คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Diaryคุณลุงปริศนา ตอน ลุงกลับมาแล้วคร้าบ
บันทึกของคุณลุงปริศนา 6
…………………………….
ณ หน้าห้องพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน เครย์และโชเฟอร์นักตกปลารวมถึงลูกๆก็นั่งรอผมตรวจมา1ชั่วโมงแล้วหรืออาจจะมากกว่านั้น โชเฟอร์นักตกปลาได้โทรไปหาวิลเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักมากันเต็มหน้าห้องพยาบาลแล้วทั้งวิล ชาเรส ลาเรียล นัวร์ แต่เฌอบลองไม่ได้รู้ข่าวนี้คนเดียว
และแล้วแพทย์ก็ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทุกคนรีบลุกขึ้นทักทายหมอแล้วซักถามอาการของมิคเคลสันทันที คุณหมอส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆทำหน้าหมดหวัง ทุกคนถึงกับหน้าถอดสีไปตามๆกัน แค่ไม้แท่งเดียวถึงกับพรากชีวิตของมิคเคลสันไปได้เชียวหรือ? วิลเริ่มน้ำตารื้นขึ้นมา
“พวกคุณเป็นเพื่อนของแพทย์มิคเคลสันใช่มั้ย?” ในที่สุดคุณหมอก็ปริปาก ทุกคนยกเว้นชาเรสตอบว่าใช่อย่างร้อนรน วิลเริ่มน้ำตาตกเป็นทาง คุณหมอเลยเข้าไปตบบ่าเบาๆแล้วกลับมาทำหน้าเคร่งเครียดตามเดิม ไม่สิต้องบอกว่าหน้าตาโกรธมากกว่า
“พวกคุณต้องหัดดูแลแพทย์มิคเคลสันเสียบ้างนะครับ เขาเป็นคนที่ชอบทำอะไรไม่ระวังอยู่เรื่อย ไม่คิดถึงตัวเองบ้างเลย เขาคิดถึงแต่พวกคุณนั่นแหล่ะเขาถึงได้เจ็บตัวตลอด ผมเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับเขาเอง ต้องเจ็บตัวสัปดาห์ละ3ครั้งอย่างต่ำตลอด” คุณหมอเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นระลึกวันวานยังหวานอยู่ โดยที่มุมปากยักยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกภาพแพทย์มิคเคลสันที่อยู่สมัยเรียน พวกวิล และทุกคนทำหน้าเหวอและฉงนไปตามๆกัน เมื่อคุณหมอเห็นสีหน้าแต่ละคนแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“ฮ่าๆๆๆ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เจ้ามิคเคลสันมันสบายดี ตายยากตายเย็นอยู่แล้ว สมัยมันเรียนนะ ไปมีเรื่องกับเด็กมหาลัยอื่นโดนเขาฟาดหัวด้วยท่อนเหล้กมายังไม่เป็นไรเลย ยกเว้นแต่ว่าสติสตังมันไม่ค่อยจะดี พอโดนฟาดหัวมันก็ชกกลับแบบไม่รู้สึกเจ็บบ้างเลยรึไงนะ?” คุณหมอผู้อารมณ์ดีแย้มยิ้มให้ นั่นทำให้ทุกคนผ่อนคลายลงในชั่วพริบตา ก่อนจะอนุญาตให้ทุกๆคนเข้าไปเยี่ยมคนไข้ได้
“คุณมิคเคลสัน! ลุงงง!” ทุกๆคนทั้ง วิล นัวร์ ลาเรียล โชเฟอร์และลูกๆ เครย์ ต่างกรูเข้าไปยืนรุมเตียงของมิคเคลสัน ยังดีที่เป็นห้องพิเศษไม่เช่นนั้นคงถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากเป็นมลภาวะทางเสียง มีเพียงชาเรสเท่านั้นที่ยังยืนพิงดูเหตุการณ์ข้างประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สวัสดีทุกคน ลำบากพวกเธอต้องใจหายใจคว่ำอีกแล้วสินะ” ผมยิ้มทักทาย วิลวิ่งเข้ามากอดผมแน่น และร้องไห้โฮ นัวร์กับลาเรียลก็ตบๆขาข้างที่บาดเจ็บอย่างเบามือที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เจ็บอยู่ดีน่ะแหล่ะสองสาวเอ๋ย เครย์และลุงโชเฟอร์พร้อมลูกๆก็มายืนอยู่ข้างเตียงผม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มและแววตาโล่งอกโล่งใจ ชาเรสยังคงยืนพิงประตูหันหลังให้พวกเราในมุมมืดๆเพียงลำพัง
“โชคยังดีนะ ที่แผลไม่ติดเชื้อ นี่เป็นเพราะนายใจแข็งดึงไม้นั่นออกมาแท้ๆ แต่ก็แลกกับปากแผลใหญ่ขึ้นนะ” คุณหมอสวมแว่น ร่างสูงผอม ผมดำสนิทคนเดียวกับเมื่อกี้นี้เปิดผลการตรวจและเริ่มว่ากล่าวมิคเคลสันว่าอย่าทำอะไรมุทะลุอีกเป็ดอันขาด มิคเคลสันได้แต่พยักหน้าหงึกๆเออออตาม เพราะใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เย็นวันต่อมามิคเคลสันได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมคำไล่ของเพื่อนหมอด้วยกันว่า ‘อย่ามาใช้บริการอีกนะ’ มิคเคลสันไม่ได้โทรบอกวิลให้มารับเนื่องจากจะเป็นการรบกวนเปล่าๆ เขาจึงเดินไปพร้อมไม้ค้ำกระโผลกกระเผลกเรียกแท็กซี่มาคันนึง และจะเป็นใครไม่ได้นอกจากลุงโชเฟอร์นักตกปลาเจ้าเดิม เขายินดีพาไปส่งให้ฟรีๆแต่กระนั้นมิคเคลสันก็กะจะวางเงินไว้ให้อยู่ดีเขาจึงนั่งเบาะหลัง
“ผมว่ามันเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ จระเข้ตัวใหญ่ขนาดนั้นมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”ลุงโชเฟอร์ยังคงมองถนนและพูดคุยไปด้วย เขาทำท่าทางขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงจระเข้ตัวนั้น
“ผมว่าคงจะเป็นลูกจระเข้ที่พวกเราคิดว่าจับหมดแล้วแต่จริงๆอาจจะยังไม่หมดก็ได้นะครับ แล้วตรวจสอบอีกครั้งรึยังครับ?” คุณลุงโชเฟอร์ยักไหล่เล็กน้อยและถอนหายใจยาว เขาบอกว่าพวกอนุรักษ์นิยมให้มันอยู่ที่นั่นต่อไป เพราะมันยังไม่ตาย กระสุนแค่ทำให้มันสลบเท่านั้น แถมยังมีการวางไข่ไว้อีก แสดงว่าแถวนั้นต้องเป็นรังของพวกมัน มันจึงดุร้ายขึ้น พวกอนุรักษ์ยังให้เหตุผลอีกว่า ‘เพราะมนุษย์ไปรบกวนมันก่อนเอง จึงถูกลงโทษ’ มิคเคลสันก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น แต่ต่อไปนี้คงต้องไม่ให้ใครผ่านไปแถวนั้นอีก
“ตอนนั้นคุณไม่ได้พกปืนไปนี่น่า? แล้วมันถูกใครยิง?” ลุงโชเฟอร์ทำหน้าเครียดขมึง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น มิคเคลสันเริ่มนึกย้อนกลับไป เขาจำได้ว่าเห็นรางๆเพราะสายตาพร่ามัว เป็นชายร่างสูงยืนอยู่อีกฝั่งนึงของบึง
“ผมว่า…ผมเห็นคนคนนั้นนะ ไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ แต่ก็มองไม่เห็นหน้า” ลุงโชเฟอร์เลิกคิ้วและบ่นอุบอิบเกี่ยวกับที่ชายลึกลับที่ทำตัวเป็นฮีโร่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน หรืออาจเป็นโจรโขมยผลเกษตรในช่วงนี้ก็เป็นได้แต่ถึงยังไง เขาคนนั้นก็ช่วยชีวิตมิคเคลสันไว้ได้อย่างหวุดหวิด
ไม่นานนักก็ถึงบ้านของมิคเคลสัน และไม่ลืมที่จะแอบวางเงินไว้ที่นั่งด้วย เมื่อเข้าไปถึงบ้านก็พบว่าเฌอบลองกำลังยืนกอดอกต้อนรับหน้าประตูด้วยสีหน้าบูดบึ้ง พร้อมบอดี้การ์ดร่างใหญ่อีกสองคนที่ยืนประกบข้างๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เฮ้อ…อะไรอีกล่ะครับ?” ผมถอนหายใจยาว คงไม่ใช่ว่าบ้านยังสร้างไม่เสร็จ ท่อประปาแตก สีลอก กลิ่นสีบ้านใหม่เหม็นเกิน ก็เลยต้องมาค้างบ้านผมอีกนะ ไม่ใช่สินะ ขอร้องล่ะ ผมไม่อยากเจ็บตัวหรือเสียข้าวของเครื่องใช้ไปอีก
“เจ้าลุงบ้านี่!! ทำไมมีเรื่องอะไรแล้วไม่มีใครบอกอะไรชั้นเลยซักคำฟระ!! เห็นชั้นเป็นส่วนเกินไปได้ ไหนๆพวกเราก็รู้จักกันแล้วนิเฮ้ย!” เฌอบลองกระทืบเท้าโวยวายลั่นบ้าน บอดี้การ์ดทั้งสองเตรียมที่อุดหูเตรียมไว้อยู่แล้ว
“เอ่อ…ไม่อยากทำร้ายจิตใจหรอกนะ แต่…ตั้งแต่แรกพวกเรารู้จักคุณก็เพราะ…คุณเข้ามาจะทำร้ายพวกเรานี่น่า?” เฌอบลองหน้าเสีย และกลับกลายเป็นโกรธสุดขีดแทนแต่ก็นิ่งๆไม่ได้กระโดดมาต่อยหน้าแต่อย่างใด แต่แค่เพียงหันหลังให้
“นั่นสินะ ที่ชั้นคุ้มครองพวกนายและคนในย่านนี้จากอันธพาลจากใต้ดินคงไม่มีความหมายเลยสิ?” เสียงเฌอบลองแผ่วเบาดั่งกระซิบ บอดี้การ์ดทั้งสองก็พลอยซึมไปด้วย แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วช่วงนี้ไม่มีพวกอันธพาลเข้ามาเลย แม้กระทั่งโจรเองก็ไม่มีซักคน หรือเป็นเพราะอิทธิผลของเฌอบลอง แต่ทำไมต้องช่วยล่ะ? ทั้งๆที่ตอนแรกเขามาหาเรื่องพวกเรา?
“ทำไม?” ผมถามไปตรงๆ เฌอบลงจึงหันมาช้าๆแต่ยังก้มหน้านิ่ง ถึงจะไม่ได้ร้องไห้แต่ก็เกือบๆแล้ว หรือที่ผ่านมาเกิดการเข้าใจผิด?
“ก็เพราะตอนแรกชั้นโกรธลุง! ที่บังอาจมาเรียกชั้นว่าเจ้าหนู แต่เรื่องราวก็บานปลายใหญ่โต ทั้งๆที่ชั้นไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย ฮึก!....บ้าเอ๊ย! รู้ไว้ซะ ว่าชั้นแค่จะมาหาที่พักของชั้นนอกเมืองแต่ก็ถูกเข้าใจผิดจนได้ ฮึกๆ เว้ย! หยุดมองนะ!!” สุดท้ายเฌอบลองมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่และหยิ่งทระนงก็ต้องเอามือปิดหน้าซ่อนความเศร้าสร้อยไว้ภายใน แต่แรงสะอื้นก็ปิดไม่มิด
“ชั้น…ชั้นขอโทษจริงๆ ใครจะไปรู้กัน…ชั้นขอบคุณจากใจจริงเลยนะว่า…เธอเป็นฮีโร่จริงๆที่ช่วยชาวเมืองที่นี่ให้พ้นภัยตอนชั้นไม่อยู่ ถ้าไม่มีเธอก็คงเละเทะ” ผมวางมือบ่นไหล่เฌอบลองที่ตอนนี้หยุดสั่นเพราะความเศร้าแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมโดยที่แววตาไร้ความเศร้า
“จริงอ่ะ? ชั้นน่ะเหรอ ย อย่ามาโกหกนะเจ้าลุงบ้า” ผมยิ้มน้อยๆให้และหัวเราะในความเด็กของ เฌอบลองผู้น่าเกรงขาม ตอนนี้ก็ไม่ต่างกับเด็กน้อยๆคนนึงที่มีคนชมเมื่อไหร่ก็จะตาลุกวาวเป็นประกายเหมือนได้ลูกอมเม็ดใหญ่
“จริงๆสิ เพราะงั้น อย่าโกรธเลยนะ อ่า…แล้วมาที่นี่มีอะไรเหรอ?” เฌอบลองหันมาพูดตรงๆอีกครั้ง เป็นสัญญาณที่ดีทีเดียว บอดี้การ์ดทั้งสองกระตุกยิ้มให้เป็นเครื่องหมายว่า ‘เป็นพวกเดียวกันแล้วนะนาย’อะไนประมาณนั้นครับ
“ก็ไม่มีอะไรมากอ่ะนะ แค่มาดูว่าลุงยังอยู่ดี แล้วก็ต้องไปล่ะเพราะมีคนรอจะคุยกับลุงอยู่ที่ห้องบำบัดจิตแน่ะ ชั้นไปล่ะ อ่อแล้วก็ ขอเตือนอะไรหน่อยนะ” เฌอบลองกวักมือทำท่าให้ผมย่อตัวลงไปฟังสิ่งสำคัญมากบางอย่าง เฌอบลองกระซิบเตือนผมด้วยเสียงอันเบาหวิวแต่ชัดเจน
“ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าลุงกับเจ้าคนที่รออยู่เป็นอะไรกัน แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นล่ะก็ตะโกนเรียกบอดี้การ์ดชั้นได้เลย ชั้นจะให้ ‘บี1’ คอยอยู่หน้าบ้านลุง เพราะดูจะไม่ปลอดภัยเอาซะเลย ดูจากใต้ขากางเกงแล้วเจ้านั่นมีมีดซ่อนอยู่ด้วย” และเฌอบลองก็เดินออกไปปล่อยให้ผมมึนงงอยู่ลำพัง
“ใครกัน? พวกใต้ดินเหรอ?” ผมเดินช้าๆขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นห้องพูดคุยบำบัดคนไข้ของผมเอง และก่อนจะเข้าห้องผมไม่ลืมที่จะซ่อนมีดพกไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แต่เหตุการณ์ต่อจากนี้ต่างหาก ที่ไม่สามารถหาคำใดๆมาเปรียบกับมันได้
ผมแง้มประตูเข้าไป ก็ต้องพบกับคนที่ผมคิดถึงมากที่สุด แต่ก็เกรงกลัวที่สุดเช่นกัน ผมมือสั่นอย่างไม่รู้ตัว น้ำตาก็เอ่อล้นเพราะความคิดถึงหรือสับสนก็ไม่ทราบได้
“ยินดีที่เจอกันอีก มิคเคลสัน”
TBC.
โอ้ววววววว ขอขั้นรายการเพื่อนำท่านสู่ วาเลนไทน์ซักครูค่ะ! เพราะจะแต่งบทเซอร์วิสให้เพื่อน บทที่7เอาไว้ก่อนนะคะ >w< แฮะๆ
ตอนที่7จะเปิดเผยใบหน้าตัวละครใหม่ให้ได้ชมกันค่ะ
ปล. มันชักจะไม่normalแล้วนะคนแต่งครัช
ความคิดเห็น