คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Flower Lady(?) (100%)
ฮันคยองอ้าปากหาวหวอดพลางใช้เท้าดันประตูกระจกให้เปิดออกกว้างเพื่อให้ตัวเองได้แทรกตัวเดินออกมาจากร้านกาแฟที่แสนวุ่นวายราวกับมีของแจกฟรีแห่งนี้เสียที หลังจากมันเป็นรอบของเขาที่ต้องไปอายน้ำเปลี่ยนเสื้อ ชายหนุ่มชาวจีนก็จัดการธุระของตนเองและออกมาจากห้องพักภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยชุดที่แทบจะไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเสียเท่าไรนัก แถมเขายังยอมเสียเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงไปต่อแถวปะปนอยู่กับพวกพนักงานออฟฟิศเพื่อซื้อกาแฟร้อนๆสี่แก้วและแซนด์วิชอีกสี่คู่ไปให้เพื่อนร่วมงานของเขาทั้งสองคนที่ตอนนี้คงเหนื่อนจนตาจะปิดกันอยู่รอมร่อ แต่การถือถาดใส่แก้วการแฟ(ที่อันใหญ่ที่สุดดันใส่ได้แค่สองแก้ว)ในมือทั้งสองข้างโดยมีถึงใส่แซนด์วิชสี่คู่ที่น้ำหนักรวมกันก็ไม่ใช่เบาๆไว้ที่นิ้วของมือข้างหนึ่งก็ไม่ใช่สภาพที่น่ายินดีจากการแสดงความมีน้ำใจมากนัก...ให้ตายสิ!...มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นพวกเลขาสาวๆที่กำลังถูกเจ้านายใช้เลย!
ฮันคยองรีบสาวเท้าเดินไปตามฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่กำลังข้ามถนนเพื่อจะได้ไม่ต้องยืนคอนสัญญาณไปครั้งต่อไปให้เสียเวลามากไปกว่านี้
อืออืออืด....อืออืออืด
"บ้าเอ๊ย!"
เขาสบถพึมพำออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดที่นานๆจะหลุดออกจากปากมาเสียทีเพราะโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังดันสั่นขึ้นมากลางถนนแถมยังเป็นตอนที่เขามือว่างสุดๆอีกต่างหาก...แล้วเขาก็ต้องสบถออกมายาวกว่าเดิมเมื่อคนที่ต้องการติดต่อกับเขายังไม่ยอมแพ้ที่จะวางสายไปง่ายๆ
"ฮันคยอง?"
พรืดดด!!
เท้าที่กำลังก้าวขึ้นไปเหยียบบนฟุตบาธลื่นพรืดลงมาจนร่างสูงของหนุ่มชาวจีนเกือบหน้าคะมำเทกาแฟที่ยอมเมื่อยกว่าครึ่งชั่วโมงซื้อมาหกรดพื้นถนนให้ได้อาย แต่โชคดีที่เขายังตั้งตัวได้ทันและก้าวขึ้นมายืนบนฟุตบาธได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้ทำกาแฟกระเฉาะออกมาจากแก้วแม้เพียงหยด นัยน์ตาสีควันบุหรี่หันไปหาเจ้าของเสียงเรียกหวานๆที่ยืนอมยิ้มกลั้นหัวเราะอยู่ไม่ไกลพร้อมกับช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ในอ้อมแขน...และสภาพของเขาในตอนนี้(บวกกับมือถือที่สั่นไม่หยุดราวกับอยากจะทดสอบความอดทนของเขา)ก็ทำให้แก้มของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น....ฮันคยองไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแลดูงี่เง่าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
"ครับ"
"จำฉันได้มั้ย"
"ครับ...ปาร์คจองซู"
คนตาหวานยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อของตนออกมาได้อย่างถูกต้องพลางเดินเข้าไปรั้งคนความจำดีให้เดินถอยห่างออกมาจากขอบฟุตบาธเพื่อหลบคนมากมายที่เริ่มมารวมตัวกันที่ริมถนนขณะรอคอยสัญญาณไปให้เปลี่ยนสีอีกครั้ง
"จะไปทำงานหรอ"
"อ่า...ครับ"
ฮันคยองตอยกลับพลางก้าวเดินเคียงข้างคนชวนคุยไปช้าๆราวกับไม่มีอะไรต้องรีบ ทั้งๆที่รู้ดีว่าตนได้ออกมานานจนเกินควรแล้ว ดวงตาคมลอบมองดูร่างบางข้างกายเงียบๆ...ใช้แสงอาทิตย์แทนแสงจันทร์ในการเฝ้ามองดูความงดงามที่แสนชวนลืมหายใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นแสงจันทร์อันนุ่มนวลหรือแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ปาร์คจองซูก็ยังคงงดงามยิ่งกว่านางฟ้าในสายตาของเขาอยู่ดี จองซูกระชับช่อดอกกุหลาบสีขาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นพร้อมกับหันมาส่งรอยยิ้มอ่อนหวานให้เขา มันทำให้คนที่กำลังแอบมองอยู่ต้องรีบเบนสายตาหนีกลับมามองทางตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขากำลังจ้องมอง(แหงล่ะ...ก็เขากลัวจริงๆน่ะสิ!)
"ให้ฉันช่วยถือมั้ย"
"ไม่เป็นไรครับ"
ให้ตายสิ!...ขอบคุณพระเจ้าที่ดลใจให้ไอ้คนที่กำลังโทรหาเขาเลิกพยายามเสียที!!
"หน้าของฮันคยองเหมือนคนอดนอนเลย...ไม่สบายรึเปล่า"
"เปล่าครับ"
"หรอ...อ้า!...ฉันต้องไปทางนี้ล่ะ"
จองซูเดินขึ้นมาดักหน้าเขาด้วยรอยยิ้มแสนสดใสที่แลดูอ่อนหวานพลางพยักเพยิดไปยังทางที่เขาจะต้องเดินไป ซึ่งแน่นอน...ฮันคยองรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ตึกของบริษัทตระกูลลีไม่ได้ตั้งอยู่ทางนั้น ชายหนุ่มชาวจีนทำท่าจะอ้าปากเอ่ยลา แต่ดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งที่เสียบลงมาในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขาก็ทำให้เขากลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไปและแทนที่มันด้วยการเลิกคิ้วให้คนให้อย่างสงสัย จองซูหัวเราะคิกคักพลางใช้มือข้างหนึ่งปัดผมออกให้พ้นดวงตา
"ถือเป็นคำขอบคุณที่พาฉันไปส่งห้องเมื่อคืนก่อนละกัน ฮันคยองอุตส่าห์เดินลงไปถามลุงยามที่ชั้นล่างแล้วก็กลับขึ้นมาอุ้มฉันไปส่งห้องอีก...นายนี่ใจดีมากๆเลยนะ"
คนใจดียิ้มรับคำชมนั่นนิดๆอย่างขบขัน...ใจดีหรอ...ไม่ใช่คำชมที่เขาได้รับบ่อยๆเลยจริงๆ เขาก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อรับการโบกมือลงของคนร่างบางก่อนจะยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อเฝ้ามองนางฟ้าหายลับไปกับฝูงชน...และเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งๆที่จองซูเดินจากไปไกลแล้วเพราะกลิ่นของดอกกุหลาบที่ยังไม่ได้จางหายไปพร้อมกับเจ้าของ...เผลอยืนสูดดมอยู่นานจนกระทั่งโทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นมาอีกนั่นล่ะถึงได้รู้สึกตัวและเริ่มก้าวเท้าเดินต่อไปตามทางของตนที่เห็นจุดหมายอยู่ไม่ไกล
ฮันคยองก้มศีรษะขอบคุณยามหน้าประตูเล็กน้อยที่ช่วยเปิดประตูให้ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน ซึ่งทันทีที่ผิวแก้มของเขาสัมผัสเข้ากับลมเย็นๆของเครื่องปรับอากาศ แขนของเขาก็ถูกดึงรั้งโดยคนที่เขาเห็นแว้บๆว่าเป็นเจ้าไก่ลีฮยอกแจใหเดินแทรกผ่านฝูงชนจำนวนมากเข้าไปในลิฟต์ก่อนที่มันจะปิดเพียงไม่กี่วินาที
"อะไร?"
เขาตวัดเสียงถามคนที่ลากเขาเข้ามาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไรนักพลางขยับไหล่เพื่อให้เสื้อคลุมเข้าที่เข้าทางเหมมือนเดิม
"ลูกพี่สลบไป ยูชอนใช้ให้มาตาม"
คำบอกกล่าวทำให้นัยน์ตาสีควันบุหรี่ลดความแข็งกระด้างลง...เปลี่ยนมาเป็นว่างเปล่าดุจเดิม หากแต่กระนั้นมันก็ซ่อนความกังวลใจเอาไว้อย่างมิดชิด
"สลบไป?...นานรึยัง"
"ก็คงได้ซักพักนั่นล่ะ ยูชอนเพิ่งเข้าไปเจอเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเอง"
ฮยอกแจว่าพลางเหลือบมองของมากมายในมือของคนข้างกายด้วยสายตาแปลกใจอย่างไม่คิดปิดบังก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่คิดปิดบัง(อีกนั่นล่ะ)ความขบขันให้อีกฝ่ายได้รับรู้และยื้อถุงใส่แซนด์วิชมาถือไว้เสียเอง
"ถึงว่า...ไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉัน"
ในที่สุดฮันคยองก็รู้ว่าใครกันที่เขาเดินสาปแช่งมาตลอดทาง ทั้งคู่ก้าวออกมาจากลิฟต์เมื่อมันพามาถึงชั้นที่ต้องการแล้วจึงรับสาวเท้าไปยังห้องของประธานบริษัทอย่างรวดเร็ว...ป้ายหน้าห้องติดชื่อลีดองวุคมาตั้งแต่ตัวตึกสร้างเสร็จก็จริงอยู่ แต่พนักงานทุกคนก็รู้ดีว่าลีดองวุคเลิกคุมกิจการตรงนี้ด้วยตัวเองมาหลายปีดีดักแล้ว ที่ตรงนี้เป็นของลีดงเฮตั้งแต่เจ้าตัวยังใส่ชุดนักเรียนด้วยซ้ำ
ข้าวของทั้งหมดที่ซื้อมาถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะหน้าห้องขณะที่ตัวคนซื้อและคนช่วยถือ(ถุงแม้จะแค่ไม่กี่นาทีก็เหอะ)รีบร้อนเข้าไปด้านในเพื่อไปดูอาการของคนป่วย ร่างบอบบางของลีทงเฮนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวโดยมียูชอนยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าหวานซีดขาวตัดกับริมฝีปากบางสีสด...ดูราวกับเจ้าหญิงที่รอคอยมาจุมพิตให้ตื่นจากนิทรากระนั้น
"เป็นไงบ้าง"
"มีไข้...เหมือนแผลจะเปิดด้วย"
ยูชอนตอบคำถามของคนที่เพิ่งรู้เรื่องด้วยเสียงเรียบเฉยที่เต็มไปด้วยความกังวล เขาก้มลงไปจัดการให้คนตัวเล็กได้นอนในท่าที่สบายตัวมากขึ้นด้วยสัมผัสอันแผ่วเบาก่อนจะเดินไปหาเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งสองคนที่ยืนเฝ้าดูอยู่ห่างออกมาเหมือนกลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของคนป่วยและทำให้ตื่นขึ้นมา
"ฮยอกแจไปเตรียมรถ เดี๋ยวฉันกับฮันคยองจะพาคุณทงเฮตามลงไป...เราต้องไปโรงพยาบาล"
ยูชอนแจกจ่ายหน้าที่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนไปแม้สักนิด ซึ่งคนถูกสั่งทั้งสองคนก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายไม่บ่ายเบี่ยง...ชีวิตของลีทงเฮสำคัญพวกเขาทั้งสามคนรู้ดี และพวกเขาก็รู้ดีว่ลีทงเฮมีความหมายต่อตนมากแค่ไหน แต่ก่อนที่ใครจะได้ขยับไปทำตามที่ถูกสั่ง เสียงกุกกักบางอย่างก็รั้งทั้งสามคนเอาไว้ให้หยุดชะงัก
"ไม่ต้อง...จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น"
ลีทงเฮฟื้นแล้ว...และตอนนี้กำลังชันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางที่ฟ้องออกมาอย่างชัดเจนว่าอ่อนแรง ร่างบางเสยผมสีน้ำตาลอ่อนของตนให้เข้าที่พลางจับเสื้อเชิ้ร์ตสีฟ้าอ่อนอันยับย่นของตนให้ดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
"ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว"
"แต่คุณทงเฮครับ..."
"ฉันอยากได้แค่ยาแก้ปวด"
"แต่..."
"ฉันขอยาแก้ปวดไม่ใช่รึไง!"
น้ำเสียงที่กร้าวขึ้นของคนที่มักจะได้ทุกอย่างตามปรารถนาเสมอทำให้ยูชอนต้องล้มเลิกความพยายามที่จะโต้เถียงและเลือกที่จะโค้งตัวรับคำสั่ง เขาพึมพำขอเวลาสักครู่ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปหายาที่มีสรรพคุณตามที่คนสั่งประสงค์ ทิ้งให้เพื่อนของเขาทั้งสองคนอยู่ในห้องอันเงียบงันกับนายหนุ่มผู้ดื้อดึง แต่ฮยอกแจคนช่างพูดก็ไม่ได้ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบนานนัก จู่ๆเขาก็ตบมือขึ้นมาเสียงดังด้วยท่าทางที่เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรออก ซึ่งมันก็สามารถเรียกความสนใจจากอีกสองคนที่เหลือได้อย่างง่ายดาย
"ลูกพี่อยากกินกาแฟมั้ยครับ ฮันคยองมันซื้อมา มีแซนด์วิชด้วยนะ...ลูกพี่คอยผมแป๊บเดียวนะครับ"
ฮยอกแจว่าเสียยืดยาวก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่อยู่รอฟังคำตอบว่ามีใครอยากทานหรือไม่ ชายหนุ่มร่างบางตัวขาววิ่งกลับเข้ามาภายในเวลาไม่กี่วินาทีพร้อมกับกาแฟทั้งสี่แก้วและแซนด์วิชถุงใหญ่ในมือ เขานำมันไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้านายหนุ่มด้วยรอยยิ้มกว้างที่แลดูทะเล้นๆของเขา
"ฮันคยองเป็นคนซื้อมาเชียวนะครับ"
"ฮันคยองซื้อมา?"
"ครับ...ผมจะโกหกลูกพี่ทำไมล่ะ"
ทงเฮขมวดคิ้วให้คนตอบคำถามเล็กน้อยราวกับเขาได้ตอบอะไรที่ยากแก่การเข้าใจออกมา แต่ไม่นานเขาก็เลิกใส่ใจและหันไปหยิบแซนด์วิชคู่หนึ่งออกมาจากถุง แกะพลาสติกใสออกแล้วจึงยกมันขึ้นแนบริมฝีปากบางสวยของตน...ลังเลที่จะเอามันเข้าปากอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจอ้าปากกัดมัน คนตัวบางเคี้ยวตุ้ยๆด้วยท่าทางเหมือนจะยังคงติดใจอะไรบางอย่าง
"ฉันนึกภาพนายไปเข้าแถวในร้านกาแฟไม่ออกเลยว่ะฮันคยอง"
ทงเฮพึมพำพลางวางแซนด์วิชในมือลงบนตักเพื่อใช้สองมือประคองแก้วกาแฟขึ้นมาจรดริมฝีปาก
"ฮันคยอง..."
เสียงหวานที่เล็ดลอดออกมาจากขอบแก้วอย่างแผ่วเบาและฟังดูประหลาดหูทำให้คนถูกเรียกหันขวับไปมองทันทีคล้ายจะสงสับว่าทำไมนายหนุ่มต้องทอดเสียงให้อ่อนลงขนาดนั้นด้วย...และกว่าที่เขาจะรู้ตัวว่ามันเป็นการไม่ควรอย่างยิ่งที่จะหันไปสบตากับคนเอ่ยเรียกในตอนนี้ เขาก็โดนเจ้าดวงตากลมโตสีน้ำตาลของเจ้าหญิงตัวน้อยผู้แสนพิสุทธิ์สะกดเข้าให้เสียแล้ว และยิ่งเมื่อบวกเข้ากับรอยยิ้มเล็กๆ(ที่ดูอ้อนสุดๆ)บนเรียวปากบาง...ฮันคยองก็ยิ่งหมดทางรอด
"อยากกินเค้ก...ไปซื้อให้หน่อยนะ"
.........................................................
ต้องเป็นเพราะเขาไปจ้องไอ้ตากลมๆเหมือนผู้หญิงคู่นั้นนานเกินไปแน่ๆ
ใช่เลยล่ะ...
เป็นเพราะไอ้ดวงตากลมโตแสนออดอ้อนคู่นั้นแน่นอน
ฮันคยองสบถพึมพำพลางปัดมือของชายคนหนึ่งที่ยื่นใบโฆษณามาขวางหน้าออกให้พ้นทางด้วยอารรมณ์ที่ดูออกจะเซ็งๆนิดหน่อย...นี่เขาเป็นคนใจอ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันวะ...ไม่สิ...เจ้านายของเขาไปเรียนรู้วิธีทำตาให้เหมือนลูกแมวตอนอ้อนขอนมได้ขนาดนั้นมาจากไหนน่าจะเป็นคำถามที่เข้าท่ากว่า แต่ก็นั่นล่ะ...มันทำให้เขานึกถึงสมัยก่อนจนต้องอมยิ้มออกมานิดๆอย่างขบขัน...สมัยที่เสียงปืมและกลิ่นเลือดยังไม่ได้ทำร้ายลีทงเฮให้กลายเป็นคนแข็งกร้าว...สมัยที่ยังเป็นเด็กชายช่างอ้อนที่เอาแต่ร้องไห้และเอาแต่เรียกหา'พี่ฮันคยอง'เมื่อโดนเพื่อนร่วมชั้นแกล้ง
ฮันคยองส่ายหน้าไล่ความทรงจำอันแสนมีค่าของตนออกให้พ้นหัวก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านสีชมพูน่ารักร้านหนึ่งที่เขาเห็นผ่านกระจกหน้าร้านว่ามันมีเค้กตั้งโชว์อยู่ด้านใน ซึ่งแน่ล่ะ...มันเป็นร้านเบเกอรี่ร้านแรกที่เขาเจอหลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนมาพักใหญ่ และถึงแม้นายหนุ่มหน้าหวานจะมีค่าต่อชีวิตของเขามากจนประมาณค่าไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สนหรอกนะว่าเค้กของร้านนี้จะมีรสชาติดีพอๆกับการตกแต่งรึเปล่า!...กินได้ก็พอแล้วล่ะนา!!
"ยินดีต้อนรับค่ะ!"
เขาเมินเสียงต้อนรับหวานๆของพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งที่หันมาเห็นเขาเดินเข้าร้านมาพอดี ชายหนุ่มชาวจีนเลือกที่จะเดินตรงดิ่งไปยังตู้โชว์สินค้าที่มีเค้กหลากหลายชนิดจัดวางเรียงกันอยู่ เขายืนลังเลอยู่ที่กลางร้านชั่วครู่เพราะดันเหลือบไปเห็นซุ้มขายดอกไม้อยู่ที่มุมหนึ่งของร้านจนเริ่มไม่แน่ใจว่าไอ้เค้กที่เขาเห็นนั้นมันมีไว้โชว์อย่างเดียวรึเปล่า แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนเขาออกไปพร้อมกับกล่องใส่เค้กก็ทำให้เขาเลิกลังเล
ร่างสูงเดินตรงเข้าไปประชิดตู้กระจก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางกวาดสายตาไปตามชั้นวางด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหหากันเล็กน้อยเหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าสีไหนถึงจะดีที่สุด...ก็เขาไม่รู้นี่ว่าคุณทงเฮชอบแบบไหน คนที่รู้น่ะมันไอ้คนช่างกินฮยอกแจต่างหาก แถมเขายังไม่รู้ด้วยว่าไอ้ชื่อภาษาอังกฤษประหลาดๆนั่นมันหมายถึงอะไร
"เอา..."
"สักครู่นะคะ...จองซู!!...มาดูตรงนี้ให้ฉันหน่อยสิ ฉันต้องไปช่วยหลังร้านน่ะ"
พนักงานสาวด้านหลังเค้าน์เตอร์หันมาบอกเขาก่อนจะหันไปตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งให้มาประจำตรงนี้แทนที่ ฮันคยองรอจนพนักงานที่ถูกเรียกก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าแล้วจึงเริ่มสั่งสิ่งที่ตนต้องการอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะละสายตาออกมาจากเค้กที่ตนหมายตา
"ขอชิ้นนี้กับ...ชิ้นนี้ครับ"
นิ้วเรียวยาวชี้ผ่านประจกไปยังเค้กสตรอเบอร์รี่สีชมพูหวานกับเค้กช๊อคโกแล๊ตฟัดจ์ชิ้นใหญ่น่าทาน....มันต้องถูกใจคนสั่งสักชิ้นล่ะวะ! ฮันคยองพยายามปลอบใจตัวเองแบบนั้น เขาล้วงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อเตรียมจ่ายเงิน(ซึ่งไม่ใช่น้อยๆเลยสำหรับเค้กชิ้นเล็กๆแบบนั้น)
"เท่าระ...อ่ะ.."
เสียงของเขาสะดุดไปทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปสบตากับพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อสอบถามราคา ดวงตาแสนสวยที่เขาหลงใหลของคนที่ยื่นของที่เขาสั่งข้ามเคาน์เตอร์มาให้จ้องมองเขางงๆอยู่ชั่วครู่เหมือนจะนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร แต่ไม่นานรอยยิ้มอ่อนหวานที่เขาหลงใหลไม่แพ้กันจะคลี่กว้างขึ้นมาบนเรียวปากบางสีสดอย่างยินดี
"ฮันคยอง!"
"อ่า...ครับ"
ฮันคยองยื่นมือออกไปรับของ วางธนบัตรสามสี่ใบลงบนเคาน์เตอร์เป็นค่าเค้กแล้วจึงยืนนิ่ง ปล่อยให้คนตาหวานเป็นฝ่ายมุดตตัวออกมาจากเคาน์เตอร์และเดินเข้ามาหา
"ซื้อของหรอ"
"ซื้อให้ใครน่ะ...แฟนหรอ"
"อ่า...เปล่าครับ เจ้านายน่ะ"
"งั้นเจ้านายก็เป็นผู้หญิงใช่มั้ยล่ะ"
ลมหายใจของเขาสะดุดไปนิด...ผู้หญิงหรอ?...ไม่ใช่ก็คล้ายๆล่ะนะ
"เปล่าครับ...ผู้ชาย"
ตาโตๆของจองซูขยับเบิกกว้างขึ้นเหมือนเรื่องที่เขามีเจ้านายเป็นผู้ชายนั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจหนักหนาก่อนคนตัวบางจนหัวเราะคิกคักออกมา
"เจ้านายของฮันคยองต้องเป็นคนที่น่ารักมากๆแน่ๆเลย ผู้ชายที่ชอบกินของหวานน่ะมีไม่เยอะนักหรอกนะ"
"จองซูน่ารักกว่าเยอะ"
กว่าฮันคยองจะรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรที่น่าอายมากๆออกไปโดยไม่ทันได้คิด คนถูกชมก็มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจพร้อมกับรอยยิ้มหวานบนเรียวปากเสียแล้ว...และทันทีที่รู้ตัว แก้มของเขาก็ร้อนวูบขึ้นมาเหมือนจะเป็นไข้...ให้ตายเหอะ...เขาไม่เคยรู้สึกอยากจะหายตัวไปเฉฉยๆแบบนี้มาก่อน! จองซูส่งรอยยิ้มมาให้เขา...ยิ้มหวานละไมไม่ต่างจากนางฟ้าลยสักนิด ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นมาแตะข้างแก้มของเขาราวกับอยากจะวัดอุณหภูมิว่ามันจะร้อนสักแค่ไหนนถึงได้ขี้นสีแดงเข้มขนาดนี้...ฮันคยองก็รู้ตัวเองดีว่ายิ่งอีกฝ่ายสัมผัส...มันก็ยิ่งขึ้นสีเข้มมากขึ้นเท่านั้น
"ตอนกลางวันไปกินข้าวกันนะ...ฉันจะคอยฮันคยองนะ"
"ครับ"
...........................................................
ฮันคยองแทบจะไม่รู้รสชาติของซูชิที่เขากำลังเคี้ยวอยู่ในปาก...เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่อร่อยที่สุดในย่านนี้ คนพามาว่าแบบนั้น แต่ใบหน้าหวานที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างสดใสของเขาของคำกล่าวนั้นซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาก็ทำให้เขาไม่รู้ว่ามันอร่อยที่สุดอย่างที่บอกจริงรึเปล่า แถมแก้มของเขาก็รู้สึกเหมือนจะร้อนวูบขึ้นมาทุกครั้งที่ดันเผลอไปสบตาโตๆคู่นั้นเช้านานเกินกว่าสองวินาที...แค่กลืนข้าวลงคอโดยไม่สำลักออกมาให้ได้อาย(ยิ่งกว่านี้)ก็เก่งมากแล้วสำหรับฮันคยองในตอนนี้
"เจ้านายชอบเค้กรึเปล่า"
จองซูเอ่ยถามขึ้นพลางหันไปรับจานซูชิจานใหญ่จากบริกรมาไว้กลางโต๊ะ ดวงตาแสนหวานกวาดมองซูชิหลากชนิดในจานใบใหญ่ด้วยท่าทางเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทานชิ้นไหนก่อน...ไม่มีทีท่าสนใจคำถาม หากแต่ก็ยังคาดหวังที่จะได้คำตอบ ฮันคยองรู้สึกแบบนั้น
"ชอบครับ...ชอบมากๆเลย"
ฮันคยองตอบพลางยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก นึกถึงสีหน้าคนป่วยในตอนนี้ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมานิดอย่างเอ็นดู หน้าง้ำงอบึ้งตึงของคนที่กำลังจะโวยใส่เขาเพราะหายไปนานหลายนานพลันเปลี่ยนมาเป็นสดใสเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจทันทีที่เก็นเค้กทั้งสองชิ้นที่เขาซื้อมาให้ และก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเมื่อเจ้าตัวตักเค้กทั้งสองชิ้นนั้นเข้าปาก...เป็นสีหน้าที่ไม่ได้เห็นลีทงเฮทำมาสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่ถึงกระนั้นนายหนุ่มผู้แสนดื้อดึงก็ยังไม่วายงอนเขาไปหลายชั่วโมงจนเขาต้องสัญญาว่าจะพาไปที่ร้านและซื้อใหอีกในตอนเย็น...เหมือนเด็กชะมัด!
"ดีแล้ว...ฮันคยองจะได้มาซื้อที่ร้านฉันบ่อยๆไง"
"นั่นเป็นร้านของจองซูหรอครับ"
ไม่บ่อยนักที่เทวทูตแห่งความตายจะเป็นผู้สานต่อบทสนทนา...โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจ้าตัวกำลังประหม่าแทบตายแบบนี้
"เปล่าหรอก ฉันเป็นแค่พนักงานเฉยๆน่ะ"
จองซูตอบหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อกลืนซูชิในปากลงคอ มือเล็กถือตะเกียบค้างอยู่เหนือจานคล้ายกำลังเลือกก่อนจะตัดสินใจคีบหน้าไข่หวานขึ้นมาและยื่นมันไปหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มกว้าง
"กินเร็ว...ฉันป้อน"
ฮันคยองพยายามจะขยับตัวถอยห่างออกมาจากซูชิที่จอประชิดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา...อย่างน้อยเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำแบบนั้นน่ะนะ แต่พนักเก้าอี้ก็ไม่อนุญาตให้เขาถอยห่างออกมาได้มากนักจนในที่สุดเขาก็ต้องเอามันเข้าปาก เพราะกลัวว่าถ้ายังโอ้เอ้ชักช้ากว่านี้ รอยยิ้มและดวงตาของคนที่อาสาป้อนอาจจะทำให้หัวใจของเขาหยุดทำงานจากการที่เต้นถี่มากเกินไป
จองซูหัวเราะคิกคักออกมาโดยไร้สาเหตุ(แต่เขาก็เดาว่าสาเหตุมันก็คงเป็นเขาเหมือนเดิมนั่นล่ะ!)ก่อนจะคีบเอาซูชิเข้าปากตัวเองบ้าง แก้มเนียนป่องออกเพราะเจ้าตัวพยาามที่จะเคี้ยวและยิ้มไปในเวลาเดียวกัน...แลดูน่าเอ็นดูจนคนเฝ้ามองต้องยิ้มออกมาบ้าง
"กินดีๆสิครับ เดี๋ยวก็สำลักหรอก"
คนตัวสูงว่าพลางเอื้อมมือไปใช้นิ้วโป้งลูบมุมปากของคนที่ทำอะไรเป็นเด็กๆเบาๆเพื่อปัดเม็ดข้าวที่ติดอยู่ให้หลุดออก สัมผัสนั้นแผ่วเบาและอ่อนโยรจนยากที่จะเชื่อว่ามือข้างนั้นเปื้อนเลือดมามากเท่าไร...และเขาก็รู้ดีว่าปาร์คจองซูไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันเท่าไร จองซูยิ้มรับการกระทำนั้นจนข้างแก้มบุ๋มลงเป็นลักยิ้มที่ทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าแดงขึ้นมา(อีกแล้ว)
"ถ้าเป็นแบบนั้น...ฮันคยองก็จะช่วยฉันใช่มั้ย"
อยากจะทำแบบนั้น
หัวใจ...ต้องการทำแบบนั้น
แต่ว่า...
"ครับ...ช่วยแน่นอนอยู่แล้ว"
.....................................................................
"ไม่เห็นต้องเดินมาส่งฉันถึงที่นี่เลยนี่นา"
จองซูว่าพลางผลักประตูร้านเข้าไป รอยยิ้มของชายหนุ่มตาหวานยังคงสดใสแม้เจ้าตัวจะเดินตากแดดยามเที่ยงวันมาไกลขนาดไหนก็ตาม
"ไม่เป็นไรครับ"
"แต่ฮันคยองต้องเดินย้อนกลับไปตั้งไกลนะ"
"ไม่เป็นไรจริงๆครับ"
"ฉันเกรงใจจัง"
ร่างบางเบ้ปากนิดๆก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังซุ้มขายดอกไม้ที่ทำให้ฮันคยองสับสนในตอนเช้า มือเล็กไล่ไปตามดอกไม้หลากชนิดที่จัดอยู่ในตะกร้าก่อนจะตัดสินใจดึงดอกกุหลาบสีขาวออกมาดอกหนึ่ง จองซูยิ้มนิดๆขณะหันมายื่นมันให้คนตัวสูงที่ยืนเฝ้ามองเขาอยู่ข้างหลัง...และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฮันคยองเห็แก้มใสขึ้นสีระเรื่ออย่างเขินอาย
"แทนคำขอบคุณอีกดอกละกันนะ"
ชายหนุ่มชาวจีนยิ้มให้กับท่าทางแบบนั้นพร้อมกับยื่นมืออกไปรับดกไม้ดอกที่สองของวันมาถือไว้ จมูกโด่งสวยสูดกลิ่นหอมหววานของกุหลาบเข้าปอด...กลิ่นเหมือนดับร่างบอบบางตรงหน้าเขาไม่มีผิด
"ที่จริง...หน้าที่ประจำของฉันคือตรงนี้น่ะ"
จองซูบอกยิ้มๆก่อนจะหันไปขานรับเสียงเรียกของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ต้องการให้เขาช่วยที่ด้านหลังร้าน
"ฉันต้องทำงานแล้วล่ะ..." คนหน้าหวานทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง...เหมือนคาดหวังบางสิ่ง
"ตอนเย็น...เอ่อ...ผมมารับนะครับ"
ฮันคยองไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการรึเปล่า เพราะเขาดันหลุดปากออกไปโดยไม่ทันคิด...และทันทีที่เขาทบทวนคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป เขาก็อยากจะสบถนัก!...ให้ตายสิ!....เขาต้องหัดคิดก่อนพูดเสียแล้ว! จองซูชะงักไปนิด สีหน้าของคนที่จะมีหนุ่มชาวจีนมารับหลับบ้านในเน็นนี้แลดูงุนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะหัวเราะคิกคักออกมา
"สี่โมงนะ...ห้ามช้าด้วย"
"ครับ"
"คิๆ...อย่าลืมนะหานเกิง"
คนตาหวานเรียกชื่อเขาด้วยสีหน้าล้อๆก่อนจะหมุนตัวก้าวเดินไปตามเสียงเรียกของเพื่อน ปล่อยให้ร่างสูงยืนค้างอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของกุหลาบอีกนานหลายวินาที ฮันคยองถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากร้าน กุหลาบสีขาวในมือถูกหมุนเล่นไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถูกเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมเช่นเดียวกับดอกแรกซึ่งยังคงอยู่ในนั้น
โทรศัพท์มือถือของเขาสั่นขึ้นมาสั้นๆเพื่อไม่กี่ครั้งเป็นสัญญาณว่าได้มีข้อความส่งเข้ามา เรียกให้เจ้าของต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างจำใจเพราะมันอาจเป็นอะไรสำคัญ นัยน์ตาสีควันบุหรี่กวาดอ่านข้อความสั้นๆที่ถูกส่งมาคร่าวๆ และเมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เขาก็เก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อเอื้อมมือไปผลักประตู...และสิ่งแรกที่อยู่ในสายตาขอฝเขาทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาก็คือนัยน์ตาสีรัตติกาลที่มีแววบางอย่างซ่อนอยู่จนเขาละสายตาออกมาไม่ได้...อันตรายเกินไปที่จะหันหลังให้คนที่มีแววตาเย็นเยียบขนาดนั้น
ประตูถูกดึงเปิดออกโดยผู้ที่อยู่ด้านนอก ชายหนุ่มเดินเฉียดผ่านไหล่กว้างของผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีควันบุหรี่อันเรียบเฉยเข้าไปนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านใน...ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกจากร้านไปพร้อมด้วยลางสังหรณ์บางอย่างในใจ
......................................................................
ครบแล้วนะจ้ะสำหรับตอนค่อนข้างหวาน(รึเปล่า)ตอนนี้ สัญญาว่าจะมาพูดเรื่องคอมเม้นที่น่าสนใจที่โพสทิ้งไว้เมื่อตอนที่แล้ว ก็เข้าเรื่องเลยละกันนะ มีคอมเม้นต์ของตอนที่แล้วที่บอกว่าพ่อไม่รักด๊องเหมือนเรื่องจัสต์ยูเลย(ใครไม่เคยอ่านก็ลองไปอ่านกันดูนะจ้ะ^^) จำไม่ได้แล้วว่าใครเม้น แต่มันสะดุดตาเรามากๆก็เลยขอยกมาพูดนิดนึงละกัน สำหรับเรื่องจัสต์ยู จะพูดหลายครั้งแล้วก็ลืมตลอดเลย- -" ถ้าจะถามเราว่าพ่อในเรื่องจัสต์ยูรักด๊องคนพี่มั้ย คำตอบคือรักนะ ยังคงเป็นมุมมองของลูกคนโตนะคะ ลูกคนโตส่วนใหญ่พ่อแม่จะค่อนข้างคาดหวังไว้สูง ก็เพราะเป็นพี่นี่เนอะ พ่อของด๊องก็เลยคาดหวังให้ด๊องเป็นคนดี(เหมือนน้องชาย)แล้วก็เลยโกรธมากๆที่ด๊องเป็นแบบนั้นไม่ได้ มันคือความรักอย่างหนึ่งนะคะในมุมมองของไรเตอร์ เพราะถ้าเราไม่รักใครมากๆจริงๆ เราจะไม่คาดหวังอะไรกับเขาหรอกนะ...จริงมั้ย ขนาดมีแฟนเราก็ยังคาดหวังว่าเค้าจะต้องรักเรามากๆเลย เป็นลูกคนโตก็ต้องหมายถึงว่าโตกว่า ผ่านอะไรมาเยอะกว่า...ต้องเป็นผู้ปกครองคนหนึ่งของน้องได้แล้ว พ่อก็เลยไม่พูดถึงด๊องคนพี่เลยก่อนที่จะตาย แต่ฝากให้ดูแลแฝดคนน้องแทน ก็เพราะเป็นพี่น่ะโตแล้ว ต้องดูแลตัวเองได้แล้ว ถ้ายังต้องคอยให้พ่อเป็นห่วงแล้วจะดูแลน้องได้ยังไงถูกมั้ย ความรักก็คือความไว้ใจแบบหนึ่งนะ พ่อรักคนพี่มากถึงขนาดไว้ใจให้ดูแลน้องเองเนี่ยแสดงว่าพ่อของด๊องก็ต้องเชื่อเหมือนกันว่าด๊องคนพี่ต้องดูแลน้องได้...อะไรทำนองนั้นนั่นแหละนะ
พล่ามยาวได้อีกเว้ยอาทิตย์นี้(แถมพล่ามเป็นเรื่องเป็นราวมีสาระอีกต่างหาก) อาทิตย์หน้า(ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เพราะดูเหมือนไรเตอร์ต้องสอบมิดเทอมตอนสิ้นเดือนนี้แหละ)จะเอาคิเฮยาวๆ(มั้ง)มาให้ได้อ่านกันค่ะ
ปล. ถ้าน้องมิ้นต์ยังไม่เลิกเรียกเราว่าพิณ เรางอนจริงๆด้วยนะ ไรเตอร์ชื่อปิ่นนะจ้ะ(ประกาศอีกครั้งให้ทรายโดยทั่วกัน)
ปลล. ใครก็ได้บอกเราที เด็กที่ไปดูคอนดงบังเป็นสองพันเก้าตายจริงหรอ นี่ไรเตอร์กลัวจริงๆนะ เรายังไม่หายเลยอ่ะ....นี่เรื่องซีเรียสนะเว้ยเฮ้ย!!
ปลลล. คำถาม...เกิดอะไรขึ้นกับคิมคิบอม ฉันชักจะคิดถึงนายจริงๆแล้วนะคิมคิบอม!! (หลังจากแอบนอกใจไปหาป๋าฮัน คยูและแจจ๋าอยู่นาน- -")
ความคิดเห็น