คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Weakness Without Tear
บ้านหลังใหญ่โอ่อ่าหรูหรา หากแต่มันกลับถูกเติมเต็มไปด้วยความเงียบงันอันเย็นชาจนทำให้คนที่ก้าวเข้ามาชะงักงัน...นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กลับบ้าน...สิบปีรึเปล่านะ แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ มันก็คงนานมากๆเสียจนทำให้เขาลืมไปว่าตัวเองเกลียดที่นี่มากแค่ไหน ทงเฮขยับเสื้อสูทสีดำตัวใหญ่ของตนให้เข้าที่...ปกปิดบาดแผลทุกแห่งที่เขาได้รับมาให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจึงกัดฟันทนเดินต่อไปอย่างเจ็บปวดให้นานและไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
"นายท่านรอคุณหนูอยู่ที่้้ห้องทำงานค่ะ"
แม่บ้านเก่าแก่ที่เขาจำหน้าได้เดินเข้ามาบอกเขาด้วยกริยานอบน้อมอย่างที่มันมักจะเป็นเสมอ...หล่อนก็เหมือนบ้านหลังนี้ในความคิดของทงเฮ....ดูเย็นชาและให้ความรู้สึกเหมือนไร้ชีวิตอยู่เสมอตั้งแต่เขายังเด็ก คนที่โดนรอคอยอยู่พยักหน้ารับและเดินขึ้นไปยังห้องทำงานโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้สักคำ...สิ่งที่ตายไปแล้วในความทรงจำ บางครั้ง....มันก็ไม่จำเป็นที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ทงเฮเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนซึ่งดูเหมือนจะไร้ผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าชั้นล่างเสียอีก โถงทางเดินที่ว่างเปล่าและเงียบกริบจนได้ยินเสียงฝีเท้าบนพื้นพรมเนื้อดีทำให้ชายหนุ่มอีกสามคนที่เคยมาที่นี่เพียงสองสามครั้งเท่านั้นอดที่จะรู้สึกวังเวงขึ้นมาไม่ได้
"บ้านลูกพี่นี่เงียบแบบนี้เสมอเลยหรอครับ"
เสียงของฮยอกแจเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรกเหมือนทนไม่ได้อีกต่อไปที่จะได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
"ไม่มีใครทนอยู่ที่นี่ได้หรอก...ไม่ว่าใครก็ต้องหนีออกมาทั้งนั้น"
ถ้อยคำของเจ้าของบ้านนั้นช่างแผ่วเบาราวกับเสียงของสายลม ดวงตากลมโตกดต่ำจ้องมองผืนพรมที่ตนกำลังเหยีบย้ำด้วยหัวใจที่กำลังบีบรัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกก้าวที่เดิน...หลบซ่อนแววตาอันสั่นไหวให้พรมเนื้อดีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศได้เห็นเพียงฝ่ายเดียว ทั้งสี่คนก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง ทงเฮสูดหายใจลึกก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเบาๆ ยังไม่ทันที่จะได้เคาะซ้ำอีกครั้ง เสียงของผู้ที่อยู่ด้านในก็ตะโกนแว่วออกมาว่าให้เข้าไป
"พวกนายรอฉันตรงนนี้ล่ะ"
"พวกเราจะเข้าไปด้วยครับ"
ยูชอนแจ้งความต้องการของตนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมของเขา นายหนุ่มทำท่าจะอ้าปากแย้งคำขอนั้น แต่เสียงของคนที่อยู่ด้านในก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อนที่เขาจะทันได้เปล่งเสียงออกมา
"ฉันเรียกทงเฮคนเดียว"
คำกล่าวที่เหมือนเป็นคำประกาศิตของทุกอย่างภายในพรรคทำให้ยูชอนถอนหายใจออกมาเบาๆและปล่อยให้นายหนุ่มผู้อยู่ในสภาพอิดโรยเต็มทนเปิดประตูก้าวหายเข้าไปด้านใน
"ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าบ้านนี้น่ากลัวขนาดไหน"
ฮยอกแจพึมพำขึ้นมาเบาๆทันทีที่ประตูปิดสนิทลง ดวงตาเรียวรีกวาดไปมาคล้ายกลัวว่าจะมีใครเดินมาได้ยินคำต่อว่าของเขาเข้าก่อนร่างบางที่ได้รับบาดแผลมาไม่แพ้นายหนุ่มจะค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนพื้น
"พูดมากเดี๋ยวก็ได้ตาย"
ยูชอนว่าพลางเอนหลังพิงพนังไว้...ยืนรอคอยนายหนุ่มให้ออกมาอย่างใจเย็น ฮันคยองเดินไปทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับคนอ่อนแรงก่อนจะเอนศีรษะพิงผนังและปิดเปลือกตาที่ล้าเต็มทีลง
"เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างฮันคยอง"
"ก็ดี"
คนถูกถามเอ่ยตอบโดยไม่ยอมแม้แต่จะเสียเวลาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองหน้าคนถาม และเพียงไม่นาน...ความเงียบงันของบ้านหลังใหญ่ก็ทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด
...............................................................................
ห้องนี้ยังมีกลิ่นเหมือนเดิมอย่างที่เขาจำได้...เป็นกลิ่กระดาษเก่าๆผสมปนเปไปกับกลิ่นของแผงวงจรไฟฟ้า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมราวกับภาพวาดที่ไม่มีวันขยับไหว เพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคงเป็นอายุของชายที่่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่และคนที่ยืนคอยช่วยงานอยู่ข้างๆ...แต่ก่อนเคยเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่อเชวซีวอนเขาจำได้ดี ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มตัวเล็กเสียงหวานซึ่งเคยมาช่วยงานเข้าหลายครั้งชื่อคิมรยออุค ร่างบางหันไปสบบตากับรยออุคที่จ้องมองมายังตนก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆไปให้เหมือนเป็นการเอ่ยทักทายตามประสาคนรู้จักแล้วจึงเบนสายตาหนีออกมาหาชายสูงวันตรงหน้าตามเดิม
"พ่อครับ"
ทงเฮเอ่ยทักพลางโค้งตัวลง...ฝืนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่สีข้างเพื่อโค้งตัวให้ต่ำที่สุดแล้วจึงยืดตัวขึ้นเหยียดตรงตามเดิม
"เคยทำอะไรสำเร็จบ้างมั้ย"
น้ำเสียงเฉียบขาดของคนที่ไม่ได้แม้แต่จะยอมละสายตาออกมาจากเอกสารบนโต๊ะทำให้ลมหายใจของเขาหยุดชะงัด นัยน์ตาสีน้ำตาลวูบไหวจนต้องเผลอเบนหลบออกมามองชั้นหนังสือใกล้ๆแทนที่...ทำไมมันถึงง่ายดายอะไรขนาดนี้ที่จะทำให้ลีทงเฮรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
"ขอโทษครับ"
"รู้มั้ยคนของแกตายไปกี่คน"
"ยูชอนบอกว่าสิบสองครับ"
"คนของตัวเองทำไมต้องให้คนอื่นบอก"
นัยน์ตาคมดุตวัดขึ้นมองลูกชายของตนเล็กน้อยก่อนจะก้มกลับลงมาอ่ายนเอกสารบนโต๊ะต่อตามเดิม ถ้อยคำประชดประชันทำให้ลำคอของเขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นจนเจ็บแสบ...ยากนักกว่าที่ทงเฮจะเปล่งเสียงของตัวเองออกมาได้อีกครั้ง
"ขอโทษครับ ผม..."
"ช่างเถอะ....แกก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาอยู่ดี"
ลีดองวุคตัดบทพลางรวมเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะส่งให้คนที่ยืนคอยอยู่ด้านหลัง กระซิบบอกคำสั่งอยู่ชั่วครู่แล้วจึงหันกลับมามองหน้าลูกชายนอกสมรสของตนเต็มๆตาเป็นครั้งแรกของการสนทนา คนเป็นพ่อคอยจนเลขาคนสนิทของตนเดินหายออกจากประตูไปแล้วจึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
"พูดอะไรไปบ้างรึเปล่า"
"เปล่าครับ"
ยากนักที่จะทำให้เสียงของตนนั้นนิ่งเรียบและเฉยชาขณะที่บาดแผลเริ่มปวดและลำคอกำลังใกล้แตกออกมาเป็นเสี่ยงๆอย่างคนอ่อนแอ
"แล้วได้อะไรกลับมาบ้าง"
"รู้แค่ว่าเป็นคนของโซเฮยอนเท่านั้นเองครับ..."
"งั้นก็ออกไปได้แล้ว"
ทงเฮเม้มริมฝีปาก...กลืนถ้อยคำที่เหลือของตนลงคอ เขาสบตากับผู้เป็นพ่อชั่วครู่ด้วยแววตาที่ตะโกนอะไรต่างๆมากมายออกมาก่อนจะโค้งตัวลงเป็นการเอ่ยลาแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องมาโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรแม้เพียงสักคำ
"ลูกพี่ครับ!"
ฮยอกแจร้องออกมาเสียงดังทันทีที่ประตูที่ปิดไปเพียงไม่กี่นาทีถูกผลักเปิดออกมา เสียงที่ไม่ได้เบาเท่าไรนักจองเขาเรียกให้เพื่อนอีกสองคนที่เผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมา
"เป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดมากเลย"
ยูชอนว่าพลางเดินเข้ามาหา ในขณะที่เพื่อนของเขาอีกสองคนที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้นกำลังยันตัวลุกขึ้นยืน ฮันคยองกระพริบตาถี่ๆไล่ความง่วงงุนพลางยกมือขึ้นเสยผมสีทองซีดของตน...นี่เขาหลับไปได้สักกี่นาทีวะเนี่ย เทวทูตหนุ่มขยับเสื้อโค้ทของตนให้เข้าที่ ดวงตาคมเหลือบมองนายหนุ่มร่างบางของตนที่กำลังเบนสายตาหลบไปมองลูกบิดประตูที่แตะค้างอยู่ราวกักบมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา...ดูซีดๆอย่างที่ยูชอนบอกจริงๆนั่นล่ะ
"มีรายชื่อคนที่ตายรึเปล่ายูชอน"
"ทำไมหรอครับ"
"มีมั้ย"
คนตัวเล็กถามย้ำด้วยเสียงที่เข้มขึ้น และทุกคนก็รู้ดีว่ามันเป็นการเหนื่อยเปล่าที่จะหลีกเลี่ยงไม่ตอบ
"มีครับ"
"มีประวัติทุกคนรึเปล่า"
"น่าจะมีครบครับ"
ทงเฮพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วจึงก้าวเดินกลับไปตามทางเดิมที่เขาเดินเข้ามา ปล่อยให้ลูกน้องของเขาทั้งสามคนที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรเดินตามมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายอะไรมากกว่านี้จนฮยอกแจต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปเอง
"ทำไมหรอครับ"
"เราจะไปบอกข่าวร้ายกับครอบครัวของพวกเขา"
"ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ ลูกพี่ไปนอนพักดีกว่า"
ฮยอกแจแย้ง ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้รับแววตาแข็งกร้าวจากนายหนุ่มทันที แต่ในความแข็งกร้าวนั้น ฮันคยองกลับเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่...ดวงตาคู่นั้นกำลังวูบไหวและดูเหมือนใกล้จะแตกร้าวเพราะน้ำตาเต็มที
"ฉันทำให้พวกเขาตาย...ทำแค่นี้น้อยไปด้วยซ้ำ!"
"คุณทงเฮครับ..."
เสียงเอ่ยเรียกอันแผ่วเบาของยูชอนทำให้ร่างบางสะบัดตัวหนีกลับไปราวกับจะรู้สึกตัวว่าเผลอใส่อารมณ์กับลูกน้องของตนมากเกินไป ทงเฮพึมพำขอโทษเบาๆก่อนจะก้าวเดินต่อไป ฮันคยองมองตามแผ่ยหลังบอบบางไม่แพ้ผู้หญิงนั่นไป ถึงแม้มันจะเหยียดตรงอย่างสง่างามมากขนาดไหน แต่มันกลับทำให้คนผอมบางนั้นแลดูยิ่งบอบบาง...ลีทงเฮอ่อนแอใครๆก็รู้ทั้งนั้น
"จะไหวแน่หรอครับ"
ถ้อยคำของเทวทูตแห่งความตายเรียกให้คนที่เดินนำหน้าไปหยุดชะงักก่อนใบหน้าหวานอันเผือดซีดจะหันกลับมาราวกับอยากจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของคำถามนั้น เรียวปากสีสดเหยียดออกเป็นรอยยิ้มนิดๆ...แต่มันก็ช่างเป็นรอยยิ้มที่ว่างเปล่าจนน่ากลัว
"ฉันไหว แต่ถ้าพวกนายเหนื่อยก็กลับไปพักก่อนก็ได้...ฉันไปคนเดียวได้"
นี่ล่ะ...สาเหตุที่ทำให้ลีทงเฮอ่อนแอยิ่งกว่าใคร
"โธ่ลูกพี่ก็....ฮันคยองมันไม่ได้หมายความว่าพวกผมไม่ได้อยากไปด้วยเสียหน่อย...รอด้วสิครับลูกพี่!"
ลีทงเฮอ่อนโยนเกินกว่าใคร
ลีทงเฮอ่อนไหวเกินกว่าใคร
ลีทงเฮห่วงใยและใส่ใจเกินกว่าใคร
มันจึงทำให้เขาอ่อนแอและเปราะบางยิ่งกว่าแก้วเนื้อดี ไม่ว่าจะเสแสร้งทำให้ดูเข้มแข็งเหมือนเพชรอันเลอค่ามากขนาดไหน ข้างในก็เป็นได้เพียงแค่แก้วที่สามารถแตกได้ถ้าขาดความระมัดระวัง...ซึ่งก็ดูเหมือนว่า แก้วใบนี้จะถูกละเลยมาหลายต่อหลายครั้งจนเต็มไปด้วยรอยเสียแล้ว
เป็นชายหนุ่มที่บริสุทธิ์เกินไปสำหรับโลกที่เขาจำเป็นต้องอยู่จริงๆ
...............................................................
กว่าพวกเขาจะกลับมาถึงโซล มันก็ปาเข้าไปเช้าวันใหม่ที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าภายในอีกไม่กี่ชั่วโมง แถมนายหนุ่มผู้ดื้อรั้นก็ยังดันทุรังจะเข้าไปเคลียร์เอกสารที่บริษัทอีก มันก็เลนทำให้ผู้ติดตามของเขาทั้งสามคนต้องติดสอยห้อยตามมาที่บริษัทอย่างช่วยไม่ได้
บริษัทของตระกูลลีเป็นบริษัทส่งออกขนาดใหญ่...และคงเป็นเพราะอิทธิพลของชายสูงวัยที่ชื่อลีดองวุคที่ทำให้มันมีอำนาจมากกว่าที่มันควรจะมี...เป็นบริษัทที่ตระกูลลีได้มาโดยไม่สะอาดนัก เช่นเดียวธุรกิจเบื้องหลังของมัน แต่ความจริงข้อนี้ดูเหมือนจะถูกล๊อคไว้ในห้องขังปิดตายที่ใครก็ห้ามเข้า...ชื่อและความโหดเหี้ยมของลีดองวุคก็ใช้ห้ามได้ดียิ่งกว่าป้ายห้ามใดๆ และยิ่งเมื่อบวกเข้ากับผับอีกทั้งคาสิโนอีกหลายแห่งทั่วเมือง มันก็ยิ่งทำให้ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจที่พรรคจางซึนกีจะมีอำนาจมืดอยู่เหนือกรุงโซลยิ่งกว่าพรรคใดๆ
ฮันคยองทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของเขาที่หน้าห้อง เคียงข้างฮยอกแจและยูชอนที่มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไรนัก เวลาเพียงตีสองกว่าๆทำให้ทุกอย่างภายในอาคารสูงเสียดฟ้าของบริษัทส่งออกแห่งนี้เงียบกริบและมืดสนิทจนน่านอน หากแต่ไม่มีใครแม้สักคนที่จะกล้าหลับตาในตอนนี้
"ฉันปวดแผลชิบหายเลย"
ฮยอกแจบ่นโอดโอยออกมาเบาๆพลางขยับผ้าพันแผลของตนให้เข้าที่ ยูชอนเหลือบมองเพื่อนข้างๆเล็กน้อยด้วยดวงตาที่ไม่สื่อสิ่งใดก่อนจะเปิดลิ้นชักดึงแฟ้มสองสามเล่มออกมา....เป็นเลขาของลีทงเฮคือสิ่งที่เขาถูกลีทงเฮขอให้มาทำ ส่วนเฝ้าดูแลและช่วยพาหลบลูกปืนนั้นเป็นหน้าที่เสริมที่เขารู้สึกเหมือนหลังๆมานี้จำทำบ่อยยิ่งกว่างานเลขาเสียอีก
"คุณทงเฮไล่แกกลับไปนอนบ้านตั้งหลายรอบ...ไม่ยอมฟังเอง"
"ลูกพี่ก็เจ็บเหมือนกันยังเดินทั้งวันไหว แล้วฉันจะไปสำออยนอนคอยอยู่บ้านได้ยังไงล่ะวะ"
ฮยอกแจเถียงกลับก่อนจะต้องซี้ดปากเมื่อเขาจับบาดแผลของตนหนักมือไปนิด ฮันคยองยกมือขึ้นกอดอกพลางปิดเปลือกตาลงอย่างที่ปรารถนามาหลายชั่วโมง...ขนาดเขายังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วคนที่เจ็บปางตายแถมยังได้พักผ่อนไปเพียงนิดเดียวที่อยู่ในห้องล่ะ จะไหวได้อย่างไร
"ไปเอากลับบ้านเถอะ"
เขาเอ่ยขึ้นมาทั้งๆที่ดวงตายังคงปิดสนิท แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งสองคนที่มองมา
"แกก็เข้าไปสิฮันคยอง"
ดวงตาสีควันบุหรี่ปรือขึ้นเล็กน้อยเพื่อเหลือบมองไปยังคนพูดที่นั่งพันแผลอยู่ข้างๆเขา คิ้วเข้มเลิดขึ้นนิดอย่างสงสัย แต่ก็นั่นล่ะ...ใบหน้าคมของเขาก็ยังดูเรียบเฉยอยู่ดี
"ทำไมต้องฉันล่ะ"
"ลูกพี่ฟังแกคนเดียว...ฉันสังเกตมาหลายรอบแล้ว"
"ให้ยูชอนเข้าไปสิ"
"แกนั่นล่ะฮันคยอง ไม่ต้องคิดแอบงีบ...ไปจัดการเลย!"
เจ้าไก่ตัวเล็กลุกขึ้น บังคับคนที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นตนให้ลุกขึ้นตามมาก่อนจะเดินไปเปิดประตูและผลักร่างสูงเข้าไปด้านในโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็วราวกับกลัวไอ้คนต่างชาติที่เคลื่อนไหวได้เร็วยิ่งกว่าเงาจะเผ่นหนีออกมา การปรากฏตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตเรียกดวงตากลมโตของคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่ให้ละออกมาจากกองเอกสารขึ้นมามองเล็กน้อยอย่างสงสัย
"มีอะไรรึเปล่า"
เจ้าของห้องเอ่ยถามพร้อมกับก้มหน้ากลับลงไปสนใจเอกสารบนโต๊ะต่อตามเดิม ท่าทีเรียบเฉยที่แลดูหยิ่งยะโสอยู่ในทีทำให้ฮันคยองต้องถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างเนื่อยใจ ห้องทำงานใหญ่โตที่เปิดไฟไว้เพียงสลัวๆกำลังทำให้ลีทงเฮยิ่งแลดูซีดเซียวและเหนื่อยอ่อน อีกทั้งเก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่นั่นก็ทำให้คนนั่งยิ่งดูบอบบางลงไปอีก...มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังรับมืออยู่กับเด็กชายตัวน้อยแสนดื้อดึงที่ฝืนลืมตาฟังนิทานทั้งๆที่อยยากจะนอนเต็มทน
"กลับกันเถอะครับ"
ปลายปากกาที่กำลังตวัดอยู่บนเอกสารรับรองงบประมาณหยุดชะงักลงพร้อมกับนัยน์ตาที่เหลือบขึ้นมามองคนพูด...มันยังคงเรียบเฉยจนฮันคยองไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสิ่งใด ก่อนไม่นานมันจะถูกกดต่ำกลับลงไปจ้องมองตัวอักษรในเอกสารพร้อมกับมือที่ขยับขีดเขียนตามเดิม
"สองคนที่อยู่หน้าห้องก็เข้ามาสิ ฉันรู้ว่าพวกนายอยู่ตรงนั้น"
ทงเฮเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียไม่ดังนักราวกับไม่อยากให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน แต่ทว่ามันก็ทำให้ประตูถูกผลักเปิดเข้ามาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ฮยอกแจเดินเเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ต่างจากยูชอนที่มีสีหน้าเรียบเฉย
"ฉลาดขึ้นนี่ที่เอาฮันคยองเข้ามาก่อน"
นายหนุ่มว่าขณะที่ดวงตายังคงจ้องมองเอกสารบนโต๊ะ ไม่ใช่ลูกน้องของเขาทั้งสามคนที่ยืนเรียงกันอยู่ตรงหน้า
"กลับไปพักเถอะครับลูกพี่ นอนให้เต็มแรงแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ก็ได้นี่...ไม่เห็นจะเป็นไรเลย"
ฮยอกแจกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามจะทำให้มันดูออดอ้อนมากที่สุด แต่ก็นั่นล่ะ...เสียงแบบนี้ก็ไม่เคยใช้ได้ผลกับลูกพี่ของเขามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
"พวกนายกลับไปก่อนก็ได้....ฉันอยู่เอง"
"เดี๋ยวผลจัดการให้ก็ได้ครับ...คุณทงเฮกลับไปนอนพักเถอะ"
ยูชอนผู้แสนสุภาพพยายามบ้าง...และทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ความเงียบก็เข้ามาแทรกกลางอยู่ระหว่างบทสนทนาได้ครู่หนึ่ง
"พวกนายทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนรู้มั้ย"
ทงเฮเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไป มือของเขายังคงตวัดดปลายปากกาและสายตายังคงกวาดไล่ไปตามบันทัดของตัวอักษร...ไม่มีทีท่าสนใจในสิ่งที่ตนกำลังพูดแม้แต่น้อย
"ดูแลฉัน อยู่กับฉัน...มากกว่าพ่อเสียอีก"
ริมฝีปากบางสีสดคลี่ออกเป็รอยยิ้มราวกับจะยิ้มให้กับความทรงจำแสนดีที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่อย่างของตน หากแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มชื่นๆที่ไร้ความสุขเอาเสียมากๆจนทำให้คนเฝ้ามองอดที่จะหดหู่ไม่ได้
"เรียกฉันว่าเจ้าหญิงตัวน้อยบ้างล่ะ หาเจ้าชายให้ฉันบ้างล่ะ...น่าขำดีเป็นบ้า ทำไมฉฉันถึงนึกขึ้นมาได้ก็ไม่รู้" ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆในท่อนท้ายด้วยเสียงหัวเราะอันไร้ความสุขพลางส่ายหน้าราวกับจะไล่ภาพบางอย่างให้ออกไปจากหัวเพื่อจะได้มีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า
"แต่ผมไม่เคยเรียกลูกพี่ว่าเจ้าหญิงตัวน้อยนะ"
"ก็ลองเรียกดูสิ"
น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ทว่าให้ความรู้สึกข่มขู่ชัดเจนทำให้รอยยิ้มของฮยอกแจเจื่อนลงมาทันตาเห็น คนช่างเย้าแหย่หัวเราะแห้งๆพลางยกมือลูบผมตัวเองด้วยท่าทีเก้อๆ
"แหม...ก็น่ารักดีออก"
"กลับบ้านกันเถอะครับคุณทงเฮ" ยูชอนขัดขึ้นเหมือนจะรำคาญกับท่าทีของเพื่อนร่วมงานเต็มทน
"ก็บอกแล้วไงว่ายังไหว อย่ามาทำตัวน่ารำคาญได้มั้ย"
นายหนุ่มพูดเสียงเข้มขึ้นอย่างดื้อดึงจนทำให้ลูกน้องของเขาทั้งสามคนต้องถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน
"ก็ได้ครับ...พวกเราจะอยู่ข้างนอกคอย"
และแล้วมันก็เป็นฝ่ายของคนต่ำศักดิ์กว่าเช่นเดิมที่ต้องยอมถอย ยูชอนโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกสองคน แต่ยังไม่ทันที่จะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด เสียงหวานอันแผ่วเบาก็ถูกเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน เรียกให้การก้าวเดินหยุดชะงักไปในทันที
"มันไม่เคยมีอะไรดีพอสักอย่าง..."
ดวงตาสีควันบุหรี่ของฮันคยองหันกลับมาจับจ้องอยู่ที่คนพูดผู้ซึ่งยังคงก้มหน้ากัมตาอยู่กับเอกสารบนโต๊ะ...หลบซ่อนแววตาของตนไม่ให้ใครได้เห็น
"ทุกๆอย่างที่ฉันทำ ทุกๆอย่างที่ฉันคิด...มันไม่เคยดีพอสักอย่าง"
สมาธิของทงเฮไม่ได้อยู่ที่งานตรงหน้านานแล้ว ลมหายใจร้อนผ่าวทำให้เขารู้ว่าตัวเองกำลังมีไข้ หัวที่กำลังปวดตุบๆราวกับมีคนเอาค้อนมาตีซ้ำๆก็ทำให้เขาอ่านเอกสารให้เข้าใจได้ยากนัก บาดแผลตามร่างกายก็เริ่มปวดขึ้นมาจนเขาแทบขยับตัวไม่ไหว
"ไม่ว่าฉันจะทำอะไรได้มากเท่าไร มันก็ยังน้อยเกินไปทุกครั้ง"
มือบางกำจับปากการาคาแพงแน่นจนมันสั่นไหวราวกับจะหักลงมาคามือ ถ้อยคำพรุ่งพรูออกมาจากริมฝีปากราวกับท่อน้ำที่มีรอยรั่ว...ทนแรงดันไม่ไหวอีกต่อไป
"ลูกพี่ครับ..."
"ฉันทิ้งทุกอย่างที่ฉันชอบ ฉันฝืนทำทุกอย่างที่ฉันเกลียด...เพื่ออะไรสักอย่างที่ไม่เคยดีพอ...บ้าบอสิ้นดี!" เขาสบถออกมาพลางกระแทกปากกาด้ามสวยราคารหลายแสนวอนลงบนโต๊ะก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะ....ดวงตาพร่าเลือนและลำคอเจ็บร้าว แต่ลีทงเฮคนอ่อนแอก็ยังคงเข้มแข็งมากพอที่จะไม่กลั่นทุกอย่างออกมาเป็นน้ำตา
"ลูกพี่เหนื่อยแล้ว...กลับกันเถอะครับ"
"ถ้าวันนั้น...คนๆนั้นเป็นฉันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้"
"อย่าพูดแบบนั้นสิครับ"
"ถ้าคนที่ต้องไปเป็นฉัน...ลีทงเฮคนนี้ ไม่ใช่เชวซีวอนล่ะก็นะ...ทุกอย่างคงดีกว่านี้แน่ๆ"
......................................................................
ความคิดเห็น