ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FINAL FANTASY : Lasciviousness

    ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 48


    ปฐมบท.



    หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลก สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาบนผืนโลก และได้จากไป เหลือทิ้งไว้เป็นภาระหน้าที่ของเหล่าทวยเทพที่พระองค์ได้ทรงมอบวิญญาณส่วนหนึ่งของพระองค์ให้แก่ทุกผู้นำเผ่าพันธุ์ กาลเวลาก็ล่วงเลยมาเป็นเวลานานแสนนานจนมิอาจคาดคิดได้…



    เทพผู้ดูแลเผ่าต่างๆ ต่างมีชีวิตอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งทั่วๆไป มิต่างอะไรจากผู้อื่น มีทายาทสืบเชื้อสายต่อๆกันมาดั่งเช่นสิ่งมีชีวิตชั้นสามัญ ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตได้แตกแขนงออกไปอีก คือได้เพิ่มชนชั้นขึ้นมากจากเดิมทีที่มีอยู่ นั่นคือชนชั้นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง อาทิเช่นมังกร สัตว์อสูร เป็นต้น แต่ถึงกระนั้น สายเลือดแห่งเทพที่พระจ้าได้ทรงมอบให้ไว้นั้น ก็ยังคงมีหน้าที่คอยดูแลโลกใบนี้ให้สงบสุขเรื่อยมา โดยที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์นี้โดยเด็ดขาด



    แต่แล้ววันหนึ่ง ความไม่สงบสุขก็ได้บังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อความโลภและตัณหา ได้เข้าครอบงำจิตใจของสิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ ความอยาก ที่จะได้มาซึ่งดินแดนและอานาเขตการปกครองใหม่ๆ ทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น ล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงมีการกระทบกระทั่งกันโดยใช้กำลัง...สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต่างต้องตัดสินด้วย “สงคราม”



    ทุกอย่าง ได้เริ่มต้น และสิ้นสุดลงอันเนื่องมาจากความโง่เขลา จิตใจอันชั่วร้ายเป็นบ่อเกิดของพลังในทางลบ เมื่อทายาทของเทพแห่งเผ่าHume ซึ่งเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้สืบสายเลือดแห่งเทพ กับชายผู้เป็นบ่อเกิดแห่งสงคราม ทั้งสองมิได้แต่งหรืออยู่กินกันฉันสามีภรรยา หากแต่ได้เสียกันโดยมิชอบ ทำให้สายเลือดเทพแห่งเผ่าHumeต้องแปดปื้น การปฏิสนธิ อันเกิดมาจากความเคียดแค้น ชิงชัง ริษยา อาฆาต และพยาบาท ของทั้งทางพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิด ก่อเกิดขุมพลังในทางลบให้เหล่าจิตอันชั่วร้ายได้สิงสู่ หญิงสาวผู้สืบสายเลือดแห่งเทพ ได้ตั้งครรภ์นานถึง36เดือน มารร้ายผู้ต้องการจะทำลายล้างทุกเผ่าพันธุ์ก็ได้จุติ...



    ทันทีที่ออกจากครรภ์ของมารดาที่เสียชีวิตไปในขณะคลอดบุตร ทารกมารเพศชายได้แบ่งวิญญาณของตนออกมาส่วนหนึ่งแล้วมอบให้กับมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อทำหน้าที่เลี้ยงดูตนเองไปชั่วชีวิต ทำเอาเป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อคนที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ได้ลุกขึ้นมาฆ่าญาติพี่น้องและบุคคลใกล้เคียงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นทั้งหมดก่อนที่หล่อนจะอุ้มลูกน้อยของตนขึ้นมา แล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งก่อนที่เธอจะหายตัวไปนั้น เธอได้ตั้งชื่อให้กับบุตรชายของเธอว่า “เคออส”



    6ปีต่อมา หญิงสาวผู้เป็นมารดาแห่งมาร ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง โดยอาศัยอยู่กับบุตรชายในบ้านคฤหาสร้าง กลางเมืองๆหนึ่งในอานาจักรของเผ่าHume เธอเลี้ยงดูเคออส และให้เคออสซึมซับจิตใจอันเลวทรามของสิ่งมีชีวิตต่างๆ อีกทั้งส่งเสียให้เคออสได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป17ปี เคออสได้เข้ารับราชการในราชวัง ณ เมืองๆนั้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ไต่จนกระทั่งได้เป็นขุนนางชั้นสูง อยู่เคียงข้างกษัตริย์แห่งเมืองๆนั้น โดยกษัตริย์ผู้นั้น ได้หารู้ไม่ว่า ขุนนางผู้ใกล้ชิดสนิทสนมคนนี้นั้น แท้จริงแล้ว เป็นลูกชายแท้ๆของตน ที่เกิดจากการขืนใจและไม่ยินยอมของตนกับหญิงสาวผู้สืบสายเลือดเทพ



    กษัตริย์ผู้นี้ ยังคงคลั่งใคล้ในสงครามแย่งชิงดินแดนที่ตนเป็นผู้เริ่มต้น แม้แต่เผ่าHumeต่างแดน ก็ยังมิอาจยอมรับในการกระทำของกษัตริย์ผู้นี้ได้ และได้ส่งกำลังเข้าช่วยเหลือเผ่าพันธุ์และอานาจักรอื่นๆเพื่อต่อกรกับกษัตริย์ผู้นี้... จนกระทั่งจุดสิ้นสุดของสงครามได้มาถึง เมื่อกษัตริย์ผู้นี้ ได้ชัยในการทำสงครามกับศัตรูมากเผ่าพันธุ์ ความหยิ่งลำพองของกษัตริย์ผู้นี้ได้ถึงขีดสุด และได้สั่งให้นำตัวเหล่ากษัตริย์ของเผ่าพันธุ์อื่นผู้เป็นศัตรูของตน ออกมาเพื่อจัดการประหารเสียต่อหน้าประชาชนทุกคน...



    ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะดำเนินไป การประหารกำลังจะเริ่มต้นขึ้น กษัตริย์ผู้ชั่วร้ายคนนี้ ก็ถูกฆ่าต่อหน้าสาธารณะชนทุกคน ณ ที่นั้น เลือดสีแดงสดที่ไหลออกจากคอของกษัตริย์ สาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น หลังจากที่ล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้นแล้ว ชายผู้ลงมือสังหารกษัตริย์ผู้ชั่วร้าย ได้ยืนแสยะยิ้มอยู่ด้านหลังของกษัตริย์ เหล่าขุนนางรอบข้างต่างหวาดวิตก และได้ตะโกนชื่อของชายคนนั้นขึ้นพร้อมกัน



    “เคออส!”



    เคออสทิ้งมีดเลอะเขรอะไปด้วยเลือดของราชาผู้ชั่วร้ายลงกับพื้น ในขณะที่เหล่าทหารองครักษ์ได้เข้ามาจับกุมตัวเคออสไว้...แล้วหัวของทหารทั้งหมดในบริเวณนั้นก็ค่อยๆปริบวมขึ้น แล้วระเบิดออก



    ละอองเลือดสีแดง ลอยฟุ้งไปทั่วพื้นที่ เหล่าประชาชนเริ่มหวาดกลัวในสิ่งที่พวกเขาได้เห็นกับตา ทหารผู้จงรักภักดีส่วนหนึ่ง ได้เล็ดลอดเข้าไปช่วยเหลือกษัตริย์จากเผ่าพันธุ์ต่างๆที่อยู่ในลานประหาร แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ทหารของกษัตริย์ผู้ชั่วร้ายที่ได้ตายไปนั้นแตกตื่นแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่สุดแสนจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใดนั้น อยู่ตรงหน้าของพวกเขา หลังของเคออสค่อยๆปริออกอย่างช้าๆ เลือดสีแดงเข้มเกือบดำ พุ่งออกมาจากหลังของเคออส แล้วสยายออกเป็นปีกที่สุดแสนจะน่าหวาดผวา เสื้อที่ค่อยๆฉีกขาด ทำให้เห็นผิวสีขาวซีดของเคออส ที่หน้าออกของเขา เต็มไปด้วยรอยแผลที่เป็นจงใจทำขึ้นเป็นรูปตัวหนังสือและรอยสักบูชามาร เคออสค่อยๆลอยขึ้นเหมือนพื้นที่เขาเหยียบอยู่อย่างช้าๆ แล้วเอ่ยออกมาว่า



    “สิ่งที่ข้าได้เห็นมาตลอดชั่วอายุตั้งแต่ยังวัยเยาว์จนถึงขณะนี้...ช่างมีแต่สิ่งโสมมหนักแผ่นดินแทบทั้งสิ้น และครั้งหนึ่งในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าได้มอบหมายให้เผ่าพันธุ์ของข้า ทำหน้าที่ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตเสีย หากมันจำเป็น....บัดนี้ ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่ข้าจะทำการลบล้างพวกเจ้าออกไปจากผืนโลกที่น่าอยู่นี้...”



    ในขณะที่เคออส กำลังจะใช้วิชามารของตนเพื่อทำลายทุกสรรพสิ่งไปนั้น เหล่าเทพ แห่งทุกเผ่าพันธุ์ ก็ได้ปรากฏกาย เพื่อหยุดยั้งการกระทำของเคออส...



    “เคออสเอ๋ย เจ้าเป็นเพียงจิตวิญญาณอันช่วยร้าย หาใช่เทพอย่างพวกเราไม่...”



    “เจ้าไม่มีสิทธิที่จะตัดสินชะตากรรมของโลกนี้ได้”



    “สิ่งที่เจ้าพึงประสงค์จะทำนี้ มันเป็นเพียงความต้องการของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ไม่”



    “ไปเสีย จงไปจากที่นี่ เจ้ายังเยาว์วัยเกินไป จงอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”



    “พลังในด้านมืดของเจ้า มีผลเสียต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จงอย่าใช้มันอย่างเด็ดขาด”



    “มิเช่นนั้นแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเราจะกำจัดเจ้าเสีย”



    เหล่าเทพแห่ง6เผ่าพันธุ์ ได้เอ่ยขึ้นต่อหน้าเคออสและมวลมนุษย์ที่อยู่ ณ ที่นั้น ร่ายที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงของเหล่าเทพ ช่างดูทรงพลังยิ่งนัก ผิดกับรัศมีที่เคออสเปล่งออกมา มันช่างมืดมนและน่าสลดใจทุกครั้งที่ได้มอง....



    เคออส ไม่สามารถต้านทานแสงทั้ง6ดวงที่อยู่ต่อหน้าของเขาได้ อีกทั้งรัศมีแห่งความมืดของเขา ยังค่อยๆถูกรัศมีแห่งเทพกลืนกินอย่างรวดเร็ว



    “ถูกของพวกท่าน สิ่งที่ข้าจะทำ มันเป็นเพียงความต้องการของตัวข้าเท่านั้น แต่นั่น มันก็เกิดจากจิตใจอันชั่วร้ายของเหล่ามวลมนุษย์ที่พวกท่านกำลังจะปกอยู่นี่ยังไงล่ะ กิเลส ตัณหา ความโลภไม่มีที่สิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง มันจะทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้น และจะทำให้ข้าไม่มีวันตาย ...จงรอ...สักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานสักเพียงไร ข้าก็จะขอกลับมาทำลายล้างทั้งพวกท่านและทุกสิ่งบนโลกนี้ให้จงได้...”



    สิ้นสุดเสียงดังกังวานของเคออส ร่างกายของเขาก็ถูกแสงชำระบาปจาก6เทพที่รวบรวมพลังกันแล้วยิงใส่เคออส ร่างกายของเคออสค่อยๆหลุดแป็นกลุ่มพลังงานสีดำและสลายไปกับแสงสว่างขึ้นสู่ท้องฟ้า



    “สักวันหนึ่ง....ข้าจะกลับมาอีกครั้ง....ข้าไม่มีวันดับสูญ....”



    แล้วเคออสก็หายไปพร้อมกับความมืดมิด ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามอันสดใส





    คำพูดสุดท้าย ที่เคออสได้กล่าวทิ้งไว้ แม่จะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไร แต่กาลเวลา ก็ทำให้คนเราลืมเรื่องราวต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ทุกสรรพสิ่ง กลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง บ้านเมืองและอานาจักร ต่างเป็นปึกแผ่น ด้วยสติปัญญา ความกล้า และความเพียร ทำให้โลกใบนี้ มีแต่สันติสุขตลอดเรื่อยมาจนกระทั่ง...



    600ปีผ่านมา...





    ในขณะที่หิมะฤดูหนาวเริ่มละลายลงสู่ธารน้ำสายยาว ท้องฟ้าที่เคยถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆอันหนาแน่นก็เริ่มสดใส ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้อันเขียวขจี ลมที่พัดโชยอ่อนๆ ได้พัดพาเอากลิ่นของต้นข้าวโพดซึ่งเหล่าเกษตรกรหลากหลายเผ่าพันธุ์เริ่มต้นการทำงานต้นฤดูใหม่ ฤดูร้อนที่ไม่มีวันแห้งแล้งได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆกับดวงตะวันที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาบริเวณขอบฟ้าทางทิศตะวันออก



    นกหลากหลายพันธุ์เริ่มพาลูกๆของมันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า สั.ตว์ที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล เริ่มทยอยออกจากรังอันเป็นที่พักพิงเพื่อเริ่มต้นชีวิตในวันใหม่ ฤดูใหม่ของมันด้วยเช่นกัน ปลามากมายต่างว่ายทวนกระแสน้ำที่ไหลลงจากภูเขา ทำเอาชาวบ้านมากมายเริ่มออกจับปลากันตามแม่น้ำ แม้จะมีปลาไม่มากนัก แต่เหล่าผู้คนมากมายที่มีมากกว่าจำนวนปลา ต่างก็แบ่งปันปัจจัยซึ่งกันและกัน แม้จะมิรู้จัก มิเคยเห็นหน้า มิใช่ญาติพี่น้องกัน แต่พวกเขาก็ถือว่า อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นหนึ่งสังคมที่พวกเขาจะต้องพบเจอ น้ำใจเล็กๆน้อยๆที่พวกเขาพอจะมอบให้กันและกันนั้น มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ เมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆที่พวกเขาอยู่



    ตลอด600ปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์ต่างๆนาๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย เผ่าพันธุ์ต่างๆเองก็ด้วยเช่นกันที่มีการแตกแขนงทางสายพันธุ์ออกไปอีกมากมาย ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้นั้น ช่างมากมายหลากหลายพันธุ์ ดูมีสีสันยิ่งนัก และได้มีการโยกย้ายถิ่นฐานอันเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้อานาจักรใหม่ๆมากมายได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อ600ปีที่แล้ว ...Hume ก็ไม่ได้มีอานาจักรของHumeเพียงหนึ่งอานาจักร Elvaanก็ไม่ได้มีอานาจักรของElvaanเพียงหนึ่งอานาจักรอีกต่อไป พื้นที่ว่างและยังไม่มีเจ้าของอันมากมายในโลก ต่างถูกจับจองเพื่อก่อตั้งอนาจักรใหม่ๆขึ้นมา แล้วก็เป็นอานาจักรใหม่ที่เข้มแข็ง แสดงให้เห็นศักยภาพทางจิตใจของทุกๆเผ่าพันธูได้เป็นอย่างดี



    แม้จะไม่มีสงครามเกิดขึ้น แต่อานาจักรก็จำเป็นต้นฝึกฝนและพัฒนากองกำลังทางทหาร เพื่อให้เป็นที่น่าเกรงขามต่อสายตาของประชาชนในอานาจักร ทหารทุกคน ล้วนเต็มใจที่จะเข้ารับการเกณฑ์ เพื่อเป็นทหารที่ดีมีคุณภาพ เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่วงตระกูลของตน เด็กผู้ชายต่างมีความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นอัศวินที่เก่งกล้า เข้าป่าเพื่อปราบอสูรที่เก่งกาจ ได้ควงดาบเล่มใหญ่ๆให้เป็นที่ประจักตาแก่หญิงสาวที่ตนเองชื่นชอบ ซึ่งความฝันเหล่านี้ ก็มิใช่เป็นแค่เพียงความฝันลมๆแล้งๆ เมื่อเด็กๆเหล่านี้โตพอที่จะสามารถฝึกฝน หรือเรียนรู้วิชาต่อสู้ได้ ก็สามารถที่จะเข้ารับการฝึกได้โดยตรงจากบุคลากรในราชอานาจักรได้



    “ความมืดชั่วนิรันดร์”



    บทความหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงจิตใจในด้านลบของสิ่งมีชีวิต อยู่ในคัมภีร์ทางศาสนาเล่มหนึ่ง ซึ่งบาทหลวงประจำโบสถ์มักจะเล่าให้เด็กๆที่ไปสวดมนต์ที่โบสถ์ฟังเสมอๆ เป็นอุทาหรสอนใจให้เด็กๆหวาดกลัวในสิ่งที่ชั่วร้าย ซึ่งบทความเรื่องนี้ ระบุถึงรูปพรรณของ “ความมืดชั่วนิรันดร์” ไว้อย่างชัดเจน



    “ผิวที่ขาวซีดผิดมนุษย์ ผมที่ยาวดำสนิทตัดกับสีผิวอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีแดงก่ำน่ากลัว เมื่อมีผู้ใดไปสบตากับมันผู้นั้นแล้ว จะประดุจดั่งต้องมนต์เสน่ห์บางอย่างของมัน เล็บมือที่ยาวผิดบุรุษเพศจะลูบไล้ไปทั่วร่างกายของผู้ที่ต้องมนต์ของมัน และจะถูกจับบูชายันต์เพื่อสังเวยต่อความมืดชั่วนิรันดร์”



    ไม่ว่าความฝันของเด็กคนนั้นจะเป็นเช่นไร แต่หากได้เคยเข้าโบสถ์ ต่างก็เคยได้ยินเรื่องราวของ “ความมืดชั่วนิรันดร์” มากันทั้งนั้น จนกระทั่งโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนคติ จากที่เคยเป็นเด็กอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อโตขึ้น ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้ามได้ และเมื่อเติบโตกลายเป็นที่ไม่ดีไปแล้วนั้น ความมืดในจิตใจย่อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวของคนที่ไม่ดีเอง หรือแม้กระทั่งคนรอบข้างที่เคียดแค้นต่อผลที่คนที่ไม่ดีได้กระทำไว้



    ความมืดในจิตใจนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งพลัง ให้ “มัน” ผู้นั้นได้กลับมา...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×