ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FINAL FANTASY : Lasciviousness

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่1 ช่วงที่2

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 48


    6เดือนก่อน...



    กลิ่นข้าวโพดในไร่ หอมฟุ้งลอยมาตามลม กระทบเข้ากับจมูกของฝูงวันในไร่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากไร่ข้าวโพดนัก ชาวไร่ชาวนาที่เริ่มออกทำงานกันตั้งแต่เช้าตรู่ ต่างพากันทักทายกันยามเช้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ถือทำกันมาเป็นเวลาช้านาน เด็กตัวเล็กๆเริ่มออกวิ่งเล่นกันในเวลาสาย ที่โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มทยอยเดินทางไปเรียนหนังสือในโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของแต่ละคน



    ...นี่คือสิ่งที่ทุกๆหมู่บ้านเล็กใหญ่ในโลกนี้ ทุกอานาจักรที่เป็นเอกราชทั้งปวง ต่างถือปฏิบัติกันเป็นประจำในเวลากลางวัน...



    หากแต่วันนี้ แปลกออกไปจากที่เคยเป็นมา เมื่อยามบ่ายแก่ๆ ท้องฟ้าทั่วทุกมุมโลกต่างก็มืดครึ้ม เมฆหนาดำค่อยๆลอยมาปกคลุมทุกแห่งหนบนโลกนี้ แต่เมื่อมองดูให้ดีๆ มันก็มิต่างอะไรจากเมฆฝนธรรมดาๆ แล้วฝนก็ค่อยๆตกพรำๆโดยที่ไม่แรงนัก ไม่มีลม ไม่มีพายุพัดที่จะนำพามาสู่ภัยทางธรรมชาติแต่อย่างใด ฟ้าร้องและผ่าเป็นระยะๆบ้าง แต่ไม่นานนัก ฝนเริ่มซา ท้องฟ้าก็เริ่มปรอดโปร่ง ทุกอย่างกลับเป็นปกติอีกครั้ง เพียงแต่สิ่งที่ผิดสังเกตออกไปนั่นก็คือ การที่ฝนตกและหยุดพร้อมๆกันทั่วทุกหย่อมหญ้า เป็นเรื่องที่น่าแปลกและอัศจรรย์ยิ่งนัก...แต่ทุกอย่างในวันนี้ ก็จบลงโดยที่ไม่มีอะไร ...



    แต่เมื่อกาลเวลาวนมาบรรจบกับเย็นของวันใหม่...



    ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ในฤดูร้อน ที่ปลายขอบฟ้ามองเห็นเป็นสีส้ม สีแดงระเรื่อๆ ดุจดั่งเปลวเพลิง มองดูช่างสวยงามยิ่งนัก แต่นั่นหาใช้ดวงตะวันยามลับขอบฟ้าไม่...



    เสียงสั.ตว์เล็กใหญ่ร้องกึกก้องไปทั่วป่า บ้างก็ร้องคำราม บ้างก็เห่าหอน ฟังดูช่างน่ากลัว เพียงเสียแต่วันนี้ มันไม่เหมือนดั่งเช่นกับทุกๆวัน มิใช่เรื่องอันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตภายในป่า หากแต่เป็นผลจากสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าใหญ่ ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป จนกระทั่งทะลุออกมายังอีกดินแดนหนึ่ง ดินแดนซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่ไม่เล็กนัก ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร...แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต อดีตที่เกิดขึ้นจนกระทั่งถึงเมื่อวาน จากหมู่บ้านที่เคยสงบสุข สวยงาม เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เห็น ณ บัดนี้ เป็นเพียงบ้านเรือนที่แทบจะเป็นตอตะโกอยู่รอมร่อ เศษหินเศษดินที่เป็นรอยคล้ายการต่อสู้ การต่อสู้ของฝ่ายๆเดียวโดยที่ไม่มีการตอบโต้จากอีกฝ่าย ซากศพ ซากสิ่งมีชีวิตที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ ดูเหมือนการถูกฆ่าอย่างไม่ปรานี ถูกฆ่าโดยไม่มีเหตุผล เหมือนดั่งพายุลูกใหญ่ที่โหมพัดผ่านไร่นาไปอย่างไม่มีเยื่อใย แม่น้ำอันใสสะอาดที่เคยได้ดื่มกิน ได้อาบ กลายเป็นสีแดงฉาน อย่างกับว่ามีคนจงใจย้อมแม่น้ำให้กลายเป็นทางสู่ยมโลกที่แสนน่าสะพรึงกลัว มองดูโดยรวมแล้วเหมือนกับนรกก็มิผิดเพี้ยน...ที่นี่ ไม่ใช่ที่เดียวบนผืนแผ่นดินนี้ ที่ต้องสูญสิ้นไปทั้งบ้านเมืองทั้งชีวิต แต่นับร้อยบนโลกใบนี้ ที่ถูกกองทัพของผู้ที่เรียกตนเองว่า “ผู้ครอบครองโลก” เข้าทำลาย ฆ่าฟันปลิดชีพผู้คนอย่างไม่ปรานี



    มันผู้นั้น “เคออส” จิตวิญญาณมืดผู้หลุดรอดออกมาจากแสงสว่างอีกครั้ง ผู้เกลียดชังในทุกสิ่ง ผู้ปรารถนาในความสูญสิ้น



    กระนั้น ข่าวการรุกรานของเคออส ก็แพร่ออกไปทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็ว...



    เหล่าเผ่าพันธุ์แห่งมนุษยชาติที่ไม่ยอมต่อการกระทำอันชั่วร้ายและไร้เหตุผลของจิตอุบาท ได้ร่วมหารือเพื่อแก้ไขวิกฤตของสงครามที่จะเข้ามาอย่างไม่มีทางเลี่ยง อันกองกำลังของศัตรู แม้จะไม่ฉลาด ไม่หลักแหลม แต่พวกมันก็มีผู้นำที่ปราดเปรื่องและมีอำนาจทางจิตใจ อีกทั้งกองกำลังอันมีจำนวนมหาศาล ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ฆ่าและทำลายทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อมัน แม้กองกำลังของราชอานาจักรจะมีฝีมือมากเพียงใด แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แม้เก่งเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถอาจต่อกรกับคลื่นฝูงอมนุษย์ที่กระหายสงครามได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเกณฑ์กำลังจากชาวบ้านชาวเมือง หนุ่มสาวที่มีกำลังพอจะสู้รบได้ มาช่วยปกป้องบ้านเมืองและอนาจักร เข้ารับการฝึกฝนจากเหล่าอดีตทหารกล้าของอนาจักร แต่นั้น ก็จะทำให้ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน พ่อแม่ ลูกหลาน คนที่รัก ต่างต้องแยกจากกัน แต่นั่น ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพื่อพวกเขาแล้ว ต้องมีการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งหญิงและชาย ต่างจะได้รับประสบการณ์และสิ่งที่เรียกว่า “คุณค่าของชีวิต”เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในสนามรบที่แท้จริง



    หนึ่งในราชอานาจักรที่ยิ่งใหญ่ Hume ณ ศูนย์กลางแห่งมหานครลิมบลัม (Linblum) ทหารโชโคโบะ 3 คน ลงจากหลังพาหนะของพวกตนแล้วรีบรุดหน้าไปยังราชวังภายในอย่างร้อนรน...ประตูห้องโถงวังที่ใหญ่โตถูกเปิดออกอย่างช้าๆ แต่ถึงกระนั้น ทหารทั้ง3 ก็ยัง รักษอากะกริยาภายในวังได้เป็นอย่างดี ภายในห้องโถงเปี่ยมไปด้วยเหล่าอัศวินมากมาย ณ เบื้องหน้า กษัตริย์แห่งราชวงศ์ลินบลัมนั่งอยู่บนราชบังลังที่อยู่ไม่สูงจากระดับพื้นนัก



    “เรียนนายเหนือหัวของข้า บัดนี้ หมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันออกกว่า 6 แห่ง ถูกกองทัพอสูรร้ายเข้าทายลายไม่มีชิ้นดี ลำพังทหารของเราที่ส่งไปประจำการเอง ก็มิอาจต้านเหล่าอสูรสงครามเหล่านั้นได้เลย พวกข้า 3 คนจึงเร่งมารายงานแก่ท่าน”



    1 ใน 3 ทหาร ได้กล่าวรายงานสถานการณ์แก่กษัตริย์ของตน ถึงจะร้อนรนเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้านายเหนือหัวของตนแล้ว ก็ยังรักษาสมาธิได้สมกับเป็นทหารในราชวัง



    “เรียนฝ่าบาท โปรดไคร่ครวญในเรื่องการนำกองกำลังฝีมือดี ออกตามล่าเหล่าอสูรชั่วพวกนั้นเถิด ข้ายินดีเป็นผู้นำกำลัง ออกเข่นฆ่าพวกมันเอง”



    อัศวินผู้หนึ่งพูดขึ้น เนื่องจากจิตใจอันร้อนรน ทนต่อสิ่งที่บังเกิดขึ้นแล้วไม่ได้



    “ข้าเองก็เห็นด้วย การนำกองกำลังมีฝีมือออกไล่ล่า จะทำให้เรากำจัดมันได้ ฝ่าบาท”



    อัศวินอีกผู้หนึ่งเสริม



    “...จงระงับจิตใจอันพลุ้นพล่านของพวกท่านไว้…”



    เสียงสุขุม นุ่มลึกขององค์ราชาแห่งลินบลัม “เซซิล” ดังขึ้น ท่ามกลางเหล่าอัศวินที่จิตใจลุกเป็นไฟ



    “เหตุที่บังเกิดขึ้นนั้นยากที่จะแก้ไข เกินกว่าที่พวกเจ้าจะเข้าใจนัก....”



    “การที่ข้าไม่ส่งพวกเจ้าออกไปคร่าชีวิตของเหล่าอสูรกายพวกนั้น เป็นเพราะเรายังมีบ้านเมืองของเราอยู่ หากไม่พินิจ พิจารนาให้ถ้วนถี่ ส่งพวกท่านออกไปแล้ว ในยามที่บ้านเมืองเรามีภัย ใครเล่าที่จะต้านทานภัยเหล่านั้นได้…”



    กษัตริย์แห่งลินบลัม ลุกออกจากบัลลัง เดินลงมากลางห้องโถงท่ามกลางเหล่าอัศวินผู้ซื่อสัตย์



    “เรามิได้อยู่ใต้ฟ้าเพียงเผ่าพันธุ์เดียว เหล่าราชอานาจักรต่างเผ่าพันธุ์ที่เป็นพันธมิตรกับเรานั้น ต่างก็ประสบปัญหาแบบนี้ เช่นเดียวกับเรา...”



    “สิ่งที่เราต้องเร่งทำในตอนนี้ เช่นเดียวกับพันธมิตรของพวกเรา คือการเกณฑ์กำลังพลเมืองที่สามารถต่อสู้ได้ มาช่วยเหลือพวกเราให้มากที่สุด...”



    “และแน่นอนว่า หากพวกเขาต่างไม่สมัครใจแล้ว เราก็มิอาจบังคับขู่เข็ญพวกเขาเหล่านั้นได้...”



    “แต่ข้าเชื่อมั่นในเมล็ดพันธุ์ของโลกใบนี้ ว่าพวกเขานั้น มีจิตใจที่ยึดมั่นในคุณธรรมมากแค่ไหน…”



    “พวกท่านจงรีบเร่งในการใหญ่ครั้งนี้ ให้เหล่าพลเมืองประชากรของเผ่าพันธุ์เรา ทั้งที่อานาจักรแห่งนี้ และทุกๆแห่งที่ห่างไกลออกไป ช่วยเหลือพวกเราในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น...เหล่าสหายของข้า ที่เป็นนายเหนือหัวแห่งราชอานาจักรอื่นๆ พวกท่าน จงนำสาส์นไปบอกพวกให้ ให้ร่วมมือร่วมใจกันในครานี้ด้วย!”



    ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล นกที่เริ่มบินกลับมาจากทางใต้ขึ้นมายังเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งของชนเผ่า Hume ปราสาทหินอันใหญ่โต อีกทั้งกำแพงเมืองที่ยิ่งใหญ่ราวกับป้อมปราการรอบมหาอานาจักร บ้านเมืองที่สร้างขึ้นมาจากหินอันแข็งแรง ยากที่พังทลายลง ธงสัญลักษณ์รูปผลึกทรงยาว 6 เหลี่ยม ปักอยู่ทั่วยอดหอคอยริมกำแพง อีกทั้งปืนใหญ่มากมายที่เรียงรายอยู่ทุกทั่วทิศทาง...เมื่อมองเข้าไปยังมหาอานาจักรนี้แล้ว กลับมิใช่ค่ายทหารที่เต็มไปด้วยศาสตราวุธ หากแต่เป็นเพียงบ้านเมืองอันสงบสุข ต้นไม้ ใบหญ้าอันเขียวชอุ่มหลังกำแพงทั่วทุกพื้นที่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเหล่าประชาชนคนธรรมดา ยังคงปรากฏแก่บนใบหน้าของประชาชนแห่งอานาจักรนี้อยู่มหาราชอานาจักร “อเล็คซานเดรีย” (Alexandria)



    ประตูเมืองอันใหญ่โต ที่บรรจงสร้างขึ้นจากไม้ หิน และโลหะ ค่อยๆ เปิดออก เสียงออดแอดของประตูแห่งปราการยักษ์ ทำเอาเหล่าผู้คน ทั้งชายหญิง ลูกเด็กเล็กแดงภายในเมือง หันมามองเป็นสายตาเดียวกัน กองทหารแห่งพันธมิตรทั้ง 8 ราชอานาจักรเป็นแถวยาวเหยียด ค่อยๆ ทยอยเดินเข้าสู่มหาราชวังอันใหญ่โต เหล่าทหารมากหลายเผ่าพันธุ์ที่ต่างคัดเลือกมาเพื่อร่วมคุ้มครองนายเหนือหัวของพวกตน แต่ละคนร่างกายกำยำ ท่าทางแข็งแกร่ง แววตาอันน่าเกรงขามของแต่ละคนราวกับว่า ได้ผ่านสมรภูมิอันยิ่งใหญ่มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ณ ห้องโถงรับรองของมหาราชวังแห่งอเล็คซานเดรียนั้น เหล่าผู้นำแห่ง 8 ราชอานาจักรได้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อตัดสินใจในสิ่งที่ก่อให้เกิด “ความหวัง” ของมวลมนุษยชาติ อัศวินองครักษ์ 3 คน คอยติดตามนายของตน เพื่อขึ้นบันไดอันยาวเหยียด สวยงามแต่แข็งแกร่ง ของราชแห่งนี้ ไปสู่ห้องแห่งการตัดสินใจ ในความอยู่รอดของทุกๆ สิ่งบนผืนโลก ณ ที่นั่น กษัตริย์แห่งอเล็คซานเดรีย ได้รอคอยความหวังของเหล่าผู้นำ เหล่าสหายรักของตนอยู่ ณ ที่นั่นแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×