คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Diaryคุณลุงปริศนา ตอน นักฆ่าหนุ่ม
Diaryคุณลุงปริศนา
ตอน นักฆ่าหนุ่ม
วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเสียจริงๆ ก็เพราะวันนี้สภาพอากาศมีเมฆครึ้มแต่มีลมในแบบที่ผมชอบ เมื่อตรวจคนไข้ทั้งหมดจบลง ผมก็ออกไปเดินเล่นในเย็นวันนั้น ถ้าอยู่แต่ในบ้าน(ซึ่งเป็นคลินิกในตัว)และคอยฟังอาการประสาทของเหล่าคนไข้ที่จะเข้ามาทำร้ายผมเมื่อไหร่ก็ได้นั้น มันช่างเป็นงานที่เหนื่อย และผมต้องการพักผ่อนอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เห็นใจคนไข้ทุกคน ไม่ว่าบางคนจะเคยพยายามเข้ามาทำร้ายบ้างแล้วก็ตาม คนเหล่านี้ต้องการที่ยึดเหนี่ยวที่มั่นคง
ผมเดินไปตามทางลาดเนิน ซึ่งแถวๆบริเวณบ้านของผมอยู่ติดกับภูเขามากมายและใกล้ป่าสนซึ่งค่อนข้างจะเหงาหงอยและเปลี่ยวทีเดียว ผมเดินไปเรื่อยๆ เดินดูเหล่าผู้คนภายนอกไปเรื่อย โชคดีเสียจริงที่นอกจากแถวบ้านผมจะอยู่ติดกับธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังเป็นตลาดนคนเดินเสียด้วย แทบจะไม่มีซุ่มเสียงของจราจรให้หนวกหูเหมือนเมืองกรุงเลยจริงๆ คนที่นี่เองก็เป็นมิตรมากๆครับ ถึงผมจะออกมาจากบ้านน้อยครั้งแต่พวกเขาก็ทักทายและยิ้มให้ผมเสมอซึ่งคงรู้จักกันเพราะบางครั้งมีคนบาดเจ็บหนักส่งโรงพยาบาลไม่ทันหรือบาดเจ็บเล็กน้อยพวกเขาก็พาคนเจ็บมาให้ผมรักษา ซึ่งผมไม่ได้คิดเงินอะไร พวกเขาจึงชอบผมมาก บางครั้งผมไม่จำเป็นต้องออกไปซื้ออาหารข้างนอกเลย พวกเขาจะแบ่งอาหารที่เขาทำไว้มาให้ผมได้ทาน ผมรักที่นี่มาก
ผมเดินไปเรื่อยๆดูร้านรวงต่างๆที่เริ่มมาจัดของขายเพื่อเปิดตลาดนัดยามค่ำกันแล้ว มีทั้งอาหาร ของกินเล่น ของฝาก ต่างๆนานาตระการตามากมาย ผมเพียงแค่แวะทักทายคนไข้ของผมบางคนและกล่าวสวัสดีกับคนรู้จักและเด็กๆที่เคยเตะบอลทะลุหน้าต่างบ้าน
ในที่สุดผมหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมรักร้านนี้พอๆกับที่รักย่านนี้ มันตั้งอยู่ข้างๆบ่อน้ำใส น้ำใสเสียจนเห็นใบไม้หลากสีสันที่ร่วงหล่นและจมอยู่ก้นบึ้งนั้น ปลาหลากหลายสายพันธุ์ที่รอคอยให้เศษขนมปังเหลือจากร้านร่วงลงไปใส่ปากพวกมัน รอบๆร้านไม่มีเสียงอึกทึกเข้ามารบกวนเลย เนื่องจากมันห่างจากตลาดนัดเมื่อซักครู่อยู่ค่อนข้างมากอยู่ บริเวณร้านประดับไปด้วยทิวทัศน์ของต้นไม้สูง แล้วดอกไม้น้อยๆที่แทรกตัวอยู่ระหว่างต้นหญ้าที่เมื่อสัมผัสแล้วเปรียบเสมือนเหยียบอยู่บนหมอนนุ่มๆอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเข้ามาในร้าน เป็นธรรมดาของที่นี่ที่จะมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนที่เข้ามานักส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่ติดใจกับวิวทิวทัศน์ นานๆทีจะมีนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเข้ามาบ้าง เพราะคนส่วนใหญ่ในละแวกนี้ใช้เวลาไปกับการเก็บผลผลิตทางเกษตร รีดนมวัว และตั้งร้านค้าต่างๆ คงจะไม่มีเวลาเหลือมานั่งจิบกาแฟแล้วนั่งทัศนาภูเขาและหมอกหนาที่เจือกลิ่นเมล็ดโกโก้หรอกนะ
แต่วันนี้กลับแปลกไป ภายในร้านยามเย็นเช่นนี้ปกติจะมีเพียงผมเท่านั้นในละแวกนี้ที่ว่างอยู่ แต่กลับมีคนนั่งอยู่ในร้าน ดูท่าจะไม่ใช่คนแถวนี้เสียด้วย เนื่องจากคนในย่านนี้ส่วนมากแต่งตัวเป็นคนสวน ชาวนาเสียส่วนใหญ่ แต่นายคนนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำยับยู่ยี่เหมือนไม่ได้รีดมาตั้งแต่ซื้อ หรือนี่รีดแล้วกันนะ แล้วยังผูกเน็กไทที่ดูไม่เรียบร้อยนั่นเสียอีก คิดได้ดั่งนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่สิ ผมเกือบจะหลุดขำด้วยซ้ำเมื่อคิดว่าเขาเป็นพวกถูกไล่ออกจากงาน แต่หน้าตาของเขานี้ยังเด็กมากอยู่ ผมกลบเสียงขำด้วยการกระแอมไอแล้วเอามือปิด แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มนี้จะได้ยิน เขาหันขวับแล้วมองมาที่ผมแบบสายตาไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่ ผมเองก็จ้องเขาไม่วางตาอยู่ด้วยสิ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผมสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบร้อย ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำสนิทที่แทบจะไม่มีฝุ่นติดอยู่ซักนิดเดียว กับกางเกงยีนส์สีดำ และรองเท้าหนังหัวแหลมสีน้ำตาลเข้มที่ถูกขัดจนมันวาวซึ่งเป็นชุดปกติที่ผมทำงานจิตแพทย์ เด็กหนุ่มที่กำลังจ้องผมเขม็งนั่นสอดสายตาสำรวจผมอย่างถี่ถ้วน เหมือนแสกนบาร์โค้ด ดูไร้มารยาทแต่สายตาที่ดูใคร่รู้และระมัดระวังนั้นทำให้ผมรู้สึกติดใจอย่างไรไม่รู้
“รับอะไรดีครับ? คุณมิคเคลสัน” เสียงพนักงานในร้านซึ่งมีอยู่คนเดียวก็โพล่งขึ้นมา ผมจึงละสายตาจากเด็กหนุ่มลึกลับคนนั้นไป พนักงานผู้นี้คือเจ้าของร้านนี้นั่นล่ะ ผมชอบเขาตรงที่มีหัวคิดสร้างสรรค์ในการตกแต่งร้านแบบวินเทจ ถึงเขาจะไม่ใช่คนในเมืองนี้แต่แรกก็เถอะและ ถึงเขาจะดูเซอร์ๆแต่ก็เป็นคนมีอารมณ์ขันไม่น้อยไปกว่าผู้คนที่นี่เลย
“ชาร้อนครับ วิล” ผมลืมบอกไปว่าเจ้าของร้านนี้ชื่อวิลเลี่ยม และเป็นชื่อร้านนี้ด้วย เขามักจะแวะมาหาผมที่บ้านบ่อยๆ เพื่อเอาพล็อตนิยายสยองขวัญมาให้ผมอ่าน เขาเป็นนักเขียนให้กับสำนักพิมพ์นึง ที่จริงเขามีชื่อเสียงไม่น้อยในแวดวงนักเขียน บางครั้งก็มาเล่าเรื่องผีให้ผมฟังบ่อยๆถ้าเกิดไม่มีลูกค้าคนอื่น วิลชวนผมให้เขียนนิยายสยองขวัญหลายครั้งหลายครา เพราะผมนี่เองที่เติมเต็มนิยายของเขาให้มีรสชาติของความน่ากลัวมากขึ้น แต่ผมอยากทุ่มเทเวลากับการรักษาคนไข้มากกว่า
แต่แล้วผมก็ขนลุกขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาไม่วางตาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ผมค่อยๆหันไปข้างหลัง นั่นไงล่ะ เด็กหนุ่มที่จ้องกันเมื่อซักครู่นี้เอง เขายังจ้องผมอยู่เลย ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเจ้าหนุ่มนี่แล้ว หรือมีอะไรติดอยู่ที่ตัวผมรึยังไง?....ก็ไม่มีนี่น่า
“ได้แล้วครับชาร้อน” วิลยกชามาเสริฟ กลิ่นของมันทำให้ต้องละความสนใจจากเจ้าหนุ่มนั่นอีกครั้ง แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเขายังจับจ้องมาแบบไม่วางตา เหมือนงูเห่าที่จ้องเหยื่อแบบไม่กระดุกกระดิกซักนิดเดียว
เมื่อผมเริ่มยกแก้วชาขึ้นดื่มและเปิดอ่านนิยายสยองขวัญที่เพิ่งซื้อมา ผมก็เหลือบเห็นใต้ที่รองแก้วว่ามีโน้ตอยู่ ผมหยิบมันขึ้นมาดู ข้อความถูกเขียนด้วยลายมือของวิล ที่จำลายมือได้เนื่องจากเคยตรวจต้นฉบับของเขามานักต่อนักแล้วนั่นเอง ข้อความถูกเขียนด้วยหมึกดำที่ดูท่าแล้วน่าจะเขียนด้วยความรีบร้อนมากอยู่ มันแทบจะอ่านไม่ออก แต่ก็พอแกะออกว่ามันถูกเขียนว่า
“’ระวังผู้ชายข้างหลังคุณให้ดี’ งั้นรึ?”
“!?” เด็กหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองผมเมื่อกี้นี้มาอยู่ข้างหลังและมาอ่านข้อความในโน้ตนี้แบบที่ไม่ทันรู้ตัวได้เลย ใบหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้ชัดเจนว่าไม่ได้มาดีแน่ สายตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่เตรียมจะจู่โจมเหยื่อเหมือนงูจงอางที่แผ่แม่เบี้ย และกระตุกมุมปากเหมือนพยายามที่จะยิ้มแต่มันกลับเป็นใบหน้าที่น่ากลัวเมื่อมือของเจ้าหนูนี่ถือมีดพกแบบคมกริบอยู่ แสงสะท้อนใบมีดมากระทบกับดวงตาก็พอรู้ได้ว่ามีดเล่มนี้ถูกรักษามาอย่างดี เพื่อรอเวลาที่จะได้เชือดเฉือนเลือดเนื้ออย่างบ้าคลั่ง
“รีบหนีไปเร็วเข้า คุณมิคเคล!!” เสียงวิลจากหลังเค้าท์เตอร์ที่ตะโกนมานั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนกเต็มที เขาพยายามที่จะโทรเรียกตำรวจแต่กลับถูกเจ้าหนูตรงหน้าของผมนี่ขว้างมีดไปตัดสายโทรศัพท์อย่างแม่นยำ
“ไอ้คุณเจ้าของร้านอย่างคิดกระดิกไปไหนแม้แต่มิลเดียว โทรศัพท์ของแกอยู่ที่ชั้นแล้ว ประตูล็อกก็ไว้แบบนี้ก็ขอให้อยู่ในความสงบ และ ตั้งใจฟังชั้นให้ดีนะลุง!”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นอกจากเด็กๆที่อยู่แถวนี้ไม่เคยมีใครเรียกผมว่าลุงเลยซักคนครับ แต่เจ้าหนูนี่กลับเรียกผมทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแถมดูท่าทางจะเข้ามาปาดคอผมเมื่อไหร่ก็ได้เสียด้วยสิ ถึงผมจะไม่ซีเรียสเรื่องการถูกเรียกสรรพนามอย่างไร แต่ผมกลัวว่าวิลจะเป็นอันตรายไปด้วยมากกว่า ผมพอเอาตัวรอดได้ แต่ บ้าจริง ประตูล็อกและไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เลย วันนี้ซวยจริงๆ
“เฮ้ เจ้าหนู ใจเย็นๆก่อนนะ มีอะไรก็คุยๆกันดีๆก็ได้ อย่างที่เธอว่าแหล่ะ ไม่มีใครอยู่นอกจากพวกเราหรอกนะ ลดมีดในมือลง แล้วจะไปเก็บมีดอีกเล่มที่ตกอยู่ใกล้ๆเพื่อนชั้นก็ไม่ว่าหรอกนะ” ช่วงเวลาตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ดูจากการที่เด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาอยู่ข้างหลังผมแบบไม่รู้ตัวก็เดาได้ว่าไม่ได้เป็นโจรกระจอก เล่นเอาผมตื่นเต้นอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
“ก็ได้ เฮ้ย!เจ้าของร้านั่นน่ะ วางมีดชั้นลงตรงโต๊ะนี้ให้หน่อยชั้นจะคุยกับลุงนี่แบบที่มีอาวุธอยู่ครบมือ นายจะได้ไม่กล้าเล่นตุกติกกับชั้น เข้าใจนะ นั่งนิ่งๆฟังชั้นพูดไป” เจ้าหนูนิรนามนี่กำมีดสั้นและมีดพกไว้ทั้งมือซ้ายและขวา คงกะว่าถ้าผมกระดิกตัวนิดเดียวคงเข้ามากระซวกผมได้ตลอดเวลา
“ไม่นั่งเหรอ?” เขาสั่งให้ผมนั่งลงตรงข้ามเขาแต่ไม่ยักกะนั่งเสียเอง คงเตรียมพร้อมตลอดเวลา แบบนี้ดูท่าว่าจะไม่ธรรมดาจริงๆ ผมเองก็จ้องการกระทำของเขาแบบไม่วางตาเช่นกัน
“ถ้ายืน จะได้สังเกตแกได้ง่ายๆหน่อย เอ้า ตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะลุง” เขาจ้องผมแทบไม่กระพริบตา ผมคงไม่วาร์ปหนีไปเหมือนในเกมหรอกน่า เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอย่างจะหลุดขำท่าทางของเจ้าหนุ่มนี้ขึ้นมาอีก
“มีอะไรก็ว่ามาครับ ชาผมจะหายร้อนแล้วนะ” ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงอยากจะก่อกวนจิตใจเขามากนักนะ นี่ผมคงไม่กลัวตายเสียแล้ว
“เฮอะ ช่างหัวชามันเถอะน่าลุง มาเข้าเรื่องซะที” เจ้าหนุ่มที่ยืนค้ำหัวผมอยู่นั้นแสยะยิ้มมุมปากแบบไม่มีอารมณ์ขันให้เห็นในรอยยิ้มนั่นเลย คงจริงจังน่าดู ผมจึงนิ่งเงียบเพื่อฟังธุระของเขา
“มีคนต้องการตัวลุง เป็นพวกมาเฟียที่บอกว่าเคยมีเรื่องกับลุงจนต้องกระจัดกระจายเพื่อหนีลุง หรือตำรวจอะไรเนี่ยแหล่ะ อันนี้พวกมันไม่ได้บอกอะไรมาก แค่บอกว่าต้องการตัวลุงให้ได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ผมก็ยิ่งได้ค่าจ้างเยอะเท่านั้น เพราะงั้น ลุงยอมให้ผมพาตัวไปเถอะ” เจ้าหนุ่มนิรนามนี่คงอยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ค่าตอบแทนอย่างงามๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าผมไปมีเรื่องกับมาเฟียที่ไหน ไม่สิ มันเยอะจนผมจำไม่ได้หมดมากกว่า
“….” ผมนิ่งคิดไปชั่วครู่ ไม่ได้กลัวว่าผมจะถูกมาเฟียท้ายแถวหรือแนวหน้าจับนั่งยางหรืออะไรเถือกนั้น แต่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องมันจบไวๆโดยที่ทุกคนที่นี่จะไม่มีส่วนเอี่ยวด้วย ผมไม่ได้เป็นฮีโร่อะไร แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาที่นี่ขึ้นมา….ที่นี่คงวุ่นวายแน่นอน และอีกอย่างผมเกลียดไม่ว่าจะใครหน้าไหนที่มาสร้างปัญหาให้คนที่นี่ผมเกลียดทุกคน
“…..เฮ้ย ลุง เข้าใจนะว่ากลัวน่ะ แต่มันช่วยไม่ได้นะเรื่องนี้ แล้วผมก็มีคิวงานยาวเป็นหางไดโนเสาร์ เพราะงั้นรีบๆไปกับผมเสียที” เจ้าหนูนี่แสดงความรำคาญออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงจำเป็นต้องรีบตัดสินใจ
“…งั้นไปกันเถอะ” ผมลุกจากเก้าอี้ส่งเสียงดังสนั่นร้าน ผมเหลือบเห็นเจ้าหนูนี่สะดุ้งนิดหน่อยแต่ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลย เด็กก็คือเด็กอยู่วันยันค่ำน่ะแหล่ะ ผมกระตุกยิ้มมุมปาก
ผมบอกลาวิลที่ยืนอยู่หลังเค้าท์เตอร์ วิลดูจะห่วงผมมาก แต่ผมก็บอกกับเขาว่า ผมจะกลับมา ซึ่งผมก็คิดว่าผมจะกลับมาจริงๆ ถึงผมจะไม่กลัวตาย แต่ผมก็ไม่ต้องการที่จะให้ผมจบชีวิตในแบบที่ผมไม่ได้เลือก เมื่อออกจากร้านและเดินไปได้ซักพักมันเริ่มเปลี่ยวและมืดลงทุกทีพวกเราเดินเข้าไปในป่าที่รกขึ้นทุกขณะ ไม่นานเจ้าหนูนี่ก็คงทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหวล่ะมั้งจึงเริ่มกระสับกระส่าย
“ฮึ กลัวผีเหรอ พ่อหนุ่มนักฆ่า” ผมล่ะชอบหน้าตาของเจ้าหนูนี่ตอนถูกผมล้อเล่นชะมัด
“ลุง! เงียบปากไปเลย แล้วลุงล่ะ ดูท่าทางไม่กลัวตายเลยนี่” เขาเชิดหน้าและยักยิ้มมุมปากแบบท้าทายความรู้สึกของผม ที่เขาต้องเชิดหน้าเพราะเขาตัวเล็กกว่าผมมากโขรึเปล่านะ
“ไม่กลัวหรอก ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวตายหรอกนะ แต่ผมชินแล้วกับการถูกลักพาตัวบ้าง เอาตัวไปทรมานบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่เคยเจอแล้วล่ะ ทั้งๆที่คิดว่าถ้าออกจากวงการแล้วจะสงบซะที แต่พอมาวันนี้แล้วผมคิดผิดจริงๆ” ผมหัวเราะแบบไม่ใส่อารมณ์นัก
“…ลุงเป็นใครกันแน่ ไหนคนที่นี่ถึงบอกว่าลุงเป็นจิตแพทย์ แถมดูท่าลุงก็ไม่ได้เป็นพวกเลวร้ายอะไร ยกเว้นไอ้รอยยิ้มน่ากลัวๆนั่นน่ะ” เจ้าหนุ่มทำท่าเหมือนเห็นคนสั่งน้ำมูกแล้วไหลเยิ้มยังไงยังงั้นล่ะ
“ถ้าเก่งจริงก็สืบสิครับ ผมเองไม่ได้อยากเข้าไปเกี่ยวนักหรอกนะ กับแวดวงนักเลงอะไรบบนี้น่ะ” ผมพูดจากใจจริง ผมไม่ได้เลือกเส้นทางของตนในตอนแรก แต่พอ’คนคนนั้น’เสียไป ผมก็ประกาศตัวออกจากวงการ แล้วมาเปิดคลินิกที่เมืองห่างไกลคามเจริญ
“ฮึ ผมไม่เห็นสนใจเท่าไหร่เลย เมื่อผมได้ยินเสียงลูกปืนทะลุหัวคุณเมื่อไหร่ งานผมก็จบ” เขาพุดอย่างไม่ยี่หระนัก และเราสองคนก็เดินต่อไปซักพักนึงก็พบกับกระท่อมที่ทำจากไม้ใกล้พัง อยู่ในความมืดที่ต้นไม้สูงบดบังไว้
“พร้อมมั้ยลุง? ถ้าฉี่จะเร็ดเมื่อไหร่บอกนะ จะได้ให้ฉี่ครั้งสุดท้ายในชีวิต” ทั้งๆที่ผมอาจจะตายอยู่ร่อมร่อ เจ้าหนูนี่ก็ยังคงไม่เลิกที่จะกวนผมเสียที ผมเพียงแต่ขำในลำคอ ไม่ใช่เพราะผมกลัวตาย แต่ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศมืดๆยุงบินกันเป็นกองทัพอากาศสมัยสงครามโลกครั้ง2 และดูเหมือนเจ้าหนูนี่จะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงเขาจึงเงียบไป
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบกับคนท่าทางซ่อมซ่อแต่ใส่ชุดสูทขาดวิ่น และเปรอะไปด้วยโคลนและฝุ่นมี6คนได้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมเคยมีเรื่องกับกุ๊ยพวกนี้ด้วย
“แกคงจำพวกเราไม่ได้ ก็ดูสภาพพวกเราสิ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะแก!! แกทำลายชีวิตพวกเรา ทำไมแก้ต้องปลดตัวเองออกจากหัวหน้าแก๊งแล้วไปมอบตัววะ! ” ไม่ทันไรหนึ่งในกุ๊ยพวกนั้นก็โวยวายขึ้นและทำท่าจะเข้ามาต่อยผม แต่ถูกอีกคนที่ดูท่าทางฉลาดที่สุดมาหยุดไว้ซะก่อน
ความทรงจำเก่าๆของผมเริ่มกลับมาทีละน้อยๆ มันเป็นวันที่’คนคนนั้น’เสีย และผมก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มมาเฟียที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ผมเบื่อกับชีวิตที่ต้องกร่างไปทั่วและดูการกดขี่ผู้คน ผมจึงล้มกลุ่มและส่งสมาชิกบางคนให้ตำรวจ คงจะโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่พวกนี้คงหนีออกมาได้
“พวกคุณทำตัวเองไม่ใช่เหรอ? ตอนที่พ่อผมตาย ผมก็อุตส่าห์เสนอกลุ่มอื่นให้ซึ่งเป็นของลุงผมเอง แต่พวกคุณก็ไม่ฟัง กลับมาสร้างความวุ่นวายให้ครอบครัวของผมอีก” ดูท่าผมจะหาเรื่องเข้าซะแล้ว สีหน้าของเจ้าพวกนี้แต่ละคนแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นอย่างมาก พวกมันกระโจนเงื้อหมัดจะต่อยผมพร้อมกัน12หมัด แต่ผมไม่คิดจะหลบหรอกก็ในเมื่อผมทำลายชีวิตพวกเขาจริงๆ ผมปิดตาลงและรอให้ทุกอย่างเป็นไปในความมืด
“………………………..”
ทุกอย่างเงียบสงัดทั้งๆที่ผมคิดว่าน่าจะบินขึ้นฟ้าไปแล้ว ผมลืมตาขึ้นก็พบกับภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเป็นไปได้
“ลุง! หลบไปเลยป่ะ! อยากจะดูฉากบู๊เลือดสาดซะหน่อย มาเสียเที่ยวเป็นบ้า!!” เจ้าหนุ่มนักฆ่าเข้ามาขวางผมกับเจ้าพวกอดีตมาเฟียไว้ โดยมือสองข้างถือมีดไว้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าหนูนี่จะเข้ามาปกป้องผมแบบนี้
“เธอทำอะไรเนี่ย?? อยากโดนลากเข้ามาเกี่ยวด้วยรึไง?!” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่แล้วตะโกน ทำเอาเจ้าหนุ่มนี่สะดุ้งไปอีกรอบ
“อะ อะไรเล่า เฮ้ย! เงียบไปเลย มาช่วยกันจัดการเจ้าพวกนี้แล้วเผ่นกันเถอะน่า!!” เขาตะคอกใส่ผม ทั้งๆที่เสียงยังสั่นๆหลังจากที่เห็นผมตะโกนไปเมื่อซักครู่
“…..ก็ได้ ที่นี่ไม่มีกล้องใช่มั้ย?” ผมเริ่มคันไม้คันมือขึ้นมา หลังจากที่ผมไม่มีเรื่องกับใครมาซะนาน ยกเว้นแต่ว่าขโมยจะขึ้นบ้านน่ะล่ะ
“เออ! คิดว่านี่ล้อเล่นรึไง? จัดเต็มไปเลยลุง!! ” เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยยิ้มแบบจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าหนุ่มนี่ เขาคงรอเวลานี้มานาน มันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตและความสนุกสนานต่างกับที่ผมเจอเขาในร้านกาแฟ
“ฮึๆ อย่ามาขวางมือขวางเท้าผมล่ะ เจ้าหนู” ผมคว้ามีดจากมือของเจ้าหนุ่มไปเล่มนึง อย่างรวดเร็ว และฟันเข้าที่ขาของกุ๊ยกระจอกไปทีเดียว4คนพวกมันล้มลงกับพื้นและดิ้นทุรนทุราย ผมกระโจนเข้าเหยียบบนอกของเจ้าหน้าโง่ที่จะเข้ามาชกผมในตอนแรก แววตาของมันแสดงความกลัวอย่างสุดขีด มันยกมือไหว้อ้อนวอนผม และนี่คือช่วงที่ผมชอบมากที่สุด
“มีกี่คนแล้วล่ะที่อ้อนวอนขอชีวิตแกแบบนี้ แต่แกกลับไม่สนใจใยดีน่ะ หืม” ผมคลี่ยิ้มให้มัน แต่ดูท่ามันคงเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดสำหรับไอ้หน้าโง่นี่ เล่นเอามันปัสสาวะราดเลยทีเดียว เมื่อคิดว่าแกล้งพวกมันสมใจแล้วผมจึงมัดพวกมัน4คนรวมกันและตบท้ายด้วยผาดท้ายทอยจนพวกมันสลบไปพร้อมๆกัน และมันคงได้ตื่นในคุกอีกครั้ง
“ลุงนี่…ไม่ใช่หมอธรรมดาจริงๆด้วยแหะ” ผมหันไปตามเสียงของเจ้าหนุ่มนิรนาม ก็พบว่าเขานั่งอยู่บนตัวของไอ้กุ๊ยที่ไม่ได้สติ2คนเรียบร้อยแล้ว
“เธอเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ ที่จัดการกับคนที่ตัวใหญ่กว่าตั้งเท่าตัวถึง2คนในเวลาแป็บเดียวน่ะ” ผมขว้างมีดคืนให้ และเจ้าหนุ่มก็รับได้อย่างว่องไว ผมชักชอบเจ้าหนูนี่ขึ้นมาแล้วสิ
เมื่อโทรเรียกตำรวจเรียบร้อยแล้วนั้น พวกเราสองคนก็เดินออกมาผ่านป่าที่รกทึบเหมือนเดิม และเจ้าหนูนี่ก็กระสับส่ายอีกเช่นเคย มันมืดกว่าเดิมมาก ตอนนี้คงราวๆ2ทุ่มได้แล้ว
“นี่…” เสียงของเจ้าหนุ่มนักฆ่าพูดทำลายความเงียบในที่สุด
“ทำไมไม่ฆ่าพวกมันซะล่ะ ดูสายตาของลุงแล้วทำแบบนั้นได้สบายๆเลยนี่” แววตางของเจ้าเด็กนี่ส่อแววอยากรู้อยากเห็นเหมือนสุนัขที่เห็นของเล่นชิ้นใหม่
“ไม่ทำหรอก ผมไม่เคยฆ่าใครแค่อยากแกล้งให้มันกลัวจนไม่กล้ามายุ่งเท่านั้น…..” ผมนิ่งไปซักพัก เพราะไม่รู้ว่าจะพูดต่อดีมั้ย แต่สายตาของเจ้าหนูนี่เปร่งประกายมากขึ้น และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“แล้ว….” เจ้าหนูนี่หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นผมเงียบไป และสายตาที่คาดหวังที่จะให้ผมพูดอะไรซักอย่างที่เขาอยากฟังเอามากๆ
“โอเคๆ ผมรู้ตั้งนานแล้วล่ะ นายจ้างพวกนั้นมาสินะ เพราะถ้าเป็นคนที่ผมเคยรู้จักล่ะก็จะจำได้หมดนั่นแหล่ะ เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ?” ผมหยุดเดินและยืนกอดอกเพ่งมองเข้าไปในแววตาของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างใคร่รู้
“ชั้นรู้มาว่าลุงน่ะไม่ธรรมดาเลยล่ะ ที่รู้ก็เพราะได้ฟังมาจากพวกขโมย ขโจรที่เข้าไปในบ้านลุงนั่นแหล่ะ ชั้นแวะไปเยี่ยมพวกมันในซังเตซะหน่อยน่ะ พวกมันบอกว่าลุงน่ะต้องเป็นปีศาจในคราบมนุษย์แน่ๆ ผมจึงอยากดูให้เห็นกับตา แต่ลุงดันปล่อยให้พวกนั้นเข้ามาทำร้ายง่ายๆเสียนี่” เจ้าหนูนี่ทำท่าไม่พอใจและจ้องตาผมแบบขวางๆ
“ฮึๆ ก็เพราะรู้น่ะสิว่าเธอต้องไม่ปล่อยให้ผมถูกฆ่าแน่ๆ แล้วรู้ข้อมูลของผมมากน้อยแค่ไหนล่ะ?” ผมมองเขาแบบท้าทาย อยากรู้ท่าทางของเจ้าหนูนี่จริงๆ
“อะไร? ก็ลุงพร่ามมาซะหมดเปลือกแล้วไม่ใช่เหรอ” นั่นไง เจ้าหนูนี่ทำตาโตแบบตกใจอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ และอ้าปากค้างนิดๆ นี่แหล่ะที่ผมอยากเห็นล่ะ
“ฮึ ผมบอกเธอไปแล้วนะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าพวกนั้นน่ะเธอจ้างมา ผมไม่ใช่มาเฟียเก่าหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ และผมก็บอกอีกว่าให้ปืบมาไง” คราวนี้เจ้าหนูนี่ทำหน้าเหมือนเห็นผีจริงๆ และกระโดดไปมาแบบขัดใจตัวเองสุดๆ
“ลุงเป็นใครกันแน่ฟร่ะ!!” ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าหนูนี่ก็ทนไม่ไหวชี้หน้าแล้วตะคอกใส่ผมแบบนี้สินะ
“เรื่องอะไรจะบอกเล่า ฮะๆๆ” ผมอดไม่ไหวที่จะขยี้ผมของเจ้าหนูนี่ ถึงจะเป็นนักฆ่าที่ท่าทางจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็เป็นเด็กดีๆนี่เอง
“เฮ้ย!! เอามือสกปรกออกไปนะเว้ย!!ไอ้ลุงบ้านี่!!!”เจ้าหนูนี่ตัวเล็กซะจนชกหน้าผมไม่ถึงเอาแต่เตะขาผมอยู่นั่นล่ะ เห็นแล้วชวนให้นึกขำเสียจริง
“โอ๊ยๆๆ พอได้แล้วๆ ฮะๆ” ผมไม่เจ็บหรอกนะ แต่ทำไมไม่รู้ถึงได้จั๊กจี้ซะอย่างนั้น แต่ไม่ทันที่เจ้าหนูนี่จะเลิกทำร้ายผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างขึ้นมา….คล้ายๆเสียงท้องร้องน่ะ
“…..” เจ้าหนุ่มนี่ถึงกับก้มหน้างุดและถึงจะมืดแต่ผมก็รู้ได้ว่าตอนนี้หน้าของเขาแดงแค่ไหน
“….ร้านกาแฟนั่นมีของกินอร่อยๆอยู่นะ ไปที่นั่นกันเถอะ ผมก็ชักจะหิวแล้วสิ ถ้าไม่ตามมาระวังเจออะไรก็ไม่รู้โผล่มาล่ะ” ผมเดินนำหน้าไปอย่างว่องไว เพราะรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าหนูนี่ไม่กล้าอยู่คนเดียวแน่นอน
“คุณมิคเคล!? ขอบคุณสวรรค์ที่คุณครบ32 หรือว่านี่เป็นผีกันล่ะนี่??” เมื่อผมโผล่เข้าไปในร้านกาแฟวิลก็เข้ามาโผกอดผมไว้แน่นซะจนผมไม่แน่ใจว่าเสียงกร๊อบแกร๊บที่ได้ยินใช่เสียงซี่โครงผมเคลื่อนหรือเปล่า
“เฮ้ย!! นี่มันเจ้าฆาตรกรนั่นนี่? มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ เดี่ยวมาบอกคุณอีกที แต่ตอนนี้ขออะไรก็ได้ที่ทำให้เจ้าหนูนักฆ่านี่อิ่มหน่อยนะครับ ผมด้วย” ผมยิ้มให้ นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้วิลต้องวิ่งเข้าครัว
“เฮ้…”หลังจากที่เงียบไปนานเจ้าหนูนี่ก็ส่งสัญญาณว่ายังไม่ได้เป็นลมไปซะก่อน
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ครับ ผมแค่ประทับใจฝีมือของคุณก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่เว้ย ชั้นกำลังจะบอกว่า….ชั้นไม่ได้กระเป๋าตังค์มา….” ผมเงียบไปได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องลงไปนั่งกุมท้องเพราะกลั้นขำไม่ไหวจริงๆครับคราวนี้
“อุ๊บ! ฮะๆๆ โธ่เอ๊ย แค่นี้เอง ผมจ่ายให้ก็ได้ครับก็บอกแล้วไงว่าผมถูกใจฝีมือเธอน่ะ” ดูจากแววตาของเจ้าหนูนี่แล้วโกรธที่ผมหัวเราะได้แป็บเดียวเท่านั้นล่ะ พอได้ยินว่าผมจะจ่ายให้ก็มานั่งที่โต๊ะทันที แถมผูกผ้ากันเปื้อนเสียเรียบร้อย
“มาแล้วครับ ทีโบนแบบพิเศษเลย” กลิ่นของเนื้อคุณภาพดีโชยมาแต่ไกล แต่ผมก็เหลือบมองวิลที่บอกว่าให้ไปจัดอาหารที่ทำให้อิ่มไม่ใช่อาหารแพงๆเสียหน่อย
“ทานล่ะน้า!!!” ผมยังไม่ทันจะนั่งลงดีเลย เจ้าหนูนี่ก็ฟาดเสต็กไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากจะบอกจริงๆว่าผมไม่แย่งหรอกน่า
“คืนนี้นายจะกลับเลยรึเปล่า ถ้างั้นเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ” เจ้าหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย และเงยหน้ามามองผม แต่ผมก้มหน้าทานอยู่จึงไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่มีแววตาแบบไหนกัน
“บ้านชั้นอยู่ไกลจากนี่ตั้งหลายไมล์ เพราะงั้น ชั้นจะพักที่นี่ซักคืน”
“จะค้างที่บ้านผมเหรอ?” ผมหยุดทานซักแป็บเพื่อรอฟังคำตอบของเจ้าหนุ่มนิรนาม ถ้าเขามานอน ผมคงต้องลงไปนอนที่โซฟาแล้วล่ะ
“เฮอะ จะบ้าเรอะลุง ถ้าผมไปนอนกับลุงผมจะแน่ใจได้ไงว่าลุงจะไม่มาทำอะไรผมน่ะ ผมจะนอนที่ร้านนี้แหล่ะ ตรงนั้นมีโซฟาอยู่นี่น่า ใช่มั้ยคุณเจ้าของร้าน” เจ้าหนูนี่หันขวับไปทางวิลที่กำลังจะย่องเข้าไปในครัว
“น แน่นอนๆ เชิญเลย เฝ้าร้านให้ผมไปเลยล่ะกันนะ” วิลตอบอย่างกล้าๆกลัวๆและหายเข้าไปหลังร้าน คงจะไปสูบบุหรี่ซักมวนคลายเครียดล่ะมั้ง
“อ่ะ ผมจ่ายให้แล้วนะ ผมไปล่ะ เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะนะ เจ้าหนูนักฆ่าที่ผมไม่รู้แม้แต่ชื่อ” ผมวางเงินไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วเดินออกจากร้านไป โดยที่ไม่ได้หันไปมองที่เจ้าหนูนั่นอีก ถึงจะติดใจกับนักฆ่าหนุ่มผู้มากฝีมือคนนี้มากแค่ไหน แต่เจ้าหนูนั่นก็แค่อยากเห็นฝีมือผมเท่านั้น น่าเสียดายเสียจริงๆ ที่ผมยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงให้เขาเห็นเลย แต่เมื่อผมเดินออกมา ผมก็ยังรับรู้ได้ว่าเจ้าหนูนั่นยังจ้องผมไม่วางตาจนผมเดินลับสายตาเขาไปนั่นแหล่ะ
…………………………………………………
เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้ไม่มีคนไข้จองไว้เลย ผมจึงคว้าเสื้อโค้ทสีน้ำตาลคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีดำสบายๆไว้ เนื่องจากวันนี้ผมไม่ได้ทำงาน จึงแต่งตัวสบายๆกว่าทุกวัน และในที่สุดผมก็มีโอกาสสวมรองเท้าหุ้มส้นที่ซื้อมาตั้งนานแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้ใส่มันก็วันนี้
ผมเดินไปเรื่อยๆมันยังเช้ามากอยู่ หมอกยังปกคลุมท้องถนน ข้างทางแทบจะไม่มีคนยกเว้นแต่ว่ามีชาวนาและชาวไร่มาเก็บเกี่ยวเลี้ยงดูผลผลิตตนเอง และเช่นเคยที่คนเหล่านี้จะโบกไม้โบกมือทักทายผม ผมก็ทักทายกลับไปอย่างมีความสุขอย่างไรบอกไม่ถูก
ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านของวิลตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ผมมองเข้าไปในร้านก็ไม่พบกับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว แต่ร้านก็ติดป้ายว่าเปิดอยู่ ถ้ามองเข้าไปข้างในดีๆจะพบกับวิลที่นั่งอ่านนิยายสยองขวัญอยู่
ปัง!! วิลสะดุ้งโหยงจนตกเก้าอี้เมื่อผมทุบประตูกระจกซะแรง ไม่รู้ทำไมผมจึงชอบแกล้งเขานักนะ
“โฮ้ย!! คุณมิคเคล เปิดดีๆก็ได้นี่ครับ ตกใจหมดเลยกำลังอ่านถึงฉากน่ากลัวๆอยู่ด้วย” วิลลุกมาเปิดประตูให้ผมและเมื่อเขาก็เอานิยายนั่นให้ผมมันคือนิยายของผมเองที่ผมลืมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนั่นเอง ที่จริงแล้วผมแต่งมันเอง แต่ผมไม่ได้บอกเขา แต่เมื่อเขารู้แล้วผมก็ให้เขาไปวิลทำท่าดีใจเหมือนถูกหวยรางวัลที1
“เดี๋ยวผมไปชงกาแฟให้ละกันนะครับ ค่าตอบแทนที่ให้ผมได้อ่านนิยายสยองๆของคุณ” ผมควรจะดีใจสินะที่ได้รับคำชมแบบนี้
กริ๊ง!เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก และนั่งอ่านนิยายของวิลต่อไป เมื่อไหร่ที่ผมเริ่มอ่านหนังสือทุกอย่างรอบๆตัวผมก็จะเงียบไปโดยปริยาย
“อ้าว มาแล้วเหรอ? พนักงานใหม่ รีบไปสวมผ้ากันเปื้อนเร็วเข้า” เสียงวิลโผล่งขึ้นมาหลังเค้าท์เตอร์ น้ำเสียงดูจะตื้นเต้นและดีใจผสมปนเปกันอยู่ ผมจึงละสายตาจากหนังสือได้เมื่อได้ยินว่ามีพนักงานเพิ่มมาที่นี่
“??” ผมถึงกับมือไม้อ่อนจนหนังสือร่วงลงจากมือผม ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ ผมลองหยิกมือตัวเองก็พบว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
“ไงลุง งงเป็นไก่ตาแตกเลยเชียวนะเฮ้ย” เจ้าหนุ่มนักฆ่าแสยะยิ้มให้ผมจนเห็นฟันเคี้ยว ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มกวนๆนั่นอีกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์ ดีใจที่ได้พบกันอีกนะ เจ้าหนู” ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีมากแน่ๆ
“เลิกเรียกชั้นว่าเจ้าหนูได้แล้วลุง!! ชั้นชื่อ”
“ชาเรส เฟอาเนส มันเขียนอยู่ที่ใบรายชื่อพนักงานในร้านน่ะ” ผมชี้ไปด้านหลังของชาเรส เขาหันมาส่งสายตาเขียวปัดเลยทีเดียวล่ะ โทษฐานที่ทำให้เขาไม่ได้บอกชื่อตัวเอง
“ลุงมิเคลสัน สินะ ยังไงชั้นก็จะเรียกว่าลุงอยู่ดีแหล่ะ มิคเคลสันมันเรียกยาก” ชาเรส กอดอกพูด
“มิคเคลสัน ลีเวนจ์ เรียกว่าลุงก็ได้ดูท่าจะห่างกันหลายปีอยู่นะ ฮะๆ” และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเจ้าหนุ่มนี่ ไม่สิ ชาเรสหัวเราะออกมา คราวนี้ชีวิตผมคงมีสีสันมากขึ้นเสียแล้วล่ะนะ
TBC.
มีอะไรติชมได้นะคะ =w=u
ความคิดเห็น