ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อรัมภบทเนื้อเรื่อง
อรัมภบทเนื้อเรื่อง Final Fantasy : Lasciviousness
จะมีใครรู้บ้างไหม...ความรัก...ความสุข...ความเศร้า...ตัณหา...กามรมณ์...ความสูญเสีย...
การปกป้องใครคนหนึ่ง... หากกลับต้องสูญเสียใครอีกคนหนึ่ง
การเดิมพันธ์ด้วยชีวิต...และจิตวิญญาณ
สงครามที่เป็นเพียงสิ่งโง่เง่า...กระนั้นก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งมันได้
เรื่องเหล่านี้ อย่าคิดว่ามันมีเพียงในนิยาย....
คุณต้องประสบพบกันมัน...ซักครั้งหนึ่งในชีวิตคุณ...
FINAL FANTASY
  Lasciviousness
Story & Illustrate
By
Deathknell.
เคยบ้างไหมที่จะได้เปิดหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วนั่งอ่านมันไปตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งรุ่งสางของวันใหม่...หาใช้หนังสือนิทานหรือนิยายโบราณที่ว่าด้วยชีวิตของคนๆหนึ่ง สิ่งๆหนึ่งไม่...แต่นั่น คือทุกๆอย่าง ที่รวมเอาจินตนาการและความฝันอยู่ในหนังสือเล่มนั้น
ตำนาน แห่งจินตนาการ... นิทาน ที่มีชื่อว่า “Final Fantasy”
จงปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ที่หน้าปกของมันเสีย แล้วพลิกเปิดเข้าไป เพื่อเริ่มอ่านตำนานแห่งจินตนาการ...
ในมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่ไกลโพ้น ดวงดาวสุกสกาวพราวไสวนับล้านดวงที่ล่องลอยและโคจรไปตามวิถีทางของมัน หากได้มีโอกาสได้เข้าไปมองดูพวกมันใกล้แล้ว ก็มิต่างอะไรจากนัยน์ตาของทารกบริสุทธิ์ อันซึ่งไร้มลทิน ไร้กิเลสและตัณหาทั้งปวง เมื่อถอยห่างออกมาเพื่อมองดูพวกมันจากระยะไกลแม้นจะไกลแสนไกลเพียงใด แสงดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนเม็ดทรายที่กำลังสะท้อนแสงอยู่ในความมืดนั้น ช่างสวยงามเสียนี่กระไร....และหนึ่งในเม็ดทรายที่กำลังเปล่งประกายในความมืดมิดและอ้างว้างอยู่นั้น สีสันของมัน ช่างดูโดดเด่น สะดุดตากว่าทรายเม็ดไหนๆ ...สีฟ้าแกมเขียวเรื่อๆของมันช่างดูอบอุ่น สดใส สบายตา ยิ่งมองแล้วก็รู้สึกเหมือนจิตใจจะค่อยๆลอยตามเม็ดทรายเม็ดนี้ไปเสียให้ไกลจากทรายเม็ดอื่นๆ ...ทรายเม็ดนี้ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานนามอันลี้ลับไร้ที่มาให้กับมัน ... “โลก” คือชื่อเรียกของมัน...
โลกแห่ง Final Fantasy
พระเจ้า ทรงได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา6ประเภท เพื่อให้วัฐจักรในการเป็นอยู่ของโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้สมบูรณ์แบบไปด้วย การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข เศร้า เหงา ระทม อันบริบรูณ์ไปด้วยทุกสรรพอารมณ์และการดำรงคงอยู่ ซึ่งต้องต่างเป็นศัตรูกัน และเกื้อกูลกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อการดำรงชีวิตตามวัฐจักรสัตว์โลกที่ถูกต้อง
พระเจ้าได้ทรงสร้างเผ่าพันธุ์ Hume ขึ้นมาจากมันสมองของพระองค์ ทำให้เผ่านี้ มีวิวัฒนาการในการดำรงชีวิตที่เรียกได้ว่า ล้ำหน้ากว่าเผ่าพันธุ์ใดๆในโลก การดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้และสติปัญญา ทำให้เผ่าพันธุ์นี้ มีอายุยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัย การแต่งกาย รวมไปถึงการสืบพันธุ์ของ Humeนั้น เป็นไปตามประสงค์อันสมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อมีความรู้สั่งสมไว้ เพื่อใช้พัฒนาผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของโลกแล้ว พระเจ้า ทรงได้สร้างเผ่า Galkaขึ้นจากหัตถ์ของพระองค์ เพื่อใช้ในด้านกำลังวังชาที่จะขาดไปเสียมิได้ในการทำงาน ด้วยร่างกายอันใหญ่โต กล้ามเนื้อที่ทรงพลังและดูน่าเกรงขามของGalka ไม่ว่าก้อนหินหรือท่อนไม้ที่จะใหญ่โตสักเพียงใด พลังกำลังและนิสัยมีน้ำใจ รักสงบของเผ่าๆนี้ จะพลิกผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยก้อนหินดินทราย ให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมได้ในพริบตา
เมื่อมีทั้งสติปัญญาและพละกำลังแล้ว พระเจ้าทรงแลเห็นความสำคัญจิตวิญญาณของทุกๆสิ่งภายในผืนโลก ทั้งต้นไม้เองก็ดี ก้อนหินเองก็ดี ต้นนำลำธารจนกระทั่งผืนแผ่นดินเองก็ดี ต่างมีจิตวิญญาณเป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น พระเจ้า จึงได้สร้างเผ่า Elvaan ขึ้นมาจากสติสัมปชัญญะของพระองค์ เพื่อดูแลธรรมชาติทั้งปวง มิให้สูญสิ้นหมดไปตามกาลเวลา ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ ทำให้Elvaan มีทั้งสติปัญญา ทั้งสัญชาตญาณและสัมผัสทั้งปวง เหนือกว่าเผ่าอื่นๆทั่วๆไป ทั้งนี้เอง ทำให้อานาบริเวณถิ่นฐานของเผ่าElvaan เต็มไปด้วยป่าไม้อันเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์
นอกจากเผ่าพันธุ์ทั้ง3ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ทรงยังมองกาลไกล หมายมั่นให้ต่างคนต่างเผ่าพันธุ์ ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยการสร้างเผ่าTarutaruขึ้นมาจากหัวใจของพระองค์ เพื่อเป็นสื่อกลางในการปฏิบัติต่อกันอย่างสันติวิธี ทำให้เผ่าๆนี้มีร่างกายที่เล็กประดุจดั่งเด็กน้อยน่าเอ็นดู ไม่ชำนาญในการต่อสู้หรือใช้กำลัง หากแต่จะเจรจาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เข้าสู่จิตใจของผู้ที่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม
เมื่อทรงได้มองย้อยกลับไป พระเจ้า ทรงแลเห็นว่า ชนเผ่าGalkaนั้น มีเพศบุรุษเพศเท่านั้น ทำให้ไม่อาจสมดุลอยู่ในความเท่าเทียมของหญิงชายได้ ในเมื่อGalkaนั้น เปี่ยมไปด้วยพละกำลังแล้ว จำต้องมีความปราดเปรียวว่องไหว และมากด้วยไหวพริบเข้าไปอีก จึงทรงสร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอีกหนึ่งเผ่าที่มีแต่สตรีเพียงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือเผ่า Mithra เผ่าอันเปี่ยมไปด้วยสัมผัสอันอบอุ่นของความเป็นแม่ อยู่คู่เคียงข้างกับเผ่าGalkaเสมอมา
ด้วยความขี้เล่นของพระผู้เป็นเจ้า ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆนาๆโปรยสู่พื้นโลก ทั้งบนบก ทั้งในน้ำ อันสร้างมาจากจิตนาการของพระองค์ โดยที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นทั้งผู้เพิ่ม ทั้งผู้ลดจำนวนทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างสมดุล อีกทั้งยังช่วยสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ ให้ดูมีชีวิตชีวาและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ...สิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า สั.ตว์ประหลาด ซึ่งถือเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งบนโลกใบนี้ด้วย
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงจากหน้าที่ในการสร้างสรรค์ของพระองค์ไป พระองค์ทรงมอบวิญญาณของพระองค์ส่วนหนึ่ง ให้กับหนึ่งในทุกๆเผ่าพันธุ์ เพื่อให้หนึ่งในแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นๆ คอยดูแลรักษาสมดุลแห่งกาลเวลา สมดุลแห่งธรรมชาติและจิตวิญญาณทั้งปวง ซึ่งหนึ่งในทุกๆเผ่าพันธุ์นี้ ถูกเรียกว่า “เทพ” เมื่อใดก็ตามที่โลกเกิดความวุ่นวายโกลาหล ซึ่งยากที่จะแก้ไขแล้ว ก็เลี่ยงเสียมิได้ ที่จะให้เหล่าเทพได้เปลี่ยนเป็น “มาร” ให้ทำลายล้างโลกนี้เสียให้สะอาด เพื่อจัดการสร้างทุกๆสิ่งทุกๆอย่างขึ้นมาจาก “ศูนย์” ใหม่....
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนดำเนินไปตามชาตะกรรม ที่แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าเอง ก็มิอาจที่จะลิขิตได้ ...จนกว่าความวุ่นวายโกลาหลบนโลกนี้จะถึงขีดสุด เหล่าสรรพสั.ตว์น้อยใหญ่ ต่างมีหน้าที่และภาระของตนเอง ที่จะต้องทำต่อไปเพื่ออนาคตข้างหน้า ....ท้องฟ้าอันสดใสในวันนี้ ไม่รู้ว่า จะเปลี่ยนเป็นสีที่มัวหมองเมื่อไร ไม่มีใครคาดการอะไรล่วงหน้าได้ แม้แต่พระเจ้าเอง.....
จะมีใครรู้บ้างไหม...ความรัก...ความสุข...ความเศร้า...ตัณหา...กามรมณ์...ความสูญเสีย...
การปกป้องใครคนหนึ่ง... หากกลับต้องสูญเสียใครอีกคนหนึ่ง
การเดิมพันธ์ด้วยชีวิต...และจิตวิญญาณ
สงครามที่เป็นเพียงสิ่งโง่เง่า...กระนั้นก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งมันได้
เรื่องเหล่านี้ อย่าคิดว่ามันมีเพียงในนิยาย....
คุณต้องประสบพบกันมัน...ซักครั้งหนึ่งในชีวิตคุณ...
FINAL FANTASY
  Lasciviousness
Story & Illustrate
By
Deathknell.
เคยบ้างไหมที่จะได้เปิดหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วนั่งอ่านมันไปตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งรุ่งสางของวันใหม่...หาใช้หนังสือนิทานหรือนิยายโบราณที่ว่าด้วยชีวิตของคนๆหนึ่ง สิ่งๆหนึ่งไม่...แต่นั่น คือทุกๆอย่าง ที่รวมเอาจินตนาการและความฝันอยู่ในหนังสือเล่มนั้น
ตำนาน แห่งจินตนาการ... นิทาน ที่มีชื่อว่า “Final Fantasy”
จงปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ที่หน้าปกของมันเสีย แล้วพลิกเปิดเข้าไป เพื่อเริ่มอ่านตำนานแห่งจินตนาการ...
ในมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่ไกลโพ้น ดวงดาวสุกสกาวพราวไสวนับล้านดวงที่ล่องลอยและโคจรไปตามวิถีทางของมัน หากได้มีโอกาสได้เข้าไปมองดูพวกมันใกล้แล้ว ก็มิต่างอะไรจากนัยน์ตาของทารกบริสุทธิ์ อันซึ่งไร้มลทิน ไร้กิเลสและตัณหาทั้งปวง เมื่อถอยห่างออกมาเพื่อมองดูพวกมันจากระยะไกลแม้นจะไกลแสนไกลเพียงใด แสงดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนเม็ดทรายที่กำลังสะท้อนแสงอยู่ในความมืดนั้น ช่างสวยงามเสียนี่กระไร....และหนึ่งในเม็ดทรายที่กำลังเปล่งประกายในความมืดมิดและอ้างว้างอยู่นั้น สีสันของมัน ช่างดูโดดเด่น สะดุดตากว่าทรายเม็ดไหนๆ ...สีฟ้าแกมเขียวเรื่อๆของมันช่างดูอบอุ่น สดใส สบายตา ยิ่งมองแล้วก็รู้สึกเหมือนจิตใจจะค่อยๆลอยตามเม็ดทรายเม็ดนี้ไปเสียให้ไกลจากทรายเม็ดอื่นๆ ...ทรายเม็ดนี้ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานนามอันลี้ลับไร้ที่มาให้กับมัน ... “โลก” คือชื่อเรียกของมัน...
โลกแห่ง Final Fantasy
พระเจ้า ทรงได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา6ประเภท เพื่อให้วัฐจักรในการเป็นอยู่ของโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้สมบูรณ์แบบไปด้วย การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข เศร้า เหงา ระทม อันบริบรูณ์ไปด้วยทุกสรรพอารมณ์และการดำรงคงอยู่ ซึ่งต้องต่างเป็นศัตรูกัน และเกื้อกูลกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อการดำรงชีวิตตามวัฐจักรสัตว์โลกที่ถูกต้อง
พระเจ้าได้ทรงสร้างเผ่าพันธุ์ Hume ขึ้นมาจากมันสมองของพระองค์ ทำให้เผ่านี้ มีวิวัฒนาการในการดำรงชีวิตที่เรียกได้ว่า ล้ำหน้ากว่าเผ่าพันธุ์ใดๆในโลก การดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้และสติปัญญา ทำให้เผ่าพันธุ์นี้ มีอายุยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัย การแต่งกาย รวมไปถึงการสืบพันธุ์ของ Humeนั้น เป็นไปตามประสงค์อันสมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อมีความรู้สั่งสมไว้ เพื่อใช้พัฒนาผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของโลกแล้ว พระเจ้า ทรงได้สร้างเผ่า Galkaขึ้นจากหัตถ์ของพระองค์ เพื่อใช้ในด้านกำลังวังชาที่จะขาดไปเสียมิได้ในการทำงาน ด้วยร่างกายอันใหญ่โต กล้ามเนื้อที่ทรงพลังและดูน่าเกรงขามของGalka ไม่ว่าก้อนหินหรือท่อนไม้ที่จะใหญ่โตสักเพียงใด พลังกำลังและนิสัยมีน้ำใจ รักสงบของเผ่าๆนี้ จะพลิกผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยก้อนหินดินทราย ให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมได้ในพริบตา
เมื่อมีทั้งสติปัญญาและพละกำลังแล้ว พระเจ้าทรงแลเห็นความสำคัญจิตวิญญาณของทุกๆสิ่งภายในผืนโลก ทั้งต้นไม้เองก็ดี ก้อนหินเองก็ดี ต้นนำลำธารจนกระทั่งผืนแผ่นดินเองก็ดี ต่างมีจิตวิญญาณเป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น พระเจ้า จึงได้สร้างเผ่า Elvaan ขึ้นมาจากสติสัมปชัญญะของพระองค์ เพื่อดูแลธรรมชาติทั้งปวง มิให้สูญสิ้นหมดไปตามกาลเวลา ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ ทำให้Elvaan มีทั้งสติปัญญา ทั้งสัญชาตญาณและสัมผัสทั้งปวง เหนือกว่าเผ่าอื่นๆทั่วๆไป ทั้งนี้เอง ทำให้อานาบริเวณถิ่นฐานของเผ่าElvaan เต็มไปด้วยป่าไม้อันเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์
นอกจากเผ่าพันธุ์ทั้ง3ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ทรงยังมองกาลไกล หมายมั่นให้ต่างคนต่างเผ่าพันธุ์ ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยการสร้างเผ่าTarutaruขึ้นมาจากหัวใจของพระองค์ เพื่อเป็นสื่อกลางในการปฏิบัติต่อกันอย่างสันติวิธี ทำให้เผ่าๆนี้มีร่างกายที่เล็กประดุจดั่งเด็กน้อยน่าเอ็นดู ไม่ชำนาญในการต่อสู้หรือใช้กำลัง หากแต่จะเจรจาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เข้าสู่จิตใจของผู้ที่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม
เมื่อทรงได้มองย้อยกลับไป พระเจ้า ทรงแลเห็นว่า ชนเผ่าGalkaนั้น มีเพศบุรุษเพศเท่านั้น ทำให้ไม่อาจสมดุลอยู่ในความเท่าเทียมของหญิงชายได้ ในเมื่อGalkaนั้น เปี่ยมไปด้วยพละกำลังแล้ว จำต้องมีความปราดเปรียวว่องไหว และมากด้วยไหวพริบเข้าไปอีก จึงทรงสร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอีกหนึ่งเผ่าที่มีแต่สตรีเพียงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือเผ่า Mithra เผ่าอันเปี่ยมไปด้วยสัมผัสอันอบอุ่นของความเป็นแม่ อยู่คู่เคียงข้างกับเผ่าGalkaเสมอมา
ด้วยความขี้เล่นของพระผู้เป็นเจ้า ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆนาๆโปรยสู่พื้นโลก ทั้งบนบก ทั้งในน้ำ อันสร้างมาจากจิตนาการของพระองค์ โดยที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นทั้งผู้เพิ่ม ทั้งผู้ลดจำนวนทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างสมดุล อีกทั้งยังช่วยสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ ให้ดูมีชีวิตชีวาและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ...สิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า สั.ตว์ประหลาด ซึ่งถือเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งบนโลกใบนี้ด้วย
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงจากหน้าที่ในการสร้างสรรค์ของพระองค์ไป พระองค์ทรงมอบวิญญาณของพระองค์ส่วนหนึ่ง ให้กับหนึ่งในทุกๆเผ่าพันธุ์ เพื่อให้หนึ่งในแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นๆ คอยดูแลรักษาสมดุลแห่งกาลเวลา สมดุลแห่งธรรมชาติและจิตวิญญาณทั้งปวง ซึ่งหนึ่งในทุกๆเผ่าพันธุ์นี้ ถูกเรียกว่า “เทพ” เมื่อใดก็ตามที่โลกเกิดความวุ่นวายโกลาหล ซึ่งยากที่จะแก้ไขแล้ว ก็เลี่ยงเสียมิได้ ที่จะให้เหล่าเทพได้เปลี่ยนเป็น “มาร” ให้ทำลายล้างโลกนี้เสียให้สะอาด เพื่อจัดการสร้างทุกๆสิ่งทุกๆอย่างขึ้นมาจาก “ศูนย์” ใหม่....
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนดำเนินไปตามชาตะกรรม ที่แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าเอง ก็มิอาจที่จะลิขิตได้ ...จนกว่าความวุ่นวายโกลาหลบนโลกนี้จะถึงขีดสุด เหล่าสรรพสั.ตว์น้อยใหญ่ ต่างมีหน้าที่และภาระของตนเอง ที่จะต้องทำต่อไปเพื่ออนาคตข้างหน้า ....ท้องฟ้าอันสดใสในวันนี้ ไม่รู้ว่า จะเปลี่ยนเป็นสีที่มัวหมองเมื่อไร ไม่มีใครคาดการอะไรล่วงหน้าได้ แม้แต่พระเจ้าเอง.....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น