ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขอโทษที...ก็หัวใจเพิ่งมีรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 หัวหน้าว้ากเกอร์คนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 66


    แช่วับ..วับ..วับ..แช่วับ  แช่วับ..วับ..วับ..แช่วับ มาสิเหวย มาสิเหวย...” 

    เสียงร้องเพลงเชียร์พร้อม จังหวะปรบมือของน้องปีหนึ่ง ยังไม่ค่อยกลมกลึงกันเท่าที่ควร  แถมวันนี้ยังเป็นวันที่น้อง ๆ มาเข้าเชียร์น้อยกว่าทุกครั้ง เล่นเอาบรรดาสตาฟและพวกรุ่นพี่ที่มายืนดู กุมขมับกันเป็นแถว โอกาสที่คณะนิเทศศาสตร์เราจะคว้าแชมป์กองเชียร์ในงานเฟรชชี่อีกสมัยคงหลุดลอยไปตั้งแต่การแข่งยังไม่ทันเริ่ม

    “ทำไงดีล่ะ น้องมาเข้าเชียร์น้อยขนาดนี้ แถมยังร้องไม่เอาไหนอีก พวกเราต้องถูกรุ่นพี่ซ่อมแน่ ๆ เลย” รสา จูน และนัท จับกลุ่มปรึกษากันหลังจากปล่อยให้น้อง ๆ ไปพักแล้ว

     ใช่ว่าปัญหาแบบนี้พวกเธอจะไม่เคยเจอมาก่อน ยิ่งสมัยตอนที่พวกเธออยู่ปีหนึ่ง การเข้าเชียร์แต่ล่ะครั้ง เหมือนการต้องถือปืนไปออกรบอย่างไรอย่างนั้น  มันทั้งหน้าเบื่อและกดดัน ทำไมนะพวกเธอจะต้องถูกรุ่นพี่จับมาทำอะไรก็ไม่รู้ แถมถ้าทำไม่ดีก็ถูกตะคอก หรือไม่ก็โดนทำโทษอีก จนพวกเธอแทบอยากจะถอนตัวไม่อยากเข้าเชียร์อีกต่อไปแล้ว

    แต่เมื่อถึงวันแข่ง ตอนที่ได้นั่งอยู่บนแสตนด์เชียร์  ช่วงเวลาที่ทุกๆ อย่างที่ซ้อมถูกนำออกมาใช้   สิ่งสำคัญในตอนนั้น คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนหลายร้อย ทุกคนร้องเพลงและปรบมือ  ภายในใจคิดแต่จะไม่ให้ใครมาดูถูกคณะเราเด็ดขาด  นั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถคว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน

    “อย่าเพิ่งกลุ้มไปเลย ฉันเชื่อนะว่าพอถึงวันจริง ทุกคนจะต้องแสดงพลังออกมาได้ เหมือนปีพวกเราไง ตอนนั้นคนเข้าเชียร์น้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ ยังคว้าแชมป์มาได้เลยจริงมั้ย” รสา มองโลกในแง่ดี  นัท จูน พยักหน้าตามแต่สีหน้ายังคงหวั่นวิตกอยู่ 

    หมดเวลาพักประธานเชียร์สั่งเรียกให้น้องๆ กลับมารวมตัวกันตามเดิม น้องปีหนึ่งต่างรีบกุลีกุจอวางแก้วน้ำที่บางคนยังดื่มไม่ทันหมดลง และวิ่งไปนั่งประจำที่ เพราะนี้เป็นกฎอย่างหนึ่ง หากใครมาช้าจะต้องถูกทำโทษ ซึ่งคงไม่มีใครอยากโดนกันหรอกจริงมั้ย

    เมื่อน้องๆ มานั่งรวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มทีมว้ากเกอร์ประมาณสี่ห้าคนก็เดินออกมา หนึ่งในนั้นมีแยมรวมอยู่ด้วย เธอแอบขยิกตาให้กำลังใจเพื่อน ฉับพลันดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นว้ากเกอร์ที่ก้าวออกมาเป็นคนสุดท้าย

    นายคนนั้น... คนที่เธอเดินชนเมื่อกลางวัน ตอนนี้เขาอยู่ในชุดนักศึกษา ผูกเนกไท ซะเรียบร้อยเชียว ไม่เหลือเค้าความเป็นสิงห์มอเตอร์ไซค์ที่เธอเคยเจอเลยสักนิด

    ทีมว้ากเกอร์แยกย้ายกันเดินไปล้อมรอบน้องๆ โดยมีสตาฟทุกคนยืนอยู่ด้วย บรรยากาศตอนนี้กดดันไม่ต่างจากที่เธอเคยเจอเมื่อตอนอยู่ปีหนึ่ง

    “น้องๆ ทั้งหมดก้มหน้า ปิดตา ห้ามเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าจะสั่ง ทำสิ! อย่าให้เห็นนะว่ามีใครเงยขึ้นมา” นายคนนั้นเริ่มออกคำสั่ง มาดอย่างนี้ทำให้รสารู้ได้เลยทันทีว่าหัวหน้าว้ากเกอร์ก็คือ นายนี่นั่นเอง

    “หัวแถวนับสิว่ามีทั้งหมดกี่คน” 

    น้องๆ นับเลขกันตามคำสั่ง พอถึงคนสุดท้าย ก็มีเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า

    “ยี่สิบคนครับ”

    “ดังๆ ไม่ได้ยิน เสียงมีหรือเปล่า หรือว่าเป็นใบ้” เขาตะคอกกลับ

    “ยี่สิบคนครับ” น้องส่งเสียงกลับมาอีกรอบ คราวนี้ดังฟังชัดจนแก้วหูแทบแตก

    “ยี่สิบคน พวกคุณมีปัญญาพาเพื่อนมาได้แค่นี้เองเหรอ ไหนคราวที่แล้วสัญญากับพวกผมไว้ว่าไง บอกว่าจะพาเพื่อนมาให้ได้กี่คน”

    “.........” 

    “พี่เขาถามไม่ได้ยินหรือไง หรือว่าหูหนวก ตอบมาเดี๋ยวนี้ว่ากี่คน” แยมส่งเสียงดุบ้าง มาดว้ากของแยมดูเคร่งขรึมใช่ย่อย

    “หนึ่งร้อยคนครับ /ค่ะ” น้อง ๆ ตอบพร้อมกัน

    “แล้วนี้เหรอที่พวกคุณสัญญาเอาไว้” เขาเว้นจังหวะนิดนึง กวาดสายตามองน้องๆ จนทั่ว “ทีหลังถ้าสัญญาแล้วทำไม่ได้ อย่าทำ!  เปลืองน้ำลาย ผมจะให้เวลาพวกคุณอีกหนึ่งอาทิตย์ถ้ายังพาเพื่อนมาเข้าเชียร์ไม่ได้มากกว่านี้ล่ะก็  ไม่ต้องชงต้องเชียร์มันแล้ว คณะเราจะไม่ร่วมงานนี้  นี่ผมไม่ได้ขู่นะ งานนี้เป็นงานของพวกคุณเอง ในเมื่อพวกคุณไม่ให้ความสนใจ แล้วพวกผมจะต้องสนใจทำไม อีกอย่างหนึ่ง เรื่องการทักทายรุ่นพี่ก็เหมือนกัน มหาวิทยาลัยเรามีกฎไว้ว่าอย่างไง ปีหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง ไหนลองตอบผมมา”

    “........”

    “เงียบอีก ไม่มีปากกันหรือไง แล้วนั่นบอกให้ก้มหน้า ใครสั่งให้เงย อยากโดนซ่อมเหรอ” ว้ากเกอร์อีกคนหนึ่งส่งเสียงขึ้น

    รสาแอบสังเกตเห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับร้องไห้ที่ถูกดุ ในใจตอนนี้คงคิดว่าแล้วจะมาดุฉันทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย เข้าเชียร์ก็เข้า ให้ทำอะไรก็ทำ  โน่นถ้าอยากดุ อยากว่า ก็ไปว่าพวกที่ไม่ยอมมาเข้าเชียร์สิ

    หากเปรียบเทียบตอนนี้กับเมื่อปีหนึ่ง ความคิดของรสาก็คงไม่แตกต่างจากน้องคนนี้เท่าไหร่นัก จะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดกับคนที่อยู่ในกฏระเบียบ  เพราะมันก็เหมือนกับฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวานั่นแหละ

    เธอไม่เชื่อหรอกว่าวิธีว้าก จะทำให้คนเกิดความรักความสามัคคีกันได้ เธอมองว่าการกระทำแบบนั้น เป็นการแสดงออกถึงความบ้าอำนาจของพวกรุ่นพี่ ที่ถือว่าตัวอาวุโสกว่า จะทำอะไรรุ่นน้องก็ย่อมได้

    การว้ากจบลงเรียบร้อย น้องๆ ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน  บางคนน้ำตาซึม บางคนมีท่าทางหงอยๆ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากลงว้ากวันนี้แล้ว น้องๆ จะหายไปหมด จนไม่เหลือใครเข้าเชียร์อีกเลยหรือเปล่า

    “เป็นไงว้ากวันนี้” แยมเดินเข้ามาหาพวกรสาที่กำลังเก็บของกันอยู่

    “ก็ดี ทำน้องร้องไห้ไปสามคน มากกว่าคราวที่แล้วหนึ่งคน” รสา ตอบหน้าเฉย  ทำให้แยมยิ้มขำ เพราะรู้อยู่แล้วว่า รสาไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่

    “ช่างเหอะ ว่าแต่เห็นหัวหน้าว้ากเกอร์ของฉันหรือยัง เป็นไงบ้าง” แยมถามความเห็นพลางหันหน้าไปทางนายนั่น ที่ยืนคุยอยู่กับประธานเชียร์  สามสาวมองตาม

    “ก็ดูเท่ดีนะ เรียนปีเดียวกับเราป่ะ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย” จูน ออกอาการกระดี๊กระด๊านอกหน้า

    “ปีเดียวนั่นแหละ แต่สงสัยไม่ค่อยมาเรียนฉันเองก็เพิ่งเห็นวันที่ประชุมทีมว้าก” 

    แล้วแยมก็ยื่นหน้าเข้าไปทำท่ากระซิบกระซาบ ราวกับเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจนใครได้ยินไม่ได้งั้นแหละ

    “คนนี้ ลูกศิษย์พี่โบ้ทเลยนะแก แบบว่า ซี้ปึ้ก ซี้ปึ้ก พี่โบ้ทเทรนให้กับมือ”

     “ขนาดนั้นเชียว เวอร์หรือเปล่า” นัทไม่ค่อยอยากเชื่อ เหล่ไปทางเขาอีกครั้ง เพื่อดูให้ชัดๆ  "แต่ก็น่าจะจริงนะ เพราะเมื่อกลางวันฉันกับ รสาเจอนายเนี่ยเข้า ท่าทางเกเรใช่ย่อย เห็นแต่งชุดนอกมาด้วย แบบว่ากล้าแหกกฎดี”

    “จริงเหรอรสา ทำไมไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลยว่าเจอผู้ชายเท่ๆแบบนี้ด้วย” จูนตัดพ้อ ทำหน้าเสียดายนักหนา “แล้วนี่แกรู้อะไรเกี่ยวกับนายนี่บ้างล่ะ เล่ามาให้หมดเลยนะ ฉันอยากรู้จักเขา” สาวร่างอ้วนหันไปคาดคั้นเอากับแยมอีก

    “ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่ที่แน่ๆ งานนี้แกอดแน่ เพราะเขามีแฟนแล้วจ้ะ”

     “5555555”

     นัทและรสา หัวเราะสะใจที่จูนต้องกินแห้วตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม สาวร่างใหญ่ทั้งโกรธกึ่งขำเลยส่งมือหนักไปที่แขนเพื่อนสาวคนละทีสองที

     "เฮ้ย หยุดเม้าท์ได้แล้ว นู้นเขาเดินมาทางนี้แล้ว” นัทตาไว้ สะกิดให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบเมื่อหัวหน้าว้ากเกอร์ของแยมเดินเข้ามา

     “แยม พรุ่งนี้มีประชุมทีมว้ากนะ เจอกันใต้คณะ ตอนหกโมงเย็น”

    เสียงเขาที่รสาได้ยินทุ้มนุ่ม ไม่เหมือนตอนที่ว้ากใส่น้อง ๆ เลยสักนิด และเหมือนเขาจะให้ความสนใจพวกเธอเป็นพิเศษ เพราะดวงตายาวรี ไล่มองเธอทีละคน ตั้งแต่ นัท จูน จนมาหยุดอยู่ที่รสา และมองอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมหันไปทางอื่นสักที

    “จะไม่แนะนำเพื่อนให้รู้จักหน่อยเหรอ” ปากบอกแยมแต่ตามอง รสาไม่กะพริบ

    หญิงสาวเมื่อถูกจ้องขนาดนั้น ก็เกิดอาการเขิน เธอเบนสายตาหันไปมองทางอื่น แต่แอบลอบสังเกตเขาทางหางตา

    "อ๋อ อยากรู้จักเพื่อนเราเหรอ ได้ นี่ นัท  จูน และรสา” แยมผายมือแนะนำเพื่อนทีละคน “ส่วนนี่ ม่อน”

    ม่อนส่งยิ้มให้  ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเพื่อนสาวของเธอก็คงยิ้มตอบไมตรีเขา  โดยเฉพาะจูน ที่อาจจะส่งยิ้มหวานให้เป็นพิเศษ แต่เมื่อรสาหันหน้าไปทางเขานี้ซิ แทนที่นายนั่นจะส่งยิ้มอย่างเดียวกลับยักคิ้วทำหน้าทะเล้นให้เป็นของแถมสักอีก  ความกวนจากใบหน้าทำให้รสาหน้าตึง รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอีตานี่ขึ้นมาทันที

    “กลับกันหรือยังม่อน” เป็นเสียงสาวผมยาว ทีมีใบหน้าเฉี่ยวคม ขายาว หุ่นดี อย่างกับพวกเน็ตไอดอล รสาเดาได้กลาย ๆ ว่าคงจะเป็นแฟนเดินเข้ามาเรียก ทั้งยังคล้องแขนแสดงความเป็นเจ้าของไว้อย่างชัดเจน

    “ไปก่อนนะแยม แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ม่อนบอกลา  ไม่วายส่งสายตากวนๆ ให้รสาอีกรอบ  เมื่อคล้อยหลังคนที่เพิ่งเดินไปได้สักพัก  สาวเจ้าปัญหาอย่างจูนก็ถาม ขึ้นว่า

    “ผู้หญิงที่เป็นแฟนนายม่อน ถ้าจำไม่ผิดยัยเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะเรานี่”

    แยมพยักหน้ารีบขยายความต่อด้วยท่าทางหมั่นไส้

    “เออใช่ ขี้หึงสะบัดเลยล่ะ นายม่อนมาประชุมทุกครั้ง คุณเธอเป็นต้องตามมาคุม ไม่มีให้รอดสายตาได้สักวินาที”

    “แหม! เสียดายจัง แฟนไม่เห็นจะสวยเลย หน้าตาก็งั้นๆ ยัยรสายังสวยกว่าอีก จริงมั้ยพวกแก” นัทขอความเห็นไปทางแยมและจูน ทั้งสองพยักหน้าตอบ

    “จริงด้วย แกสวยกว่ารสา” จูนสนับสนุน

    “เฮ้ย ! แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” รสาโวยหน้าบึ้ง ยังหงุดหงิดไม่หายกับรอยยิ้มกวนของนายม่อน

    “ก็มันจริงนิ แกสวยกว่ายัยนั่นจริงๆ แต่มีอย่างเดียวว่ะ ที่แกสู้ไม่ได้” นัททิ้งประโยคเด็ด จนเพื่อนสาวทำหน้างง

    “อะไร”  สามสาวที่เหลือถามขึ้นพร้อมกัน  เจ้าของคำตอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มองไปที่หน้าอกของรสา

    “แกนมเล็กไปหน่อย ถ้าเทียบกันเป็นขนาดล่ะก็ แกมันเท่าฝาขนมครกแบบของเด็กเล่น ส่วนยัยนั่นฝาหม้อขนาดXXL ใบที่ต้มแกงให้คนกินได้ทั้งหมู่บ้านน่ะ” นัทพูดพลางหัวเราะไปด้วย  รสาหน้าแดงก่ำ เข้าไปทุบแขนเพื่อนจอมลามกอย่างแรง

    “ทุเรศ แกคิดได้ยังไงเนี่ย น่าเกลียดชะมัด เอาของฉันไปเปรียบกับฝาขนมครก ถึงฉันจะเล็ก แต่ก็เล็กอย่างมีคุณภาพนะยะ ไม่เหมือนใครบางคนหรอกที่ต้องเอาฟองน้ำยัดเข้าไปทำเหมือนว่าตัวเองมีน่ะ”

    รสาปรายตาไปทางนัท เอาคืนที่มาว่าเธอ ได้ผลคราวนี้นัทเป็นฝ่ายหน้าแดงบ้าง และหมายจะทำร้ายร่างกาย แต่เธอใช้ความไวปานวอก วิ่งหนีได้ทันท่วงที โดยมีสาวผิวคล้ำไล่ตามชนิดที่ว่า วันนี้เป็นตายยังไงก็ต้องเอาคืนให้ได้

    ส่วนสองสาวที่เหลือ แม้จะไม่โดนเปรียบเทียบว่าเหมือนกับอะไร แต่พอนัทพูดจุดประเด็นเรื่องขนาดหน้าอกขึ้นมา ทั้งคู่ต่างหันหลังให้กัน ต่างคน ต่างแง้มคอเสื้อของตัวเองออก ก้มดูสิ่งนูน ๆที่ยื่นออกมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะมันก็ไม่ต่างไปจากขนาดของรสาและนัทสักเท่าไหร่ ...เฮ้อ!

    15 มิถุนายน... 

    ที่จริงวันนี้ฉันไม่ค่อยอยากจะเขียนไดอารี่เท่าไหร่ เพราะหลังจากเลิกซ้อมเชียร์แล้วฉันรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ไหนจะต้องฝ่ารถติดกลับบ้าน  พอได้เห็นเตียงนุ่มๆ ตาฉันก็แทบปิดสนิท แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว อะดีนาลีนในร่างกายก็กระตุ้นให้ฉัน ลุกจากเตียงเพื่อมาเขียนทุกอย่างในสมองทันที

    เริ่มจากเรื่องของพี่เอ็มเจ วันนี้ฉันเจอเขากับแฟนใหม่อีกแล้ว บอกตรง ๆ ว่าตอนที่เห็นพวกเขาสวีทกันหัวใจฉันมันเจ็บปวดมาก ใครจะคิดว่าพี่เอ็มเจจะมีอิทธิพลกับฉันมากถึงขนาดนี้ หากรู้ว่าการแอบ

    นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะเขียนดีมั้ย มันเป็นเรื่องที่เรียกว่าจะบังเอิญก็ได้  คือ ฉันได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเคยเห็นเขามาก่อนที่จะได้รู้จักกันในวันนี้  ครั้งแรกฉันเห็นเขาเพียงแค่ตา  ครั้งที่สอง ฉันชนกับเขาในโรงอาหาร  ส่วนครั้งที่สาม เขาคือหัวหน้า ว้ากเกอร์ของแยม  ดูจากลักษณะภายนอกแล้วนายนี่เหมือนพวกเด็กเกเร ท่าทางกวนๆ ไม่มีผิด 

     ฉันว่าเขากวนจริงๆ นั้นแหละ เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่ยักคิ้ว ทำหน้าทะเล้นใส่ฉันหรอก ไม่รู้ทำไมต้องเฉพาะฉันด้วย ทีนัทกับจูน ไม่เห็นทำอย่างนี้บ้างเลย ยิ่งเขียนก็ยิ่งนึกถึงหน้านายนั่น เสียแรงที่แอบปลื้ม ในมาดขี่รถของเขา  ไม่เอาแล้ว..นอนดีกว่า หวังว่าคืนนี้คงไม่ฝันร้ายหรอกนะ..

     

     

             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×