คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 หลบหน้า
“อกหักเพียงครั้งยังไม่ตาย แต่นี่มันเกินสิบครั้งแล้วนะโว้ย กูกำลังจะตายอยู่แล้ว แม่ง! ใครเขียนบอกไว้วะ ว่าอกหักแล้วไม่ตาย กูขอเถียงถึงตัวไม่ตายแต่ใจมันตายไปแล้วโว้ย”
โบ้ทรุ่นพี่หุ่นจำโบ้ของม่อนและภานุ ร้องตะโกนโหวกเหวก ออกมาจากผับที่พวกตนเพิ่งเข้าไปดื่มเหล้ากันมาหมาดๆ
ร่างใหญ่ เซถลาไปทางนู้นที ทางนี้ที จนสองหนุ่มต้องตามเข้าไปจับตัว ประคองร่างรุ่นพี่ให้กลับสู่เส้นทาง เพราะกลัวว่าจะเดินไปชนขาใหญ่แถวนี้เข้าแล้วเดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นมา
โบ้ทยังคงร้องตะโกนคร่ำครวญถึงเรื่องอกหักไปเรื่อย ม่อนกับภานุเองแม้จะเมาไม่มากแต่ก็มึนๆ ไปเหมือนกัน แล้วตัวโบ้ทใช่ว่าจะเล็ก ทั้งคู่เลยตัดสินใจประคองรุ่นพี่ไปนั่งพักเหนื่อยกันข้างทางก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับไปที่หอ
“ทำไมเฮียแกถึงอาการหนักแบบนี้วะไอ้นุ กูเห็นอกหักแต่ละทีไม่เป็นแบบนี้ซะหน่อย อย่างดีก็แค่ยิ้มทำมาดเท่ บอกกับพวกเราว่า ชาตินี้ไม่ตาย ผู้หญิงคนเดียวก็หาใหม่ได้ แล้วนี่มึงดูสภาพเมาอย่างเดียวไม่พอ ยังแหกปากร้องเพลงวอนตีนชาวบ้านอีก ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดน ปาขวดใส่หน้า” ม่อนหารือ ดูสภาพโบ้ทที่เมาไม่ได้สติแล้วส่ายหัว
“ปล่อยแกไปสักวันเหอะ สงสัยคนนี้คงทุ่มใจให้ไปมาก แกเคยบอกกูนะโว้ย ว่ารายที่สิบเก้าเนี่ย รักจริงหวังแต่ง” ภานุถอนหายใจ “น่าเห็นใจนะ คบมากี่คนกี่คนขอเลิกกับแกหมด ไม่รู้เป็นเพราะพี่โบ้ทของเราแปลกพิสดารเกินไป หรือสาว ๆ พวกนั้นปกติมากกว่าวะ”
มือม่อนเอื้อมไปปิดปากภานุทันควัน
“มึงก็พูดไปไอ้นุ ดีนะที่พี่โบ้ทเมาไม่ได้สติ ไม่งั้นถ้าเกิดได้ยินเข้ามีหวังมึงโดนตื้บแน่”
ม่อนเตือน และไม่ทันตั้งตัว โบ้ทใช้สองมือตะปบหลังเสื้อทั้งสอง จนทั้งคู่สะดุ้งโหยง ก่อนดึงมาใกล้ตัว ถามอย่างอู้อี้ว่า
“ครายแปลก...ครายพิสดารหรือไอ้น้อง บอกพี่ให้รู้หน่อย พี่จะได้ช่วยขำไง” โบ้ทยิ้มตาหยี ชวนให้ขนลุกพิลึก
“เปล่าหรอกพี่ ไม่มีอะไร พอดีไอ้นุมันเห็นหมาเดินผ่าน คิดว่าแปลกดีก็เลยพูดออกมา” ม่อนแก้ตัว ขยิบตากับภานุ
“เออ..ใช่! แล้วพี่ หมาตัวเมื่อกี้นะมันดูตลกมากเลย มีสามหูสี่ตาด้วย ดูคล้ายพี่ดีนะ เฮ้ย! ไม่ใช่ ผมว่าน่าเอาไปออกรายกายเรื่องแปลกพิสดารนะ"
“จริงเหรอ วะ หนาย ขอดูหน่อย” โบ้ทดันหัวสองหนุ่มออก สอดส่ายตามองหาเจ้าตัวที่ว่า
“มันไปแล้วพี่ หาไม่เจอหรอก ไปเดี๋ยวพวกผมพาพี่กลับหอเลยแล้วกัน จะได้นอน” ม่อนกับภานุช่วยกันฉุดโบ้ทให้ลุกขึ้น
“ม่ายเอา กูจะไปต่อ เมื่อโดนหญิงทิ้งก็ต้องหาหญิงใหม่มาคลายเหงาซิวะ ไป ไอ้น้องไปเที่ยวผู้หญิงกัน พี่โบ้ทคนนี้เลี้ยงเอง”
“อย่าเลยพี่ ผมว่ามันไม่ดีนะ กลับไปนอนดีกว่า” ภานุตะล่อม ไม่อยากไปที่อย่างว่าสักเท่าไหร่
“เฮ้ย! อะไรวะ ไอ้นุ มึงเป็นผู้ชายหรือเปล่าถึงไม่ชอบไปเที่ยวผู้หญิงน่ะ” โบ้ทดูถูก ทำเอาภานุหน้าแดงด้วยความอาย “ตามใจ ไม่ไปก็อย่าไปกูไปกับไอ้ม่อนสองคนก็ได้ ใช่มั้ยม่อน”
โบ้ทหันไปโอบไหล่น้องชายร่วมคณะแสดงให้ภานุเห็นว่าตัวเองมีก็พวก
“ได้เลยพี่” ม่อนไม่ปฏิเสธแถมโอบไหล่โบ้ทตอบ ยิ้มรับจนภานุตกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนจะตกปากรับคำ “แต่ก่อนไป ผมไหว้ขอโทษพี่ล่ะ ยกโทษให้ผมด้วยนะ”
ม่อนไหว้อย่างนอบน้อมแล้วส่งฝ่ามือหวดเข้าที่ต้นคอ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการใช้กำราบโบ้ทให้หมดสติ เวลาที่เมามาก ๆ จนยากจะควบคุมแบบนี้ ร่างใหญ่ล้มลงตามคาด ภานุไม่เคยรู้ถึงวิธีนี้มาก่อนเลยยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“เฮ้ย! ไอ้ม่อน มึงทำอะไรของมึง ไม่กลัวพี่โบ้ทเอาตายหรือไง”
“กลัวอะไร กูทำอย่างนี้ประจำแหละ เวลาที่เอาแกไม่อยู่ คิดดูแล้วกันถ้าเกิดกูไม่ทำแบบนี้ เฮียแกได้ลากเราสองคนไปปลดปล่อยมังกรน้อยแน่ ใช่ว่ากูจะไม่ชอบนะโว๊ย! แต่ทำไปเพื่อมึงต่างหาก ไม่อยากไปใช่มั้ยล่ะ” ม่อนถามตรงๆ
ภานุพยักหน้ารับ อายตัวเองเหมือนกันที่ตั้งแต่เป็นหนุ่มมายังไม่เคยลองเที่ยวผู้หญิงเลยสักครั้ง ม่อนดูจะเข้าใจจึงไม่คิดแซว
“อีกอย่างกูจะบอกความลับอะไรมึงให้” ม่อนเบาเสียงลง
“ความลับอะไรวะ” ภานุฉงน
“รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ เรื่องนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้”
ม่อนกำชับ ภานุพยักหน้า ม่อนเลยเข้าไปกระซิบข้างหู
“พี่โบ้ทเห็นอย่างนี้นะ จริง ๆ แล้วโบ้ทจูเนียร์ยังไม่เคยออกศึกเลยสักครั้ง พี่แกทำปากเก่งไปอย่างนั้นเองล่ะ พอเอาเข้าจริงน้องหนูเป็นหดเข้าถ้ำก่อนทุกที กูไม่อยากให้แกเสียหน้า เลยคิดว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดีกว่า”
ภานุฟังเสร็จก็ขำก๊าก ไม่นึกมาก่อนว่ารุ่นพี่ที่ออกจะห้าวหาน ไม่เคยกลัวอะไรอย่างพี่โบ้ทดันมีความลับที่แสนจะกุ๊กกิ๊กแบบนี้ โถ...พี่ เสียเชิงชายชะมัด ขำไปขำมาภานุชักคิดถึงตัวเอง อันที่จริงเขาเองก็ยังไม่เคยออกศึกเหมือนกัน หัวเราะพี่โบ้ทมากไปเห็นจะไม่ดี เดี๋ยวจะเข้าตัวซะเปล่าๆ
เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว ภานุเก็บปากเก็บเสียงกลับเป็นปกติ แต่ริมฝีปากยังคงอมยิ้มไม่หาย ม่อนเองก็หัวเราะเช่นเดียวกัน เขากับพี่โบ้ทสนิทกันมาก ด้วยความที่โบ้ทอยู่ในละแวกบ้านเดียวกับเขา ทั้งสองจึงเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยกันมาตลอด พอม่อนเรียนจบมัธยมหก โบ้ทจึงแนะนำให้ม่อนเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็เลยได้มาเป็นพี่น้องร่วมคณะจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่โบ้ทมักจะเล่าเรื่องต่าง ๆให้ม่อนฟัง รวมไปถึงความลับสุดยอดนี้ด้วย แต่เขาก็ดันเอามาขายเพื่อนซะแล้ว หากพี่โบ้ทรู้เข้าคงอยากฆ่าเขาแน่
“รู้แล้วห้ามบอกใครนะโว้ย กูไว้ใจมึงถึงบอกรู้มั้ย” ม่อนไม่วายกำชับอีกที
“ชัวร์ อย่าห่วงไปเลยรับรองจะรูดซิบให้สนิท”
ภานุรูดซิบปากตัวเอง ตั้งใจจะเก็บความลับนี้ไว้จนกว่าจะเรียนจบเลยล่ะ
เช้าวันใหม่โบ้ทงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ยังไม่สร่างเมาเต็มที่ เขาจำได้ลางๆ ว่าถูกม่อน ไอ้น้องตัวดีหวดเข้าให้ที่ต้นคอ จากนั้นก็สลบเหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกเลย นึกแล้วก็อยากจะเอาคืนนัก หันไปหันมาเห็นม่อนกับภานุกำลังนอนน้ำลายยืดอยู่บนเตียงแสนนุ่ม แล้วดูพวกมันทำ มันกล้าจับเขามานอนอยู่ใกล้ ๆห้องน้ำซะเนี่ย! อย่างนี้จงใจหาเรื่องโดนเตะชัดๆ เมื่อเชิญชวนกันถึงขนาดนี้ถ้าเขาไม่สนองคงไม่ได้แล้ว
โบ้ทลุกขึ้นจู่โจมรุ่นน้องสองคนทันที สองหนุ่มถูกเตะเข้าให้ก็สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมา วิ่งหนีจากวงขามรณะของโบ้ทอย่างสุดชีวิต โบ้ทเองยังไม่ค่อยสร่างเมาเท่าไหร่ วิ่งไล่เตะสองหนุ่มมากไปตัวเองก็ชักมึน เลยลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างเตียงด้วยอาการหมดแรง
“เดี๋ยวเหอะ รอให้กูมีแรงกลับมาก่อน มึงสองตัวโดนดีแน่ โดยเฉพาะมึงไอ้ม่อน กล้ามากนะที่ทำกับกูอย่างเมื่อคืนนี้ ยัง..มึงยังรู้จักไอ้โบ้ทน้อยไปซะแล้ว” โบ้ทชี้หน้าตะโกนขู่เสียงดัง
“ก็ผมขอโทษพี่แล้วไง ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะลากพี่กลับมานอนได้เหรอ”ม่อนเถียงกลับ ไม่กลัวคำขู่ เขารู้ว่าโบ้ทจัดการอะไรไม่ได้มากไปกว่าวิ่งไล่เตะหรอก
“แล้วใช่ว่าผมจะทำครั้งแรกสักหน่อย พี่เองโดนแบบนี้มาหลายครั้งแล้วยังไม่ชินอีกหรือไง”
โบ้ทกัดฟันกรอด โมโหก็โมโห แต่สังขารตอนนี้ไม่สามารถลุกไปทำอะไรได้ ทำได้อย่างเดียวคือนั่งด่า
“ไอ้ม่อน! ไอ้น้องเฮงซวย อย่าคิดว่าสนิทกันแล้วจะทำอย่างนี้กับกูได้ทุกครั้งนะ เดี๋ยวพ่อก็สั่งซ่อมซะหรอก”
“โธ่.. พี่โบ้ท อย่าเลยครับ ผมไหว้ล่ะ เรามานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า”
ภานุได้ยินคำว่าซ่อม ชักกลัว รีบเป็นตัวแทน เข้าหย่าศึก บีบนวดแขน ขาให้โบ้ทอย่างเอาใจ จนลมหายใจถี่ ๆ อยู่ในระดับปกติ
“เป็นไงฮะเฮีย อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง” ภานุถามเสียงอ่อนเสียงหวาน จนม่อนนึกหมั่นไส้อยากเข้าไปเตะเพื่อนนัก
“เออ ถ้าไม่มีใครทำให้โมโหขึ้นมาอีก” เหล่ไปทางม่อนที่ยืนทำหน้าตายยั่วพี่ชายที่เคารพเล่น “กูขอสั่งมึงเลยนะ ไอ้ม่อน หากคราวหน้ากูเมาอีก ห้ามทำอย่างนี้แล้วนะโว้ย กูเจ็บ”
พี่ชายว่าน้ำเสียงอ่อนลง แต่ยังคงวางมาดรุ่นพี่แสดงพลังให้รุ่นน้องเกรงอยู่ ม่อนเพียงแต่ยักไหล่เป็นเชิงตอบตกลงในที รับๆส่งๆไปก่อนคิดว่ายังไง ซะเขาคงต้องใช่วิธีเดิมอีกนั้นแหละถ้าหากโบ้ทเมาหนักเหมือนที่แล้วมา
“ดี ว่าแต่เมื่อวานน้ารื่นโทรคุยกับแม่กู บ่นใหญ่ว่าพักนี้มึงไม่ได้ติดต่อไปหาแกเลย ฝากมาบอกว่าถ้าต้องการใช้เงินให้โทรไปหา แกจะได้ส่งเงินมาให้” โบ้ทส่งข่าวเรื่องที่แม่ของม่อนฝากมาบอกตามหน้าที่
“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ขอเงินแม่ ถึงจะอดตายยังไงผมไม่มีทางยอมลดศักดิ์ศรีไปเอาเงินแม่มาให้พ่อดูถูกได้หรอก” ม่อนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเด็กดื้อ พอพูดถึงเรื่องนี้ทิฐิในใจทำให้เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“แต่นี่น้ารื่น เขาแอบให้มึงไม่ใช่เหรอ พ่อมึงเขาไม่รู้หรอก”
“ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เอาหรอก ตอนนี้ผมหาเงินได้แล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็พอใช่ส่งตัวเองเรียนได้ไม่เดือดร้อนใคร”
“เออ..เออ กูรู้ว่ามึงเก่ง” โบ้ทลากเสียงประชด “ แต่ขอให้เก่งในเรื่องที่ถูกแล้วกัน ไอ้เรื่องแข่งรถพนันเงินก็เพลา ๆ ลงบ้าง เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทั้งเจ็บตัว เสียเงิน เผลอ ๆ อาจเข้าไปนอนในคุกอีก ถึงเวลานั้นอย่าหาว่ากูใจร้ายไม่ยอมไปส่งข้าว ส่งน้ำให้มึงล่ะ”
“ผมก็ไม่ได้ไปแข่งทุกวันซะหน่อย แค่ไปช่วงที่ไม่มีตังค์เท่านั้นเอง รับรองผมไม่โง่เอาตัวเองเข้าไปนอนในคุกเล่นหรอก พี่สบายใจได้”
“ขอให้มันจริงเหอะ กูเห็นเดือน ๆ หนึ่งมึงบ้าเอาเงินไปแต่งรถ มากกว่าจะพาหญิงเที่ยวอีก จริงมั้ยวะ ไอ้นุ”
“คงจริงมั้งพี่ แถมปลายเดือนยังมีการมาขอเงินผมใช้อีก ถ้าไม่ให้มันก็ชอบมาว่า บางทีตอนดึกๆ ก็แกล้งถีบผมตกเตียง ผมเองก็กะจะถีบมันออกไปเหมือนกันฐานที่ไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง" ภานุได้ทีจาระไนละเอียดยิบ ไม่สนใจม่อนที่ทำตาขวางพร้อมยกขาขู่
“ไงไอ้ม่อนที่นี่มึงจะแก้ตัวยังไง เงินมึงไม่พอใช้อย่างนี้ กูว่ากลับไปให้น้ารื่นเค้าช่วยดีกว่ามั้ง” โบ้ทแหย่อีก ผลคือม่อนโกรธปึงปังขึ้นมา
“ไม่! เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ผมขออดตายดีกว่าจะยอมซมซานกลับบ้านไปขอเงินแม่ให้พ่อดูถูก อย่าพูดเรื่องนี้กับผมอีกนะ ไม่งั้นเป็นพี่ก็พี่เถอะ ผมต่อยจริงด้วย แล้วมึงไอ้นุ” หันไปพาลกับภานุ “ถ้าลำบากใจมาก กูย้ายออกก็ได้นะโว้ย ให้มันรู้ไปว่าเพื่อนที่คบกันมาสองปี พอเห็นเพื่อนลำบากก็ขับไสไล่ส่ง เสียแรงที่อุตส่าห์คิดว่าเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนตายของกู”
สีหน้าแล้วแววตาม่อนดูโกรธจริงจนภานุใจฝ่อ ต้องรีบเคลียร์ความเข้าใจอย่างเร่งด่วน
“ไปกันใหญ่แล้วมึง และนั้นมึงหยิบเสื้อผ้า หยิบกุญแจรถจะไปไหนวะ ยังไม่สิ้นเดือนกูยังไม่ไล่มึงออกหรอก”ภานุถามอย่างร้อนรน รีบถลาไปยืนขวางตรงประตูห้องไว้
ม่อนผลักอก พยายามจะออกจากห้องให้ได้ และ แม้ภานุจะตัวเล็กกว่าแต่ก็ทุ่มเทกำลังขวางไว้อย่างเต็มที
“หลีกไปไอ้นุ กูจะออกไปข้างนอก อย่ามาขวาง” ม่อนดันภานุที่ขืนตัวเอาไว้
“ไม่กูไม่ให้มึงไป ทำไมมึงถึงขี้น้อยใจนักว่ะ หัวก็ยังไม่ได้ล้านเหมือนพี่โบ้ทสักหน่อยแค่นี้ทำเป็นคิดมากไปได้”
“บอกให้หลีกไปไง จะหลีกหรือไม่หลีก”
“ไม่หลีก กูไม่ให้มึงไป!”
“กูบอกให้มึงหลีกไป! กูจะออกไปหาอะไรกิน! กูหิว!”
เพล้ง! หน้าแตกอย่างแรง ภานุชะงัก มือที่ขวางไว้ตกลงข้างตัว ออกอาการเหวอจนปากหวอ
“ทำไม หรือมึงคิดว่ากูจะไปไหน ไอ้นุ” ม่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ แผนแกล้งภานุเป็นไปตามคาด
“ก็กูเห็นมึงทำท่าจะออกไปข้างนอก กูก็คิดว่ามึงจะทำตามปากว่าจริงๆ นะสิ”
“โธ่ ไอ้โง่ “ ม่อนตบหัวเพื่อนเต็มรัก “กูก็พูดไปอย่างนั้นเอง ใครล่ะจะบ้าย้ายออกไปจริงๆ ชาตินี้ทั้งชาติกูคงหาใครที่ยอมให้กูเกาะแบบมึงไม่ได้อีกแล้ว มึงอ่ะสุดยอดเพื่อนรัก เพื่อนซี้ของกูเลยนะโว้ย กูรักมึงว่ะ”
ม่อนกอดภานุ คำพูดซึ้งๆของม่อนทำเอาภานุแทบอยากจะร้องไห้ รู้สึกดีใจเหลือเกินที่เพื่อนรักตัวเองมากขนาดนี้
ในที่สุดวัน “เฟรชชี่ เดย์” ก็มาถึง ทีมสตาฟถูกเรียกประชุมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการแข่งขัน รสา แทบไม่อยากเข้าร่วมประชุมเพราะรู้ดีว่าจะต้องเจอกับม่อน หลังจากอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอพยายามหลบหน้าเขามาโดยตลอด เลยทำให้รู้ตัวเองว่ากลายเป็นยัยจอมขี้ขลาดไปซะแล้ว
ก็จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเวลาที่เห็นเขาตามทางเดิน ไม่ว่าระยะใกล้หรือไกล มองเห็นกำแพงที่ไหน เธอเป็นต้องวิ่งเข้าไปหลบด้านหลังทุกครั้ง ทำไม? ถึงเกิดอาการแบบนี้ขึ้นได้ ไม่อยากเจอหน้าเขาเลย แค่คิดว่าต้องเจอกัน ใจเธอก็สั่น คิดถึงวันนั้น วันที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ทุกทีไปซิน่า
เหมือนเช่นตอนนี้ ที่รสาพยายามทำตัวให้ลีบที่สุด ใช้หลังใหญ่ๆของจูนเป็นกำบังหวังว่าเขาจะมองไม่เห็น และถึงแม้ว่าเขาจะมองเธอ รสาก็ไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมองเขาเด็ดขาด จนกำแพงจำเป็นอย่างจูนชักรำคาญเริ่มสงสัยกับอาการไม่สู้คนของเพื่อนสาวขึ้นมา
“แกเป็นอะไรรสา ยืนหลบอยู่หลังฉันทำไม ออกมานี่”
จูนพยายามดึงรสาให้ออกมา แต่รสาไม่ยอม เกาะเอวเพื่อนติดหนึบยิ่งกว่ากาวตราช้างซะอีก
“ไม่เอา ! แกไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก หันไปฟังประชุมต่อเถอะ”เธอไล่
“แกนี่ท่าจะบ้านะ” จูนว่าแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
หลังเลิกประชุม ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน รสาคิดว่าเพื่อนคนอื่นคงไปกันหมดแล้ว จึงเงยหน้าพร้อมตาใสแป๋วขึ้น เฮ้อ! ค่อยคลายความอึดอัดได้หน่อย แต่โล่งอกได้สักพักความประหม่าตื่นเต้นก็ประดังเข้ามาอีกเพียงแค่สายตาเธอเหลือบไปเห็นชายร่างสูงใส่เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเข้า รสาได้แต่หันรีหันขวาง จะทำอย่างไรดีในเมื่อข้างหน้าไม่มีจูนยืนกำบังให้อีกแล้ว
ม่อนก้าวมาหา ด้วยท่วงท่าที่รสาคิดว่าดูเท่มากๆ ขายาวๆของเขาก้าวเพียงไม่ไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงตัวเธอ
“ไง” ม่อนทักเสียงห้าว พยายามจะสบตากับรสาที่เอาแต่ก้มหน้า “รู้สึกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันจะไม่ได้เจอเธอเลยนะ หายไปไหนมาเหรอ?”
“ไม่ได้หายไปไหนนี่ ฉันก็มาเรียนทุกวัน ยังเห็นนายเลย” รสาเงยหน้าปั้นยิ้ม แบบไม่กล้ามองเขาเต็มๆ ตา
“แปลกจัง แล้วทำไมฉันถึงไม่เจอเธอล่ะ”ม่อนสงสัยอีก
“เราคงสวนทางกันมั้ง”
“งั้นเหรอ?” เขาเหมือนจะคล้อยตาม แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะพูดอะไรจึงหมดความสนใจไป “ช่างมันเถอะ ว่าแต่ เรื่องวันนั้น เธอกลับไปคิดหรือยัง ตกลงว่าไง”
“เรื่องอะไรเหรอ ไม่เห็นมีนี่ ฉันจำไม่ได้แล้ว ขอไปดูน้องก่อนนะ”
รสารีบรวบรัดตัดความ เดินหนีไปซะดื้อ ๆ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร? ก็กลัวที่จะต้องตอบคำถามแบบ เมื่อกี้ยังไงล่ะ
รสาได้ยินเสียงม่อนเรียกตามหลังมาแว่วๆ เธอไม่ได้หันกลับไปมอง รีบจ้ำฝีเท้าให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ออกพ้นจากรัศมีที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วซะที
พ้นจากม่อนมาได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็มาเจอเข้ากับผู้หญิงผมยาว รูปร่างสูง หญิงสาวที่รสาจำได้ว่าเป็นแฟนของเขา
ความคิดเห็น