ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    @_@ [[ห้องเก็บของ]] @_@

    ลำดับตอนที่ #7 : ลำดับตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 52


    ท้องฟ้ากำลังร้องครวญ...

    เมฆทะมึนกลุ่มใหญ่แผ่กว้างปกคลุมทั่วอาณาบริเวณของป่าลึก ประกายไฟแล่นแปลบปลาบข้ามผ่านกลุ่มเมฆ  ส่งเสียงครางครืนดังกึกก้องแผ่เข้าไปในความมืดมิดยามราตรี  ก่อนที่ฝนเม็ดใหญ่จะเทซู่ลงมาจากเบื้องบนไม่ขาดสาย กลิ่นฝนคลุ้งกระจาย เสียงซ่ากังวานไปทั่วบริเวณ หยดหนึ่งต้องลงบนใบไม้ก่อนกลิ้งไหลไปตามความยาวใบและร่วงลงสู่ผืนดิน ท่ามกล่างความสงบเงียบ พุ่มไม้ขนาดกลางสั่นไหวรุนแรงเพราะบางสิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปด้วยความเร็ว  ย่ำแอ่งน้ำบนพื้นจนกระเซ็น

    ทางนั้น!” เสียงตะโกนดังอื้ออึงแข่งกับเสียงซ่าของสายฝน  ชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มราวสี่คนกำลังวิ่งไล่บางอย่างไปจนถึงรั้วตาข่ายเหล็กสูง มีชายร่างผอมสูงสวมแว่นในชุดกราวนด์สีขาวรั้งท้าย นัยน์ตาเล็กหลังเลนส์แว่นบางแทบจะข่มความปิติไว้ไม่มิด มันลุกวาวโชติช่วง แต่กลับก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีในใจของผู้พบเห็น เขาก้าวผ่านพุ่มไม้ไปจนสุดเขตของสถานบันวิจัยที่ถูกกั้นไว้ด้วยรั้วเหล็กเป็นแนวยาว

    เปรี้ยง!!

    อัสนีพาดผ่านผืนฟ้า แสงสีเงินสว่างวาบ  แม้จะชั่วพริบตาแต่ก็มากพอจะทำให้เขาได้เห็นผลงานชิ้นโบแดงของตน ชายทั้งสี่ที่มาถึงก่อนหายใจกระตุก เบิกตากว้างด้วยความตระหนกกับภาพตรงหน้า คนหนึ่งถึงกับปล่อยอาวุธในมือลงพื้นอย่างไม่อาจควบคุม แต่กลับกัน ภาพนั้นสามารถดึงเอาความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจของชายชุดขาวให้พลุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงขีดสุด

     สำเร็จแล้ว!!

    ร่างเล็กที่พวกเขาวิ่งไล่มานั้นบัดนี้ราวกับสิ่งที่เรียกว่า สัตว์ประหลาด ก็มิปาน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายเผยให้เห็นเส้นขนที่ปกคลุมไปทั่วตัว มันขลับ ดำมืดยิ่งกว่าราตรีกาลและซับน้ำฝนไว้จนชุ่ม ใบหน้าที่ควรจะเป็นของมนุษย์ก็กลับยาวยื่นออกมาราวสุนัขป่า หูทั้งสองข้างลู่ลง ดวงตาแดงก่ำสะท้อนวิบวับในความมืด น้ำลายไหลยืดย้อยลงมา มือสองข้างกุมศีรษะของตนไว้แน่น สะบัดซ้ายขวาดั่งกำลังได้รับความทรมาน มันบิดกายและส่งเสียงคำรามโหยหวนดังก้องไปทั่ว  ราวกับจะถ่ายทอดความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายออกมาพร้อมกัน  

    “โบร๊ววววว!!”

     

    มรรคาเบิกตาโพลงและสะดุ้งสุดตัว เขาหายใจหอบ ทั้งร่างสั่นระริก ใจเต้นระรัวกับฝันร้ายกลางดึกของตน เหงื่อซึมทั่วกาย เสื้อกล้ามเนื้อบางสีขาวจึงได้ชื้นไปหมด  

    ไม่เป็นไร... เราปลอดภัยแล้ว  ไม่เป็นไรแล้ว

    เด็กชายคิดซ้ำไปซ้ำมา  พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อข่มอารมณ์ตามที่ได้รับการฝึกฝน แต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะดวงตาคู่คมนั้นยังวาวโรจน์ ฟันขบกันแน่น ไม่นานก็กลับไปหอบหายใจ มือไม้สั่น เขาออกแรงกำมือจนเล็บจิกเข้าเนื้อและส่งเสียงคำรามออกมาคล้ายสัตว์ป่าดุร้าย  ใบหน้าเริ่มยืดยาวออก ขนสีดำเริ่มผุดขึ้นมาตามรูขุมขนจนกระทั่งปกคลุมไปทั่วทั้งตัว  การเปลี่ยนแปลงนี้เจ็บปวดเกินกว่าเด็กๆ ในวัยสิบสามปีจะรับได้  มรรคาดิ้นพล่าน  อาละวาดอยู่ในห้องนอนสี่เหลี่ยม  เสียงดังโครมครามด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นมหาศาล!

    มรรคา!!” ประตูห้องนอนของเขาเปิดกว้าง  ร่างสูงโปร่งของผู้มาใหม่ถลาเข้ามาในห้อง  เธออยู่ในชุดกราวนด์สีขาวของนักวิทยาศาสตร์  ผมสีดำเงางามถูกรวบเป็นมวยดูเรียบร้อย  ดวงตาเรียวสีมรกตหลังกรอบแว่นเบิกกว้างด้วยความตกใจ

    ใจเย็นไว้เธอตะโกนบอก  เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังพอมีสติอยู่กับตัว  แต่เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าใกล้  นัยน์ตาของมรรคาก็แวววาวฉายประกายคุ้มคลั่งของสัตว์ป่าขึ้นมาทำให้หล่อนผงะออก  จำต้องเว้นระยะห่าง 

    ระวังนะ  เอมีเลียชายหนุ่มที่ก้าวตามเข้ามาร้องเตือน  หัวคิ้วมุ่นรวมกัน  ดวงตาตึงเครียดหรี่ลง  ในมือเขาถือเข็มฉีดยาบรรจุยาสลบสีฟ้าใสเอาไว้  หญิงสาวนามเอมิเลียละสายตาจากร่างอมนุษย์ไปมองเขาเพียงแวบเดียว  เมื่อหันกลับมามรรคาก็เงื้อมือรออยู่แล้ว

    กรี๊ด!!” กรงเล็บตวัดวูบในขณะที่เอมีเลียร้องลั่น  มันพลาดจากหล่อนไปนิดเดียวเท่านั้น  นักบำบัดสาวถอยหลังชิดกำแพง  มรรคากระโดดตามมาแล้วฟาดมือเข้าไปเต็มแรง!  เสียงดังโครม  แต่ไม่ถูกตัวเป้าหมาย  เธอพลิกตัวหลบได้ทัน  กรงเล็บของอสูรจึงฝังลงไปกับปูนซีเมนต์  มันพยายามดึงมือออกมาแต่ไม่สำเร็จ

    ดีแลน!” เอมีเลียตะโกนเรียกสุดเสียง  ขณะที่เจ้าของชื่อพุ่งเข้ามาแล้วฉีดยาสลบลงหลังของมรรคาซึ่งชะงักงัน  อสูรตัวน้อยกระตุกรุนแรงก่อนหยุดนิ่ง  แปรเปลี่ยนเป็นร่างเดิมช้าๆ พร้อมกับที่ดวงตาสีแดงก่ำหรี่ลง  และปิดสนิทในที่สุด

    นักบำบัดสาวหอบหายใจเฮือกใหญ่  ร่างที่พิงกำแพงอยู่ทรุดลงนั่งกับพื้น  ไม่สนใจแม้พื้นห้องจะเต็มไปด้วยเศษอิฐเศษปูน  มือเรียวสั่นเล็กๆ  เธอยอมรับว่ายังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่พอสมควร  แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มรรคาคุ้มคลั่งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มรรคาหันมาทำร้ายเธอ

    เกือบหนึ่งปีแล้วที่เธอทำการบำบัดให้มรรคา  ในเวลาปกติเด็กชายควบคุมอารมณ์ได้ดี  แต่เวลาที่จิตใต้สำนึกมีอิทธิพลเหนือการควบคุมอย่างเวลานอน  เหตุการณ์มักจะลงเอยเช่นนี้ทุกครั้งไป  บางทีคงต้องปรับวิธีบำบัดกันอีกหน่อย 

    ดีแลนย่อตัวลงอุ้มร่างปวกเปียกของเด็กชายขึ้นมา  แล้ววางลงบนเตียงสีขาวอย่างแผ่วเบา เอมีเลียลุกขึ้น  ก้าวมานั่งข้างเตียง  มองใบหน้าไร้เดียงสายามหลับของมรรคา  มันทำให้หล่อนรู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน  เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ  แต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องร้ายแรงมากมาย  ตั้งแต่พบกันหล่อนแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มของเด็กชายเลย 

    อันที่จริงก็ไม่แปลก  ในสถานการณ์อย่างนี้  ใครมันจะยังยิ้มได้...

    เฮ้อ... ร่างบางถอนใจ  นัยน์ตาหลังเลนส์แว่นบางเหม่อมองผนังห้องอย่างไร้ความหวัง  มือหนาของชายหนุ่มตบเบาๆ ลงบนไหล่เธอสองสามครั้ง  ทั้งคู่สบตากันในความเงียบงัน  ต่างก็รู้และเข้าใจถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี 

    จิตใจของมรรคา...  พวกเขาต้องรักษาไว้ให้ได้

     

    แสงแดดแยงตาจนมรรคารู้สึกตัว  ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วที่เขาหมดสติไป เดาได้ว่านานอยู่เพราะแสงอาทิตย์สว่างจ้าคล้ายเวลาเที่ยงวัน  เด็กชายขยับเปลือกตาเปิดช้าๆ แล้วมองเพดานห้องสีขาวนิ่ง  ถึงตอนกลายร่างไป  เขาจะคุ้มคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้แต่เขาก็จำทุกๆ อย่างได้ดี  ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นแจ่มชัดอยู่ในหัว  โดยเฉพาะใบหน้าตื่นกลัวของเอมีเลีย  นักบำบัดสาวที่ดูแลเขาด้วยความอ่อนโยนและเอาใจใส่เสมอมา  มรรคากัดฟันแน่น  ดวงตาคู่คมดูปวดร้าว  กำผ้าปูที่นอนสีอ่อนราวกับจะระบายความรู้สึกเจ็บแค้นออกไป 

    ทั้งที่ดีกับเขาขนาดนั้น  แต่เขากลับทำร้ายเธอ...  ทำร้ายเธอ!! 

    เด็กชายเกลียดตัวเองเหลือเกิน

    ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้วเนอะ

    เพราะประตูเปิดแง้มอยู่  เสียงของเอมีเลียเลยแว่วเข้ามาในห้อง  คนเพิ่งตื่นผุดลุกขึ้นจากที่นอน  มรรคาอยากออกไปหา  อยากดูให้แน่ใจว่าเอมีเลียปลอดภัย  แต่ก็ไม่กล้าสู้หน้าเธอจึงได้แต่ยืนค้างอยู่ข้างเตียง

    ฮื่อ เสียงดีแลน...  มรรคาคิด

    แต่ดูเหมือนว่า  อาการของมรรคายังไม่ดีขึ้นเลยสักนิดหล่อนพูดต่อ  แม้จะไม่เห็นหน้าแต่มรรคาพอจะจับความกังวลและความเสียใจในน้ำเสียงของเธอได้  นัยน์ตาของเด็กน้อยจึงยิ่งหมอง  ล้มเลิกความคิดที่จะออกไปหาเอมีเลียโดยสิ้นเชิง

    ฉันเป็นนักบำบัดประสาอะไรกันนะ แค่ทำให้เขายิ้มฉันยังทำไม่ได้เลย คราวนี้เป็นความรู้สึกขมขื่น  เด็กชายหลุบตามองพื้น  เขาเพิ่งจะรู้สึกตัว  หนึ่งปีมานี้  ไม่สิ... นานกว่านั้นอีก  หลังจากวันที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต  เขาก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย  แต่ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความผิดของเอมีเลียสักนิด  ไม่ใช่เลย...

    มรรคาเม้มปาก  ตั้งใจจะเขยิบเข้าใกล้ประตูอย่างเงียบๆ  แต่เท้าเจ้ากรรมดันเหยียบลงบนเศษปูนที่ยังหลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์ช่วงเช้าเข้าไปเต็มๆ เขาหลุดปากอุทาน  ก้มลงกุมเท้าตรงที่เจ็บ เสียงของนักบำบัดทั้งคู่เงียบไป  ก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าก้าวตรงมายังห้องนอนของเขา  มรรคาตัวแข็งไม่กล้าขยับไปไหน  แม้แต่ตอนที่ทั้งคู่เปิดประตูเข้ามาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  หัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงเมื่อคิดไปว่าเอมีเลียและดีแลนจะอาจจะโกรธหรือเกลียดตน  พายุแห่งความปั่นป่วนกำลังพัดกระหน่ำภายในใจของเด็กชาย 

    ตื่นแล้วเหรอ  มรรคาเอมีเลียถามด้วยกระแสเสียงที่อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง  เด็กชายค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามด้วยความฉงน  แล้วก็ทั้งยินดีปนประหลาดใจเมื่อพบว่า เอมีเลียและดีแลนกำลังยิ้มให้ตนเอง  มรรคารู้สึกเหมือนพายุในใจกำลังสงบลง 

    ยิ้มหรือ...  ความรู้สึกที่ได้รับรอยยิ้มมันอบอุ่นแบบนี้เอง  ทำไมเพิ่งจะมารู้ตัวนะ  ถ้าเขายิ้มให้ทั้งคู่บ้าง  ฝั่งนั้นก็จะรู้สึกคลายความกังวลลงเหมือนกันใช่ไหม

    เด็กชายคิด  หลับตาลงแผ่วเบาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  นักบำบัดทั้งสองมองดูเขาอย่างแปลกใจ  เมื่อมรรคาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เอมีเลียก็สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่นั้นดูใสกระจ่าง ไม่หม่นหมองเท่าทีแรกอีกแล้ว  ท่ามกลางความประหลาดใจของนักบำบัดทั้งสอง  ใบหน้าของเด็กชายก็ปรากฏรอยยิ้มที่แจ่มใสและเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×