คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ลำดับตอนที่ 7
ท้องฟ้ากำลังร้องครวญ...
เมฆทะมึนกลุ่มใหญ่แผ่กว้างปกคลุมทั่วอาณาบริเวณของป่าลึก ประกายไฟแล่นแปลบปลาบข้ามผ่านกลุ่มเมฆ ส่งเสียงครางครืนดังกึกก้องแผ่เข้าไปในความมืดมิดยามราตรี ก่อนที่ฝนเม็ดใหญ่จะเทซู่ลงมาจากเบื้องบนไม่ขาดสาย กลิ่นฝนคลุ้งกระจาย เสียงซ่ากังวานไปทั่วบริเวณ หยดหนึ่งต้องลงบนใบไม้ก่อนกลิ้งไหลไปตามความยาวใบและร่วงลงสู่ผืนดิน ท่ามกล่างความสงบเงียบ พุ่มไม้ขนาดกลางสั่นไหวรุนแรงเพราะบางสิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปด้วยความเร็ว ย่ำแอ่งน้ำบนพื้นจนกระเซ็น
“ทางนั้น!” เสียงตะโกนดังอื้ออึงแข่งกับเสียงซ่าของสายฝน ชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มราวสี่คนกำลังวิ่งไล่บางอย่างไปจนถึงรั้วตาข่ายเหล็กสูง มีชายร่างผอมสูงสวมแว่นในชุดกราวนด์สีขาวรั้งท้าย นัยน์ตาเล็กหลังเลนส์แว่นบางแทบจะข่มความปิติไว้ไม่มิด มันลุกวาวโชติช่วง แต่กลับก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีในใจของผู้พบเห็น เขาก้าวผ่านพุ่มไม้ไปจนสุดเขตของสถานบันวิจัยที่ถูกกั้นไว้ด้วยรั้วเหล็กเป็นแนวยาว
เปรี้ยง!!
อัสนีพาดผ่านผืนฟ้า แสงสีเงินสว่างวาบ แม้จะชั่วพริบตาแต่ก็มากพอจะทำให้เขาได้เห็นผลงานชิ้นโบแดงของตน ชายทั้งสี่ที่มาถึงก่อนหายใจกระตุก เบิกตากว้างด้วยความตระหนกกับภาพตรงหน้า คนหนึ่งถึงกับปล่อยอาวุธในมือลงพื้นอย่างไม่อาจควบคุม แต่กลับกัน ภาพนั้นสามารถดึงเอาความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจของชายชุดขาวให้พลุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงขีดสุด
สำเร็จแล้ว!!
ร่างเล็กที่พวกเขาวิ่งไล่มานั้นบัดนี้ราวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘สัตว์ประหลาด’ ก็มิปาน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายเผยให้เห็นเส้นขนที่ปกคลุมไปทั่วตัว มันขลับ ดำมืดยิ่งกว่าราตรีกาลและซับน้ำฝนไว้จนชุ่ม ใบหน้าที่ควรจะเป็นของมนุษย์ก็กลับยาวยื่นออกมาราวสุนัขป่า หูทั้งสองข้างลู่ลง ดวงตาแดงก่ำสะท้อนวิบวับในความมืด น้ำลายไหลยืดย้อยลงมา มือสองข้างกุมศีรษะของตนไว้แน่น สะบัดซ้ายขวาดั่งกำลังได้รับความทรมาน มันบิดกายและส่งเสียงคำรามโหยหวนดังก้องไปทั่ว ราวกับจะถ่ายทอดความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายออกมาพร้อมกัน
“โบร๊ววววว!!”
มรรคาเบิกตาโพลงและสะดุ้งสุดตัว เขาหายใจหอบ ทั้งร่างสั่นระริก ใจเต้นระรัวกับฝันร้ายกลางดึกของตน เหงื่อซึมทั่วกาย เสื้อกล้ามเนื้อบางสีขาวจึงได้ชื้นไปหมด
ไม่เป็นไร... เราปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว
เด็กชายคิดซ้ำไปซ้ำมา พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อข่มอารมณ์ตามที่ได้รับการฝึกฝน แต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะดวงตาคู่คมนั้นยังวาวโรจน์ ฟันขบกันแน่น ไม่นานก็กลับไปหอบหายใจ มือไม้สั่น เขาออกแรงกำมือจนเล็บจิกเข้าเนื้อและส่งเสียงคำรามออกมาคล้ายสัตว์ป่าดุร้าย ใบหน้าเริ่มยืดยาวออก ขนสีดำเริ่มผุดขึ้นมาตามรูขุมขนจนกระทั่งปกคลุมไปทั่วทั้งตัว การเปลี่ยนแปลงนี้เจ็บปวดเกินกว่าเด็กๆ ในวัยสิบสามปีจะรับได้ มรรคาดิ้นพล่าน อาละวาดอยู่ในห้องนอนสี่เหลี่ยม เสียงดังโครมครามด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นมหาศาล!
“มรรคา!!” ประตูห้องนอนของเขาเปิดกว้าง ร่างสูงโปร่งของผู้มาใหม่ถลาเข้ามาในห้อง เธออยู่ในชุดกราวนด์สีขาวของนักวิทยาศาสตร์ ผมสีดำเงางามถูกรวบเป็นมวยดูเรียบร้อย ดวงตาเรียวสีมรกตหลังกรอบแว่นเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ใจเย็นไว้” เธอตะโกนบอก เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังพอมีสติอยู่กับตัว แต่เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าใกล้ นัยน์ตาของมรรคาก็แวววาวฉายประกายคุ้มคลั่งของสัตว์ป่าขึ้นมาทำให้หล่อนผงะออก จำต้องเว้นระยะห่าง
“ระวังนะ เอมีเลีย” ชายหนุ่มที่ก้าวตามเข้ามาร้องเตือน หัวคิ้วมุ่นรวมกัน ดวงตาตึงเครียดหรี่ลง ในมือเขาถือเข็มฉีดยาบรรจุยาสลบสีฟ้าใสเอาไว้ หญิงสาวนามเอมิเลียละสายตาจากร่างอมนุษย์ไปมองเขาเพียงแวบเดียว เมื่อหันกลับมามรรคาก็เงื้อมือรออยู่แล้ว
“กรี๊ด!!” กรงเล็บตวัดวูบในขณะที่เอมีเลียร้องลั่น มันพลาดจากหล่อนไปนิดเดียวเท่านั้น นักบำบัดสาวถอยหลังชิดกำแพง มรรคากระโดดตามมาแล้วฟาดมือเข้าไปเต็มแรง! เสียงดังโครม แต่ไม่ถูกตัวเป้าหมาย เธอพลิกตัวหลบได้ทัน กรงเล็บของอสูรจึงฝังลงไปกับปูนซีเมนต์ มันพยายามดึงมือออกมาแต่ไม่สำเร็จ
“ดีแลน!” เอมีเลียตะโกนเรียกสุดเสียง ขณะที่เจ้าของชื่อพุ่งเข้ามาแล้วฉีดยาสลบลงหลังของมรรคาซึ่งชะงักงัน อสูรตัวน้อยกระตุกรุนแรงก่อนหยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นร่างเดิมช้าๆ พร้อมกับที่ดวงตาสีแดงก่ำหรี่ลง และปิดสนิทในที่สุด
นักบำบัดสาวหอบหายใจเฮือกใหญ่ ร่างที่พิงกำแพงอยู่ทรุดลงนั่งกับพื้น ไม่สนใจแม้พื้นห้องจะเต็มไปด้วยเศษอิฐเศษปูน มือเรียวสั่นเล็กๆ เธอยอมรับว่ายังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่พอสมควร แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มรรคาคุ้มคลั่งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มรรคาหันมาทำร้ายเธอ
เกือบหนึ่งปีแล้วที่เธอทำการบำบัดให้มรรคา ในเวลาปกติเด็กชายควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่เวลาที่จิตใต้สำนึกมีอิทธิพลเหนือการควบคุมอย่างเวลานอน เหตุการณ์มักจะลงเอยเช่นนี้ทุกครั้งไป บางทีคงต้องปรับวิธีบำบัดกันอีกหน่อย
ดีแลนย่อตัวลงอุ้มร่างปวกเปียกของเด็กชายขึ้นมา แล้ววางลงบนเตียงสีขาวอย่างแผ่วเบา เอมีเลียลุกขึ้น ก้าวมานั่งข้างเตียง มองใบหน้าไร้เดียงสายามหลับของมรรคา มันทำให้หล่อนรู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องร้ายแรงมากมาย ตั้งแต่พบกันหล่อนแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มของเด็กชายเลย
อันที่จริงก็ไม่แปลก ในสถานการณ์อย่างนี้ ใครมันจะยังยิ้มได้...
“เฮ้อ... ” ร่างบางถอนใจ นัยน์ตาหลังเลนส์แว่นบางเหม่อมองผนังห้องอย่างไร้ความหวัง มือหนาของชายหนุ่มตบเบาๆ ลงบนไหล่เธอสองสามครั้ง ทั้งคู่สบตากันในความเงียบงัน ต่างก็รู้และเข้าใจถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
จิตใจของมรรคา... พวกเขาต้องรักษาไว้ให้ได้
แสงแดดแยงตาจนมรรคารู้สึกตัว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วที่เขาหมดสติไป เดาได้ว่านานอยู่เพราะแสงอาทิตย์สว่างจ้าคล้ายเวลาเที่ยงวัน เด็กชายขยับเปลือกตาเปิดช้าๆ แล้วมองเพดานห้องสีขาวนิ่ง ถึงตอนกลายร่างไป เขาจะคุ้มคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้แต่เขาก็จำทุกๆ อย่างได้ดี ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นแจ่มชัดอยู่ในหัว โดยเฉพาะใบหน้าตื่นกลัวของเอมีเลีย นักบำบัดสาวที่ดูแลเขาด้วยความอ่อนโยนและเอาใจใส่เสมอมา มรรคากัดฟันแน่น ดวงตาคู่คมดูปวดร้าว กำผ้าปูที่นอนสีอ่อนราวกับจะระบายความรู้สึกเจ็บแค้นออกไป
ทั้งที่ดีกับเขาขนาดนั้น แต่เขากลับทำร้ายเธอ... ทำร้ายเธอ!!
เด็กชายเกลียดตัวเองเหลือเกิน
“ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้วเนอะ”
เพราะประตูเปิดแง้มอยู่ เสียงของเอมีเลียเลยแว่วเข้ามาในห้อง คนเพิ่งตื่นผุดลุกขึ้นจากที่นอน มรรคาอยากออกไปหา อยากดูให้แน่ใจว่าเอมีเลียปลอดภัย แต่ก็ไม่กล้าสู้หน้าเธอจึงได้แต่ยืนค้างอยู่ข้างเตียง
“ฮื่อ” เสียงดีแลน... มรรคาคิด
“แต่ดูเหมือนว่า อาการของมรรคายังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด” หล่อนพูดต่อ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่มรรคาพอจะจับความกังวลและความเสียใจในน้ำเสียงของเธอได้ นัยน์ตาของเด็กน้อยจึงยิ่งหมอง ล้มเลิกความคิดที่จะออกไปหาเอมีเลียโดยสิ้นเชิง
“ฉันเป็นนักบำบัดประสาอะไรกันนะ แค่ทำให้เขายิ้มฉันยังทำไม่ได้เลย” คราวนี้เป็นความรู้สึกขมขื่น เด็กชายหลุบตามองพื้น เขาเพิ่งจะรู้สึกตัว หนึ่งปีมานี้ ไม่สิ... นานกว่านั้นอีก หลังจากวันที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต เขาก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความผิดของเอมีเลียสักนิด ไม่ใช่เลย...
มรรคาเม้มปาก ตั้งใจจะเขยิบเข้าใกล้ประตูอย่างเงียบๆ แต่เท้าเจ้ากรรมดันเหยียบลงบนเศษปูนที่ยังหลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์ช่วงเช้าเข้าไปเต็มๆ เขาหลุดปากอุทาน ก้มลงกุมเท้าตรงที่เจ็บ เสียงของนักบำบัดทั้งคู่เงียบไป ก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าก้าวตรงมายังห้องนอนของเขา มรรคาตัวแข็งไม่กล้าขยับไปไหน แม้แต่ตอนที่ทั้งคู่เปิดประตูเข้ามาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง หัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงเมื่อคิดไปว่าเอมีเลียและดีแลนจะอาจจะโกรธหรือเกลียดตน พายุแห่งความปั่นป่วนกำลังพัดกระหน่ำภายในใจของเด็กชาย
“ตื่นแล้วเหรอ มรรคา” เอมีเลียถามด้วยกระแสเสียงที่อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เด็กชายค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามด้วยความฉงน แล้วก็ทั้งยินดีปนประหลาดใจเมื่อพบว่า เอมีเลียและดีแลนกำลังยิ้มให้ตนเอง มรรคารู้สึกเหมือนพายุในใจกำลังสงบลง
ยิ้มหรือ... ความรู้สึกที่ได้รับรอยยิ้มมันอบอุ่นแบบนี้เอง ทำไมเพิ่งจะมารู้ตัวนะ ถ้าเขายิ้มให้ทั้งคู่บ้าง ฝั่งนั้นก็จะรู้สึกคลายความกังวลลงเหมือนกันใช่ไหม
เด็กชายคิด หลับตาลงแผ่วเบาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นักบำบัดทั้งสองมองดูเขาอย่างแปลกใจ เมื่อมรรคาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เอมีเลียก็สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่นั้นดูใสกระจ่าง ไม่หม่นหมองเท่าทีแรกอีกแล้ว ท่ามกลางความประหลาดใจของนักบำบัดทั้งสอง ใบหน้าของเด็กชายก็ปรากฏรอยยิ้มที่แจ่มใสและเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน
ความคิดเห็น