ้ะๆ โอเค...” หญิงสาวค่อยๆยันกายขึ้น “นายเองก็อย่าให้ฉันเห็นแล้วกัน... พ่อจอมเวทย์เนื้อหอม...”
“นี่ไม่ใช่เวลาพูดเล่นนะ บริดจี้...” จอมเวทย์หนุ่มยกมือขึ้นกอดอก “ฟิลิกซ์... เอาไงดี... เผด็จศึกเลยไหม...”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว...” นักดาบหนุ่มกล่าว ก่อนที่จะมองตรงไปยังใบหน้าของศัตรูคู่อาฆาตเงียบๆ สายตาของชายคนนั้นหาได้มีแววกระสับกระส่ายทุรนทุรายขอชีวิตเลยไม่ แต่ผิดคาด มันกลับแฝงด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติสุขลึกล้ำ ซึ่งทำให้ฟิลิกซ์อดคิดไม่ได้ว่า ตนกำลังถูกหมอนี่หลอกตลบหลังอะไรอีกหรือเปล่า “ปลงตกแล้วเหรอ... ไอ้ขยะ...” ในที่สุด เขาก็กล่าวขึ้นง่ายๆ
“ยิ้มออกแล้วเหรอ... ท่านผู้ประเสริฐ” หนุ่มผมเลมอนโต้กลับด้วยสีหน้าเก๊กๆตามนิสัยเดิม
“ไม่หรอก... ฉันจะไม่ยิ้ม... จนกว่ามนุษย์คนสุดท้ายในโลกจะยิ้มออกมาได้...”
“เลี่ยนตามเคย...”
“แกนี่มันก็บ้าได้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลยนะ...” ฟิลิกซ์พูด แต่ไลโอเนลสั่นศีรษะแล้วจ้องกลับด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่...”
“ฉันรับมุขทันน่า... ไม่ใช่วินาทีสุดท้าย แต่เป็นนาทีสุดท้ายใช่ไหมล่ะ...” คอนสแตนตินกล่าวมาเนิบๆ
“ไม่...” คำพูดของไลโอเนลดังขึ้นยืนยันอีกครั้ง แต่คราวนี้ น้ำเสียงของหนุ่มผมเลมอนนั้นได้ผิดไปจากปกติ เดิมทีที่เคยขี้เล่นและเอาแต่เต๊ะท่า ได้กลับกลายเป็นนิ่งสงบ... ลักษณะท่าทีอันผิดเพี้ยนนี้เองที่ทำให้ผู้กล้าทั้งสามถูกสะกดไปชั่วขณะจิต ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณหุบหิมะนี่อีกครั้ง มันเป็นความเงียบ ก่อนที่พายุใหญ่จะพัดผ่าน
“ทำไม... ทำไมนายถึงพูดว่าไม่...” บริดจิดด์ถามด้วยสีหน้าตื่นๆ
ไลโอเนลยังไม่ตอบ เขากวาดสายตาไปผ่านใบหน้าของคนทั้งสาม และมาหยุดอยู่ที่ฟิลิกซ์เป็นคนสุดท้าย ริมฝีปากของเขาเปิดออก และน้ำเสียงของชายหนุ่มก็กลับมาเหมือนจะเป็นปกติ หากแต่แฝงนัยย์ของความเศร้าสลดเล็กๆเอาไว้ “ฟิลิกซ์... ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันสบายๆนั่นน่ะตอนไหนนะ...”
“ทำไมเหรอ...” นักดาบหนุ่มถามกลับอย่างสงสัย
“เอาน่า ตอบมาเถอะ...”
“ก่อนเราสู้กัน... คิดว่าเป็นแบบนี้...”
“ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้น... แต่ก็ผ่านมานานแล้วสินะ...”
“แกพูดอะไรของแก... แล้วแกถามฉันทำไม...” ฟิลิกซ์ถามไปห้วนๆ
“ก็เพราะว่า...” นัยน์ตาของไลโอเนลประสานตรงกับนัยน์ตาของเขาไม่กระพิบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนนัยน์ตาของบุรุษผู้นั้นจะมีของเหลวบางอย่างเอ่อนองอยู่ภายใน รอยยิ้มเล็กๆเผยขึ้นที่ริมฝีปาก มันแลดูเหมือนรอยยิ้มยะโสแบบเดิมๆ แต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ลึก อันแสนเศร้าและสะเทือนใจ “เพราะว่า... เราจะไม่ได้คุยกันแบบนั้นแล้วล่ะสิ... เรา... เอ่อ... ฉันกับนายน่ะ... แล้วก็เธอ บริดจิดด์... นายก็ด้วย คอนสแตนติน... พวกเราทุกคนน่ะ...”
แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เนื้อความที่หนุ่มผมเลมอนพูดออกมานั้นแทบจะปลิดขั้วหัวใจของผู้กล้าทุกคนที่ยืนล้อมรอบอยู่ในขณะนี้ “เพราะ พวกเราทุกคน... พวกเราทุกคน เป็นเพื่อนกัน... ฉัน กับพวกนาย... เราเป็นเพื่อนกันนี่นา... เราเป็นเพื่อนรักกันนี่! เราตามล่ากันมาตลอด... เราเล่นลิ้นยั่วโมโหกันและกัน... เราสู้กันมาเรื่อยๆทั้งที่จริงแล้วเราไม่ได้เกลียดอะไรกันเลย... ฉันน่ะ... ไม่ได้เกลียดพวกนายหรอกนะ... ไม่ได้เกลียดเลยจริงๆ... เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันนี่... ใช่ไหมล่ะ? เราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกันนี่...”
ไม่มีใครจะพูดอะไรออกมาได้อีกในขณะนี้ ยกเว้นเพียงแต่นัยน์ตาที่จ้องประสานสะท้อนจังหวะหัวใจที่เต้นระทึกไปด้วยความรู้สึกส่วนลึกบางอย่าง เลือดจากแผลที่หน้าอกไหลซึมออกมาเอ่อนองมากขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ฉันก็ต้องจากพวกนายไปแล้วล่ะ...” ในที่สุดไลโอเนลก็กล่าวขึ้นอย่างแช่มช้า “ลาก่อนนะ ทุกคน... เราคงจะไม่ได้มาเล่นกันอีกแล้ว... ลาก่อน... ขอให้มีความสุขทุกคนเลยนะ... ฉันประทับใจพวกนายจริงๆ พวกนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด... ลาก่อนนะทุกคน... ลาก่อน...” สิ้นเสียงของนักฆ่าหนุ่ม แสงสีขาววาบก็สว่างจ้าขึ้นในทันทีนั้น พร้อมกับกระแสมวลอากาศกรรโชกแรง และควันฝุ่นกับไอผลึกน้ำแข็งที่ฟุ้งกระจายขึ้นทั่วนภากาศ กว่านัยน์ตาของสามผู้กล้าจะมองเห็นอะไรได้อีก เกล็ดหิมะเหล่านั้นก็ร่วงลงสัมผัสใบหน้าตนถ่ายเทความรู้สึกเย็นสะท้านอย่างประหลาด เมื่อนั้นเองที่สายตาทั้งสามซึ่งจ้องตรงไปยังภาพเบื้องหน้า พบว่าร่างของหนุ่มผมเลมอนได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว... หายไปอย่างที่ไม่มีวันจะหวนกลับคืน
ฉันจะไม่ลืมนายเลยนะ... ทุกคน...
นายก็ต้องไม่ลืมฉันเหมือนกันนะ... ทุกคน...
เราเป็นเพื่อนกันนี่นา...
ฉันจะไม่มีวันลืมนายไปได้เลย... ไลโอเนล...
ความคิดเห็น