ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทความนี้มีสาระ

    ลำดับตอนที่ #3 : อ่านไว้ก่อนซื้อ HDTV พวก LED,LCD, PLASMA TV

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 54


    ทำความเข้าใจ และมาตกลงกันก่อน สำหรับบทความนี้
    1.คนเขียนไม่ได้มีเจตนาให้คน ที่อ่าน มีความต้องการซื้อแต่อย่างใด
    2.บทความนี้เขียนจากการได้ลองใช้ และประสปการณ์ของตัวเอง
    3.เชื่อใจได้กับข้อมูลที่เขียนมาเพราะคนเขียนไม่ใช่เซลล์มาหลอกขายแต่อย่างใด
    4.เนื่องจากเพื่อนคนเขียนเป็นผู้บริการให้เช่าของเหล่านี้ จึงมีโอกาสได้ลองหลาย ๆ อย่าง
    (ก็ไม่ต้องงงว่าเคยไปลองที่ไหน หรือซื้อมาเยอะ เพราะจริง ๆ แล้วคนเขียนก็ไม่ได้รวยแต่อย่างใด)
    5.บทความนี้คนเขียนจะ(พยายาม)มา เขียนเพิ่ม/ปรับปรุงเรื่อย ๆ ฉะนั้นอย่าตกใจว่าเนื้อหาบางตอนมันเปี๋ยนไป๋
    (ที่เปี๋ยนไปส่วนมากก็เพราะว่าคนเขียนดันเบลอ *^* เลยเพ้อข้ามไปเรื่องอื่นและลืมพูดเรื่องสำคัญบ่อย ๆ ยังไงก็ต้อง เฉไฉมาขออภัญ ณ ที่นี้ ถ้ารายละเอียดที่เขียนเกิดทำให้เข้าใจผิดไป
    6.บทความนี้มีภาพประกอบแน่ แค่รอก๊อน...
    7.ภาษาที่ใช้ในบางตอนในข้อความ ที่อาจดูเป็นคำแสลงหรือใช้รูปแบบตัวอักษรที่ใช้ในการสะกดไม่ถูกต้องนั้น ผู้เขียนมิได้มีเจตนาให้ใช้ภาษาผิด ๆ แต่เนื่องจากผู้เขียนต้องการแฝงอารมณ์ขันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่ได้มาจากความซีเรียส

    *************************************
    -คำนำ-

                   สำหรับน้อง ๆ หรือผู้ที่สนใจต้องการมี TV รุ่นใหม่ มาตั้งที่บ้าน ไว้เพื่อดูแบบโฉบเฉี่ยว ไฉไล อัพเดทความหรูหราของตัวเอง ผู้เขียนแนะนำว่าบทความนี้ จะเป็นข้อสรุป และช่วยตัดสินใจได้หลาย ๆ เรื่องมากกว่า ข้อมูลจากปากเซลล์ที่อยู่ตามร้านต่าง ๆ โดยเนื้อหาในบทความนี้เกิดมาจาก การที่ คนเขียนได้ซื้อ มาลองใช้แล้ว ก็พบกับความสุขบ้าง ปัญหาบ้าง โดนใจบ้าง ผิดหวังบ้าง ไม่ก็โง่บ้าง ปะปนกันไป โดยเพื่อให้เกิดความเข้าใจสูงสุด จึงขอแบ่งเนื้อหาเป็นประเด็น ๆ ไป สำหรับคนที่ใจร้อน อยากรู้ข้อสรุปเรื่องไหน ก็จะได้อ่านได้แบบเข้าใจทันที

    *************************************


    พร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย...


    - เริ่มต้นทำความรู้กับทีวีรุ่นไหม่ ๆ
    - LCD , LED , PLASMA TV เลือกอันไหนดี?
    - 32,42,45,48,50 ฉันควรเลืกกี่นิ้วดี
    - SONY,SUMSUNG, LG, PANASONIC ค่ายเหล่านี้ แนะนำค่ายไหนดี?
    - ซื้อมาแล้ว ควรเช็คอะไรบ้าง
    - ดู ช่องฟรี tv ภาพไม่ชัดเลย จะติดดาวเทียมจานแดง ๆ ดีใหม?
    - DVD ภาพไม่ชัดเลย ฉันถึงเวลาที่ต้องซื้อ bru-ray มาใช้หรือยัง?
    - HDMI สายนี้ ซื่อกี่บาทดี?
    - HDMI ธรรมดา กับ HDMI+Ethernet จะซื้ออันไหนดีเมื่อแพงกว่าไม่กี่บาท
    - HDMI vs RGB ข้อสรุปสำหรับโน๊ตบุครุ่นเก่า
    - HDPLAYER ซื้อแล้วคุ้มแค่ไหน และแนะนำยี่ห้อไหนดี?
    - ควรทำไงดีเมื่อ TV ฉันมีปัญหา

    =========================================================================================

    - เริ่มต้นทำความรู้กับทีวีรุ่นไหม่ ๆ


          สำหรับผู้ที่กำลัง มองหาทีวีรุ่นใหม่ ๆ โดยมีงบ มากกว่า 1 หมื่นขึ้นไปก็คงจะเลิกสนใจพวก จอแก้ว ตูดใหญ่ มามองประเภทสวยใส ไร้ตูด ตามแบบสังคมปัจจุบัญ เนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกันเช่น ประหยัดพื้นที่ หรือดูทันสมัยมากกว่า ยังไงก็ตาม หลาย ๆ คนก็คงคิดถึงผลของการตัดสินใจเลือกซื้อทีวีรุ่นใหม่ ๆ ว่าถ้าซื้อมาแล้ว มันจะทนเหมือนของปู่ หรือของรุ่นพ่อแม่เราที่ใช้มาหรือเปล่า  คำตอบก็คือ  TV รุ่นใหม่ ที่ออกมาจำพวก LCDTV ,LEDTV, PLASMATV เหล่านี้ไม่ได้ใช่หลอดแก้วเหมือนก่อนนู้นแล้ว ที่เสียทีก็เตรียมเงินให้ช่างซื้ออุปกรณ์แสดงผลมาเปลี่ยนใหม่ในราคาไม่กี่บาท ซึ่งทีวีปัจจุบันที่จอบาง ๆ นั่น ผลิตจากเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอแสดงผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเ:ซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น
    ( http://expert2you.com/view_article.php?art_id=2439  อ่านรายละเอียดเพิ่มจากเว็บนี้ เพราะลงลึกมากไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร )

    จากนั้นคำถามที่ว่าจอ LCD กับ LED TV คืออะไรล่ะ
    สรุปสั้น ๆ ว่า มันก็เป็นเทคโนโลยีเดียวกันแต่เปลี่ยนหลอดไฟที่ใช้ในการแสดงผลมาเป็นหลอดคนและแบบแทนซึ่ง สามารถเข้าไปอ่าน บทความกันที่นี่ > http://www.lcdtvthailand.com/article/detail.asp?param_id=142
    ( ผู้เขียนขอแนะนำว่า บทความที่เขียน ในเว็บ LCDtvthailand ดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาอย่างละเอียด )

    กลับมาที่ประเด็นว่า มันจะอยู่กับเราไปได้นานเท่าไร  อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น/ยี้ห้อ  (ซึ่งมันจะมีบอกไว้อยู่ว่าใช้ได้กี่ชั่วโมง)  ซึ่งสรุปได้คร่าว ๆ จากการคำนวนก็คงประมาณว่า มันอยู่กับเราเกิน 6 ปีแน่นอน  ( เกินหกปีก็คงซื้อใหม่แล้วล่ะ สำหรับท่านที่มีเงินซื้อ tV แบบนี้ ) โดยทีวี รุ่นใหม่ ๆ นี้มันับ การใช้งานว่า หลอดมันใช้ไปนานเท่าไรแล้ว ( ใช้มากก็อายุไขสั้นว่างั้นแหละ )
    โดยทีวีที่ซื้อมา มันจะมี เก็บข้อมูลไว้ว่า เปิดดูไปกี่นาทีแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่คิดจะซื้อมือสองตัวโชว์ก็คิดให้ดีล่ะ หรือไม่ก็ไปเปิดดู ตัวนับชม.การใช้งานของมันว่าใช้ไปนานเท่าไรแล้ว




    - LCD , LED , PLASMA TV เลือกอันไหนดี?


    อาจจะเป็นปัญหาโลกแตกสหรับใครบางคน แต่ผู้เขียนขอแนะนำเป็น กรณีไปครับเช่นต้องดูว่าคุณต้องการซื้อไปทำอะไร
    ก็ให้ซื้อตามระดับความต้องการครับ ซึ่งบางคนอาจไม่รู้ความต้องการตัวเองสักเท่าไร ผู้เขียนก็ขอแนะนำเป็นกลุ่ม ๆ คนได้ดังนี้ครับ
         ซื้อให้เป็นค่าน้ำชาหรือซื้อให้ผู้ใหญ่  อันนี้   แนะนำให้เป็น LCDTV ครับ
         ถ้าคุณซื้อให้วัด หรือซื้อเพื่อบริจาค ก็แนะนำเป็น LCD TV ครับ
         ถ้าซื้อมาดูเองแบบต้องการฟังชั่นครบครันคุ้มค่า ใช้งานหนัก ๆ เล่นเกม ๆ ดูหนัง ๆ  ก็ LEDTV ครับ
         ถ้าคุณอยากเป็นผู้ให้บริการเช่า TV ละก็แนะนำเป็น LEDTV ครับ เนื่องจากตลาดต้องการของดีและความทันสมัย
         ถ้าคุณอายุเกิน 45 ขึ้นไป อยากซื้อไว้เพื่อชมภาพยนตร์ก็ plasma tv ครับ
         ถ้าคุณเป็นคอหนังจริง ๆ กะซื้อไว้ดูหนังอย่างเดียว ก็ PLASMA TV ครับ

    สรุปสั้น ๆ สำหรับเรื่องนี้ก็คือ
    - ถ้าคุณต้องการ ความหรูหรา ในราคาถูกให้มอง เป็น LCD ทีวีครับ คุณจะได้จอใหญ่ ๆ ในราคาถูก
    - ถ้าคุณต้องการ ความสนุก แบบเพื่อชมภาพยนต์เองจริง ๆ แบบ ราคากลาง ๆ   ก็แนะนำเป็น   PLASMA TV ครับ
    - ถ้าคุณเป็นคอเกม คอหนัง ตัวยง ต้องการความคุ้มค่า วันนึงดูเกิน 15 ชม  ก็เป็น LED ทีวีครับ


    พอแนะนำไปบางคนอาจะสงสัยว่าทำไมแนะนำอย่างนั้นอย่างนี้ให้  ก็ขอตอบว่าด้วยเหตุผลที่ ประเภทของเทกโนโลยีที่นำมาใช้แสดงภาพ มันให้ความสามารถในการรับชมไม่เท่ากันครับ โดย TV ทั้ง 3 ชนิดทั้ง LCDTV , LEDTV และPLASMA ต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตัวมันเอง โดยสรุปได้ดังนี้ครับ

    LCD TV -
     ข้อดีคือราคาถูกมาก     ข้อเสียคืออาจดูแสบตาสำหรับบางคน และราคาถูกส่วนมาก ช่องสำหรับเชื่อมต่อหลังจอจะมีไม่เยอะครับ ( คือ feature option มันน้อยนะเอง )

    LED TV
    ข้อดีคือ สีและภาพที่แสดงออกมาที่ให้จะสวยกว่า LCD TV   และอะไรหลาย ๆ อย่างดีกว่ากันมาก  ( ไปอ่านบทความนี้ http://www.lcdtvthailand.com/article/detail.asp?param_id=142 ก็จะเข้าใจมากขึ้นครับ )
    แต่ข้อเสียก็คือ มันแพงมากกก     เช่น จอ 45 นิ้วของ LCD อาจอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ จอ 45 นิ้วของ LED ราคา 45,000 เชียว )

    PLASMATV
    บางคนอาจงง ว่าทำไมถึงแนะนำให้เอาไว้ดูหนัง คำตอบก็คือ ทั้ง LCD และ  LED TV  มีปัญหาเรื่อง GHOST ( แปลว่าผีนะแหละ )  ซึ่งถ้ายังคิดไม่ออกก็ให้ลองคิดซะว่าเวลาดูหนังแล้วมีเงา ค้าง ๆ หรือวิ่งไล่ตาม ตัวละครในฉากไว ๆ นะเอง โดยค่าที่แสดงผลในเรื่องนี่ เขานับเป็น  ms กัน  เพราะฉะนั้น เวลาซื้อ LCDกับLEDTV ก็ต้องดู ค่า ตัวนี้ให้ดี  ว่ามันแสดงได้ดีแค่ไหน ( ถ้าค่าน้อยยิ่งดีเช่น 2 ms , 4ms เป็นต้น ) แต่สำหรับ PLASMATV นั้น ไม่ต้องมาห่วงเรื่องนี้ เพราะเทคโนโลยีการแสดงผลของ PLASMATV นั้น มีค่าเป็น 0 (โอ๊ว ๆ ๆ ๆ ๆ ) เพราะฉะนั้น มันจะไม่เป็นเรื่องกวนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ
    * ปัญหาเปิดภาพค้างไว้นาน ๆ จอแล้ว burn (คือมันหม่น ) หรือถ้าเปิดอะไรค้าง ๆ ไว้นาน ๆ จะเป็นไหม เรื่องนี้ผู้เขียนไม่ทราบแต่การเข้าไปอ่านในเว็บ LCDTV มาหลายท่านบอกว่า มันไม่เป็นแล้วสำหรับ TV PLASMA รุ่นใหม่ ๆ  แต่ที่มันขายไม่ดีเพราะว่าประเทศไทย ไม่สร้างกระแสกันเอง
    ส่วนข้อเสีย ก็คงจะเป็นที่ ทรวดทรวงองเอวมันไม่ทันสมัยเท่านั้นเอง เรื่องราคาก็แพงกว่า LCD หน่อยเดียวครับ







    - 32,42,45,48,50 ฉันควรเลืกกี่นิ้วดี?

    สำหรับการเลือกซื้อ TV มาตั้งที่บ้านสักเครื่องก็ขอแนะนำว่าคิดให้ดีเรื่องขนาด เพราะการรับชมภาพยนตร์จากแผ่น Bru-ray หรือการรับชมอะไรแบบ HIDEF (ไฮเดฟ) ตามที่นิยมนั้น ขนาดของจอแสดงผลก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เนื่องจาก หนัง แบบ HIDEF ที่มีขนาดสัญญาณภาพที่ 1080p นั้น ต้องการ TV ที่มีขนาด 45 นิ้วขึ้นไป ถึงจะดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังแบบที่ มีสัญญาณภาพแบบละเอียดเห็นขนจริง ๆ
    ( อันนี้ทำความเข้าใจง่าย ๆ ว่าหนัง bru-ray และไฟล์ hidef ต่าง ๆ คือผลิตมาเพื่อดูจอใหญ่ ๆ แล้วภาพไม่เบลอเท่านั้นเอง )
    แต่กลับกัน ถ้าซื้อ TV แบบจอ 24 นิ้ว หรือ 32 นิ้วมา เวลาดูหนังคุณจะไม่รู้สึกเลยว่า คุณกำลังดูแผ่น DVD หรือ Bru-ray อยู่ (คือเหมือนเสียเงินซื้อ bru-ray มาแต่ได้รับชมหนัง ในความชมชัดแค่ DVD เท่านั้น )
    เพราะฉะนั้น "คิดให้ดี" ว่าจะซื้อ จอขนาดเท่าไรเช่น ถ้าคุณมีงบแค่ 27,000 แต่ดูจากคุณสมบัติและข่าวลือหลาย ๆ คนแล้ว
    เห็นว่า LED มันเจ๋งกว่า เลยไปซื้อ LED มาแต่ได้ขนาดเป็น 32 นิ้วแทน ก็คงไม่คุ้มเท่าไร
    โดยถ้าเป็นคนเขียนจะขอแนะนำให้ซื้อ LCD หรือ PLASMA คงจะดีกว่า เพราะขนาดที่ใหญ่ มันมีประโยชน์หลาย ๆ อย่าง

    ขนาดที่แนะนำ
    ผู้เขียนขอแนะนำให้ซื้อขนาดที่ ใหญ่กว่า 45 นิ้วขึ้นไป หลายคนที่ไปมองทีวีหรือซื้อมาตั้งที่ห้องใหม่ ๆ อาจคิดว่า ซื้อทำไมใหญ่เกินไปมั้ง  แต่จากที่ใช้เครื่องตัวเอง ( LCDเฉย ๆ ตัว 45") และใช้เครื่องเพื่อน(เล่นเกม)มา ( LED3d ตัว50" ) ก็รู้สึกว่าจอมันไม่ได้ใหญ่อะไรนักหนาเลย ( มีความรู้สึกว่ามันเล็กไปด้วยซ้ำ ถึงห้องมันจะแคบก็เถอะ -"- )
    * หมายเหตุ ควรนั่งห่างจากจอ 3 เมตรขึ้นไปในการรับชม ( จอ 3d ก็แนะนำว่าให้นั่งดูห่างจากจอ 3-5 เมตรเป็นดี )
    สรุป
    สำหรับเรื่องนี้ หลายกูรูบอกมาว่า "ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับการ..." ( -"+ มันเกี่ยวอะไรกัน...เนี่ยย)





    - SONY,SUMSUNG, LG,philips ค่ายเหล่านี้ แนะนำค่ายไหนดี?

      "ss(ซัมซุง)สิ ภาสวยดี" มีหลายกระแสที่แนะนำ แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความถูกใจของผู้ใช้งานครับ โดยคนเขียนจากที่ได้ลอง ผลิตภัณฑ์พวกเครื่องเล่น และ tv ของหลาย ๆ ค่ายเหล่านี้มา ก็พบข้อดีข้อเสียบางประการ โดยในนี้จะกล่าวถึงจุดเด่นของแต่ละค่ายเท่านั้น นอกนั้น ขึ้นอยู่กับองประกอบของผู้ใช้ว่าถูกใจรุ่นไหน หรือที่บ้านอุดหนุนค่ายอะไรอยู่

    *เน้นว่าข้อมูลต่อไปนี้ เป็นความเห็นและการได้ลองใช้ของผู้เขียนเอง จากหลาย ๆ รุ่น
    sony- ลูกเล่นกับ function เยอะครับ สวดยวดจริง ๆ หาค่ายใดเปรียบ  ( ราคาค่อนข้างแพง )
    Phillips - ลูกเล่นกับ function ปานกลางคับ ( หลายคนถ้าเป็นแฟนๆ phillip จะรู้ว่าค่ายนี้มัก มีอะไรให้ลักไก่เล่น ๆ เช่น DVD ที่อัพเฟิร์มแวร์กับ แก้โค้ด โซนเล่นหนังได้เอง )   ราคากลาง ๆ
    Sumsung - ลูกเล่นกับ function ปานกลาง- น้อย   ค่ายนี้ราคากลาง ๆ ครับ ข้อเด่นดังคือ สีสรรของภาพที่ ไฉไลจริง ๆ ครับ
    LG - ลูกเล่นน้อย สมกับราคาถูก 


    *โดยปัจจุบัน ทุกค่ายจะมี ฟังก์ชั่นที่เรียกทำนองว่า easy link ทำนองนี้ ที่รีโมทเดียวก็ควบคุมเครื่องเล่นได้ทุกอย่าง แต่เครื่องเล่นที่นำมาเชื่อมต่อนั้นก็ต้องเป็นยี่ห้อเดียวกันและ support funciton นี้ด้วยนะครับ  เพราะฉนั้นก่อนซื้อถ้า DVD หรือ HOME THEATER ราคาแพงที่บ้านคุณเป็นยี่ห้อดัง ๆ ละก็สังเกตุที่กล่องหรือเครื่องด้วยว่า support function นี้ไหม เพราะถ้ารองรับระบบ easy link นี้ก็จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายมากขึ้น




    - ซื้อมาแล้ว ควรเช็คอะไรบ้าง

    เมื่อซื้อ TV มาแล้วควรเช็คข้อสำคัญ ๆ ดังนี้

    1. Dead Pixel ( คือจุดบอดของจอ หรือจุดที่แสดงสีเพี้ยน วิธีการเช็คทำได้โดย เปิดไฟล์ภาพ สีแดง ,น้ำเงิน, เหลือง, ขาว,ดำ เทสบนจ ถ้ามีจุดที่เป็น  Dead Pixel มันก็จะเหมือนกับ แกะดำในฝูงแกะขาวโผล่มาให้ดู )
    2. รูเสียบต่าง ๆ  ( ถ้าเคยได้ยินว่าเสียแล้วเสียเลย ก็นั่นแหละ บางรูเราไม่มีทางรู้ว่ามันเสียกว่าจะได้ลองใช้ )





    - ฟรี TV ภาพไม่ชัดเลย จะติดดาวเทียมจานแดง ๆ ดีใหม?

    คำตอบเรื่องนี้ผมสรุปให้ดังนี้ครับ
    คือ  อย่าดีกว่า ถ้าคุณไม่มีเวลาอยู่บ้าน ดูทีวีทั้งวัน
    คือ  ไม่ดีมั้ง  ภาพชัดขึ้นไม่เท่าไรหรอก เพราะสัญญาณทีวีจากสถาณีของประเทศไทยก็ไม่ได้ปล่อยมาชัดแบบ 1080 อยู่แล้ว
    คำตอบจริง ๆ คือ  ปรกติสัญญาณจากสถาณีเขาก็ไม่ค่อยชัดอยู่แล้วครับ คนทำรายการหลาย ๆรายการ เขาก็ส่งไฟล์รายการที่ทำมาชัดก็แค่น้อง ๆ dvd  ซึ่งก็ไม่ใช่ 1080p อยู่ดี  

    ท้ายสุดแล้วเรื่องนี้ สำหรับคนที่ซื้อทีวีจอใหญ่มาดูใหม่ ๆ ก็อาจจะเกิดอาการเสียใจบ้างเล็กน้อยที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนว่าภาพมันไม่คมกริ๊ปแบบ จอตูดใหญ่ ๆ







    - DVD ภาพไม่ชัดเลย ฉันถึงเวลาที่ต้องซื้อ bru-ray มาใช้หรือยัง?

    เรื่องนี้ขอให้สำรวจรอบ ๆ เครื่องเล่น ให้ดีก่อนครับว่ามี ช่องสำหรับเชื่อมต่อสัญญาณภาพอื่น ๆ อีกหรือเปล่านอกเหนือจากสาย แบบ S- video และ สาย composite ( สาย 3 สาย ที่เป็น เหลือง ,ขาว,แดง)
    เพราะ dvd ส่วนมากจะมีช่อง component จะประกอบด้วย สัญญาณภาพ video 3 รู ( เรียกว่า YPbPr  )  มาให้แบบนี้
     
    ถ้ามีล่ะก็ให้ต่อสายกับช่องพวกนี้แทน ( เสียบ่ตามสีเลย )  โดยเหตุผลที่ให้เสียบ แบบนี้แทนเพราะว่า สัญญาณภาพ YPbPr ตัวนี้ จะให้ความละเอียดสูงกว่า S-video และสาย composite  โดยภาพก็จะชัดกว่าด้วย (เพราะฉะนั้นคนที่เล่น ps2 แล้วเปลี่ยนมาใช้จอใหญ่ ๆ พวกนี้ก็เปลี่ยนมาใช้สาย component ซะนะเพื่อภาพที่ชัดขึ้น )

    โดยอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าเครื่องเล่นของคุณมีช่องต่อแบบ HDMI ล่ะก็ถือว่าเป็นโชคดีเพราะว่า เครื่องเล่นส่วนมาก (ยกตัวอย่าง DVD) ที่มีช่องต่อ HDMI จะมี feature ที่เป็น การ UPSCALE ภาพให้ปล่อยสัญญาณมาเป็น 1080p อัตโนมัติ
    (นั่นหมายความว่า คุณก็สามารถรับชม หนังชัดกริ๊บ ๆ ความชัดเทียมแผ่น bru-ray ได้เชียว~!)
    พอพูดงี้บางคนก็อาจตกใจว่ามันชัดขนาดนันเลยเหรอ!
    เรื่องนี้ขอตอบว่า มันชัดกริ๊ป*เป็นบางเรื่อง เท่านั้นครับ (ขึ้อยู่กับการ compress video ของผู้ผลิตในบ้านเราว่า จะทำมาห่วยแค่ไหน)
    เพราะแผ่น DVD ส่วนมากจะทำขนาด video มาเป็น 720 × 480 px อยู่แล้ว โดยเข้ารหัส video แบบ mpeg2 
    โดยย้ำว่าความคมชัดของภาพขึ้นอยู่กับทางผู้ผลิตว่าต้องการทำให้ชัดแค่ไหน? โดยตามปรกติแล้วการที่จะได้ภาพที่คมชัดและมีคุณภาพย่อมทำให้ เปลืองเนื้อที่มากกว่าหนังที่ภาพที่เบลอ ๆ
    ( เวลาซื้อก็สังเกตุกันได้ง่าย ๆ เช่นถ้าเป็น DVD9 ส่วนมากจะชัดกว่า DVD5 ) โดยเรื่องนี้ถ้าใครเคยลองอุดหนุนหนังจากเพื่อนบ้านหรืออุดหนุน dvd หนังโม. (คำเต็ม ๆ คือ "โมดิฟาย" เป็นหนังที่ re-encode มาจาก bru-ray)จากอินเตอร์เน็ต ก็จะรู้ว่า จะทำให้ชัด ๆ ก็ด้าย... แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างเลยไม่ทำลง DVD กัน

    กลับมาเข้าประเด็นที่ว่าจะต้องซื้อ bru-ray มาดูหรือยัง ( อันนี้หมายถึงดูกะแผ่นบรูเรย์ด้วยนะ)
    ก็ตอบได้ประมาณว่าถ้า TV คุณไม่ได้ใหญ่มาก กไม่ต้องซื้อมา เช่น ต่ำกว่า 32 นิ้วถึง 45 นิ้ว ( ขนาดที่ว่านี้ไม่ค่อยเห็นข้อแตกต่างเท่าไร )
    ส่วนพี่บิ๊กอย่าง ๆ 48 หรือ 50 60 นิ้วก็ซื้อมาดูกันก็คงจะสะใจดีเพราะจะได้เห็นรูขุมขนกันมากขึ้น
    (ซื่งแน่นอนว่า จะซื้อ bru-ray ทั้งทีก็ซื้อแพง ๆ ดี ๆ ไปเลย เพราะหนังเรื่องนึงก็ไม่ใช่ถูก <<< จะยอมให้หนังแพงกว่าเครื่องเล่นได้ไง จริงป๊ะ!)

    สรุป สายและสัญญาณภาพที่ได้ (ไล่จากตำสุดไปสูงสุดประมาณนั้น )
    สาย Coaxial (RF) เป็นสายที่ให้สัญญาณภาพและเสียงมาในเส้นเดียวกัน ( รู้จักกันดีคือเสาอากาศระจำบ้าน ) ขนาดของสัญญาณภาพ อันนี้ไม่ทราบครับ ( ลองหาข้อมมูลคร่าว ๆ แล้ว ) แต่ถ้าลองกดทีวีที่บ้าน มันขึ้นโชว์ว่า 576i ครับ
    สาย Composite-video ได้สัญญาณภาพที่  480p ขึ้นไปถึง 720p แต่สัญญาณภาพจะหยาบกว่า s-video ( ซะงั้น สรุปภาพที่ได้จาก s-video จะดีกว่า )
    สาย S-video  ได้สัญญาณภาพที่ 480p หรือ 580i
    สาย Component ได้สัญญาณที่ ตั้งแต่ 480i, 480p, 576i, 576p, 720p, จนถึง 1080i  ( แต่ปรกติจะปล่อยที่ 720p )
    สาย RGB ได้สัญญาณภาพตั้งแต่ 640×400px  จนถึง 1280×1024px @85 Hz   และก็ ยังปล่อยได้ไปถึง 2048×1536px @85 Hz (388 MHz). เลย (แล้วแต่ขนาดจอ )แต่ภาพที่ได้สีจะจัดจ้านมาก ๆ  เพราะเป้นสัญญาณที่ไม่ได้ผ่านการกรองมาก่อนเหมือน hdmi
    สาย HDMI ได้สัญญาณภาพที่ 1080p ในเวอร์ชั่น ก่อน ส่วนเวอชั่นล่าสุดที่ออกมา( ver.1.4) ที่สามารถเล่น ethernet ได้ สามารถปล่อยสัญญาณภาพที่ 3840 x 2160  ไปเลย


    สรุป:
    - ถ้าเครื่องเล่นของคุณช่องสำหรับ เสียบ HDMI ก็ให้ต่อเครื่องเล่นกะ TV ผ่าน HDMI เพื่อให้ได้สัญญาณภาพที่ชัดที่สุด
    - กรณีที่ไม่มีช่องต่อ HDMI แต่เสียบสาย COMPONENT แทน ภาพที่ได้รับชมจะไม่สวย เท่า HDMI เพราะเครื่องเล่นส่วนมากที่มีช่องเสียบ HDMI เวลาต่อกับ TV มันจำทำการ UPSCALE (ประมาณว่าขยายขนาด) ภาพ ให้ดูเนียนตา ( ในทางกลับกันการต่อ composite-video และ componet YPbPr ภาพจะแตกเป็นเหลี่ยม ๆ สำหรับเครื่องเล่นจีนราคาถูก ) 










    - HDMI สายนี้ ซื่อกี่บาทดี?


    หลายคนพอไปหาซื้อสาย HDMI จะพบว่ามีหลายยี่ห้อ หลายราคาให้เลือกใช้ตั้งแต่ 300 กว่าบาทไปถึงหมื่นเลย!
    อันนี้ ขอตอบว่า ซื้อถูก ๆ มาก็พอครับถ้ามาต่อกับ TV  หลายท่านอ่านเคยได้ยินมาบ้างว่าระยะทางมีผลกับสัญญาณภาพแต่ทว่า tv กับเครื่องเล่นทั่วไปมันก็ห่างกันไม่เกิน 2 เมตรอยู่แล้วครับ อย่างมากก็ 3 เมตร

    แล้วยี่ห้ออะไรดี อันนี้ขอตอบว่า ไม่ต้อง sony หรือยี่ห้อดัง ๆ ราคาแพงก็ได้ครับ
    เอาสาย reltek ตัวละ 350 ก็ได้ (อย่างน้อยก็ซื้อจากห้างมันประกันน่าเชื่อกว่า  ดีกว่าซื้อข้างทางตามตลาดนัด)

    โดยตัวที่ลองมาของเพื่อนผมที่เขาทำให้บริการเครื่องเสียง เขาก็ใช้สายจีน ยาว 20  เมตร ต่อออก ทีวี ราคา 600 บาทก็ ได้สัญญาณภาพออกมาเหมือน 1,200 บาท 1 เมตรของ sony เด๊ะเลย ( ผมที่โง่ซื้อแพง ๆ  มาก้เสียค่าโง่ไป )ครับ

    *การเชื่อมต่อ hdmi กับอุปกรณ์บางอย่าง เช่น projecter ควรศึกษา ค่า bandwith ของตัวรับด้วยว่าต้องการค่าต่ำสุดที่เท่าไรเพราะสายราคาถูก ๆ อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการความแรงของสัญญาณได้เหมือนกับ TV ทั่ว ๆ ไป แต่ส่วนมากสามารถใช้ได้เหมือนกัน











    - HDMI ธรรมดา กับ HDMI+Ethernet จะ
    ซื้ออันไหนดีเมื่อแพงกว่าไม่กี่บาท

    ปัญหาโลกแตกถัดมาเมือไปซื้อสายสัญญาณแบบ hdmi แล้วเราก็จะเห็นข้างกล่องว่า สนับสนุน feature โน้นนี้บ้างล่ะ
    เช่น ต่อกับ 3dTV ได้ ต่อกับ Ethernet ได้   เรื่องนี้แนะนำว่าซื้ออันที่เหมาะกับ TV เราเช่น ถ้า TV เรามันเป็น 3d ก็ซื้อ 3d มา ( คือมันจะเป็น สาย hdmi รุ่น 1.4 ที่ปล่อยสัญญาณเป็น 3d ได้ ) แต่ถ้า TV เราซื้อมาไม่ได้เป็น 3d ก็ซื้อสายธรรมดามาก็เพราะ เพราะซื้อแพงไปก็ไม่ได้ใช้เปล่า ๆ

    แล้ว Ethernet ล่ะ? อันนี้ตอบว่า เมินไปเลย ถ้าไปถามเซลล์หลาย ๆ คนก็ตอบมาว่า เอาไว้เล่นเน็ตกะทีวีไง
    บางคนก็มีบอกว่า ก็ต่อคอมเล่นกะ TV ไง ( อันนี้ตอบว่า ไม่เกี่ยวเลย )

    คำว่าเล่นเน็ตกับทีวีก็คือ ต่อสาย internet กับตัว tv โดยตรง โดยเปลี่ยนจากสาย LAN มาเป็น HDMI แทน (หลายคนอ่านแล้วงงว่าเอ๊ะ!  TV เล่นเน็ตได้ด้วย...  )     เรื่องนี้ก็ลองนึงถึง tv รุ่น แพง ๆ ที่สามารถอัพ firmware ได้โดยตรงจากการเชื่อมต่อ internet แล้วกัน ( บางรุ่นก็เล่นได้ )   หรือลองนึกถึง อุปกรณ์ external ของ TV เช่นชุดเล่น internet  ที่ให้ใช้สาย lan เสียบกะเครืองนั่น แล้วเอาสาย hdmi เสียบกับ TV ( ใช่แล้วล่ะ คือ เครื่องเล่นตัวนั้น มันต้องสามารถปล่อยสัญญาณ internet ไปยัง tv แทน สาย lan ได้ไง มันเลยเขียนว่า Ethernet แทนซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกันภายในวงเล็ก ๆ เท่านั้น สำหรับกรณีนี้ก็คือ ระหว่างทีวี และเครื่องเล่น )

    สรุป
    - ให้ซื้อตาม TVของตัวเอง ถ้า TV เป็น 3d ก็ซื้อเป็น 3dมา
    - มองข้ามเรื่อง Ether net ไปเพราะ ประเทศไทยกว่าจะฮิตนำฟังก์ชั่นนี้มาใช้งานก็คงอีก 5 ปีกว่าจะมีเครื่องเล่นที่ทำแบบนี้ได้มาแพร่หลาย
    ท้ายนี้ ผู้เขียนขอเตื่อนว่าอย่าไปเชื่อ เซลล์ที่หลอกขาย สาย HDMI ให้เชื่อบทความนี้ เพราะเซลล์ส่วนมาก จะมั่วกัน ( เฮ้อ~)
    - ต่อให้สัญญาณภาพชัดกิ๊กแค่ไหน ทีวีเหล่านี้ก็มีข้อจำกัดที่ว่า ต้องนั่งห่างจากจอ 2 ถึง 3 เมตรขึ้นไปถึงจะรับชมได้เต็มที่ ซึ่งในระยะห่างเกิน ขนาดนั้น สายตาคนเราก็ไม่สามารถ แยกแยะความแตกต่างระหว่าง สายราคา หมื่นกว่า ๆ กับสาย ราคา 350 บาท

    - HDMI  vs RGB ข้อสรุปสำหรับโน๊ตบุครุ่นเก่า

    เรื่องนี้ ถ้าได้อ่านมาตั้งหัวข้อด้านบนที่กล่าวเกี่ยวกับสายจะพบว่า ภาพที่ได้จาก RGB จะได้ภาพที่ออกมา คมเทียบเท่ากับ HDMI  โดย สัญญาณภาพที่ได้จาก RGB จะเป็นสัญญาณที่ไม่ผ่านการกรอง (คือส่งมาโต้ง ๆ เลย) ซึ่งจะได้ภาพที่ฉูดฉาดกว่า hdmi ซึ่งได้ภาพที่สวยนุ่มตา

    ส่วนถ้าเครื่องใครโชคดี ม่ช่อง ตอสายแบบ DVI ก็เอามาเสียบ เพราะ dvi จะให้ภาพสวยเท่ากับ hdmi เพราะมันจ่ายสัญญาณภาพแบบเดียวกันนั้นเอง

    - HDPLAYER ซื้อแล้วคุ้มแค่ไหน และแนะนำยี่ห้อไหนดี?

    หลายคนที่มีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้ อาจะคิดว่า เอาคอมมาเสียบแล้วเล่นหนังคงจะดีว่า แต่คำตอบก็คือ "ไม่" ด้วยหลาย ๆ เหตุผลดังนี้
    - คอมพิวเตอร์ เวลาเล่นหนังเวลามันจ่ายสัญญาณถ้าต้องการให้ได้ภาพที่ไม่กระตุก และคมชัดสีสวยต้อง มีการ์ดจอ มีพอร์ตhdmi  และเครื่องควรแรงกว่า 2.4ghz  และ ram ควรมากกว่า 2gb ขึ้นไป จึงจะทำให้เร่งพลังความสวยของภาพได้มากสุดและภาพไม่กระตุก ซึ่งแน่นอนว่า เสปกขนาดนี้ ต้องมากับราคาที่ไม่ต่ำกว่า 17,000 หรือสำหรับ nb ที่ราคามากกว่า 24,000
    แต่ข้อสำคัญก็คือเวลาดูหนัง คุณต้องอยู่ห่างจากหน้าจอ เวลาจะกดเลือกปรับอะไรก็คงไม่สดวกเหมือนเครื่องเล่น HDPLAYER อยู่ดี ถึงจะมี เมาส์ไร้สาย ที่เป็นแบบรีโมทก็ตาม

    - notebook เวลาใช้งานคุณต้องถอดเสียบ ๆ ๆๆ     สาย hdmi และ port มันบ่อย ๆ ซึ่งเสียงต่อการเสียของทั้งสองฝ่าย เพราะโน๊ตบุคส่วนมากซื้อมาเพื่อไปไหนไป(ด้วย)กัน และมันเสียทีจ่ายแพงแน่นอน

    ด้วยเหตุผลที่ยกมา HDPLAYER จึงเป็น ทางออกที่ดีที่สุด เพราะด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ

    "ถ้าคุณจะดูหนัง สักเรื่อง คุณต้องการภาพที่สวยไม่กระตุก และรีโมทที่สั่งกรอ และหยุด เลือกเสียงกับภาษาง่าย ๆ โดยไม่เสียอรรถรสเท่านี้เอง"










    - ควรทำไงดีเมื่อ TV ฉันมีปัญหา

    เมื่อพบว่า ช่องสัญญาณบางช่อง หรือ TV ที่ซื้อมา มีข้อผิดปรกติ ( จากที่ควรจะเป็น ) ให้โทรหาศูนย์เพื่อนัดช่าง มาดู โดยกรณีที่ tv ใหญ่กว่า 42 นิ้วขึ้นไป จะมีช่างมาบริการถึงบ้าน (อันนี้เขียนระบุไว้ในใบประกัน)
    สวนเมื่อช่างมาแล้ว ก็ถามให้ละเอียด ในหลาย ๆปัญหาเช่นว่า ถ้าเราส่งไปซ่อมแล้ว ปัญหานี้จะหายรึไม่เนื่องจากหลาย ๆ ปัญหาพอส่งซ่อมแล้ว ก็ใช้ไปสักพักก็จะมีหัญหาดังเดิม

    -จบแล้ว-

    บทความนี้
    ก๊อปไปเผยแพร่ฟรีจ้า ....  เครดิดตลิงค์นี้ไว้ก็ได้ จะได้มาอ่านบทความดี ๆ อื่น ๆ ของเราอีก
    มันใจไม่ก๊อปใคร ค้นความ +ประสปการณ์ + ความรู้ + อ้างอิง ทุกบทความจ้า
    รักคนอ่าน จุ๊บ  ๆ ๆ (ตายตอนจบเนี่ยแหละ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×