ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lemon and Demon โลกร้างราก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 57


    ผมเคยเดินผ่านถนนเส้นนี้มาก่อน... ตอนนั้นผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง... รู้สึกเหมือนจะเป็นเด็กที่ซนมากซะด้วย... เท่าที่จำได้นะ... ตอนนั้นผมวิ่งเล่นไปมาบนถนนสายหลักนี่ทุกวัน ปาหิมะใส่พวกผู้ใหญ่ที่เดินผ่าน แล้วก็คอยวิ่งหนีตอนที่ลุงๆพวกนั้นไล่เขกหัว... ซึ่งผมก็ไม่เคยที่จะวิ่งหนีได้ทันสักครั้ง... สมัยเด็กผมชอบเอนกายลงไปนอนแผ่บนพื้นหินภูเขาเย็นๆ... ตอนแรกก็แค่อยากจะซึมซาบธรรมชาติเย็นสงบของขุนเขาเท่านั้น... แต่พอเผลอหลับไปแล้วตื่นขึ้นมากลับได้ดูดซับไอระอุของเปลวไฟไปเต็มๆ... ก็เพราะผมเป็นหวัดงอมแงมเลยน่ะสิ... ต้นไม้แถวนี้ก็เป็นไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งนั้น... ผมก็ชอบปีนต้นไม้เล่นนะ... แถมสถิติสูงสุดที่ผมเคยทำได้นั่นก็ไม่ธรรมดาเลยเสียด้วย... ตอนเด็กผมสูงประมาณ 120 cm. ผมปีนสูงจากพื้นได้ตั้ง 150 cm. เก่งใช่ไหมล่ะ? ตอนกลางคืน ถนนเส้นนี้จะสวยมากเลยนะ เพราะมันมีแสงเทียนจากตะเกียงบนเสาหินสาดกระทบพื้นศิลาดำจนเป็นประกายระยิบระยับตลอดทั้งคืน... หืม? ไม่เชื่อว่าเทียนจะให้แสงสว่างได้ยาวนานถึงทั้งคืนอย่างนั้นน่ะเหรอ? ผมไม่ได้โม้หรอกนะ... เพราะขนาดตอนที่ผมวิ่งชนเสาจนเทียนตกลงมาไหม้หัวเนี่ย... ไฟที่จุดอยู่ยังไม่ดับเลย...

    รู้สึกเหมือนว่าโลกใบนี้สวยงามนะ... ตอนที่เราเป็นเด็กตัวน้อยๆน่ะ

     

    ฮีโร่คนที่หนึ่ง... บริดจิดด์ เบิร์ดฮาร์ท

    หล่อนเป็นนักแม่นปืนสาวเซ็กซี่... ผิวเข้มแบบสาวนิโกร กับทรงดัดฟูกิ๋บเก๋... เธอคนนี้นี่แหละ นางพญากระสุนเงินเสน่ห์ทองที่หนุ่มๆทั้งโลกหลงใหล ปืนของเธอนั้นมี 7 ลำกล้อง ยิงกระสุนสลับกันได้ 7 ชนิด แถมยังยิงได้ 7 ทิศทางรอบตัว ยอดหญิงพลิกแผ่นดินเลยใช่ไหมล่ะ! บริดจิดด์น่ะ เป็นผู้หญิงติดดินและเรียบง่ายมากเลยนะ... ขนาดลิ้นของเธอยังแค่ห้อยตุ้มเพชรเม็ดเท่าหัวกระสุนเอง... การแต่งตัวเธอก็ไม่ฟู่ฟ่าแบบพวกคุณหนูไฮโซนะ... แค่สร้อยทอง 7 เส้นรอบคอก็พอแล้ว... บริดจิดด์น่ะไม่ใช่ฮีโร่ประเภทที่ต่อสู้ไปเพื่อหวังทรัพย์สมบัติหรอกนะ... เพราะยังไงๆ ทุกครั้งที่เธอช่วยปราบพวกขยะสังคมให้... เธอก็ได้เงินไม่ต่ำกว่าพันเหรียญอยู่แล้ว

     

    ผมเคยเดินผ่านถนนเส้นนี้... และตอนนี้ผมก็กำลังเดินผ่านมันอีกครั้ง... ศิลปะชิ้นเอกนี่ยังคงสวยเหมือนเดิม... แต่คนที่กำลังเดินผ่านนั้นไม่ใช่เด็กน้อยต่อไปแล้ว... ใช่สิ... คนเรามันต้องเจริญเติบโตไปตามกาลเวลา... แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่จะแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่เหมือนเดิม... ขนาดเสาไฟเทียนเชิง ก็กลับกลายเป็นเสาหลอดไฟฟ้า ที่ส่องประกายสว่างจ้าได้ตลอดนิทราอันคงกระพัน และคงไม่หล่นมาใส่หัวผมได้อีก เพราะผมสูงเลยเชิงหินเตี้ยๆ พวกนี้หมดแล้ว... ดูไม้ยืนต้นแถวนี้สิ... วงปีเพิ่มมามากขึ้นสักกี่วง... ความสูงของมันก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเลยด้วย... แต่ผมจะไม่ปีนมันขึ้นไปอีกแล้วนะ... ถึงตอนนี้จะมั่นใจว่าปีนขึ้นถึงยอดได้แล้วก็เถอะ... พื้นหินภูเขานี่แม้จะยังเห็นระเยือกไม่เปลี่ยน... แต่รอยแตกและรอยครูดก็บ่งบอกถึงระยะเวลาการใช้งานอันยาวนานของมัน... นานจนถ้าหากผมเอนกายลงไปสัมผัสใหม่ ผมก็คงไม่น้ำมูกย้อยง่ายๆอีกแล้ว...

    รู้สึกเหมือนว่าโลกนี้น่าเบื่อนะ... พอเราเห็นมันมานานๆเข้าน่ะ

     

    ฮีโร่คนที่สอง... คอนสแตนติน ริบลีย์

    นักบวชหนุ่มผู้ช่ำชองมนตร์เวทย์แห่งแสงสว่าง... เส้นผมสีดำปะบ่ากับนัยน์ตาสีเทา... โครงหน้าอันสุขุมเยือกเย็นประกอบกับบุคลิกภาพเงียบขรึมแลดูน่าศรัทธาหรือไม่ก็เคลิบเคลิ้มไปเลย... ในบรรดาทุกคนที่ผมรู้จัก คอนสแตนตินเป็นจอมเวทย์ที่เก่งที่สุด... เอ่อ... คำว่าเวทย์นี่อาจจะฟังดูงมงาย ที่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์นะ... เพราะว่ามันเกิดจากคลื่นไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่สามารถส่งมาจากจิตประสาทที่นิ่งสงบและเป็นสมาธิมากๆ หากแต่ว่ารูปร่างที่แสดงออกจะแปรผันไปตามความรู้สึกส่วนลึกของผู้ใช้เท่านั้น... อย่างเช่นท่านบาทหลวงมาดเท่คนนี้ จิตใต้สำนึกที่สามารถสร้างเวทย์ออกมาเป็นแสงสว่างได้น่ะ... ก็คงต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องมากเลยล่ะสิ... ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะ เขาไม่เคยให้หญิงคู่นอนตัวเองได้แตะไม้กางเขนเลย... เขาเป็นผู้ชายที่เคร่งศีลธรรมมาก ถึงขนาดที่ว่าเวลามีงานเลี้ยงวงน้ำเมาตอนกลางคืน เขาก็จะปฎิเสธ ตลอด... พร้อมๆกับการปลีกหนีกลับเข้าห้องนอน... พร้อมๆกับสตรีที่ศรัทธาในตัวเขาอย่างน้อยคืนละ 3 คน...

     

    ผมเคยเดินผ่านถนนเส้นนี้... และตอนนี้ก็กำลังจะเดินจากมันไป... ผมเคยวิ่งหนีการไล่ล่ามาแล้วตอนเด็กๆ ซึ่งผมก็กำลังจะทำแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแค่ว่าสาเหตุของการเร้นภัยมันต่างกันเท่านั้น... ตอนเด็กๆ มันก็แค่หลบมะเหงกของชายชราที่หน้าเปื้อนหิมะ... แต่ต่อจากนี้ มันคงต้องเป็นการหลบกระสุนปืน ของชายชราที่กำลังร่ำไห้ ให้น้ำตาชะล้างหยดเลือดของลูกๆที่กระเซ็นอาบแก้มตนเนื่องมาจากน้ำมือของฆาตกรอำมหิต... แต่ก่อน พอผมโดนจับได้ อย่างมากก็แค่ โดนจับฟังคำเทศนาเป็นชั่วโมง... แล้วถ้าเป็นวันพรุ่งนี้ล่ะ... ถ้าโดนจับได้... จะโดนฝังเลยหรือเปล่านะ? ไม่สิ... ไม่โดนฝังหรอก... ยังไงๆ ศพของคนชั่วก็มีแต่โดนชาวบ้านรุมกระทืบให้แหลกเหลวติดพื้นพสุธาเหมือนกับลูกบอลหิมะที่กำลังละลายความผิดไปเท่านั้น

    รู้สึกเหมือนโลกนี้น่าทุเรศนะ... พอเราเห็นมันนานเกินไปหน่อย...

    ฮีโร่คนสุดท้าย... ฟิลิกซ์ เมททัลวิง

    ชายคนนี้แหละ... ยอดวีรบุรุษอัศวินขี่ม้าขาวตัวจริง... เพราะว่าเขาเป็นหัวหน้าของสองผู้กล้าที่ผมได้กล่าวถึงมาแล้ว... หนุ่มนักดาบสุดแกร่ง ผมตั้งสีทองกับนัยน์ตาสีฟ้าใสดุจเทพบุตร... ขวัญใจของสาวๆทั้งโลก... ถามว่าเขาเจ๋งตรงไหนน่ะเหรอ? ก็ทุกด้านน่ะแหละ... ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาอันหล่อเหลาหรือสไตน์การแต่งตัวที่เท่สุดๆแล้วนั้น... ฝีมือดาบของคนคนนี้ก็ใช่ย่อย... ไม่เคยมีใครแพ้เขาเลย แม้กระทั่งตอนที่ฟิลิกซ์แขนหัก... คิดดูสิ... แขนข้างเดียวรับน้ำหนักดาบยักษ์ยาวกว่าความสูงตัวเอง... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ... ว่าคนคนนี้เก่งขนาดไหน? หืม... แล้วข้อเสียของเขาน่ะเหรอ... ไม่มีหรอก! ไม่น่าจะมีนะ... ผมคิดว่าอย่างนั้น...

     

    ผมเคยเดินผ่านถนนเส้นนี้... แต่ต่อจากนี้ผมจะไม่เดินผ่านมันอีกแล้ว... ลืมแนะนำตัวเองไปเลย... ผมชื่อ ไลโอเนล สโตลเลน เป็นชายหนุ่มกระจอกๆคนหนึ่ง... ถ้าถามว่าผมเป็นใคร... ก็คงต้องตอบว่า ตัวร้าย ไม่ก็ฝ่ายอธรรมนั่นแหละ... เพราะว่าความฝันของผมคือการกุมโลกทั้งใบเอาไว้ในกำมือ... ผมมีเส้นผมสีทองเข้มคล้ายสีเลมอน... ไม่ได้ทำสีผมหรอกนะ แต่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว... ทรงผมก็... ด้านหน้าไว้ยาวปิดตาขวา ด้านหลังรวบเป็นหางม้า... ดูน่ากลัวล่ะสิ! ตาซ้ายของผมสีน้ำเงิน ส่วนผิวของผมนั้นมีสีแทน... ผมมักใส่เสื้อโค้ทยาวสีดำเข้มคลุมถึงน่อง ส่วนชั้นด้านในคือเสื้อกล้ามทมิฬกับกางเกงหนังดำเงา... ฟังดูเหมือนคนโรคจิตพิกลเนอะ? ที่ผมอธิบาย รูปลักษณ์ของตัวเองจนละเอียดนี่ไม่ใช่เพราะคิดว่าตัวเองหล่อหรอกนะ! แต่เป็นเพราะว่า... ผมอยากจะเตือนพวกคุณต่างหาก... เพราะถ้าคุณเจอคนที่มีหน้าตาแบบนี้... ขอให้คุณคว้าไม้ท่อนใหญ่ที่สุดขึ้นมากระชับในมือ แล้วก็วิ่งตรงเข้ามาฟาดหัวผมแรงๆสักที ถ้าผมไม่ล้มลงไป... คุณก็เตรียมใจไว้ได้เลย... เพราะคุณคงจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้ว... ใช่สิ... ก็ผมมันเป็นตัวร้ายนี่นา... ไอ้การเป็นตัวร้ายนี่ก็ลำบากเนอะ... ต้องทำตัวให้ชั่ว... แต่จะเลวเกินจนผู้ชมเกลียดก็ไม่ได้... เหมือนกับว่าต้องทั้งโฉดทั้งเท่ประมาณนั้น... ดูยุ่งยากเนอะ? ทั้งๆที่อยากจะปล่อยตัวเป็นอิสระแท้ๆ

    แต่อย่างว่าน่ะแหละ... โชว์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของไลโอเนลคนนี้ไม่ต้องการผู้ชม... ในเมื่อตัวร้ายยังไงๆก็ต้องตายตอนจบอยู่แล้ว... ก่อนตาย... ผมก็จะขออาละวาดให้หนำจำหน่อยแล้วกัน... เอาให้โลกสีหม่นใบนี้จารึกชื่อผมเป็นตำนานต่อไปเลย!

     

    ... แล้วไลโอเนลก็ยกมือทั้งสองขึ้นระดับอก แท่งวัตถุใสบางอย่างก็แพร่รัศมีออกจากหัตถ์ซาตานทั้งสองนั้น แก้วมรณะแตกกิ่งก้านเหมือนกับงิ้วนรก แพร่เจาะทะลวงผ่านห้วงอากาศทุกสารทิศ พื้นศิลาดำอันแตกระแหงก็ถูกแยกออกเป็นสองเสี่ยง วงปีที่รายเรียงของก็จำต้องแบะแยกออกไป แสงไฟล้อมสลัวรอบก็มืดสนิทลงดื้อๆ ในวินาทีกิ่งแก้วใสเคลื่อนที่ผ่าผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็นับเวลาถอยหลังสู่ความวินาศ และเมื่อรอยยิ้มแสยะเผยอขึ้นที่มุมริมฝีปาก ไลโอเนลก็กระโดดทะยานขึ้นไปด้านหน้า พร้อมๆกับที่มวลมหาวัตถุด้านหลังได้ปริแตกระเบิดเศษเสี้ยวธุลีออก ควันเขม่าดำลอยฟุ้งตลบขึ้นล้อมกรอบเปลวเพลิงซึ่งกำลังโหมกระหน่ำในทันที ถนนยามดึกได้วายวินาศไปเสียแล้ว และ ไลโอเนลก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก...

     

    จำชื่อผมได้หรือยัง! ละครที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นแล้วนะ!

     

    ...ไม่ ไลโอเนล... ชื่อที่จะถูกจารึกนั่นไม่ใช่ชื่อของเธอหรอก... แต่เป็นชื่อของฉันต่างหาก...

    ...ฉันไง...

    ...อยากจะถามว่าตัวฉัน คือใครน่ะเหรอ?

    ...ฉันเอง...

    ...ตัวฉันเอง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×