คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่1: บทเพลงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
~~บทเพลงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก~~ ความปรารถนาที่ลับหายไปในความมืดมิด
ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
กรงขังนั้นที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้
ยกเว้นก็เพียงตัวของสาวน้อยเองเท่านั้น
ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งอำพรางปิดซ่อนทุกสิ่งไว้แม้กระทั่งความว่างเปล่า
มีตัวตนอันแสนบอบบางที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพังเสมอ
บนร่างเล็กๆนั้นแบกรับภาระหน้าอันหนาหนักไว้
มีบางคนที่ไม่อาจทานทนกับความเดียวดายที่ถาโถมจนกระทั่งหัวใจแหลกสลายลง
มีบางคนที่แม้อาจพร้อมด้วยใจอันกล้าแกร่ง หากถึงกระนั้นก็ยังต้องเผาผลาญพลังชีวิตที่มีไปจนหมดสิ้น
ทว่า ผู้คนเกินกว่าครึ่งกลับจัดอยู่ในบุคคลจำพวกนั้นเอง
ผู้ที่แตกต่างจากบุคคลจำพวกนั้นไกลสุดกู่ก็คือ
สาวน้อยในชุดวันพีซสีขาวชายระบายที่นั่งห้อยเท้าลงมาจากบนศิลาใหญ่ยักษ์
พลางแหงนมองแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาเพียงรำไรนั่นเอง
เส้นผมของเธอมีสีสันของความอ่อนโยนดั่งถักทอขึ้นจากแสงตะวัน
ประกอบกับดวงตาสีฟ้าครามชวนให้คิดถึงประเทศทางใต้
สาวน้อยที่ยังมีเค้าอายของความไร้เดียงสายืดกายออกครั้งนึงก่อนเท้าคางลงบนขาที่วางห้อยอยู่ของตนเอง
วันนี้กำลังเลยผ่านไปอย่างแสนสงบสุขนัก
แต่จริงๆแล้วในความรู้สึกของสาวน้อย วันหนึ่งวันก็เป็นได้แค่เพียงสิ่งที่คลุมเครือไม่แน่ชัด
เพราะอย่างไรเสียสาวน้อยก็มีชีวิตได้อยู่แค่เพียงแต่ในโลกใบเล็กที่ถูกปิดตายนี้เท่านั้น
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความร้อนแรงของดวงตะวันที่ถูกพรากไปพร้อมกับโลกอันเจิดจ้าก็ตาม
หรือแม้แต่ความร้อนระอุที่เกินกว่าจะเรียกว่าความอบอุ่นนั้น
เธอก็ไม่เคยได้สัมผัสกับมันเลยแม้เพียงสักครั้ง
นับแต่ถูกพรากออกจากบุพการีทั้งสอง
ใครสักคนที่สาวน้อยได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยบนโลกใบนี้ก็มีเพียงผู้ดูแลเพียงหนึ่งคน
ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดตามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นก็คือตัวตนซึ่งเธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเสมอ
ผู้เป็นเจ้าของพลังคุกคามน่าเกรงขามอย่างไร้ข้อกังขาที่มากเกินกว่าร่างกายของมนุษย์จะทนรับไหว
ตัวตนที่ไม่รู้วันใดจะช่วงชิงชีวิตของเธอไป
ตัวตนที่เธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันโดยคอยขับขานบทเพลงขับกล่อมเรื่อยมา
และนั่นคือแต่ละวันของเธอ เพราะเหตุนี้เธอจึงได้ถูกเรียกขานว่า เจ้าหญิงเสียงเพลง
“เจ้าหญิงเสียงเพลง” ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของการเสียสละที่ไม่ว่าใครก็ต่างรู้จัก
จนถูกยกย่องให้เป็นที่เคารพบนโลกนี้พร้อมๆกับมังกรผู้คอยเกื้อหนุนให้โลกยังคงอุดมสมบูรณ์ต่อไปได้
สาวน้อยผู้เป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงคนปัจจุบันหรี่ตาลงให้กับแสงตะวันบางๆที่เล็ดรอดเข้ามาในถ้ำอันมืดมิด
และลมหายใจยามหลับใหลที่ดังทุ้มต่ำก้องอยู่ในส่วนลึกของร่างนั้นที่หากเงี่ยหูฟังให้ดีก็จะได้ยิน
น่าสงสารเหลือเกิน น่าสงสารจริงๆ
สมัยก่อน มีหญิงชราที่กล่าวเช่นนั้นและไม่กี่วันหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เห็นแกอีกเลย
พายที่ยายคนนั้นอบให้ก็อร่อยดีอยู่หรอก
แต่ซุปที่ผู้หญิงท่าทางเฉยชาซึ่งมาใหม่หลังจากนั้นไม่กี่วันทำก็อร่อยดีอยู่เหมือนกัน
เธอจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากมายนัก
เพราะสาวน้อยสัมผัสได้แม้จะลางเลือนไม่ชัดเจนว่า
หากเธอไม่ทำแบบนั้นก็คงจะมีการเปลี่ยนคนอีก
จุดเชื่อมต่อก็คือช่องส่งของที่ติดไว้ด้วยแผ่นกระดานเล็กๆตรงใต้ประตู
สิ่งที่ถูกส่งเข้ามาจากช่องนั้นคืออาหารและสิ่งของรอบตัวที่อย่างน้อยสุดจำเป็นที่จะต้องใช้สอย
วันพีซที่มีสีขาวเป็นสีพื้นนั้น สาวน้อยไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเลือกให้
แต่ทุกครั้งที่เธอเติบโตขึ้น ก็มักจะมีส่งเข้ามาให้ ด้วยขนาดที่เหมาะเจาะราวกับวัดตัวตัดมา
ตัวที่สวมติดกายอยู่ตอนนี้เองก็มีประดับลวดลายดอกไม้ที่ดูบอบบางอยู่ที่ชายผ้า
สาวน้อยเคยชอบชุดวันพีซที่มีริบบิ้นสีเหลืองพลิ้วคาดใต้อกซึ่งเคยสวมใส่ก่อนหน้านี้
ทว่ามันก็เล็กลงจนสวมไม่ได้แล้ว เสื้อผ้าที่เล็กลงนั้นจะถูกใส่ลงตะกร้า แล้วก็ไม่ได้กลับคืนมาอีกเลย
ไม่ใช่แค่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่รอบตัวต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเช่นเดียวกัน
ทั้งที่โดนตัดสินว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป และไม่ได้คืนกลับมาอีกแท้ๆ
แต่สาวน้อยเองก็ไม่รู้ว่าคนที่ตัดสินใจให้เป็นใครกันแน่
ตามจริงแล้วสาวน้อยก็ไม่เคยได้รู้จักกับอะไรนอกเหนือไปจากตัวเอง
กับมือที่นานๆทีจะโผล่มาให้เห็นเพียงส่วนหนึ่งจากรูเล็กๆที่ถูกทำขึ้นตรงประตูเลย
ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสกับใครเลยสักคน
ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง เธอเคยเกือบจะได้สัมผัสกับมือของคนที่ดูแลเธออยู่เหมือนกัน
ทว่าสุดท้ายเพียงชั่วแวบเดียวก่อนหน้าจะทันได้สัมผัส มือนั้นก็พลันถูกชักกลับไปอย่างตื่นตกใจ
และแล้วก็เป็นความหวังที่ไม่อาจสมหวังอีกจนได้
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าสาวน้อยที่ไม่เคยได้รู้จักกับการสัมผัสกับผู้คนก็ได้รู้เข้าในวันหนึ่งว่า
“หากจับมือแล้ว จะรู้สึกอบอุ่น”
นั่นเป็นเพราะความฝันที่ไม่รู้ว่าเริ่มฝันเห็นตั้งแต่เมื่อใดกัน
โดยไม่มีการแบ่งแยกกลางวันกลางคืน
สาวน้อยที่มักจะหลับใหลลงในเวลาที่ค่อนข้างตายตัวนั้น
มักจะมีเด็กหนุ่มที่หน้าตาคล้ายกับตัวเองปรากฏเข้ามาในความฝัน
ในฝันสาวน้อยจะได้กลายเป็นเด็กหนุ่ม
ได้รับสัมผัสจากมือของมารดาที่ยื่นมาเพื่อที่จะจัดทรงผมที่กระดกหลังตื่นนอนให้
ได้รับรู้ถึงมือของบิดาที่ลูบลงบนศีรษะ
มันช่างแสนอบอุ่น อบอุ่นมากๆ
เป็นความฝันที่สัมผัสได้แม้กระทั่งอุณหภูมิจากมือทั้งสองนั้น
และแล้วในวันหนึ่งเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า
นั่นอาจไม่ใช่ความฝัน แต่อาจจะเป็นความจริงก็ได้
“ได้โปรด ยกโทษให้ข้าเถอะค่ะ”
จากอีกฟากของประตู สาวน้อยได้ยินน้ำเสียงสั่นระริกที่เอ่ยขึ้นเช่นนั้น
พร้อมเสียงของบางสิ่งกระทบบานประตูแขวนแว่วมา
กว่าสาวน้อยจะทันรู้ตัวว่านั่นเป็นเสียงของหญิงผู้ดูแลที่อยู่อีกฟากของประตูกำลังโขกศีรษะลงกับพื้น
เธอก็ทำได้แค่เพียงเอ่ยตอบกลับไปว่า “ขอโทษค่ะ”
เธอเพิ่งเคยได้ยินเสียงที่แฝงความรู้สึกปะปนอยู่ในน้ำเสียงจากหญิงที่ดูเอาจริงเอาจังในหน้าที่คนนี้เป็นครั้งแรก
สาวน้อยมองเห็นมือของหญิงสาวที่หลุดเสียงสะอื้นเล็กๆออกมาได้จากช่องว่างอันจำกัดของประตูส่งของ
มือของหญิงสาวที่หมอบกรานอยู่กับพื้นปูหินนั้นราวกับว่ากำลังวอนขอการอภัยอยู่อย่างนั้น
ทั้งที่หากวางมือลงกับพื้นเย็นๆแบบนั้นนานๆคงจะหนาวมากแน่ๆ คงจะทำให้เปื้อนเปรอะแท้ๆ
ตัวเธอเองอาจจะไม่ควรที่จะเกิดความสนใจใครสักคนขึ้นมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้
ยามเมื่อถึงเวลาที่อาหารมื้อต่อไปถูกยื่นส่งเข้ามา
ผู้ที่นำมาให้จะยังคงเป็นหญิงคนเมื่อครู่อยู่หรือเปล่านะ
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ อาจจะหมายความว่าเราได้ทำเรื่องไม่ดีลงไปแล้วก็ได้ ส
าวน้อยได้แต่โอบกอดความรู้สึกผิดที่เลือนรางเอาไว้
และแล้วอีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น ยามเมื่ออาหารอุ่นร้อนได้ยื่นส่งเข้ามาให้
เสียงที่ได้ยินมาจากอีกฟากของประตูก็กลายเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูไปเสียแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++
หญิงผู้หนึ่งพยายามเหนี่ยวรั้งร่างของนักบวชไว้พลางร้องวิงวอนอะไรสักอย่าง
ทว่ามือนั้นก็กลับถูกสะบัดทิ้งก่อนชายหลายคนจะลากพาตัวเธอจากไป
และแล้วยามเมื่อเสียงสั่นระริกวิงวอนไม่หยุดนั้นกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องร่ำไห้ประตูก็ถูกปิดลงอย่างเย็นชา
บทสรุปของหญิงที่ถูกลากออกไปนั้นคือการถูกกลบฝังโดยไม่มีใครได้ล่วงรู้
นักบวชถอนหายใจออกมาดัง “เฮ้อ” หลังจากที่ต้องกลั้นเก็บไว้มานาน
คงจะคิดว่าการแจ้งไล่ออกอย่างกะทันหันนั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดีเสียกระมัง
เพราะแท้จริงแล้วหญิงนางนั้นช่างไร้ผู้เปรียบได้นัก
ส่งอาหารวันละสามครั้งตามเวลาที่กำหนด
พร้อมยื่นสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันที่จำเป็น และรับสิ่งของที่ไม่จำเป็นแล้วกลับออกมา
เป็นงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรให้มากมายนัก
แต่กลับได้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่มากพอจะเลี้ยงครอบครัวใหญ่ๆได้อย่างสบายไปเดือนนึง
แม้ไม่ต้องคิดอะไรมากนัก ก็คงรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่งานปกติอย่างแน่นอน
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นด้วยค่าตอบแทนที่เย้ายวนจึงทำให้ไม่เคยขาดผู้ประสงค์จะทำงานนี้
ทำให้หาตัวแทนใหม่ได้เรื่อยๆไม่เคยขาด
คนที่จะมาทำหน้าที่ดูแลคนใหม่นั้นจนกว่าจะถึงเวลาเตรียมมื้ออาหารครั้งถัดไปก็คงหาได้โดยไม่เสียเวลาอะไรมากมายนัก
เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนั้น ด้วยความที่เป็นคนให้ความสำคัญกับการแต่งตัวยิ่งนัก สายตาของนักบวชจึงทอดลงมอง
เสื้อตัวนอกที่ลงแป้งไว้และเคยไร้ซึ่งรอยยับย่นแม้เพียงนิดบัดนี้กลับปรากฏรอยขยุ้มยับยู่ไม่น่าดู
ท่าทางว่าหญิงเมื่อครู่คงดึงไว้ด้วยแรงที่มากพอดูตอนที่โดนพาตัวไป
ช่างดูไม่เข้ากับชายผ้าของเสื้อตัวนอกที่เนื้อผ้าเป็นพื้นสีเข้มเอาซะเลย คงต้องเตรียมชุดใหม่ซะแล้ว
“ช่วยส่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติมาให้ข้าทีสิ”
เมื่อม้วนกระดาษถูกส่งมาให้ตามคำสั่งนักบวชก็กวาดตามองลงบนรายชื่อเหล่านั้น
ผู้ดูแลนั้นควรให้เป็นเพศเดียวกัน จึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้หญิง
และเพื่อไม่ให้รอบๆตัวเจ้าหญิงเสียงเพลงมีความรู้แปลกๆผ่านเข้ามาได้
นักบวชจึงมองหาผู้มีประวัติพื้นเพเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษา
และจุดสำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนที่จะสามารถทนกับพื้นที่แคบๆได้โดยไม่เป็นอะไร
จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามนี้เท่านั้น หากเป็นคนที่ถูกชะตาด้วยได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
หากพูดถึงในแง่นั้นแล้ว หญิงที่เป็นผู้ดูแลที่เพิ่งถูกปลดออกไปวันนี้ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
เพราะที่ที่เจ้าหญิงเสียงเพลงอาศัยอยู่นั้นเป็นสถานที่ที่เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกนี้
ที่ที่แม้แต่มิติก็ราวถูกบิดเบือน
เพื่อไม่ให้ใครก็ตามสามารถเล็ดรอดเข้าไปได้
เพื่อไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในหลบหนีไปไหนได้
ผู้ดูแลของเจ้าหญิงเสียงเพลงนั้นจะต้องขนอาหารผ่านเข้าไปในช่องมิติอันบิดเบือนเช่นนั้นทุกวัน
ทางเดินที่มุ่งไปสู่ถ้ำที่อยู่ระหว่างบนพื้นดินกับใต้ดินที่ทอดยาวนั้นเป็นเส้นทางสายเดียวที่ร้อยโยงระหว่างมิติเข้าไว้ด้วยกัน
ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าใดนักหรอก
เพียงแต่หากไปๆมาๆระหว่างมิติอันบิดเบี้ยวทุกวันมากเข้าแล้วล่ะก็จะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับร่างกายเสียได้
หญิงรายแรกที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ดูแลเจ้าหญิงเสียงเพลงคนปัจจุบันนั้น
มีภูมิต้านทานต่อความบิดเบี้ยวของมิติน้อยนัก ทำให้ไม่นานนักร่างกายก็ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลคนถัดมาเป็นหญิงชราที่ค่อนข้างใช้ได้อยู่เหมือนกันหรอก
แต่ว่ากลับเผลอปล่อยใจให้กับเจ้าหญิงเสียงเพลงรุ่นปัจจุบัน
ซึ่งถูกเลือกให้รับหน้าที่เจ้าหญิงเสียงเพลงตั้งแต่ยังเป็นทารกมากเกินไป
ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นได้
รายที่สามที่ถูกเลือกมาจึงเป็นคนที่ดูเป็นการเป็นงาน และเป็นหญิงที่เพิ่งถูกปลดออกไปวันนี้นั่นเอง
เรื่องการงานนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งยังสามารถไปๆมาๆระหว่างเส้นทางแคบๆได้โดยไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าใด
นับว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ดังนั้นนักบวชจึงรู้สึกว่าช่างน่าเสียดายนักกับการที่ต้องมาเปลี่ยนออกด้วยความผิดพลาดเล็กๆน้อยเช่นนี้
-- “มังกร” ตัวตนเพียงหนึ่งไม่มีสองได้มอบคำสัญญาจะมอบความอุดมสมบูรณ์ของโลกนี้ให้
โดยมีตัวตนของ “เจ้าหญิงเสียงเพลง” คอยค้ำจุนโลกไว้ร่วมกันกับ “มังกร”
คำสอนที่ถูกกรอกหูตั้งแต่ยังเป็นเด็กกันทุกคนนั่นก็คือ
ความสมบูรณ์ของโลกถูกฝากไว้กับ “มังกร” ที่เป็นตัวตนอันสูงส่งเหนือมนุษย์ห่างไกล
ที่มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่กับวันอันแสนสงบสุข โดยไม่ต้องทรมานกับความอดอยาก
หรือพบกับความหนาวเย็นที่ทำให้ร่างกายแทบจับแข็งได้
นั่นเป็นเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับคำมั่นมานั่นเอง
ในอดีต เคยมีเจ้าหญิงเสียงเพลงผู้หนึ่งที่สามารถสื่อความคิดกับ “มังกร” ที่เป็นตัวตนในมิติอันสูงส่งด้วยบทเพลงได้
เพราะเหตุนั้น “มังกร” ที่ได้รับฟังความคิดของ “เจ้าหญิงเสียงเพลง” จึงได้พักกายลงบนผืนดินแห่งนี้
และมอบความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้คนเรื่อยมา
คำสอนที่แม้แต่เด็กก็ยังรู้นี้ มีส่วนถูกต้องอยู่แค่เพียงครึ่งเดียว
ในความเป็นจริง “เจ้าหญิงเสียงเพลง” เป็นตัวตนที่มีอยู่เพื่อเป็นเครื่องมือในการฉุดรั้ง “มังกร” เอาไว้
ถูกซุกซ่อนอำพรางออกจากเบื้องหน้าเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้
ทำได้เพียงคอยถักทอบทเพลงเรื่อยไปโดยมิอาจสมหวังได้แม้การได้สัมผัสกับใครสักคน
ตราบจนกระทั่งชีวิตนั้นจบสินลง
“ป่านนี้ทำไมถึงเกิดสนใจโลกภายนอกขึ้นมานะ”
เจ้าหญิงเสียงเพลงที่ถูกคัดเลือกในอดีตที่ผ่านมานั้น นอกจากเจ้าหญิงเสียงเพลงรุ่นปัจจุบันแล้วไม่เคยมีผู้ใดเลยที่ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก
เพราะยังไม่ประสีประสาเรื่องอะไร เพราะยังไม่เคยได้สัมผัสมนุษย์คนใด
ไม่รู้จักซึ่งอิสรภาพ ถูกเลี้ยงมาให้รู้จักแค่การขับขานบทเพลงเรื่อยไปจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ทั้งไม่เคยได้รู้อะไร ไม่เคยมีใครจะกล่าวสอน
ไม่มีอะไรจะมาเป็นเหตุให้เกิดความสนใจขึ้นได้
โลกของสาวน้อยนั้นมีแค่เพียงช่องว่างที่ถูกปิดตายแคบๆ ให้อยู่ร่วมกับ “มังกร” เพียงเท่านั้น
ทั้งอย่างนั้นสาวน้อยกลับเริ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของโลกภายนอก
“วันนี้ฝนตกใช่ไหมจ้ะ?”
ได้ยินว่าเธอสามารถทายสภาพอากาศได้อย่างถูกต้อง
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาวน้อยได้มีแค่เพียงผู้ดูแลเธอเท่านั้น
ปกติก็คงจะระมัดระวังรอบคอบดีอยู่หรอก แต่คงมีเผลอหลุดปากพูดมากออกไปไม่ผิดแน่ๆ
หากสาวน้อยเกิดความสนใจโลกภายนอกไปมากกว่าคงจะลำบาก
เพราะจำเป็นต้องให้สาวน้อยขับขานบทเพลงตลอดไปเพื่อโลกและเพื่อ “มังกร”
อย่าได้ให้เธอรู้จักระแวงคลางแคลงใจใดได้
ความสามารถอันจำเป็นในฐานะเจ้าหญิงเสียงเพลงอันกล้าแข็งนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ความเข้มแข็งของสาวน้อยนั้นส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เธอไม่รู้จักโลกภายนอกนั่นเอง
เพราะเธอไม่รู้จักโลกภายนอกเหมือนเจ้าหญิงเสียงเพลงคนอื่นๆนั่นแหละ
จึงทำให้สาวน้อยไม่มองเห็น “มังกร” เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด
สำหรับสาวน้อยแล้ว ตัวตนเดียวที่เธอสามารถจะสัมผัสกันและกันได้ก็มีเพียงแค่ “มังกร” เพียงเท่านั้น
สาเหตุลึกๆที่เจ้าหญิงเสียงเพลงต้องเผาผลาญพลังชีวิตจนหมดนั้น คือ
พวกเธอเหล่านั้นเมื่อถูกเลือกมาและรับรู้ว่าต้องรับหน้าที่ของเจ้าหญิงเสียงเพลงแล้ว
พวกเธอทุกคนต่างก็ต้องโอบกอดความหวาดกลัวต่อ “มังกร” ที่อาจช่วงชิงชีวิตของตนไปได้ทุกเมื่อเอาไว้ในใจ
ทั้งยังต้องใช้ชีวิตร่วมกับความหวาดกลัวนั้นในโลกที่ตัดขาดจากภายนอก
เพียงแค่ไม่มีความหวาดกลัวเช่นนั้น ก็ทำให้สาวน้อยสามารถเป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงได้ยาวนาน
ซึ่งในฐานะของเจ้าหญิงเสียงเพลงแล้วนับว่าสาวน้อยเหมาะสมยิ่งกว่าใครๆ
เมื่อนักบวชสาวสัมผัสได้ถึงเค้าไอที่ใกล้เข้ามาจากอีกฟากของประตูที่เชื่อมต่อกับระเบียง
จึงส่ายหัวรอบหนึ่ง ก่อนปรับอารมณ์ใหม่
คงจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งผู้ดูแลคนใหม่กระมัง
ก๊อก ก๊อก
เมื่อเสียงเคาะประตูดังเป็นสัญญาณเบาๆ นักบวชสาวจึงแต่งแต้มรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้พบเห็นหลงใหลขึ้นบนใบหน้า
ก่อนกล่าวว่า “เชิญ”
++++++++++++++++++++++++++++++
มือที่ยื่นออกไปอย่างหวาดหวั่นสัมผัสเข้ากับผิวอันเย็นเยียบ
แม้จะเรียกว่าผิวแต่สัมผัสตะปุ่มตะป่ำที่รู้สึกกลับทำให้รู้สึกเหมือนแผ่นหิน
ทั้งสีเองก็เป็นสีเข้มคล้ายกำแพงหินที่รายล้อมอยู่
มีเพียงสีของดวงตาที่มองเห็นเป็นสีทองเด่นชัดเท่านั้น
แต่พอคิดเช่นนั้นแล้วดูดีๆก็กลับคล้ายกับเปลวไฟที่เต้นระริก
หากจะให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดก็คงยาก
สาวน้อยลูบเบาๆด้วยมือบนผิวสัมผัสแข็งๆนั้น 2-3 ครั้ง ก่อนแนบแก้มลงอย่างไม่มีท่าทีลังเล
บนผิวอันเย็นยะเยือกที่แนบลงไปนั้นไม่มีความรู้สึกถึงความอบอุ่นอยู่เลยสักนิด
ในความฝันที่เห็นจนถึงเมื่อครู่นั้น สาวน้อยได้คุณแม่ช่วยหวีผมให้ด้วยมืออันแสนอบอุ่น
ในฝันนั้นเธอได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกเคลิ้มง่วง กับเสียงอันแสนอ่อนโยนที่พร่างพรมลงมา
เด็กหนุ่มที่มีชื่อต่างกับเธอแค่พยางค์เดียว
กับเส้นผมที่ดูราวกับสีของแสงตะวันที่ส่องลอดเข้ามา
และดวงตาสีทะเลแดนใต้เช่นเดียวกับเธอที่เคยมองเห็นผ่านกระจก
ดวงหน้าที่มองเห็นยามหันหน้ามาเผชิญกันนั้น
แม้จะหักลบความแตกต่างทางด้านเพศของเด็กหนุ่มและสาวน้อยออกไปแล้วก็ยังนับว่าคล้ายคลึงกันมากอยู่ดี
ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มเช่นนั้นเอง ทำให้สาวน้อยได้รู้และสัมผัสกับความอบอุ่น
“รู้หรือเปล่าจ๊ะ? จริงๆแล้วถ้าได้สัมผัสกับใครสักคนแล้วจะรู้สึกอบอุ่นล่ะ ตัวเธออาจจะเย็น แต่ว่าตัวฉันอุ่นใช่ไหมล่ะ”
ร่างใหญ่ยักษ์ขยับกายราวตอบรับคำถามของสาวน้อย
ดวงตาสีน้ำจัณฑ์เข้มจัดที่กระพริบอย่างไร้สุ้มเสียงใดๆอยู่นั้นสะท้อนภาพของสาวน้อยอยู่
หืม?
สาวน้อยที่เอียงคอตบเบาๆดังพั่บๆราวจะปลอยโยน
ทั้งๆที่กำลัง ร่างกายต่างก็ต่างกันลิบลับแท้ๆ แม้ไม่ต้องออมแรงก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อย
แต่สาวน้อยก็ยังสัมผัสอย่างแผ่วเบา ราวกับพยายามจะจำลองความอ่อนโยนที่ได้รับมาในความฝันออกมา
เมื่อดวงตาที่เคยจ้องมองสาวน้อยแน่วนิ่งค่อยๆหรี่ลง
สาวน้อยที่หัวเราะดัง หึหึ จึงวางมือทั้งคู่ลง และแนบกายลงกับร่างของ “มังกร” ก่อนเผยอริมฝีปากออก
แล้วขับกล่อมบทเพลงกล่อมเด็กที่เธอเพิ่งฝันเห็นออกมาด้วยร่างกายที่ยังสั่นน้อยๆด้วยความเย็นจากร่างของ “มังกร” ที่เล็ดรอดผ่านเนื้อผ้าบางๆของชุดวันพีซมา
--นั่นเป็นบทเพลงที่คุณแม่ขับขานในความฝัน และสาวน้อยที่เป็นเด็กหนุ่มในฝันฮัมออกมาเป็นท่วงทำนอง
เสียงลำนำของสาวน้อยสั่นไหวก้องอยู่ในช่องว่างอันปิดขังที่ถูกจำกัดไว้
ช่องว่างที่เคยมีบรรยากาศหนักอึ้งกลับค่อยผ่อนคลาย สัมผัสได้ถึงสติที่ค่อยๆดำดิ่งลงช้าๆ
เจ้าหญิงเสียงเพลงที่ถวายตัวให้กับ “มังกร” นั้น
ไม่ว่าเมื่อใดก็จะต้องสามารถทำให้มังกรสามารถสงบลงได้ จะต้องปลอบโยนมังกรให้ได้
และแล้วบทเพลงกล่อมเด็กของสาวน้อยซึ่งไร้ความหมองหม่นใดๆก็สามารถระงับมังกรให้สงบลงได้
เมื่อสาวน้อยเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจของ “มังกร” ที่หลับใหลลงอีกครั้งแล้ว เธอก็หลุบตาลง
ก่อนนั่งลงเกยศีรษะลงบนร่างใหญ่ยักษ์ของ “มังกร” พลางหวนคิดถึงความอบอุ่นที่ตนไม่เคยได้ลิ้มรสด้วยร่างกายนี้ของตนเองมาก่อนภายในช่องว่างที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน
ณ สุดปลายทางความฝันนั้น
สาวน้อยสามารถจะมองเห็นและสัมผัสได้ถึงโลกที่ดวงวิญญาณอีกส่วนนึงที่ยังเชื่อมโยงกันอยู่มองเห็นได้
ทว่าหากแม้อาจจะสัมผัสได้ด้วยมือเล็กๆคู่นี้โดยตรงได้แล้วล่ะก็...
...อยากจะสัมผัสกับมือนั้นที่แสนอบอุ่น
อยากจะลองสัมผัสมือของเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเช่นเดียวกันกับตนเอง
เพราะเธอรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่ความฝัน
เพราะเธอสัมผัสได้จากปลายสุดของวิญญาณที่เชื่อมโยงกันอยู่ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเล็นมีตัวตนอยู่จริง
...คนแรกที่จะได้สัมผัส ได้รับรู้ถึงอุณหภูมิกายที่ถ่ายทอดมา อยากให้เป็นเล็นจังนะ
และแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เธอก็เลิกที่จะฝืนยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสกับหญิงผู้ดูแล
เลิกที่จะถามเรื่องราวของภายนอก
หากสาวน้อยทำเรื่องที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของใครสักคนที่เธอเองก็ไม่รู้จักแล้วล่ะก็
หญิงผู้ดูแลก็จะถูกเปลี่ยนไปทุกครั้ง แม้เธอจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดี
ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของคนที่เปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่นั้น แม้ท่าทีของผู้ดูแลจะเหมือนนิ่งสงบสักเพียงใด
หากก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่น ส่วนเสียงสุดท้ายที่ได้ยินนั้นจะมีกังวานของคนที่พยายามยึดเหนี่ยวสุดชีวิตอยู่
เรื่องเร้นลับที่แสนละเอียดอ่อนจนไม่เคยสังเกตเห็นเมื่อครั้งยังเล็กนั่น
บัดนี้เมื่อได้เห็นโลกที่อาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ผ่านทางความฝันจึงทำให้เธอเพิ่งรู้สึกตัว
ว่าพวกเค้าเหล่านั้นกำลังหวาดหวั่น กำลังเกรงกลัวในบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อหันสายตามองขึ้นไป
สาวน้อยก็ราวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากผิวหนังของ “มังกร” ที่แตะอยู่
เธอจึงเอียงคอก่อนยิ้มฝืดเฝื่อนพลางเอ่ย “อา เหมือนกันเลยนะ”
บางครั้งเมื่อสัมผัส “มังกร” เวลาที่อารมณ์ดีแล้วล่ะก็
จากปลายทางที่สัมผัสลงนั้นเธอจะรู้สึกรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นความทรงจำ หรือจิตใจของ “มังกร” ทียุ่งเหยิงได้
สิ่งที่ลูบไล้ประสาทสัมผัสของสาวน้อยอย่างแผ่วจางอยู่ตอนนี้เองก็เช่นเดียวกัน
สาวน้อยไม่อาจทำความเข้าใจกับความทรงจำที่กระจัดกระจายเป็นเสี้ยวเศษนั้นได้
ทว่ามีเพียงความรู้สึกยินดีเมื่อแขนขาวแบบบางที่นอกเหนือจากตัวเองกล้าที่จะสัมผัสอย่างไร้ความลังเลใจเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด
ตัวตนที่เคร่งขรึมซึ่งคอยแต่จะโอบกอดความหวาดกลัวในสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากตัวเองไว้นั้นช่างเหมือนกับตัวเธอยิ่งนัก ที่ต่างก็ใฝ่หาความอบอุ่นและการได้สัมผัสกับใครสักคน
“ฉันกับเธอต่างก็เหมือนกันเลยนะ ไม่ต่างกันเลย”
ต่างก็ต้องการความอ่อนโยน และการได้เป็นที่รักของใครสักคน
ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนของใครสักคนที่ไม่รู้จักที่ได้เห็นเพียงชั่วพริบตานั้นเป็นตัวตนที่ทำให้รู้สึกอยากพบทว่าไม่มีทางได้พบ ใครสักคนที่ผุดขึ้นมารางๆในซอกมุมหนึ่งของสมองซึ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นจนอยากยื่นมือออกไปเพื่อไขว่คว้า
...แต่ว่า ขอโทษนะ
สาวน้อยที่ควรจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รู้อะไรเลยนั้น
กลับได้รับรู้ถึงโลกภายนอกผ่านทางความฝัน
เธอรู้ทุกสิ่งดี ทั้งเรื่องที่ตัวเองถูกปิดขังไว้เพื่อโลก ทั้งเรื่องที่จะต้องขับขานบทเพลงเรื่อยไปเพื่อฉุดรั้ง “มังกร” ไว้
และเรื่องที่ว่าตราบใดที่เธอยังคงขับขานบทเพลงต่อไป “มังกร” ก็จะไม่มีวันถูกปลดปล่อยไปได้
ดังนั้นสาวน้อยจึงได้เลือกอนาคตที่มิอาจมีวันได้สัมผัสกับผู้ใด
หากนั่นจะทำให้สามารถที่จะปกป้องโลกที่น้องชายผู้ผูกพันกันไว้ ณ ปลายสุดของวิญญาณสามารถจะยิ้มหัวเราะมีชีวิตต่อไปได้แล้วล่ะก็ แม้ตัวเธอจะต้องขับขานบทเพลงเรี่อยไปจนกว่าความตายจะมาเยือนเธอก็ยินดี
สาวน้อยผู้ตัดสินใจแน่วแน่อย่างน่าเศร้าเช่นนั้นส่งเสียงดัง “อ๊ะ” ออกมาเบาๆด้วยความตกใจชนิดแทบลืมหายใจเลยทีเดียว
เพราะมุมมองสายตาของเด็กหนุ่มที่ได้เห็นชั่ววูบราวกับถูกดึงเข้ามานั้น
มีร่างของแม่ผู้แสนอ่อนโยนที่ล้มป่วยด้วยความตรอมใจอยู่ ภาพที่เห็นนั้นแทบทำลมหายใจของเธอขาดห้วง
นอกจากนั้นความมุ่งมั่นที่จะช่วยสาวน้อยจนตั้งตนเป็นอริกับทั้งโลกของน้องชาย
ยิ่งทำให้น้ำตาของสาวน้อยรินไหลลงมาเป็นทาง
สาวน้อยแหงนมองร่างใหญ่ยักษ์ที่ขยับน้อยๆราวมองทะลุถึงความสั่นไหวในจิตใจของเธอ
สิ่งที่ขับขานออกจากริมฝีปากที่เผยอน้อยๆของสาวน้อยนั้น
คือบทเพลงเพื่อปกป้องรักษาโลกไว้ ไม่ว่านั่นจะเป็นโลกเช่นไร
บทเพลงที่เธอขับขานนั้น คือบทเพลงแห่งแสงสว่าง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสวนสวรรค์จอมปลอม
++++++++++++++++++++++++++++++
~~จบบทที่1~~
ความคิดเห็น