คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Diaryคุณลุงปริศนา ตอน ลาก่อน
บันทึกของคุณลุงปริศนา 7
…………………………………………………….
“ยินดีที่ได้เจอกันอีก มิคเคลสัน” เสียงอันคุ้นเคยที่เมื่อฟังแล้วทั้งดีใจ ตกใจ เศร้าใจหลอมรวมอยู่ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าอันเคยชินที่ถึงจะไม่ได้พบเห็นมานานมากกว่า4ปี แต่ก็จำได้ไม่เคยลืมเลือนไปเลยในความทรงจำ แววตาที่เคยร้องไห้ด้วยกัน ริมฝีปากที่เคยหัวเราะด้วยกัน มาบัดนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าใจหาย
“…ไม่จริง…นาย มาที่นี่ได้ยังไง?” ผมพยายามอดกลั้นทั้งน้ำตาและเสียงที่เริ่มสั่น ผู้ที่นั่งอยู่ที่โซฟาในเงามืดนั่นค่อยๆย่างก้าวเข้ามาช้าๆ ผมเองก็ร่นถอยหลังไปด้วยขาที่สั่นเทิ้ม จนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงห้อง จะเปิดประตูหนีไปก็สายไปเสียแล้ว เพราะร่างนั้นได้เข้ามายืนประชิดตัวจนห่างกันไม่กี่เซนต์
“กลัวเหรอ?” ร่างที่ยังคงมีเงามาบดบังใบหน้านั้นกล่าวขึ้น มิคเคลสันเริ่มหายใจถี่ขึ้นเพราะหัวใจเต้นเร็วระรัว น้ำตาที่อยากจะไหลออกมากลับแห้งเหือดไป อยากจะตะโกนให้คนมาช่วยแต่ก็ทำไม่ได้ ในตอนนี้เหมือนร่างกายแข็งทื่อดั่งหินผา อยากที่จะหลบสายตาแต่ก็ขยับไม่ได้
“ถ ถอยออกไปซะ! ชั้นถึงจะยอมพูดด้วย” มิคเคลสันที่ตอนนี้ถูกร่างที่สูงกว่าประชิดแนบเข้ามาไม่มีทางอื่นให้หนีอีกแล้วเว้นแต่จะต้องเพชิญหน้ากันตรงๆ ร่างสูงกว่านั้นแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปล็อกประตู แล้วร่นถอยออกมา
“เชิญนั่งก่อนสิ” ชายปริศนาผู้นี้ผายมือให้มิคเคลสันนั่งลงที่เก้าอี้หนังตัวตรงข้ามกับเก้าอี้ของเขา มิคเคลสันพยายามรวบรวมสติ แล้วก้าวเดินช้าๆไปนั่งที่ตรงนั้น ก่อนจะเริ่มบทสนทนา ชายปริศนารินชาให้มิคเคลสันอย่างทะนุถนอมที่สุด
“ฮึๆๆ ไม่ต้องกลัวไปหรอก มิคเคลสัน ชั้นไม่ชักปืนขึ้นมากราดยิงนายหรอก” ชายปริศนาเริ่มจิบน้ำชาด้วยแก้วใบงามอย่างบรรจง แสงแดดในเวลาที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าม่านทำให้เห็นใบหน้าและเรือนร่างของบุคคลปริศนานี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
“มาทำอะไรที่นี่กัน ‘เวลส์’ ”
.
.
.
“ลุงไม่มาซะทีน้า” นัวร์เท้าคางนั่งคนกาแฟไปพลางๆ การไม่มีคนให้แกล้งนี่มันช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกินหนอ~~~ ลาเรียลหลับไปแล้ว ชาเรสนั่งเช็ดมีดอยู่ที่โต๊ะ วิลอ่านนิยายอย่างเงียบเชียบในมุมๆหนึ่ง ภายในร้านบรรยากาศเงียบเหงาผิดปกติจนทุกคนเริ่มอึดอัด เครย์เองทั้งๆที่เป็นคนเงียบๆแต่กลับไม่มีสมาธิจะอ่านนิยายของวิลเลย
“เฮ้อ~~ ทั้งๆที่บอกว่าถ้าเก็บของที่บ้านเสร็จแล้วให้มาที่ร้านแท้ๆ อาจจะยังเก็บไม่เสร็จมั้ง” วิลวางหนังสือลงแล้วเหม่อท้องฟ้าซักครู่ ก็พบว่าเมฆครึ้มผิดปกติ “ฝนจะตกหรือเนี่ย ลุงคงไม่มาแล้วมั้ง” วิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะฟุบหน้าลงไปนอนกับโต๊ะ
“ไม่ได้นะ! แล้วใครจะมาเป็นเพื่อนเล่นXboxกับชั้นล่ะ อุตส่าห์สั่งซื้อจากเมืองมานะ” ชาเรสโวยวายเป็นเด็กๆ ในมือถือแผ่นเกมเป็นสิบ วิลส่ายหัวไปมาด้วยความระอาใจ
“คุณมิคเคลสันโตแล้วนะ จะเล่นเกมแบบเด็กๆได้ไง” นัวร์กอดอกมองเกมในมือ แล้วก็อยากเล่นขึ้นมาซะอย่างนั้น ก็เลยชวนชาเรสเล่นไปพลางๆเพื่อรอมิคเคลสันมาที่นี่ แต่มีเครย์เท่านั้นที่รู้สึกแปลกไป “…ผมว่า เขาไม่น่าจะมาสายนะ ปกติเท่าที่รู้จักเขามา ผมไม่เคยเห็นคุณมิคเคลสันสายเกิน1นาทีเลย” เครย์วางหนังสือลงและจ้องไปยังประตูทางเข้า
“นั่นสิ ชั้น/ผมก็คิดแบบนั้น” วิล นัวร์พูดขึ้นพร้อมกัน แต่ชาเรสยังคงเล่นเกมต่อไปเพื่อโกงนัวร์ไปก่อน ลาเรียลสะลึมสะลือตื่นขึ้นเพราะอยากเล่นเกมด้วย
“…ผมออกไปตามดีกว่า” เครย์ลุกออกจากที่นั่งไปและกำลังจะเปิดประตู แต่ลาเรียลก็ขัดขึ้น “จริงสิ! ลืมบอกไปเลย เราเห็นผู้ชายแปลกหน้าเข้าไปในบ้านลุงด้วยเนอะนัวร์” ลาเรียลหันไปที่นัวร์ยังคงนั่งกดจอยบังคับเกมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เอ่อะ อ้อ ใช่ๆ คนไข้มั้งเลยไม่ได้สนอ่ะ” นัวร์หันไปสนใจเกมต่อ มีวิลและเครย์ที่มองหน้ากันอย่างู้ความหมาย “คุณมิคเคลสันบอกว่าไม่มีคนไข้จนถึงอาทิตย์หน้านี่” เครย์หยุดชะงักลง เพื่อฟังความเห็นของวิล
“นั่นสิ…ไม่นะ อาจจะเป็นคนไข้ด่วนรึเปล่า” วิลจับคางเมื่อใช้ความคิด แต่อาจะเป็นแบบนั้นก็ได้เครย์จึงวางใจลงแล้วเดินช้าๆมานั่งรอที่โต๊ะตามเดิมแต่แล้วก็มีคนผลั่กประตูเข้ามาอย่างแรง
“อ่าว? เจ้าลุงยังไม่มาอีกเหรอ?” เฌอบลองเดินช้าๆไปนั่งลงที่โซฟาแล้วสั่งกาแฟเย็น พร้อมกับบอดี้การ์ดที่ยืนขนาบข้างขอน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็ง “นี่ก็นานแล้วนา จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย?” เฌอบลองนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าไปมา เหมือนกับมีเรื่องบางอย่าง
“หมายความว่าไง? ที่ว่าเป็นอะไรไหมน่ะ” เครย์หันมาที่เฌอบลองช้าๆ เฌอบลองเองก็เหลือบมองด้วยหางตาด้วย ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ~~~ ก็นะ ชั้นทิ้งบอดี้การ์ดชั้นไว้คนนึงที่บ้านลุง เพราะมีคนท่าทางแปลกๆแถมซ่อนมีดพกไว้ที่กางเกงอีก ไม่สิ ต้องเรียกว่าโชว์เลยดีกว่า” เครย์และวิลใจหายทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘มีด’ ไม่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เครย์จึงรีบวิ่งออกไปจากร้านโดยมีวิลตามไปติดๆ ส่วนคนอื่นๆได้แต่มองตามอย่างงงๆ
“…พวกนายยังไม่รู้จักเจ้าลุงนั่นดี แต่กลับไปสนิทด้วยเนี่ยนะ?” เมื่อเฌอบลองเห็นประตูปิดลงสนิทแล้วก็เท้าคางมองลาเรียล นัวร์ และชาเรสไปมา ทั้งสามหยุดเล่นเกมชั่วขณะ เพื่อรอฟังเรื่องสำคัญบางอย่าง เรื่องของมิคเคลสันที่พวกตนรู้จักเพียงว่า เขาเป็นจิตแพทย์ที่ใจดีมากเท่านั้น
“นายรู้อะไร?” นัวร์ยืนขึ้นเพราะกอดอก เฌอบลองยกขาขึ้นมาพาดโต๊ะอย่างผ่อนคลายทั้งๆที่ใบหน้ากลับเคร่งเครียด “… ก่อนมิคเคลสันจะย้ายมาที่นี่ มันเกิดเรื่องบางอย่าง วงการของพวกชั้นรู้กันไปทั่ว”
.
.
.
“มิคเคล ชั้นตามหานายมาหลายปี และต้องคอยหลบหนีทั้งตำรวจ ทั้ง ‘เจ้าพวกนั้น’อีก ที่แท้นายก็มามีความสุขใหม่ที่นี่เหรอ?” เวลส์ ชายร่างสูงสวมเสื้อฮูทปกปิดร่างกายมิดชิดจนบัดนี้เมื่อเขาเปิดเผยใบหน้าของตนเองที่มิคเคลสันรู้จักดี เขามีเส้นผมสีควันบุหรี่เด่นสะดุดตา ตาสีเขียวหน้าทะเลสุกสกาว ใบหน้าเรียบนิ่งดุจรูปปั้น
“…ยังไม่ไปสู้คดีอีกเหรอ?” มิคเคลสันสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว จึงพอวางตัวให้กลับมาสุขุมเยือกเย็นได้อีกครั้ง แต่สายตายังคงสั่นไหวไม่หาย
“ถ้าไปสู้คดี ชั้นรู้ว่าชั้นชนะแน่ เพราะชั้นไม่ผิด แต่รู้ไหม? ถ้าชั้นเดินไปถึงหน้าศาลโดยใส่ชุดสูทเนคไทสีแดงสั่งตัดใหม่อย่างดี เดินหราล่ะก็ ชั้นคงถูกยิงเจาะกลางหน้าผากแทนไปสู้คดีได้” เวลส์มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหมือนเสือป่าที่หิวกระหาย
“…ถ้าเรื่องกลุ่มมาเฟียที่ตามล่านายอยู่ ชั้นไปจ่ายเงินไถ่โทษให้นายก็ได้นะ เรื่องจะได้จบๆเสียที” มิคเคลสันประสานมือไว้ที่ตักเพื่อตั้งสมาธิกับบทสนทนาที่จะปะทุความรุนแรงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ทั้งนั้น เป็นดั่งคาด เวลส์จ้องมองมิคเคลสันไม่วางตา
“คิดว่าตอนนี้ยังไถ่โทษทันงั้นเหรอ ชั้นพลั้งมือฆ่ารองหัวหน้าของพวกมันนะ” เวลส์หงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีมิคเคลสันสงบนิ่งกว่าที่คาด ไว้ แต่ใจจริงแล้วมิคเคลสันนั้นกำลังนับการหายใจเข้าออกเพื่อสงบจิตใจของตนเองอย่างยิ่ง
“…โอเค…ชั้นเข้าใจแล้ว นายมาที่นี่…ตามหาชั้นมาหลายปีมานี้…” มิคเคลสันก้มมองพื้น คิดว่าคำพูดต่อไปนี้ จะหลุดออกมาจากปากเขาดีไหม? มันจะงี่เง่าหรือสายเกินไป แน่นอนว่ามันทุเรศจริงๆที่เขาจะเอ่ยคำว่า
“ขอโทษ…เข้าใจชั้นทีเถอะ เวลส์” น้ำเสียงอันสั่นคลอนั้นยิ่งทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ เวลส์ไม่พูดกล่าวคำใดๆออกมา ภายในห้องเงียบกริบไปชั่วครู่ ก่อนที่จู่ๆเวลส์จะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วตรงเข้ามากระชากคอเสื้อมิคเคลสันอย่างแรง
“หลายปีมานี้ ชั้นต้องระหกระเหินตามหานาย เพื่อฟังคำแก้ตัวที่ดีกว่านี้ แต่นาย….นายกลับพูดได้แค่คำขอโทษงั้นเหรอ!!” แววตาของเวลส์ทั้งเศร้าสร้อย หดหู่ โกรธแค้นชิงชัง และผิดหวัง มิคเคลสันซึ่งถูกจับคอเสื้อดันไปติดกับกำแพงนั้นจำต้องเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“นาย…เวลส์ นายทำร้ายตัวเอง! ชั้นช่วยนายแท้ๆแต่นายกลับหาว่าชั้นทรยศนายงั้นเหรอ!?” มิคเคลสันตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสั่นคลอนและแข็งกร้าว ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาของความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ เวลส์เงื้อหมัดจะต่อยหน้าเพื่อนเก่าเสียให้ได้ แต่แล้วก็ลดมือลง
“หมายความว่าไง? ช่วยชั้น?” เวลส์คลายมือลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยมืออกจากเสื้อเชิ้ตขาว มิคเคลสันเริ่มร้องไห้หนักขึ้น สายตายังคงจับจ้องยังเวลส์เพื่อนรักคนนี้
“เพื่อนของนาย ‘เจ้านั่น’ ต้องการจะฆ่านาย”
.
.
.
“เฮ้ย? นี่หมายความว่า เจ้าลุงนั่น…” ชาเรสเพิ่งจะตกใจจริงๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่นี่มา ลาเรียลและนัวร์เองก็แปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินไม่แพ้กัน
“เอ่อ มิคเคลสันน่ะ เคยฆ่าคนมาแล้ว ไม่ใช่แค่ศพเดียว แต่รวมทั้งชีวิตก็ราวๆ500ได้แล้วล่ะว่ะ” เฌอบลองยังคงคนกาแฟต่อไปทั้งๆที่ภายในแก้วมันเข้ากันและเย็นชืดหมดแล้ว
“ลุงเป็นนักฆ่าเหมือนชั้นเหรอเนี่ย? ก็ว่าทำไมถึงเก่งนัก” ชาเรสขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อรู้ความจริงที่ไม่น่าเชื่อ เฌอบลองหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่รูปเจ้าลุงนั่นตอนเป็นนักฆ่า มักจะใส่ฮูดตลอดเวลา แล้วก็นี่ คู่หูของลุง แต่มีข่าวว่าเจ้านี่ที่เป็นคู่หูของลุงออกจากวงการไปพร้อมๆกัน ต่อมาพอเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนที่อยู่แล้ว สองคนนี้ก็ไปแจ้งตำรวจถึงกลุ่มโจรทั้งหลายและต่อมาได้ร่วมมือกับตำรวจ จนกระทั่งถูกพวกมาเฟียกลุ่มนึงตามล่าซึ่งเป็นกลุ่มที่สองคนนี้เคยอยู่”เฌอบลองพักจิบกาแฟวักพักก่อนจะเล่าต่อเพราะสายตาของคนฟังที่จับจ้องมา
“แต่ว่า หัวหน้ากลุ่มนี้ เป็นเพื่อสนิทของเพื่อนลุงคนนี้ด้วย แต่หัวหน้าคนนี้วางแผนจะฆ่าเพื่อนของลุงคนี้ เอาเป็นว่าจะบอกชื่อนะ เพื่อนลุงชื่อ ‘เวลส์’ ซึ่งลุงรู้เข้าว่าหัวหน้าของมาเฟียจะฆ่าเวลส์ แต่เวลส์ยังคงไว้ใจหัวหน้าซึ่งเป็นเพื่อนเก่าอยู่ ลุงก็เลย…ไม่สิ รู้สึกว่าก่อนที่จะถูกลอบฆ่า เวลส์สังหารรองหัวหน้าของกลุ่มมาเฟียนี่ซะก่อน แต่ก่อนเวลส์และลุงเคยเป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้ากลุ่มนี้ อืม…พวกนายอยากรู้มากไปกว่านี้อีกเหรอ?” เฌอบลองจ้องมองเข้าไปในแววตาแต่ละคน ทุกคนยังคงมีแววตามุ่งมั่นอยู่
“ถ้าฟังต่อไปนี้ พวกนายอาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับลุงอีกเลยนะ” เฌอบลองหยุดคนกาแฟ แล้วสายตามั่นคงและจริงจัง ลาเรียล นัวร์ และชาเรสพูดขึ้นพร้อมกัน
“ทีนายยังไม่เลิกเลยนี่?”
.
.
.
“เพราะนายไปฆ่ารองหัวหน้าคนใหม่นั่น แล้วยังแจ้งตำรวจอีก ‘เจ้านั่น’ก็เลยจะฆ่านายซะ ” เวลส์ปล่อยมือออกจากปกเสื้อเชิ้ตที่บัดนี้ยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ใบหน้าของเวลส์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและงุนงง
“ ‘ฟาร์คอน’ น่ะเหรอ? ”เวลส์หมดแรงล้มลงไปนั่งกับเก้าอี้ เขาเพิ่งได้รับรู้ว่าอดีตเพื่อนของเขาซึ่งเป็นหัวหน้ามาเฟียที่จะฆ่าเขา ฟาร์คอน ได้วางแผนฆ่าเขาซึ่งเขาไม่รู้มาก่อน แต่เขากลับเข้าใจมิคเคลสันผิดไป แล้วยังทำร้ายเพื่อนรักคนนี้อีก
“…ช ชั้น….!?” ยังไม่ทันที่เวลส์จะกล่าวอะไรจบ จู่ๆก็มีเสียงปืนตามด้วยกระจกที่แตกละเอียดพร้อมกับกลุ่มชายชุดสีดำใส่ฮูดปิดหน้าตามิดชิดยืนล้อมทั้งเวลส์และมิคเคลสันภายในเวลาไม่ถึง10วินาทีด้วยซ้ำ
“หาเจอจนได้นะ” หนึ่งในกลุ่มปริศนานี้ได้ก้าวออกมา ดูเหมือนจะเป็นแกนนำของกลุ่มที่ตอนนี้ไร้ซึ่งหัวหน้าไปแล้ว มันเดินเข้ามาช้าๆหยุดอยู่ตรงหน้าเวลส์ ก่อนจะชักมีดขึ้นมาขู่ แต่แววตาของเวลส์กลับนิ่งสงบอย่างเยือกเย็น
“พวกแก ตามชั้นมาสินะ” เวลส์ยินกอดอกอย่างใจเย็น ชายปริศนาหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเวลส์ มันจี้มีดอันแหลมคมไปที่ท้องของเวลส์ แต่เวลส์ก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกอะไรอีกเช่นเคย แถมยังหัวเราะเยาะเย้ยความอ่อนหัดของศัตรูผู้นี้
“เวลส์! ไอ้คนทรยศ! แกบังอาจมากที่ฆ่ารอง แกก็เหมือนกันมิคเคลสัน นอกจากจะไปแจ้งความแล้วยังฆ่าหัวหน้าไปอีก ตอนนี้กลุ่มเราโดนจับไปหมดเหลือแต่พวกเรา!! ” พวกมันมีกัน8คน แต่ละคนท่าทางโกรธแค้นเวลส์ และ มิคเคลสันเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะน่ากลัวเพียงไร ทั้งสองกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยความสุขุม
“มันผิดที่พวกแกแต่แรก ถ้าไม่มาตามล่าพวกเราตอนออกจากกลุ่มแต่แรกล่ะก็…ทั้งๆที่พวกเราสัญญาว่าจะไม่บอกตำรวจแล้วแท้ๆ” มิคเคลสันหันหลังชนหลังกับเวลส์ เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่พวกเขาทั้งสองเป็นคู่หูที่เก่งกาจด้วยกัน
“ใครมันจะโง่ไปเชื่อวะ!? ตอนนี้เพื่อนพ้องพวกเราโดนโทษติดคุกตลอดชีวิตไปหมดแล้ว พวกแกต้องถูกทำโทษ ชดใช้ด้วยชีวิตของแก!!” ชายที่ดูเหมือนแกนนำคนนี้ตวาดเสียงดังลั่น บอดี้การ์ดของเฌอบลองได้ยินเข้าหลังจากยืนฟังเพลงมานาน จึงพยายามจะเข้าไป แต่ประตูกลับล็อกไว้ทุกด้าน
“ชั้นขอแนะนำในฐานะอดีตหัวหน้าพวกแกนะ ไปซะ แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเราจะไม่ไปบอกใคร ชั้นสัญญา” เวลส์มีสายตาที่มุ่งมั่นอย่างแรงกล้า มิคเคลสันรู้สึกได้ถึงความตื้นตันเล็กๆที่ก่อขึ้นเพราะเขาได้เห็นสายตาของเพื่อนรักคนเดิมกลับมาอีกครั้ง
“เวลส์!! ยังคิดว่าพวกเราโง่อยู่อีกเรอะ?? พอกันทีเว้ย! ฆ่าพวกมันซะ อย่าให้ได้เห็นกันอีกเลยไม่ว่าชาติไหนๆ!!” กลุ่มชายที่เป็นนัฆ่าทั้ง8คน กรูกันเข้ามาอย่างว่องไว แต่เวลส์ และ มิคเคลสันไวกว่า พวกเขาทั้งสองรีบฉวยเอาอุวธประจำกายที่ซ่อนในกางเกง และ ภายใต้เสื้อโค้ทออกมา เหยื่อรายแรกที่โดนคู่หูปีศาจนี้สังหารเป็นลุกกระจ๊อกที่คงติดสอยห้อยตามเหล่าหัวโจกมาจนรอดถึงทุกวันนี้ แต่ก็มาจบได้เพียงเท่านี้นี่เอง เลือดนักฆ่าหางแถวไม่ได้เปรอะเปื้อนตัวคู่หูแต่อย่างใด แต่มันไม่มีเลือดเลยซักหยดต่างหาก ศพล้มลงไปกองที่พื้นโดยที่บาดแผลเรียบสนิท มีเลือดเพียงเล็กน้อยที่เล็ดลอดออกมาเหมือนๆกับกระดาษบาดทีเดียว
“ไง มิคเคลสัน ฝีมือไม่ตกนี่? คิดถึงช่วงเวลานี้มานานใช่ไหม?” เวลส์ชนหลังกับมิเคลสันอีกครั้ง ในตอนนี้มิคเคลสันทั้งสับสน แต่ก็ดีใจ สับสนว่าการฆ่าคนมันผิดอย่างใหญ่หลวงแท้ๆ แต่เขากลับดีใจจนยิ้มออกมา ที่ว่า ได้กลับมาร่วมงานกลับเพื่อนรักคนนี้อีกครั้ง และด้วยความเข้าใจอันดี
“ชั้นคิดถึงอยู่แล้ว ไม่เคยลืมไปได้เลย ทั้งฝันร้าย แต่พอติ่นมากลับรู้สึกคิดถึง แปลกไหมล่ะ? แต่พอได้ชกต่อยกับโจร แล้วก็แขกจิตตกทั้งหลายแล้ว ฝันร้ายก็เพลาๆลง” เวลส์หัวเราะในลำคอ พร้อมหันไปบีบไหล่เพื่อนรักแรงๆ
“มิค ชั้นคิดถึงเหมือนกัน คิดถึงนายเนี่ยแหล่ะ!” มิคเคลสันนิ่งไปชั่ววินาที ก่อนที่น้ำตาจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มให้กับเพื่อนคนนี้มานานแสนนาน
“เฮ้ย! แกกล้าฆ่าได้หน้าตาเฉยเลยเหรอวะ??” ชายคนนึงชี้มีดมาทางทั้งสอง แต่ทั้งหมดเริ่มหวาดกลัวกับคู่หูปีศาจนี้มากขึ้นๆ จนบางคนกำมีดแล้วสั่นผับๆ
“ยังไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น แต่ถ้าคนต่อไปชั้นไม่รับประกันแล้วนะ ว่าฝีมือพวกชั้นจะตกจนพลาดไปโดนจุดตายรึเปล่า” เวลส์เลียมีดที่เปื้อนเลือดอย่างหิวกระหาย แววตาที่แสงแดดกระทบนั้นเต็มไปด้วยความกระหายชีวิตศัตรุตรงหน้า มิคเคลสันเองก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
“อย่ามาขู่กันนะเฮ้ย!! กลัวอะไรวะ? เราตั้ง7คน” แกนนำหน้าโง่คนนี้ตะโกนปลุกใจลูกน้องคนอื่นๆ ซึ่งก็พอทำให้พวกมันฮึกเหิมขึ้นมาได้ จึงพุ่งเข้ามาเตรียมจะฆ่าพวกเราอีกครั้ง
“ขอต้อนรับสู่นรก ไอ้พวกเดรัจฉานทั้งหลาย”
.
.
.
“ปัง!!” เสียงพังประตูดังสนั่นพร้อมกับ เครย์ วิล และบอดี้การ์ดที่เหนื่อยหอบจากการวิ่งวนหาคนช่วยเปิดประตูนี่ เครย์และวิลเองก็หอบหายใจ่ต่างกันเพราะประตูนี่แข็งแรงมากทีเดียว และภาพที่ทุกคนเห็นนั้นเล่นเอาตาค้างกันไปตามๆกัน
ภาพที่ทั้งสามคนได้เห็นคือ เลือดสีแดงฉานเปรอะไปตามพื้นห้อง เป็นรูปกางเขน พร้อมกับคนร้ายทั้ง8ถูกมัดรวมกันที่ข้างๆประตู โดยที่ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว มีเพียงแต่ซองจดหมายสีขาววางบนเก้าอี้ประจำของมิคเคลสันเท่านั้น
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” วิลตกใจกับภาพที่เห็นอย่างมาก แต่ก็พยายามสำรวจไปรอบๆห้องว่ามิคเคลสันหายไปไหน แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย นอกจากจดหมายฉบับนั้น เครย์จึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน
“…ไม่อยู่แล้ว คุณมิคเคลสันไม่อยู่อีกแล้วล่ะ” เครย์มีสีหน้าเศร้าหมองลงอย่างชัดเจน ก่อนจะส่งจดหมายไปให้วิลอ่านซึ่งตอนนั้นเองที่ เฌอบลอง ชาเรส นัวร์ และลาเรียลมาถึงพอดี จึงกรูกันเข้ามามุงดูจดหมายฉบับสุดท้ายนี้
‘ถึงทุกคน
ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ชั้นไม่ได้บอกความลับนี้กับใครเลย จนกระทั่งบัดนี้ เพราะชั้นกลัวจริงๆ กลัวว่าทั้งๆที่ชั้นมีเพื่อนๆที่แสนดีแบบพวกนายแล้ว ถึงแม้ตอนพบกันครั้งแรกจะแย่ไปหน่อยสำหรับบางคน แต่ชั้นไม่อยากสูญเสียพวกเธอไป เพราะได้รู้ความจริงว่าชั้นเป็นใครมาก่อน มันคงไม่ปลอดภัยหากพวกเธอได้รับรู้ เฌอบลองคงได้บอกพวกเธอแล้ว ชั้นจึงจำเป็นต้องหายตัวไป หายตัวไปจากความทรงจำของพวกเธอทั้งหมด โปรดอย่าตามหา หรือระลึกถึงชั้นอีก แต่พวกเธอคงไม่นับชั้นเป็นเพื่อน หรือมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะงั้น ลาก่อน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง
ปล. วิล ขอบคุณสำหรับอาหารและกาแฟทุกวัน และนิยายที่สนุกสนาน
ชาเรส ถึงเธอจะเป็นนักฆ่าเหมือนชั้น แต่เธอก็ได้มีชีวิตใหม่ที่ใสสะอาดขึ้นแล้ว เพราะงั้นขอให้ช่วยปกป้องทุกๆคนด้วย
นัวร์ และ ลาเรียล ขอบคุณสำหรับความสนุกสนานเฮฮาที่มีให้อยู่ทุกวัน ถึงแม้จะต้องเจ็บตัวเจ็บใจไปบ้าง แต่มันก็ทำให้ชั้นหัวเราะได้
เฌอบลอง ถึงแม้ตอนเจอกันครั้งแรกจะทำให้เราเกือบเป็นศัตรูกัน แต่ขอบคุณที่ดูแลคนในหมู่บ้านเล็กๆนี้มาโดยตลอด
เครย์ ถึงตอนแรกผมจะกลัวคุณหน่อยล่ะ แต่พอได้รู้จักคุณจริงๆก็รู้ว่าคุณน่ะสุภาพอ่อนโยนแค่ไหน เพราะงั้นฝากดูและทุกคนในนี้ด้วยนะครับ
ลาก่อน จาก ลุงมิคเคลสัน’
“แปะ!” น้ำตาของวิลหยดลงมากระทบกับเนื้อกระดาษขาวบางนี้ ก่อนจะร้องไห้ไม่หยุด ทุกคนซึ่งเซื่องซึมไปเหมือนกันต้องปลอบใจวิลไม่ให้เสียใจหนักไปกว่านี้ เครย์หมดแรงล้มลงนั่งกับเก้าอี้ นัวร์และลาเรียลได้แต่ก้มมองพื้น น้ำตารื้นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าจะไม่มีใครให้เล่นด้วยอีกแล้ว เฌอบลองเองก็ทำท่าจะขยำจดหมยนั่นทิ้งเสียเพราะความโมโหที่มิคเคลสันจากไปโดยไม่บอกอะไรกันซักคำ แต่แล้วชาเรสก็เข้ามาจับที่มือของเฌอบลองพร้อมมองหน้าทุกคนที่ตอนนี้เศร้าสร้อยอย่างมาก ก่อนจะตะโกนขึ้น
“เป็นอะไรกันไปหมด หา!? เศร้ากันทำไม??” ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมๆกันด้วยสายตามึนงง ชาเรสจึงยังคงตวาดลั่นห้องต่อไปไม่หยุด
“ถามหน่อย ทำไมต้องไปเสียใจเพราะเจ้านั่นจากไป หา?? ตอบหน่อยซิ” ลาเรียลและนัวร์จ้องเข้าไปในดวงตาของชาเรสอย่างจริงจังกว่าหนไหนๆ “ทำไมจะไม่เสียใจล่ะ??” “นายไม่เสียใจเหรอ ลุงไปไหนไม่รู้? แล้วปลอดภัยรึเปล่า?”
“แล้วทำไมต้องเศร้าด้วยเล่า??” ชาเรสมองที่เครย์ ซึ่งบัดนี้ยันกายขึ้นมายืนอย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง “ชาเรส นายไม่เสียใจงั้นเหรอ?” ชาเรสกอดอกแล้วเริ่มตะโกนอีกครั้ง คราวนี้หันไปทางวิลซึ่งร้องไห้หนักขึ้นๆ จนเหมือนเด็กๆ
“ตอบไม่ตรงคำถามเลยนะ! ชั้นถามว่าทำไม??” วิลหยุดร้องไห้ แต่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง ก่อนจะลุกขึ้น แล้วกล่าวคำที่เสียงสั่นไหว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหนักแน่น ไม่อ่อนแอปวกเปียกเหมือนรูปลักษณ์ที่เห็นตอนนี้
“จะอะไรซะอีก …. ฮึก… ‘เพื่อน’ หายไปซักคน จะไม่ให้เสียใจได้ไงเล่า!!!” วิลตะโกนเสียงดังลั่น ทุกคนที่ได้ยิน นิ่งอึ้งไปตามกัน เว้นแต่ชาเรสที่ยิ้มกว้างอย่างสุขสันต์
“ใช่ ‘เพื่อน’ เพราะงั้น ถ้าเพื่อนหายไปเราจะมัวแต่นั่งร้องไห้กันแบบนี้งั้นเรอะ?” เฌอบลองหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี เพราะถึงแม้เขาจะชอบเห็นผู้อื่นทรมานแค่ไหน แต่เขาเองก็ไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดนักหรอก เครย์พยักหน้าอย่างแข็งขัน “นั่นสินะ…. จะมัวทำตัวอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้” นัวร์และลาเรียลทำท่าทางแปลกๆปลุกใจตามประสาของพวกเธอ แต่ริมฝีปากก็ยิ้มอยู่
“พวกเราน่ะ ถ้าไม่หัวเราะก็ไม่ใช่แล้วล่ะ” วิลยิ้มกว้างออกมาในที่สุด และแล้วทุกคนก็กลับไปเตรียมตัวที่จะออกตามหามิคเคลสัน และเพื่อนของเขา เวลส์
.
.
.
“เราจะไปไหนกันงั้นเหรอ?” มิคเคลสันหันไปถามเพื่อนที่เดินนำเข้าป่าไปอย่างไร้จุดหมาย เวลส์หยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้
“ตอนนี้ไม่มีเจ้าพวกนั้นมากวนใจแล้ว ไปสร้างชีวิตใหม่ไงล่ะ ชั้นมีฟาร์มาอยู่ที่นึง เราจะเปิดเป็นฟาร์มให้นักท่องเที่ยวเข้ามา มีทั้งวัวนม ม้าแคระ กระต่าย แกะ แล้วก็มีลูกน้องที่ขอมากับชั้นอีก10คน” กล่าวจบก็หันหลังเดินต่อไป
“… จะว่าไป นายไม่เสียใจแน่นะที่จากเพื่อนๆมา” เวลสืพูดโดยไม่หันมามอง เพราะเขาทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนทำหน้าตาเศร้าสร้อยเสียใจ
“ไม่นี่ มันก็ดีแล้ว…ใช่ ดีแล้ว” ทั้งสองเงียบไปซักพัก ก่อนจะนั่งลงพักใต้ต้นโอ๊คใหญ่ แล้วเล่าเรื่องชีวิตหลังจากแยกกันมานานหลายปี ทั้งสองหัวเราะร่วมกันอีกครั้งอ่งอบอุ่น
“เฮ้ มิค ชั้นเสียใจจริงๆที่ชั้นไม่ฟังนายเลย ชั้นไม่รู้จะขอโทษนายยังไงดี” เวลส์ก้มลงมองพื้นอย่างรู้สึกผิด และโทษตัวเองมาตลอดเวลาตั้งแต่ที่รู้ความจริง มิคเคลสันเตะขาเพื่อนเบาๆเป็นเชิงเย้าแหย่เล่นๆ และหัวเราะคิกคัก
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ ชั้นรู้อยู่แล้วว่านายต้องเข้าใจชั้นซักวัน ไม่ต้องขอทาหรอกนะ” มิคเคลสันตบไหล่เพื่อนแรงๆ เวลส์หันมาขยี้ผมมิคเคลสันอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนที่ทั้งสองจะแกล้งกันจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังจนนกบินกหนีแตกกระเจิง
“ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ย! ลุกไปได้แล้ว นายตัวหนักขึ้นเยอะเลยเวลส์” มิคเคลสันซึ่งตัวเล็กกว่าเวลส์มากนั้นพยายามดันเวลส์ออกไป แต่เวลส์แกล้งทับอยู่อย่างนั้น จนมิคเคลสันหมดแรง แล้วปล่อยให้เพื่อนร่างสูงใหญ่คนนี้ทับเขาต่อไป ทั้งสองเหนื่อยหอบแต่ยังคงหัวเราะไม่หยุด
“… ชั้นคงคิดถึงหมู่บ้านนี้กับพวกนั้น… คนไข้อีกล่ะ ฮ่ะๆ ดีนะที่ชั้นเอาบัญชีกับโฉนดมาแล้ว” มิคเคลสันหัวเราะแก้เก้อ แต่เวลส์ก็เข้าใจทันทีว่าเพื่อนของเขานั้นคิดถึงเพื่อนๆมากแค่ไหน
“เฮ้… นายไม่เป็นไรแน่นะ” เวลส์คร่อมตัวมิคเคลสันไว้แล้วจ้องตาอย่างจริงจัง มิคเคลสันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มทำหน้าตาบิดเบี้ยวแล้วเริ่มปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เวลส์ถอนหายใจก่อนจะประคองเพื่อนรักมากอด มิคเคลสันยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่ก็พูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะเสียงสะอึกสะอื้น
“นายว่าอะไรนะ?” เวลส์ขมวดคิ้วแต่ยังไม่ถอนกอดจากเพื่อน มิคเคลสันหายใจเข้าออก แล้วเริ่มพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ช ชั้นคิดถึงอ่ะ คิดถึงพวกนั้น…ฮึก …ต่อไปนี้ทุกเช้าจะไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าพวกนั้นอีกแล้ว จะไม่ได้หัวเราะด้วยกันอีกแล้ว ฮืออ ฮึกๆ จะไม่มีใครเรียกชั้นว่าลุงอีก ฮึก… เวลส์ มันดีแล้วใช่มั้ย? ชั้นตัดสินใจไปแล้วแท้ๆ” เมื่อกล่าวจบมิคเคลสันก็ร้องไห้ออกมาหนักมากเสียจนตาบวม เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเปียกโชกไปด้วยน้ำตา
“โธ่ มิค อย่าร้องนะ อย่าเสียใจไปเลย ถ้านายทำเพื่อเพื่อนๆล่ะก็ อย่าเสียใจภายหลังแบบนี้ ถ้าพวกเพื่อนนายมาเห็นเข้าก็คงร้องไห้แบบนายนั่นล่ะ” มิคเคลสันหยุดร้องไห้ แล้วเอามือปาดน้ำตาและน้ำมูกที่ปล่อยออกมาเต็มที่เมื่อซักครู่
“ก็จริง… เวลส์ ต่อจากนี้นายจะทำให้ชั้นมีความสุขได้ใช่มั้ย?” มิคเคลสันเงยหน้ามองเวลส์เพื่อนรัก ซึ่งเวลส์หัวเราะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆให้
“แน่นอน ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน รับรองว่าจะมีความสุขไม่แพ้อยู่กับพวกเพื่อนนายแน่ๆ ชั้นขอสาบานเลย” เวลส์พยุงเพื่อนรักให้ลุกขึ้นก่อนจะก้าวเดินต่อไป ไม่นานก็พบรถกระบะในไร่มาจอดรอรับอยู่ ภายในรถมีลูกน้องของเวลส์ซึ่งเคยเป็นเพื่อนมิคเคลสันมาก่อนเช่นกันกำลังโบกมือรอรับด้วยรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะ ไปเริ่มstartกันใหม่”
“…อื้ม!!”
END Season 1
TBC. Season 2
แอร๊ยยย จบแบบนี้ได้ยังไง๊!! ตอนที่แต่งไปๆมาๆก็คิดว่าแต่งแบบนี้มันจะดีเหรอ? แต่ก็คิดว่าตัวเองทำได้เท่านี้ล่ะค่ะ orz ตอนนี้รู้สึกผูกพันกับตัวละครขึ้นมากเลย เหมือนอยู่ในเหตุการ์ณเลยล่ะ อยากร้องไห้ตาม T[]T
ซีซั่นต่อไปเป็นช่วงของเพื่อนๆทุกคนออกตามหาลุงกันค่ะ โหดมันฮา เน้นฮาไปหน่อย ทั้งๆที่คิดว่าจะแต่งเพื่อระลึกถึงออริตัวเองกับเพื่อในเพจเฉยๆแต่ดันกลายเป็นเรื่องยาวมาได้ไงเนี่ย5555555
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจบภาคแรกนะคะ โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ >w<
ความคิดเห็น