คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 11 ใครเป็นคนทำม่อน
“แหม! เช้านี้เพื่อนเราอารมณ์ดีจริง ไม่รู้ว่าเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ยายรสานั่งยิ้มแก้มปริอยู่ได้ตั้งนาน”
นัทเหล่มองสาวตากลมที่วันนี้มาถึงโต๊ะกลุ่มก่อนใคร และก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างนี้มาร่วมชั่วโมงกว่าแล้ว ซึ่งมันผิดวิสัยของรสาอย่างมาก นี่จะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้เพื่อนเธอเป็นอย่างนี้แน่ๆ
และเมื่อรสาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกับคำหยอกล้อของนัท สาวขี้สงสัยก็เลยเบนเข็มไปกระซิบกระซาบหารือกับคู่ซี้ข้างกายที่เอาแต่หม่ำขนมขบเคี้ยวแทน
“นี่แกว่ามันบ้าไปแล้วมั้ย ถึงขนาดนั่งยิ้มคนเดียวก็ได้”
จูนหยุดหม่ำ พินิจพิเคราะห์เพื่อน วางท่าทางราวกับผู้รู้ พอวิเคราะห์เสร็จก็หันกลับไปกระซิบกับนัท
“ฉันว่าอาการอย่างนี้ กำลังมีความรักชัวร์”
“แกว่างั้นเหรอ”
นัทไม่ค่อยแน่ใจ จูนพยักหน้า สายตาดุจเหยี่ยวของเธอไม่เคยมองพลาดแม้จะไม่รู้ว่ารักเป็นอย่างไรก็เถอะ
“รับรอง แกดูตาของมันสิ หวานจนมดไต่แล้ว แต่..อืม..แกว่ามันมีความรักกับใครวะ เอ๊ะ หรือว่าจะเป็น” จูนเว้นช่วงไว้ ทำตากรุ้มกริ่ม
“นายม่อน” นัทต่อให้ด้วยท่าทางไม่แพ้กัน แล้วทั้งสองก็ปิดปากหัวเราะชอบใจ เมื่อคิดถึงว่าเรื่องที่พูดจะเป็นจริง
แล้วตาโตหวานหยาดเยิ้มของรสาก็เปลี่ยนเป็นหวานเชื่อมและดูตื่นเต้นมากขึ้น เมื่อเธอเห็นร่างสูงหุ่นนักกีฬาของผู้ชายที่กำลังคิดถึงเดินตรงมาหา ในมือของหนุ่มนักบาส ถือหนังสือพ็อกเก๊ตบุ๊ตขนาดค่อนข้างหนามาด้วย ความเท่บวกท่วงท่าสง่าตามธรรมชาติทำให้รสาใจเต้นเร็ว เธอลุกขึ้นอย่างลนลานเมื่อเอ็มเจมาถึงโต๊ะ
“หวัดดีค่ะ พี่เอ็มเจ” รสาทักเขินๆ มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี
“หวัดดีจ๊ะ พี่เอาหนังสือมาให้ตามสัญญา” เอ็มเจส่งหนังสือให้ “ อ่านตามสบายเลยนะ ไม่ต้องรีบ จบเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ” รสารับหนังสือมากอดไว้ “พี่อ่านจบกี่รอบแล้วคะ คงเกินกว่าสองรอบแน่ๆ เลย”
เอ็มเจหัวเราะ ผงกศีรษะรับกรายๆ
“พี่อ่านสี่ห้ารอบได้มั้ง “
“โอ้โห แบบนี้แสดงว่าต้องสนุกมาก ” รสาตาโต ทึ่ง “ถ้าอย่างนั้น รสาก็จะอ่านให้ได้เท่ากับพี่เหมือนกัน” เธอหมายมั่นกับตัวเอง
เอ็มเจยิ้มเอ็นดู เอามือลูบศีรษะรสาเบา ๆ หญิงสาวแทบกลั้นหายใจ ก้มหน้าอายทันที
“โอเค งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาล่ะ”
รสายิ้ม ดีใจที่เริ่มสนิทกับพี่เอ็มเจมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เมื่อหนุ่มนักบาสโบกมือลาแล้วเดินกลับเข้าไปในตึกแล้ว รสา กอดหนังสือที่เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ชายที่ชอบแน่น ยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบ ก่อนจะได้ยินเสียงนัทกับจูนดังขึ้น
“ยายรสา!”
สองสาวประสานเสียงเรียกเพื่อนจนรู้สึกตัว ปากทั้งคู่คันยุบยิบ เพราะความอยากรู้อยากเห็นเต็มพิกัด
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเกิดอะไรขึ้น แกกับพี่เอ็มเจไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
นัทใส่ไม่ยั้ง รสาได้ทีเชิด แสดงความเป็นต่อ นั่งลงอย่างหยิ่งๆ
“วันงานเฟรชชี่ เดย์”
“แล้วเจอกันได้ยังไง ทำไมพวกฉันถึงไม่รู้” จูนซักต่อ
“หลังจากที่แยกกับพวกแก บังเอิญฉันถูกรถพี่เอ็มเจชน แล้วก็”รสาเห็นความอยากรู้ของเพื่อนแล้วก็เลยอยากแกล้ง เลิกเล่าไปซะดื้อๆ
“แล้วไงต่อล่ะ หยุดเล่าทำไม” นัทเร่ง สบตากับจูน หมั่นไส้กับท่าทางเล่นตัวของสาวตากลมนัก
“ยายรสาเล่าต่อมาซะดี ๆ ไม่งั้นฉันจะบีบคอแกให้ตายคามือเดี๋ยวนี้ล่ะ” จูนถูมือไปมาเตรียมลุกขึ้นทำอย่างที่พูด รสาหลุดหัวเราะ
“อ๊ะๆ บอกก็ได้ จากนั้นพี่เอ็มเจ ก็พาฉันไปส่งโรงพยาบาล พอฉันฟื้นเราก็ได้คุยกัน เขาพาฉันไปส่งบ้านและสัญญาว่าจะให้ฉันยืมหนังสืออย่างที่พวกแกเห็นเมื่อกี้แหละ” ดวงตารสาเปล่งประกายหวานซึ้ง เล่าไปก็เคลิบเคลิ้มไปกับเหตุการณ์ในวันนั้น
“มีเรื่องบังเอิญแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย แล้วที่ยายจูนบอกว่าแกกำลังมีความรักกับนายม่อน ก็คงไม่ใช่น่ะสิ”
นัทแสดงความเสียดาย เพราะเธอชอบม่อนมากกว่า และก็อยากให้รสาเป็นแฟนกับม่อนด้วย
รสานิ่วหน้า รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที่ที่ได้ยินชื่อม่อน
“เกี่ยวอะไรด้วย ฉันเคยบอกพวกแกแล้วไงว่าไม่มีทางชอบนายนั่นเด็ดขาด”
“เออ รู้แล้วน่า ก็เห็นนั่งทำหน้าบานเหมือนคนมีความรัก พวกฉันก็คิดกันน่ะสิว่าเป็นเพราะนายม่อน ใครจะไปรู้ว่าแกสนิทกับพี่เอ็มเจแล้ว” จูนอธิบายหน้าจ๋อย
“เฮ้! พวกเรา ฉันมีข่าวจะมาบอก”
แยมวิ่งตะโกนเสียงดังมาก่อนตัว พอถึงโต๊ะสาวห้าวร่างเล็กหยุดหอบหายใจสักพักก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวที่เพิ่งรู้มาอย่างตื่นเต้น
“รู้มั้ยเมื่อกี้ฉันเดินผ่านที่บอร์ดคณะมา เห็นประกาศรับสมัครนางเอกละครเวทีด้วย ฉันก็เลยลงชื่อสมัครให้ยายรสาไปแล้ว”
“หา!! นี่แกทำอะไรลงไป ทำไมถึงไม่ถามฉันก่อน” รสาโวยลั่น เธอไม่ชอบการแสดงและไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงอะไรได้ด้วย
“แต่ลักษณะของนางเอกเหมาะกับแกมากเลยนะ ผิวขาว ตากลม ฉันว่าถ้าแกไปลองทดสอบต้องได้แน่ๆ เลย และอีกอย่างใช่ว่าแกจะไม่เคยแสดงละครสักหน่อย”
“แต่ฉันไม่ชอบและก็ไม่เล่นด้วย ไปถอนชื่อฉันออกเดี๋ยวนี้เลย!!” รสาสวนขึ้นเสียงแข็ง หน้าตาดูก็รู้ว่าคราวนี้เธอโกรธมากๆ
“เสียใจ เพราะเขาปิดรับสมัครและส่งชื่อไปที่กรรมการเรียบร้อยแล้ว” แยมบอกหน้าตาเฉย ไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทีของรสา “เออ...ว่าแต่ฉันยังมีอีกเรื่องจะมาบอก”
“แกไปลงชื่อสมัครอะไรให้ใครอีกล่ะ” รสาประชด แววตากินเลือดกินเนื้อ
“ ไม่ใช่เรื่องนั้น พอดีตอนเดินกลับ ฉันเจอกับกลุ่มว้ากที่อยู่ห้องเดียวกับม่อนมา พวกนั้นบอกว่าม่อนโดนดักซ้อมแถวที่ทำงาน ตอนนี้นอนเข้าเฝือกอยู่ในโรงพยาบาลแน่ะ”
“เป็นไงบ้าง อาการหนักมากหรือเปล่า” จูนร้องตกใจ
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นพวกนั่นเล่าว่า หน้างี้ปูดเป็นลูกมะนาวเลยนะ แขนก็เดี้ยง ขาก็หัก อย่างนี้ไม่โดนซ้อมธรรมดาแล้ว แต่เรียกว่าโดนยำเละเลยมากกว่า”
“แบบนี้ คงต้องนอนโรงพยาบาลหลายเดือนเลยเนอะกว่าจะกลับมาเรียนต่อได้ แล้วนายนั่น ไปขัดขาใครเข้าล่ะ ถึงได้โดนเล่นงานแบบนี้” นัทอยากรู้
“ไม่รู้สิ พวกพี่โบ้ทกำลังสงสัยว่าอาจเป็นพวกแข่งรถซิ่งด้วยกันล่ะมั้ง” แยมว่า
“อย่างนี้พวกเราน่าจะไปเยี่ยมม่อนนะ ไหน ๆ ก็เคยทำงานมาด้วยกัน”
“ฉันก็ว่าจะไปเยี่ยมเย็นนี้แหละ พวกแกไปด้วยใช่มั้ย?”
นัทกับจูนพยักหน้ารับ แยมหันไปทางรสา
“แล้วแกล่ะรสา จะไปเยี่ยมม่อนมั้ย?”
รสานิ่ง ถึงภายนอกเธอจะทำหน้าเฉยชาเพราะยังคงรู้สึกโกรธเขาอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าในใจลึก ๆ ตอนนี้ เธอเองก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าอีตานั่นเผลอไปกวนรองเท้าใครเข้า แต่นึก ๆ ไป ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ เขาเองใช่ย่อยสักที่ไหนชอบกวนเธอประจำ
“ว่าไงล่ะรสา จะไปหรือเปล่า?” แยมถามซ้ำอีก รสาทำหน้าตายเหมือนไม่อยากไปเท่าไหร่
เมื่อสองนาทีก่อนชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา จากการพักผ่อนหลังทานยาที่นางพยาบาลแสนสวยเอามาให้ แต่หากรู้ว่าลืมตาขึ้นมาแล้วต้องมาทนฟังเสียงอันบาดหูแบบนี้ล่ะก็ ม่อนขอยอมกินยาต่ออีกสักสิบเม็ดแล้วสลบเหมือดไม่ได้สติต่อไปดีกว่า
“ไอ้ม่อน! มึงปล่อยให้ตัวเองโดนยำขนาดนี้ได้ไงวะ วิชาหมัดมวยที่เคยเรียนน่ะหายไปไหนหมด”
โบ้ทเข้ามาในห้องยังไม่ทันนั่ง พอเห็นม่อนตื่นก็เริ่มบรรเลงเพลงงิ้ว โวยวายใส่น้องชายต่างสายเลือดทันที
“สมัยก่อนตอนที่มีเรื่องกับเด็กช่างกลยังไม่เละขนาดนี้เลยนะโว้ย เดี้ยงมาแบบนี้อย่าไปบอกใครเชียวว่าเป็นน้องกู เสียชื่อว่ะ”
ม่อนถูกพามาส่งโรงพยาบาลตั้งแต่วันอาทิตย์ เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเลิกงานและกำลังจะกลับบ้าน ก่อนจะถูกพวกหมาลอบกัด กระชากเสื้อจากด้านหลัง เหวี่ยงเขาไปนอนกลิ้งกับพื้น พวกมันอาศัยจังหวะที่ม่อนยังไม่ทันตั้งตัว รุมหวดด้วยไม้หน้าสาม ตามด้วยขาแข้งจากใครก็ไม่รู้ประมาณห้าหกคน พอตั้งหลักได้ม่อนก็จัดการลุยใส่พวกมันบ้าง แต่คนเดียวมีหรือจะสู่คนหลายคนไหว
สภาพเขาเลยออกมาอย่างที่เห็น ใบหน้าแม้จะบวมช้ำแต่ตามเนื้อตัวของร่างกายแทบไม่โดนอะไรหนักหนา นอกจากขาที่หัก และได้ถูกหมอเข้าเฝือกไว้ให้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสภาพของม่อนก็ยังไม่ถูกใจ โบ้ทอยู่ดี เพราะหนุ่มไซส์จัมโบ้ยังคงก่นว่าไม่ยอมหยุด
“โด่ พี่ก็รู้นี่ ว่าถ้าตัวต่อตัว หรือสองรุมหนึ่ง พวกมันไม่คณามือผมหรอก แต่นี่มันมากันตั้งห้าหกคน รอดเจ็บมาแค่นี้ก็นับว่าเก่งแล้ว ไว้ตาตัวเองโดนบ้างเหอะ ไม่เจ็บขนาดผมก็ให้มันรู้ไป นี่ตัวเองไม่โดนยังจะมาซ้ำเติมคนอื่นอีก เป็นพี่ประสาอะไรวะ”
เขาโวยกลับตามประสาคนช่างยั่ว ส่วนโบ้ทคนยั่วขึ้น เมื่อโดนย้อนเข้าให้ก็หายใจฮึดฮัด มองม่อนขัดใจที่เจ็บแล้วยังทำซ่า มาตีฝีปากใส่อีก
“เออ มึงเก่ง ทีหน้าทีหลังถ้าเก่งจริงก็อย่าโทรเรียกให้พามาส่งโรงพยาบาลสิ ไอ้เรารึเป็นห่วงรีบมาแทบตาย ดูมันพอถึงมือหมอ ฟื้นมาเข้าหน่อยทำเป็นกร่าง ว่านิดว่าหน่อยไม่ได้เลยนะมึง”
โบ้ทบ่นน้อยใจ อันเป็นนิสัยประจำตัวที่ม่อนกับภานุชินซะแล้ว เพราะแกเป็นคนโกรธง่ายแต่แป๊บ ๆ ก็ลืม
“โธ่ พี่โบ้ททำน้อยใจไปได้ ไอ้ม่อนมันก็ปากหมาอย่างนี้ตั้งแต่เกิดล่ะอย่าไปถือมันเลยนะ” ภานุไกล่เกลี่ยตามหน้าที่ ขยิบตาให้ม่อนหุบปากแล้วถาม “ว่าแต่มึง ไปมีเรื่องกับใครมาวะ ถึงได้โดนรุมซะขนาดนี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน มองไม่เห็นหน้าใครสักคน” ม่อนเหลือบตามองเพดาน ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำ แต่ก็ยังนึกไม่ออก
“ ไม่มีคลับคล้ายสักคนเลยเหรอวะ อย่างน้อยก็น่าเป็นพวกที่มึงเคยไปกวนตีนเขาไว้น่า”
ม่อนลองนึกอีกครั้ง และก็เริ่มเห็นหน้าคนหนึ่งในจำนวนนั้นขึ้นมาลางๆ
“มีคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเห็นที่ผับบ่อย ๆ เคยมีเรื่องกับมันด้วย ตอนที่ไอ้นั้นเข้ามาจีบแจง”
“เหรอ” ภานุลองคิดทบทวนบ้าง “ ใช่ไอ้คนที่หน้าเหลี่ยม ๆ ตัวสูง ๆ หรือเปล่าวะ”
“ นั่นหละ คอยดูเหอะ รอให้กูหายก่อน จะไปคิดบัญชีทีหลัง”ม่อนกล่าวอาฆาต
“ดี กูไปด้วย เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับคนอย่างโบ้ท อย่างไอ้ม่อน เดี๋ยวได้ตายศพไม่สวยแน่” โบ้ทกำหมัดชกมือตัวเอง หมายมาดตั้งใจขอไปแก้แค้นด้วย จนลืมเรื่องโกรธเมื่อกี้เป็นปลิดทิ้ง
“คิดแล้วว่าพี่ต้องไม่ทิ้งผม” ม่อนจับมือโบ้ท ซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของพี่ชายยิ่งนัก
“มันแน่อยู่แล้ว ก็มึงเป็นน้องกูนี่หว่า”โบ้ทบีบมือตอบ โผกอดม่อนให้อีกที
ภานุทำหน้าเลี่ยน ไม่ค่อยซึ่งไปกับเขาเท่าไหร่ เพราะเห็นภาพความประทับใจโอเวอร์แบบนี้จนเอียนซะแล้ว
“ แล้วไง สรุปว่ามึงไปเหยียบจมูกอะไรมันเข้า ไม่งั้นอยู่ดี ๆ จะมาทำร้ายทำไม”
“ ไม่รู้ว่ะ จำไม่ได้ กูเคยเจอมันไม่กี่ครั้ง จะเอาเวลาตอนไหนไปเหยียบจมูกมันวะ” ม่อนพยายามนึกอีกครั้ง แต่เพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาหมาดๆ ทั้งแผลที่หน้า ที่ขา ทำเอาเจ็บระบมไปหมด ให้มานั่งคิดอะไรตอนนี้ เขาคงจะคิดออกหรอก
“โอ๊ย! ไม่อยากคิดแล้ว ปวดหัวโว้ย” ม่อนตัดบทหงุดหงิด
“เออ ปวดก็ไม่ต้องคิด แก้แค้นสิบปีก็ไม่สายโว้ย ว่าแต่แล้วเรื่องที่มึงเข้าโรงพยาบาลนี่ล่ะจะเอาไง ให้กูโทรไปบอกน้ารื่นให้เขามาเยี่ยมจะได้ออกค่ารักษาให้มึงมั้ย”
“อย่านะพี่ ห้ามบอกแม่เรื่องผมนอนโรงพยาบาลเด็ดขาด แม่ยิ่ง ขี้กังวลอยู่ด้วย ผมไม่อยากให้แม่ต้องร้อนใจ ไว้ผมจะโทรไปหาแม่เอง ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลไม่ต้องห่วง เพราะผมมีนี่” ม่อนหยิบบัตรทองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“แค่นี่ก็หมดเรื่อง” ม่อนยิ้มกระหยิ่มใจ กับทางออกที่เตรียมไว้
โบ้ท กับ ภานุ ถึงกับกุมขมับ ส่ายหัวระอากับความไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรของม่อนเลย
“โถ! ไอ้ม่อน! ไอ้โง่! “ มือใหญ่ตบกะโหลกน้องชายจนคอแทบหัก “มึงแหกตาดู มึงนอนโรงพยาบาลเอกชนโว้ย บัตรนี้มันใช้ไม่ได้”
“อ้าว! แล้วนี้จะทำไงดี ทำไมตอนมาส่งโรงพยาบาล ไม่ไปโรงพยาบาลรัฐ ผมบอกพี่ก่อนสลบแล้วไงว่าโรงพยาบาลรัฐๆ พี่หูหนวกหรือไง ถึงเอาผมมาไว้ในโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้ แล้วแทนที่จะจับยัดใส่ห้องรวม กลับเอามาไว้ห้องพิเศษอีก รู้ก็รู้ว่าผมไม่มีตังค์ เนี่ยกะจะแกล้งกันใช่มั้ยไอ้พี่บ้า” ม่อนโวยวายลั่นห้องโทษว่าเป็นความผิดของโบ้ท
“หนอย! ไอ้น้องเนรคุณ!! อุตส่าห์ส่งเข้าโรงพยาบาลให้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาว่าอีก เดี๋ยวพ่อก็เอาขวดน้ำเกลือทุบหัวซะนี่!” โบ้ทมีน้ำโห ถลึงตาใส่จนน่ากลัว
ถึงจะเคยเล่นหัวกันมายังไง แต่พอเห็นท่าทางเอาจริงของโบ้ทขึ้นมา ม่อนก็ออกจะเกรงๆ อยู่เหมือนกัน
“ก็ผมไม่มีตังค์นี่ แค่ค่าหอยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาได้” ม่อนเสียงอ่อนลง แล้วจู่ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ผมว่าออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลยดีกว่า นอนแค่คืนเดียวคงเสียตังค์ไม่เท่าไหร่ อีกอย่างผมเจ็บแค่นิดเดียว กลับไปรักษาเองได้”
ม่อนทำตามปาก ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ไม่ดูสังขารตัวเองเอาซะเลยว่ายังเดินไม่ได้ ร้อนถึงภานุต้องเข้ามาห้ามไว้
“ใจเย็นไอ้ม่อน หมอบอกว่ายังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องสักสามอาทิตย์ก่อน”
“ตั้งสามอาทิตย์ อย่างนี้ค่ารักษาก็บานเลยสิมึง ไม่เอาหรอก กูคนเหล็ก กูจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้”
ม่อนดื้อไม่ยอมทำตามที่บอก กระเสือกกระสนจะลุกจากเตียงให้ได้ โบ้ทสุดทนปรี่เข้าไปผลักม่อนนอนลงและกดไหล่สองข้างไว้
“มึงต้องนอนรักษาตัว ห้ามไปไหนทั้งนั้น ส่วนเรื่องค่ารักษาเดี๋ยวกูจัดการเอง”
“จะทำยังไง พี่มีเงินเหรอ”
“ไม่มี แต่ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้ผู้ใหญ่เขาช่วย กูจะบอกเรื่องนี้กับแม่มึงและก็ห้ามเถียง” โบ้ทชี้หน้าดัก ”กูรู้ว่ามึงต้องการพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าสามารถยืนด้วยลำแข้งได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ มันเกินตัว เกินความสามารถของมึงและของกู ดังนั้น มึงต้องให้น้ารื่นช่วย เพราะเขาเป็นแม่ มีสิทธิรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของลูก และกูก็รับรองว่าหากพ่อมึงรู้เรื่องนี้เข้า คงไม่ด่า ไม่ดูถูกมึงหรอก เชื่อสิ”
ม่อนหน้าบึ้ง ไม่ชอบใจที่โบ้ทตัดสินใจทำแบบนั้น เขายังคงคิดถึงศักดิ์ศรี ไม่อยากขอความช่วยเหลือทางบ้าน เพราะถึงโบ้ทจะบอกว่าพ่อจะไม่ดูถูกเขา แต่เขารู้ว่าถึงยังไงพ่อก็ยังดูถูกเขาอยู่ดีนั่นล่ะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แยมเดินนำกลุ่มเพื่อนสาวเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ แค่เพียงเห็นสาวผิวขาว ผมยาว ตัวเล็ก เดินมาด้วย สภาพอารมณ์ของม่อนก็ดูจะคลายลง เปลี่ยนเป็นความดีใจ และแจ่มใสขึ้นทันทีทันใด
ม่อนยิ้มทักทายทุกคนเป็นอย่างดี จนมาถึงคนที่มีดวงตากลมโตแลดูน่ารักที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ไหง! เธอไม่ยักมีรอยยิ้มให้เขาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับทำหน้าบูดบึ้ง เหมือนถูกบังคับให้มาอย่างนั้นล่ะ
“หวัดดีรสา ขอบใจนะที่มาเยี่ยม” ม่อนยิ้มหวาน ตาวาวระยิบ แต่ก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อโดนถลึงตากลับ
“เป็นไงบ้าง ไม่เห็นเจ็บมากเหมือนที่เขาลือกันเลยนี่” แยมมองสำรวจสภาพโดยรวมของม่อนที่ดูดีกว่าที่คิด
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยสงสัยพวกเพื่อนที่มาเยี่ยมตอนเช้าจะเอาไปพูดกันจนโอเวอร์” ม่อนจับแผลที่หน้ากลัวตัวเองจะไม่หล่อในสายตาของรสา
“นี่ล่ะน้า เขาถึงว่าคนพูด พูดหนึ่งอย่าง แต่เอาไปลือเป็นสิบอย่าง ลมปากคนเชื่อถือไม่ได้จริงๆ” นัทปลง นึกได้ว่ามีของมาเยี่ยมด้วย “เออ จริงสินี่ของเยี่ยม ส่งกระเช้าผลไม้ให้ม่อนสิ ยายจูน”
นัทสะกิดจูนที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนบิดตัวไปมา ด้วยความอายเพราะเห็นแววตาแฝงความพึงใจของโบ้ทกำลังจ้องมา นัทไม่ทันสังเกตเลย ดึงกระเช้าจากมือจูนมายื่นให้ซะเอง
“ขอให้หายไว ๆ นะ”
“ขอบใจ แล้วอีกคนหนึ่งล่ะจะไม่อวยพรให้หน่อยเหรอ”
ม่อนส่งสายตาไปทางรสา หวังให้เธอพูดอะไรกับเขาบ้าง เพราะไม่แน่ใจว่าเธอหายโกรธเรื่องวันนั้นแล้วหรือยัง หญิงสาวปรายตาค้อนขวับ สักพักจึงยิ้มหวานออกมา
“อยากได้ยินคำอวยพรจากฉันงั้นเหรอ”
ม่อนพยักหน้ารับ ยิ้มตอบ
“ได้ ขอให้แผลนายหายช้าๆ ติดเชื้อเป็นหนองจนรักษาไม่หายได้ยิ่งดี และขาที่เข้าเฝือกน่ะ ก็ขอให้กระดูกต่อไม่ติด จะได้ไม่ต้องออกจากโรงพยาบาล นอนแหมบแบบนี้ตลอดไปจนเป็นง่อยไปเลยดีมั้ย อุ๊บ!” มือแยมปิดปาก รสาไว้ก่อนที่คำอวยพรในเชิงร้ายจะพรั่งพรูออกมาอีก
ทุกคนในห้องตาค้าง อ้าปากหวอ คิดไม่ถึงว่ารสาจะอวยพรอะไรแบบนี้ รสาแกะมือที่ปิดปากออก ยิ้มกวน
“เป็นไง คำอวยพรฉัน หวังว่านายคงจะชอบนะ”
ม่อนพยายามฉีกยิ้มจนดูเหมือนแยกเขี้ยว รู้แล้วว่ารสาคงยังไม่หายโกรธเขาชัวร์ ไม่อย่างนั้นคงไม่แกล้งรวนอย่างนี้หรอก
“ก็ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ขอแนะนำว่าอย่าเผลอไปอวยพรแบบนี้กับใครเข้าล่ะ เพราะฉันไม่อยากเห็นคนไม่สวยอยู่แล้ว ต้องหน้าเละจนหมอไม่รับเย็บ” คนนอนบนเตียงรวนกลับบ้าง
“รับรองฉันไม่ไปอวยพรกับใครแน่ เพราะนี้เป็นคำพิเศษที่ฉันคิดให้สำหรับนายคนเดียว” รสาตอบตาขุ่น
“พอเถอะทั้งสองคน นี้มันโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่สนามรบ ไม่ต้องทำสงครามกันก็ได้” นัทเบรกเห็นสถานการณ์ชักไม่ค่อยดี เลยจับ รสาหันหลัง
“ไปเลยรสา ฉันว่าเรากลับกันได้แล้ว แต่ก่อนกลับเห็นทีจะต้องพาแกไปให้หมอตรวจปากสักหน่อย ไม่รู้ไปติดเชื้อบ้าที่ไหนมา ถึงกัดคนไม่เลือกหน้าแบบนี้”
นัทค่อน ดันเพื่อนสาวออกไปจากห้อง ไม่สนใจว่าจะถูกรสาค้อนเข้าให้ แล้วเถียงกลับว่าเธอไม่ใช่หมานะ
แยมยิ้มแหะๆ ขอโทษม่อนแทนรสา แถมแก้ตัวให้อีกว่าสงสัยเพื่อนเธอคงจะมีวันนั้นของเดือนก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ทำเอาม่อนหัวเราะชอบใจ ก่อนกลับเขาเรียกแยมเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างแล้วบอกลาด้วยท่าทางอารมณ์ดีผิดหูผิดตา
แยมยิ้มอารมณ์ดีเช่นกัน หันไปสะกิดเรียกจูนให้กลับ สาวร่างอ้วนไม่ได้ยินเพราะยังคงเขินอายกับแววตาของโบ้ทจนแยมต้องหยิกเนื้อหนาๆ ที่เอว จูนถึงรู้สึกตัวเดินตามไปด้วยท่าทางเสียดายเหลือเกิน
“ไอ้ม่อน ยายตากลมที่กัดมึงเมื่อกี้ใครวะ ท่าทางร้ายไม่เบาเลยนะ กูเองยังสยอง” โบ้ทกอดอก ทำตัวสั่น แสดงให้เห็นว่าสยองจริง
“อ๋อ ผมรู้”ภานุเสนอตัวตอบคำถาม “ เธอชื่อรสา เป็นเด็กใหม่ไอ้ม่อน มันกำลังตามจีบอยู่”
“จริงเหรอวะ ม่อน “โบ้ทตาโต ประหลาดใจ “คราวนี้ออกแนวน่ารักดีนี่ แต่กูว่ามันจะไม่ง่ายมั้ง ฟังจากที่เขาอวยพรมึงเมื่อกี้นี้ ท่าทางคงชอบมึงม้าก มาก"
โบ้ท ลากเสียงสูง หัวเราะเยาะเย้ย
“กูว่าถอยดีกว่ามั้ย เขาไม่ชอบมึงหรอก”
“ใครบอกว่าเขาไม่ชอบผม เขาอ่ะชอบผม แต่ชอบแบบผสมเกลียด รู้จักหรือเปล่า แล้วอีกหน่อยความเกลียดก็จะกลายเป็นรัก และผมจะต้องทำให้เขารักให้ได้ด้วย”
แววตาม่อนฉายความมุ่งมั่น หลังจากที่ได้จูบกับรสาวันนั้น เขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าชอบเธอเข้าอย่างจริงจัง และมักมีความสุขทุกครั้งยามที่คิดถึง แม้เป็นเพียงแค่จินตนาการว่าได้เห็นใบหน้าของเธอเท่านั้น
“แหวะ! ลิเกว่ะ” โบ้ทโก่งคออ้วกออกมาพร้อมภานุ “ เกิดมากูไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรได้ลิเกและน้ำเน่าแบบไอ้ม่อนอีกแล้ว”
“จริงพี่ จากเกลียดกลายเป็นรัก พูดมาได้ไงว่ะ ห่ามแบบมึงเนี่ยนะ” ภานุอ้วกแตกอ้วกแตน พะอืดพะอมเหลือเกิน
“เออ ขำกันเข้าไป ไม่มีความรักบ้างก็ให้มันรู้ไป” ม่อนหน้าแดง พลิกตัวตะแคงหันก้นให้
เห็นท่าทางงอนคล้ายผู้หญิงของม่อนแล้วยิ่งทำให้โบ้ทกับภานุขำกันเข้าไปใหญ่ นึกไม่ถึงว่าจะมีอาการขนาดนี้
“ว่าแต่พี่เหอะ พี่โบ้ท ไม่ได้กำลังมีความรักกับเขาบ้างเหรอ เห็นมองเพื่อนรสาตาเป็นมันเลยนะ” ภานุหยุดขำ แล้วมาแซวโบ้ทแทน
ม่อนพลิกตัวกลับแสดงความสนใจ โบ้ทถูกสายตาสองหนุ่มจับจ้องก็เขินนิดหน่อย หน้าแดงจนดำเพราะความอาย
“ใครพี่ แยมเหรอ” ม่อนเดา เพราะรู้ว่าสเปกของโบ้ทจะชอบผู้หญิงตัวเล็กๆ
“ไม่ใช่โว้ย ยายคนที่หุ่นกลมจ้ำม่ำหน่อยนั่นแหละ ชื่ออะไรนะ”
ภานุพยายามนึกชื่อ
“จูนเหรอพี่”
“เขาชื่อจูนเหรอไอ้นุ เคยเห็นหน้าตอนทำกิจกรรม พอมาดูใกล้ๆ แล้วน่ารักดีว่ะ” โบ้ทแสดงความสนใจ กุมมือตัวเองไว้ที่อก ดวงตาเพ้อฝัน “พี่ว่า พี่เจอรักใหม่เข้าแล้วล่ะไอ้น้อง”
ม่อนและภานุมองตากัน กลั้วยิ้มกับความรักครั้งใหม่ของพี่โบ้ทที่ดูท่าสาวในสเปกจะค่อยๆ เพี้ยนหนักขึ้นทุกวัน จากที่เคยชอบสาวสวย กลายมาเป็นหน้าตาพอใช้ และมาครั้งล่าสุดพี่โบ้ทกลับพึงใจกับสาวไซส์ใกล้เคียง
แต่ขึ้นชื่อว่าความรัก ย่อมไม่มีกฎเกณฑ์อะไรแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะ เวลา และเหตุการณ์ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดให้มันเป็นไป
“เอาเถอะ แล้วพวกผมจะเอาใจช่วย หวังว่ารักครั้งนี้คงไม่ลงเอยที่คำว่า “อกหัก” อีกนะ ไม่งั้นผมว่างานนี้ พี่ไปบวชเลยดีกว่า เพราะดูท่าแล้วในผืนปฐพีนี้ พี่คงไม่เหมาะกับผู้หญิงคนไหนเลยก็ได้ นอกจากลิงคิงคองเพศเมียที่อาจจะชอบเพราะเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน”
ม่อนพูดเองหัวเราะเอง ผลก็คือเขาเกือบโดนโบ้ทกระโดดเตะปาก หากไม่มีภานุเข้ามาจับขาเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น เห็นทีงานนี้ ม่อนคงต้องบวกค่ารักษาปากไปอีกหนึ่งรายการแน่!
ความคิดเห็น