ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขอโทษที...ก็หัวใจเพิ่งมีรัก

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 14 เอ็มเจคือใคร

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 66


    แสงไฟนีออนจากเสาไฟฟ้าข้างตึก ส่องแสงเพียงริบหรี่ เผยให้เห็นเงาสลัวของร่างสองร่างที่เกี่ยวกวัดกำลังมีสัมพันธ์กันอยู่ในมุมมืด  มือหยาบๆ และริมฝีปากเร่าร้อนของฝ่ายชายสัมผัสไปตามร่างกายและส่วนสงวนของฝ่ายหญิงอย่างหื่นกระหาย

    นี่เป็นเพียงค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แจงมอบให้กับคนที่ช่วยเธอเล่นงานม่อน แม้จะเปลืองตัวอยู่ซะหน่อย  แต่กับผลที่ได้รับ เธอคิดว่ามันคุ้มค่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ความแค้นในใจได้คลายลงบ้าง 

    ม่อนผิดเองที่เลือกจะเลิกกับเธอ คนอย่างแจง ไม่เคยถูกใครทิ้งและก็ไม่มีใครสามารถมาทำอย่างนั้นได้นอกเสียจากเธอจะเป็นฝ่ายทิ้งซะเอง  ม่อนเป็นคนแรกที่ทำเธอได้เจ็บแสบขนาดนี้ การจ้างคนให้ไปทำร้ายเขามันยังน้อยไปด้วยซ้ำหากเทียบกับความเจ็บใจที่ได้รับ 

    สาวผมยาวดันชายหนุ่มที่ซุกไซ้อยู่บริเวณหน้าอกให้ออกจากตัวเมื่อคิดว่าจ่ายค่าจ้างเพียงพอแล้ว อีกฝ่ายทำท่าอิดออดยังไม่อยากผละจากความหอมหวานตรงหน้าเพราะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่ไม่ว่าจะดันทุรังต่อไปอย่างไร สาวเจ้าก็ไม่เล่นด้วยอีก

    ทั้งคู่เกาะเกี่ยวกันกลับเข้าไปในผับอีกครั้งหลังจากที่หลบเพื่อนๆออกไปกันตามลำพัง และเมื่อถึงโต๊ะ แจงจัดการรินเหล้าใส่แก้วดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด เธอไม่ได้อยากเมา แต่ต้องการลบความรู้สึกสะอิดสะเอือนที่ต้องถูกผู้ชายที่ไม่ได้ชอบกอดจูบลูบคลำต่างหาก

    แจงรู้ว่าใครต่างมองว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่าย ที่ชอบปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้กับผู้ชายไม่เลือก ถึงอย่างนั้น แจงก็คงเหมือนกับผู้หญิงอีกหลายคนที่จะยอมมีอะไรกับคนที่ตนสนใจหรือชอบพอเท่านั้น  เธอไม่ใช่ผู้หญิงมั่ว แม้จะคิดว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องอิสระก็ตาม 

    เมื่อดื่มจนเมาได้ที่ แจงเปลี่ยนบรรยากาศโดยการออกไปเต้นกลางฟลอร์ เธอทั้งบิดตัว ส่ายสะโพก ปล่อยลีลาและอารมณ์ทั้งหมดไปตามจังหวะดนตรีอย่างเมามัน  และเหมือนภาพทุกอย่างจะเริ่มเบลอ ตัวเธอเองเริ่มโงนเงนจนไม่อาจควบคุมได้ ร่างแจงเซถลาไปชนเข้ากับหน้าอกของหนุ่มคนหนึ่งที่เต้นอยู่ข้างๆ

    ชายคนนั้นใช้สองมือรวบเอวหญิงสาวไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงไป เพียงแวบแรกที่ได้เห็นหน้าหญิงในอ้อมแขน เขาก็รู้สึกสนใจเธอขึ้นมาทันที

    “เป็นไงบ้าง ลุกไหวมั้ย” เขาถาม ความเมาทำให้แจงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเกือบล้มลงไป  เธอหรี่ตาพยายามปรับภาพใบหน้าของคนตรงหน้าให้ชัดขึ้น

    “นายเป็นใคร” แจงถามอู้อี้ แกะมือที่เอวออก “แล้วนี่มาจับตัวฉันทำไม”     

     เขาปล่อยเธอ แต่สองมือยังค่อยประคองไม่ให้ล้ม  แจงพยุงตัวเองให้ยืนในสภาพโงนเงนเต็มที 

    “ว่ายังไงล่ะ ฉันถามว่าเมื่อกี้นายมาจับตัวฉันทำไม” เธอเซไปชนเขาอีก

    “ก็เพราะเธอกำลังจะล้มน่ะสิ ฉันเลยต้องโอบเธอไว้อย่างนี้ไง” 

    มือใหญ่ทำเหมือนเมื่อครู่ คือโอบเอวเธอไว้แล้วรั้งร่างเล็กเข้ามาชิดแผงอกกว้างอีกครั้ง  ดวงตาคมกริบมองสาวตรงหน้าไม่วางตา 

    “เราไปหาที่นั่งคุยกันดีมั้ย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้าเธอเอง”

    คำชวนของเขา ทำให้หญิงสาวเลิกคิ้ว มองสำรวจผู้ชายตรงหน้า  แม้ไฟในร้านจะค่อนข้างสลัวเลยทำให้มองเห็นเขาไม่ถนัดนัก แต่ด้วยความคมสันของเครื่องหน้าบวกกับรูปร่างสูงใหญ่สมส่วน ก็ทำให้แจงตัดสินใจทันทีว่าจะตอบรับคำชวนของชายคนนี้

    ชายหนุ่มพาเธอไปนั่งตรงหน้าบาร์ แล้วสั่งเหล้าเลี้ยงตามสัญญา เมื่อได้นั่งใกล้ แจงก็มีโอกาสสำรวจใบหน้าเขามากขึ้น  ผู้ชายคนนี้จัดว่าหล่อไม่ใช่น้อยเลยล่ะ รูปร่างก็ดูดี ออกไปทางหุ่นนักกีฬา ยิ่งพินิจมากขึ้น แจงก็เริ่มรู้สึกว่าจะคุ้นหน้าเขาเป็นพิเศษ

    “พี่เอ็มเจ” หญิงสาวแทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้งที่เจอกับผู้ชายที่เป็นเบอร์หนึ่งของมหาลัยฯ เข้า

    “นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้ซะแล้ว”

     เอ็มเจหยอกกลับ ด้วยความสวยของแจง ทำให้เขาสะดุดตากับเธอที่ในคณะมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันแบบส่วนตัวจนกระทั่งวันนี้ที่งานออดิชั่นละครเวที

    “แหม..จะมีใครจำพี่ไม่ได้บ้างล่ะค่ะ แจงคงดื่มหนักไปหน่อยก็เลยสมองเบลอ” 

    “แล้วทำไมต้องกินเหล้าหนักแบบนี้ด้วย มีเรื่องกลุ้มใจอะไรงั้นเหรอ” 

    “ถ้าแจงบอก แล้วพี่เอ็มเจ จะช่วยแจงได้อย่างนั้นเหรอคะ”

    “ก็ลองเล่าให้พี่ฟังดูก่อนสิ เผื่อว่าพี่จะช่วยเราได้”

     “ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยเลี้ยงเหล้าปลอบใจแจงอีกสักแก้วก่อนสิ  แล้วแจงจะเล่าเรื่องทุกอย่างของแจงให้พี่ฟังทั้งหมดเลย” เธอบอกเขาอย่างเย้ายวน นัยน์ตาพราวระยับ 

      เอ็มเจหันไปสั่งเครื่องดื่มแก้วใหม่ให้เธอและตัวเอง แจงโน้มคอเขาเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มกริ่มออกมา ก่อนที่ทั้งสองคนจะลุกหายออกไปจากผับด้วยกัน 

     

    “กินเข้าไปให้เยอะๆนะลูก  ต้องออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้คงอดอยากน่าดู เนี่ยหนูผอมไปตั้งเยอะ เห็นทีแม่จะต้องต้มซุปไก่มาบำรุงทุกวันแล้วล่ะมั้งจะได้อ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม” 

    รื่นฤดีบรรจงตักซุปไก่ช้อนสุดท้ายป้อนเข้าปากลูกชายสุดที่รัก ราวกับว่าเขายังเป็นเด็กตัวน้อยไม่เคยเปลี่ยน

    ม่อนถึงกับทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เขาไม่ชอบซุปไก่เลยสักนิด ที่ยอมให้แม่ป้อนให้อยู่เมื่อกี้ เป็นเพราะต้องการเอาใจต่างหาก

    ม่อนรู้ว่าเขากับแม่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบปี เขาไม่เคยกลับบ้าน และแม่ก็ไม่เคยมาเยี่ยม พอมีเหตุให้มาเจอกันแบบนี้ ความห่วงใยที่สะสมมานานย่อมจะมากล้นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเขาก็เข้าใจ และพยายามไม่ขัดในความหวังดีที่แม่หยิบยื่นให้

    “ไม่เอาซุปไก่อีกแล้วนะฮะ ผมไม่ชอบเลย มันเลี่ยน” ม่อนท้วง

    “ไม่ได้ ซุปไก่เป็นยาบำรุงที่ดีที่สุดแล้ว ยังไงม่อนก็ต้องกิน และก็ห้ามขัดใจแม่เด็ดขาด” เธอบอกเสียงเข้ม 

    ม่อนทำปากยื่นไม่พอใจ จนเธออดที่จะหยิกแก้มลูกชายอย่างเอ็นดูในความเป็นเด็กไม่เลิกของเขาไม่ได้

    “แม่รู้ว่าม่อนไม่ชอบซุปไก่ แต่ก็เอาเถอะ ไว้แม่จะทำของบำรุงอย่างอื่นมาให้กินแทนก็ได้” 

    สุดท้ายรื่นฤดีก็ยอมใจอ่อน เพราะทนเห็นหน้าตาบูดบึ้งแบบเด็กๆ ของลูกชายไม่ไหว

    “ขอบคุณครับ รักแม่ที่สุดเลย”

     ม่อนกอดแม่อย่างประจบ เวลาอยู่ใกล้กับแม่เขาจะชอบทำตัวเป็นเด็กๆ คอยกอดและแหย่แม่เล่นเสมอ เพราะพี่ชายสองคนต่างมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว จะให้มาทำตัวเป็นเด็กกอดและหอมแม่ พวกพี่ก็กลัวจะถูกภรรยามองว่าเป็นลูกแหง่  ทำให้แม่มักบ่นน้อยใจบ่อยๆ   ที่ลูกไม่ยอมเข้ามาคลอเคลียเหมือนเมื่อก่อน

    ม่อนเข้าใจความรู้สึกดี  เขารู้ว่าสำหรับแม่แล้วไม่มีอะไรสำคัญและทำให้มีความสุขมากไปกว่าการที่ลูกๆ จะเข้ามาแสดงความรักด้วย  และคงด้วยเหตุผลนี้ล่ะมั้งถึงทำให้เขากลายเป็นลูกสุดที่รักอันดับหนึ่งในใจแม่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    “แม่ถามจริงเถอะว่าลูกอยู่คนเดียวแบบนี้ มีเงินพอใช้บ้างหรือเปล่า ถ้าลำบากยังไง แม่ว่าลูกกลับไปอยู่บ้านเราเหมือนเดิมดีกว่ามั้ย”

    นางอดห่วงไม่ได้ตามประสาคนเป็นแม่   ม่อนปล่อยมือที่กอดออก เปลี่ยนเป็นกุมมือนุ่มๆ นั้นแทน 

     “ผมสบายดีฮะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงมันจะไม่ค่อยสบายกาย แต่ก็ทำให้ผมสบายใจ” 

    “แน่ใจนะลูก” 

    “ชัวร์สิแม่” ม่อนยืนยัน “แล้วพ่อกับพี่แมน พี่ไม้ เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า” 

    “ก็สบายดี พี่นุช แฟนพี่ไม้เขาท้องแล้วนะ ทีนี้ล่ะคงวุ่นน่าดู ไหนจะลูกของพี่แมนอีก งานนี้แม่คงต้องงัดวิชากำราบเด็กขึ้นมาใช้อีกรอบแน่ๆ”

    “ดีจัง เผลอแป๊บเดียวผมมีหลานตั้งสองคนแล้ว” ม่อนหัวเราะ “อย่างนี้เรียกว่าแก่แล้วสิ”

    “ไม่ใช่ว่าแก่อย่างเดียวนะ ต้องบอกว่าแก่มาก ๆ เลยล่ะ” รื่นฤดีหัวเราะร่วน แล้ววกกลับเข้าเรื่องใหม่  “ยังไง แม่ก็อยากให้ม่อนกลับไปลองคิดดูนะ ก่อนจะมาเยี่ยมลูกแม่ได้คุยกับพ่อเขาเรื่องนี้แล้ว แม่รู้สึกได้ว่าพ่อเขาอ่อนลงไปมาก ถ้าหากม่อนจะไปขอโทษพ่อและขอกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แม่ว่าพ่อคงไม่ดุด่าม่อนอีกแล้วล่ะ นะลูก..ขอให้เห็นแก่แม่ กลับไปอยู่บ้านเราเหมือนเดิมเถอะ” 

    ใบหน้านางเศร้าหมอง ถึงอย่างไรก็ยังอยากให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม

    “แม่แน่ใจได้ยังไงฮะ ว่าพ่อยอมเข้าใจผมแล้ว แต่ถึงจะเข้าใจจริง ผมก็คงไม่กลับไปจนกว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าผมทำได้สักก่อน” 

    ม่อนตั้งใจ แน่วแน่  แต่คนเป็นแม่กลับไม่เห็นด้วย

    “โถ...ลูกทำไมทำกับแม่อย่างนี้นะ” เธอร้องอย่างผิดหวัง ดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกเธอบ้างเลย “พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด ทิฐิมากเหลือเกิน ค่อยดูนะต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว อยากโกรธกันอย่างนี้ตลอดชาติก็เอาเลย ”

    รื่นฤดีนึกโมโหขึ้นมาบ้าง เก็บข้าวของที่มาเยี่ยมใส่ตะกร้าอย่างรวดเร็ว ปากพร่ำรำพันแสดงความน้อยใจไปเรื่อย

     “ ไอ้เรารึอยากให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ดู๊.. คนหนึ่งก็ดื้อ อีกคนก็อวดเก่ง อยากพิสูจน์ตัวเองนักใช่มั้ย ตามสบายเลยม่อน แม่จะไม่ยุ่งอะไรด้วยอีกแล้ว ถึงขนาดตัดพ่อตัดลูกกันไปเลยยิ่งดี”

    “แม่อย่าโกรธสิครับ” ม่อนกอดเอวง้องอน “ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากดีกับพ่อนะ แต่แม่น่าจะเห็นใจผมบ้าง ผมเป็นลูกผู้ชาย เมื่อคิดว่าจะออกจากบ้านหาเงินเรียนเองแล้ว ผมก็อยากทำให้ดีที่สุด ไม่อยากให้ใครมาดูถูกได้”

    “แต่ใครที่ว่าก็คือ พ่อของม่อนเองนะ มีพ่อที่ไหนเขาจะดูถูกลูกตัวเองบ้าง”

    “ยิ่งเป็นพ่อสิ ผมถึงต้องทำให้ได้ แม่ก็รู้ว่าพ่อไม่เคยมองผมในแง่ดีเลย พ่อคิดว่าผมเป็นเด็กเกเรมาตลอด แล้วยิ่งผมขัดใจออกจากบ้านมาอย่างนี้ด้วยแล้ว ขืนกลับไปโดยไม่มีใบปริญญาหรือสิ่งอะไรก็ได้ที่แสดงถึงความสำเร็จ มันไม่เท่ากับว่าผมกลับไปตายรังหรือครับ”

    “ที่แม่พูดไม่ได้หมายความว่าจะให้ม่อนกลับไปโดยทิ้งสิ่งที่ลูกตั้งใจหรอกนะ แม่แค่อยากให้ม่อนกลับไปขอโทษพ่อเค้า ขอคืนดีแล้วกลับมาอยู่บ้านเราเหมือนเดิม ส่วนเรื่องเรียน ลูกก็เรียนต่อไป แม่จะเป็นคนรับประกันเองว่าม่อนจะได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน โดยที่พ่อจะไม่สามารถบังคับได้เด็ดขาด” มือเธอบีบไปที่ไหล่ลูกชาย แววตาอ้อนวอน  

    ” นะลูก ทำเพื่อ แม่สักครั้งเถอะ แม่อยากให้ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมจริงๆ” 

    ม่อนมองคนเป็นแม่อ่อนใจ รู้ว่าสิ่งที่ขอ มันยากสำหรับเขามาก

    “ผมขอโทษฮะแม่ อย่าพยายามให้ผมทำอย่างนั้นเลยนะฮะ ไม่ว่ายังไงผมก็อยากพิสูจน์ตัวเอง”

    “แค่นี้ม่อนทำให้แม่ไม่ได้ใช่มั้ย?” 

    รื่นฤดีน้ำตาคลอ น้อยใจและไม่เข้าใจ มันอยากเย็นนักหรือกับการยอมลดทิฐิเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ก่อน ซึ่งมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือในเมื่อม่อนเป็นลูก

    “ผมขอโทษครับแม่” ม่อนตอบได้เพียงเท่านั้น 

    เธอปล่อยมือที่จับไหล่ลูกชาย ก้มหน้าซับน้ำตาตัวเอง  ก่อนค่อย ๆ หยิบของและเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

    ม่อนมองตามหลังของผู้เป็นแม่ไปด้วยความรู้สึกเสียใจไม่แพ้กัน ใช่ว่าเขาไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน แต่เขาเป็นลูกผู้ชาย มีศักดิ์ศรีในตัวเอง เมื่อตัดสินใจว่าจะออกมารับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้ว เขาก็อยากทำให้ถึงที่สุด อย่างน้อยจะได้ไม่มีใครมาดูถูกว่าเขานั้นดีแต่พูด

    เมื่อแม่ไปแล้วม่อนหยิบรีโมท กดดูทีวีอย่างเซ็งๆ  การที่ต้องมานอนอยู่เฉยๆแบบนี้ ม่อนเองก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน และจู่ๆเขาก็คิดอะไรออก 

    ม่อนเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่ข้างเตียงและต่อสายไปหาใครบางคน พอได้ยินเสียงอีกฝ่าย รอยยิ้มกริ่มก็ผุดขึ้น

    “ใจร้ายจังเลยนะรสา ไม่เห็นมาเยี่ยมกันบ้างเลย” เขาแกล้งตัดพ้อไปตามสาย   

    “บอกแล้วไงว่าเราไม่ได้สนิทกัน ฉันไม่มีเวลาไปเยี่ยมนายหรอกนะ”

    รสากำลังจะเข้าเรียนเมื่อม่อนโทรเข้ามาเลยหยุดคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง

    “ไม่สนิทอะไร อย่าลืมสิ ว่าเราเคยทำอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกันมาแล้วนะ” 

    “อะไร พูดให้มันดีๆนะ” เธอเสียงเข้ม ม่อนหัวเราะร่วน เดาออกว่ายายตากลมจะต้องคิดถึงเรื่องจูบอีกแน่

    “ใจเย็นๆสิ  ฉันกำลังพูดถึงเรื่องที่เราเคย...” เขาแกล้งเว้นจังหวะยั่วและพูดต่อ “เราเคยไปซื้อของด้วยกันไงล่ะ  นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่ลึกซึ้งพออีกเหรอ”

    “แล้วไป…” แอบมีเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ม่อนยิ้มกริ่ม

    “ทำไม เธอคิดลึกล่ะสิ คงคิดถึงเรื่องนั้นใช่มั้ย  ไม่ไหวๆ ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงชอบคิดแต่เรื่องทะลึ่งๆ กันนักนะ”

    “ใครคิดทะลึ่ง พูดให้มันดี ๆ นะตาบ้า”

    “ก็เธอไง หรือว่าไม่จริง”

    “ไม่จริง แค่นี้นะฉันกำลังจะเข้าเรียนแล้ว และถ้านายไม่มีธุระจริงๆ ล่ะก็ อย่าโทรมากวนฉันอีกล่ะ ช่วงนี้ฉันยุ่ง เย็นนี้ฉันก็มีซ้อมละครเวทีด้วย”

    “ละครอะไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

    “ก็ละครคณะเราไง ฉันได้เล่นเป็นนางเอกด้วยนะ”  รสาอวดเขาอย่างภูมิใจ  แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็นเสียงหัวเราะปนเยาะหยันซะเนี่ย

    “จริงอ่ะ อย่ามาอำหน่อยเลย เธอนี่นะเป็นนางเอก เป็นนางเอกละครลิงหรือเปล่า ทีหลังคิดจะหลอกกัน ก็หาเรื่องที่มันเนียนกว่านี้หน่อยเหอะ ”

    “ไอ้บ้า! นายนั่นแหละไอ้ลิงกัง “รสาตวาดลั่น “ปากอย่างนี้สิ ถึงได้นอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล ฉันว่าแทนที่นายจะนอนเข้าเฝือกขา น่าจะเปลี่ยนเป็นให้หมอเย็บปากเน่า ๆ มากกว่าจะได้เลิกว่าคนอื่นซะที”

    “โห มาเป็นชุดเลยนะ ฉันขอโทษ  ก็แหย่เธอมันสนุกนี่น่า” ม่อนเริ่มสำนึกในความปากพล่อย “ ว่าแต่เธอได้เป็นนางเองจริงๆ น่ะเหรอ”

    “ถ้าไม่เชื่อก็เรื่องของนาย” 

    “โอเค ๆ แล้วบทนางเอกอะไรเนี่ย เป็นยังไง มีเลิฟซีนเยอะมั้ย เผื่อฉันจะได้ลองสมัครเป็นพระเอกดูบ้าง”

    “เขาได้พระเอกเรียบร้อยแล้วย่ะ  ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ดีกว่านายหลายร้อยเท่า ฉันล่ะดีใจมากๆ เลย ที่ได้เล่นคู่กับพี่เอ็มเจ” 

    เป็นเพราะกระแสบางอย่างในน้ำเสียง และอาการตื่นเต้นจนลืมตัวของหญิงสาว ทำให้ม่อนรู้สึกแปร่งๆ  ทั้งยังเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

    “ ทำไม หมอนั่นมันสำคัญมากนักเหรอ ถึงต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย” ม่อนถามเสียงมะนาวไม่มีน้ำ

    “ ก็ไม่เชิงหรอก แต่ว่า...เท่านี้ก่อนนะม่อน พอดีพี่เอ็มเจโทรมา” 

    “ เฮ้ย ! เดี๋ยวสิ รสา  รสา!!” 

    ม่อนกำโทรศัพท์แน่น ภายในใจร้อนรนราวกับมีไฟสุ่ม บอกกับตัวเองนับแต่วินาทีนั้น  เป็นตายอย่างไรเขาจะต้องรู้จักไอ้หมอนี่ให้ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×