คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Have You Ever
ฮันคยองพยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่นั่งหายใจอยู่ในห้องร่วมกับเขาด้วย และเขาก็ไม่ได้ใช้คำเกินจริงอะไรหรอกนะ เพราะอีทึกทำเพียงแค่นั่งหายใจจริงๆ ร่างบอบบางนั่งนิ่งอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์อันว่างเปล่าอย่างนั้นตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเปิดหนังสือ(ที่เพิ่งซื้อติดมือกลับห้องมาหลังจากโดนนายหนุ่มไล่]'จากรถให้เดินกลับเอง)ออกอ่าน จนเขาอ่านไปกว่าค่อนเล่มแล้ว อีกฝ่ายก็ยังนั่งอยู่แบบนั้น มันทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่าหมอนี่เป็นหุ่นยนต์จริงๆรึเปล่า
ดวงตาสีควันบุหรี่ของคนที่ปลีกตัวออกมานั่งอยู่ที่มุมห้องเหลือบขึ้นผ่านขอบหนังสือไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเล็กน้อยก่อนจะตวัดสายตากลับลงมาที่หนังสือในมือตามเดิม แต่อ่านไปได้อีกแค่ครึ่งบรรทัด เขาก็เหลือบสายตากัลบขึ้นไปมองอีกจนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวที่จะต้องอ่านบรรทัดนั้นซ้ำๆอีกต่อไป ชายหนุ่มปิดหนังสือลงอย่างยอมแพ้พร้อมกับลุกยืนขึ้นมาจากเก้าอี้
"ซื่อบื้อ"
เขาบ่นพึมพำขณะเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนของตน ก่อนไม่นานจะกลับออกมาด้วยเสื้อโค้ทสีดำยาวแค่เข่าตัวเก่งพร้อมกับเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีขาวในมือข้างหนึ่งและกุญแจรถในมืออีกข้างหนึ่ง เขานำมันไปโยนใส่คนที่มาแย่งความสนใจของเขาไปจากหนังสือจนหมด และภาพที่อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมามองเขาพลางกอดเจ้าเสื้อหนาวตัวนั้นเอาไว้แนบอกก็ทำให้หัวใจของเขาพลันกระตุก เพราะมันเป็นอีกครั้งที่อีทึกให้ความรู้สึกแสนเปราะบางและงดงาม...ไม่เหมือนปาร์คจองซู แต่กระนั้น...ฮันคยองก็เลือกที่จะเบือนหน้าหนีออกมา
"ใส่ซะ"
"จะไปไหนกันหรอครับ"
"เราจะไปข้างนอกกัน...รีบใส่ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ"
เราอย่างนั้นหรอ?
อีทึกชอบคำนี้จังนะ
....................................................................
หิมะตกหนัก...และเขากำลังจะตาย เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อะไรบางอย่างสั่งให้เขาวิ่งหนีออกมาพร้อมกับมีดเปื้อนเลือดในมือ เสื้อผ้าเนื้อบางทำให้เขาสั่นสะท้าน และความหนาวเย็นก็ทำให้เขาอ่อนแรงจนในที่สุดก็ล้มลงท่ามกลางกองหิมะมากมายที่แทบจะกลืนกินร่างของเขาไปได้ทั้งตัว...ตอนนั้นเขายังผอมบางเกินไปเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชายวัยเดียวกันทั่วไปที่มีกินทุกมื้อ หานเกิงวิ่งหนีไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เลือดจากบาดแผลที่สีข้างยังคงไหลรินอยู่ แต่เขาไม่มีแรงแม้แต่จะก้มหน้าลงไปดูว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่นอนอยู่เฉยๆในกองหิมะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน...ทำได้เพียงแค่นั้นจริงๆ
อ่า...เขาจำได้แล้ว...พ่อเลี้ยงของเขา...ไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้น เขาแทงผู้ชายสารเลวคนนั้น...แทงจนมันขาดใจตายเลยล่ะ ถึงแม้เขาจะได้แผลกลับมา แต่ในความรู้สึกของเขา...มันคุ้มค่า จากนั้นแม่ของเขาที่เหนื่อยจากการโดนซ้อมก็เริ่มกรีดร้อง...เริ่มร้องด่าทอเขา...และนั่นทำให้เขาวิ่งหนีออกมา ทำไมแม่ไม่เข้าใจอะไรเลยนะ...ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเขาสะใจมากแค่ไหนที่เห็นผู้ชายคนนั้นกระอักเลือดออกมาจนตาย ต่อมาก็มีตำรวจ...มันทำให้เขาตื่นกลัวขึ้นมาจริงๆสักที...สารวิเศษอย่างอะดรีนารีนหมดฤทธิ์เสียแล้ว
เด็กหนุ่มแค่นยิ้มออกมานิดพลางค่อยๆชันตัวขึ้นมานั่งพิงกำแพงของบ้านหลังหนึ่งเอาไว้...หิมะใกล้จะมิดขาที่ขัดสมาธิอยู่ของเขาแล้ว...ดีจังนะ...ตายแบบนี้ไม่เจ็บปวดเท่าไรเลย แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวเข้ามาในสายตา...เขารู้ว่าอายุของเขามากเกินกว่าที่จะเชื่อนิทานหลอกเด็กแล้ว แต่ว่านะ...ยิ้มหวานแบบนั้นแล้วเหมือนเจ้าหญิงเลย เสื้อหนาวสีขาวที่ตรงฮู้ดมีขนพองฟูสีขาวประดับอยู่ยิ่งทำให้เด็กผู้ชายตัวเล็กคนนั้นดูสว่างไสว และรอยยิ้มแบบนั้นก็ทำให้เขายิ่งดูอ่อนโยน ด้านหลังของเด็กชายคนนั้นมีชายในชุดดำกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ มันทำให้หานเกิงกระชับมีดในมือแน่นขึ้นอย่างระวังตัว...อาจจะเป็นตำรวจก็ได้ เขาจะไม่ยอมไปตายในคุกเพราะทำเรื่องที่เขาคิดว่าถูกต้องหรอกนะ
"ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ"
เขาฟังสิ่งที่เด็กชายคนนั้นพูดไม่รู้เรื่อง...และมันทำให้เขาหวาดกลัวจนต้องถอยเบียดชิดกำแพงมากขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างคนที่เดินเข้ามายืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า เจ้าหญิงตัวน้อยท่ามกลางละอองหิมะยู่ปากนิดๆเหมือนจะเพิ่งนึกออกว่าสิ่งที่ตนพูดออกมานั้นไม่ใช่ภาษาท้องถิ่นของที่นี่
"นายต้องไม่เข้าใจที่ฉันพูดแน่ๆเลย...งั้นเอาใหม่ๆ" เด็กคนนั้นยิ้มหวานพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
"ฉัน...ทงเฮนะ"
หานเกิงรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา...เด็กหนุ่มนิ่งเงียบพร้อมกับขยับมีดขึ้นมาเพื่อความอุ่นใจของตัวเอง และทงเฮก็เห็นมัน เจ้าหญิงตัวน้อยเริ่มหน้าเสียพลางทำไม้ทำมือเหมือนอยากจะบอกว่าเขาไม่มีอันตรายใดๆ
"นี่...ฉันไม่ได้จะทำร้ายนายนะ นายเลือดไหลอยู่ ฉันแค่อยากจะช่วยเท่านั้นเอง"
"..."
"จริงๆนะ...ฉันดูแลนายได้นะ"
หานเกิงค่อยๆยืดกายยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าการนั่งอยู่ในอีกฝ่ายพูดคุยด้วยไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรนัก มีดที่กระชับอยู่ในมือเป็นที่สังเกตเห็น มันทำให้ชายชุดดำที่ยืนออกันอยู่ด้านหลังเด็กผู้ชายคนนั้นขยับตัว แต่ทงเฮก็หันไปตะโกนใส่คนพวกนั้นก่อนที่พวกเขาจะทันได้กระโจนเข้าใส่คนที่มีอาวุธอยู่ในมือ
"หยุดนะ!...ถ้าใครทำอะไรเขา ฉันฆ่าทิ้งแน่!"
ทงเฮหันมายิ้มหวานให้เขาหลังจากตะโกนขู่คนของตนจนสงบลงได้ ร่างบอบบางขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น มือเล็กเอื้อมออกหมายจะสัมผัสเขา แต่ทันทีที่นิ้วมือแสนอบอุ่นนั้นแต่ลงบนผิวของเขา หานเกิงก็ใช้มีดดันร่างนั้นให้ถอยห่าง
ฉึก!
เด็กหนุ่มชาวจีนเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง...น้ำตายิ่งเอ่อล้นเมื่อเห็นเจ้าหญิงตัวน้อยยังคงมีรอยยิ้มถึงแม้จะมีเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ช่องท้องก็ตามที ทงเฮเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นไปสัมผัสเข้าที่แก้มของคนตรงหน้าพลางไล้เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน...ดูไม่โกรธเคืองแม้สักนิด
"ฉันจะไม่ร้องหรอกนะ แล้วก็จะไม่โกรธด้วย...เพราะมันไม่เจ็บเลยสักนิด"
"..."
"ฉันกำลังอยากได้พี่ชายคนใหม่อยู่พอดีเลย"
"..."
"มาเป็นพี่ชายให้ฉันนะ"
"..."
"หลังจากตอนนี้ ฉันจะงอนนายมากๆ...ต้องมาง้อฉันนะ"
"..."
"ฉันจะดูแลนายเองนะ...ฉันสัญญา"
อีทึกไม่รู้เหมือนกันว่าหิมะที่กองอยู่บนพื้นตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจนักหนา คนที่พาเขาออกมาข้างนอกถึงได้เอาแต่ยืนจ้องมองมันมากว่าสิบนาทีเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยเรียกอะไร...อีทึกไม่ได้ถูกสอนมาให้ขัดใจใคร เขายืนคอยอย่างใจเย็นพลางกระชับมืออุ่นข้างนั้นเข้าแน่นขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแรงบีบกระชับของเขาจะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์ของตัวเอง ฮันคยองก้มลงมองมือเล็กขาวซีดที่เกาะจับมือของเขาอยู่เล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือที่ดื้อดึงหมวกคลุมลงอีกแล้ว
"ซื่อบื้อ"
เทวทูตหนุ่มละมือออกมาจากการเกาะกุมเพื่อเอื้อมไปยกหมวกคลุมขึ้นมาสวมคลุมศีรษะคนตัวเล็กจอมดื้อรั้นอีกครั้ง เขายึดจับชายขอบของมันเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีจะยกมือขึ้นมาดึงมันลงทันทีที่เขาสวมให้...ดื้อรั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ดวงตาสีควันบุหหรี่ขึงดุด้วยหวังจะให้อีกฝ่ายกลัว ซึ่งมันก็ไม่เป็นผลเท่าไรนัก แต่ถ้ามันได้ผล...เทพธิดาคนสวยก็เก็บความรู้สึกได้เก่งทีเดียว
"หิมะตกแล้ว...ใส่ไว้ซะ"
"ผมไม่ชอบใส่"
"แต่นายต้องใส่ อย่าให้เห็นว่าดึงลงอีก"
หนุ่มชาวจีนพูดขู่ทิ้งท้ายก่อนจะลดมือกลับลงมากระชับมือเล็กเอาไว้ตามเดิมและพาเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเสียที ชายผ้าพันคอผืนยาวสีเข้มขยับไหวน้อยๆตามแรงลม และอีทึกก็คิดว่ามันช่างเหมาะกับเสื้อโค้ทตัวยาวที่อีกฝ่ายสวมอยู่...ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากๆเลย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากก้าวเดินตามคนตัวสูงไปเงียบๆท่ามกลางละอองหิมะและแสงแดดอุ่นๆของยามบ่าย...เขาไม่ได้เดินแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ...เขากลัวการออกมาข้างนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน
"อยากไปไหน"
"ครับ?"
"อยากกลับบ้านมั้ย"
"บ้าน?"
"ใช่...บ้านของนายน่ะ"
อีทึกนิ่งไป...บ้านของเขาอย่างนั้นหรอ ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วนะ และเขาก็นึกไม่ออกแล้วด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร แต่เขาไม่สนหรอก...ไม่เห็นต้องสนเลย
"ผมจำไม่ได้แล้วครับ"
คำตอบที่ฟังดูห้วนกระด้างเรียกสายตาจากฮันคยองได้เล็กน้อยก่อนเขาจะเลิกสนใจ...เพราะเขาเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร ชายหนุ่มบีบกระชับมือเล็กข้างนั้นแน่นขึ้นพลางกระตุกให้ร่างบางขยับเข้ามาเดินใกล้มากขึ้น
"ตามใจ...งั้นเดินแถวนี้ก็แล้วกัน"
อีทึกไม่ได้ตอบรับอะไรกลับ เพราะเจ้าลูกหมาขนฟูตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังดึงความสนใจของเขาอยู่...ปอมเปอเรเนี่ยนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เขากระตุกมืออบอุ่นข้างนั้นเบาๆเหมือนอยากจะเรียกร้องให้สนใจก่อนจะเป็นฝ่ายดึงรั้งอย่างเอาแต่ใจไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นซึ่งเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เทพธิดาคนสวยทันทีที่เหลือบมาเห็น เธออุ้มเจ้าปอมปอมตัวน้อยมาวางไว้บนตักขณะที่คนสนใจเดินไปย่อตัวนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ
"น่ารักจัง"
อีทึกเปรยออกมาเบาๆพลางไล้มือไปตามขนนุ่มของมัน ในขณะที่มืออีกข้างก็จับมือของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายเอาไว้ไม่ปล่อย เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะคิกคักเหมือนจะภูมิใจที่มีคนมาชมลูกหมาของเธอ เช่นเดียวกับเจ้าปอมปอมที่เห่าออกมาเบาๆสองสามทีคล้ายอยากจะทักทายเทพธิดาคนสวยผู้ซึ่งบัดนี้มีรอยยิ้มบางเบาแต้มอยู่บนเรียวปาก
"ซารังแนะนำตัวหน่อยเร็ว...สวัสดีครับ ผมชื่อซารังครับ"
เด็กหญิงตัวน้อยจับขาหน้าทั้งสองข้างของเจ้าซารังตัวน้อยบิดไปมาเหมือนจะให้แนะนำตัว...มันทำให้อีทึกยิ้มกว้างขึ้นมาอีกนิด
"ชื่ออบอุ่นจังนะ"
รอยยิ้มนั้นจับตาฮันคยองนัก เพราะมันช่างอ่อนหวานและงดงามยิ่งกว่าเทพธิดา...ไม่เหมือนปาร์คจองซูเลยสักนิด มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนน่ากลัวว่าตัวเองจะลบภาพของปาร์คจองซูที่เขาจำได้ทิ้งไป...เพราะมันไม่มีใครแทนที่ใครได้...ความรักมันแทนที่กันไม่ได้ เขาย้ำตัวเองไว้แบบนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเบือนหน้าหนีออกมาและเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ
"เจ้าซารังไม่ได้น่ารักแบบนี้ตลอดหรอกค่ะ ปกติก็เรียบร้อยดีหรอก แต่เจ้านี่น่ะดื้อเงียบค่ะ ถ้าจะดื้อก็ดื้อจนน่าตีเลย"
เหมือนกันเปี๊ยบเลย
ฮันคยองแอบเอามาค่อนขอดในใจ เขาเหลือบสายตากลับไปมองรอยยิ้มนั้นอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจว่ามันถึงเวลาที่ต้องไปเสียที
"ไปได้แล้ว"
เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกทำให้รอยยิ้มอ่อนหวานพลันหุบหาย อีทึกชะงักมือที่กำลังลูบขนนิ่มๆของเจ้าซารังไปนิดก่อนในที่สุดจะยอมละมือออกมาและยืดตัวกลับขึ้นยืน
"ขอบคุณนะ"
เขาเอ่ยขอบคุณเด็กหญิงตัวน้อยที่ยอมให้เขาเล่นอยู่กับเจ้าซารังของเธอนานหลายนานแล้วจึงก้าวเดินตามคนตัวสูงไป ความเงียบเข้าแทรกกลางอยู่ระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะอีทึกจะเป็นคนแรกที่ทนมันไม่ไหว
"คุณไม่ชอบหมาหรอครับ"
"แล้วนายชอบหรือไง"
ฮันคยองไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่แพ้กัน เขายกมือขึ้นจับผ้าพันคอของตนเล็กน้อย...ไม่ยอมที่จะแม้เพียงเหลือบสายตามามองคนถาม
"ครับ...มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจำได้ว่าเคยเป็นเจ้าของ"
"แล้วทำไมถึงจำไม่ได้"
"ถ้าคุณนอนอยู่ในความมืดทุกวัน ไม่นานคุณจะลืมแม้แต่หน้าตาของตัวเอง...บางครั้งมันก็ทำให้เจ็บปวดน้อยลงนะครับ"
ความเงียบโรยตัวลงมาทันทีที่สิ้นคำ...และก็เป็นอีกครั้งที่ฮันคยองรู้สึกได้ถึงน้ำตามากมายในถ้อยคำเหล่านั้นของคนไร้น้ำตา เขานิ่งไปอย่างไม่รู้จะเอ่ยพูดสิ่งใด...เทวทูตแห่งความตายไม่ใช่คนช่างเจรจา และการบีบกระชับมือเล็กแน่นขึ้นก็มีความหมายมากมายเหลือเกิน เขาจับมืออันเย็นเฉียบของเทพธิดาไร้ชีวิตสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตนด้วยหวังว่าจะให้มันอุ่นขึ้นมามากกว่าการจับกุมกันเอาไว้เฉยๆ อีทึกเหลือบมองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของเทวทูตหนุ่มที่ชอบทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นได้อย่างไม่น่าให้อภัยก่อนจะหลบสายตากลับลงมาราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ว่าเขาแอบจ้องมอง
"คุณ...ใจดีมากเลยนะครับ...ใจดีกับผมที่สุดเลย"
"ไม่หรอก"
"ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง แต่สำหรับผม..."
"..."
"คุณคือของขวัญชิ้นแรกที่พระเจ้ามอบให้ผม"
ฮันคยองหยุดชะงักการก้าวเดินก่อนจะขยับไปยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะปล่อยปลายนิ้วที่เกาะเกี่ยวกันอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาให้ออกห่าง...เขารู้ว่าประโยคแบบนั้นหมายความว่ายังไง เพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับคุณทงเฮ...ของขวัญที่พระเจ้าประทานลงมาให้คนไม่ได้ความอย่างเขา...เจ้าหญิงผู้แสนพิสุทธิ์ของเขา แต่เขาไม่อยากให้คนๆนี้รู้กับเขาแบบนั้น...มันไม่ดีเลย
"พูดแบบนั้น...ไม่ดีเลยรู้มั้ย"
"ครับ...ผมรู้"
ปลายนิ้วอุ่นแตะลงเบาๆที่ข้างแก้มเนียนอันเย็นเฉียบ ถึงแม้เจ้าตัวจะสวมฮู้ดกันเกล็ดหิมะเอาไว้แล้ว แต่ผิวของอีทึกก็ยังคงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าละอองน้ำแข็ง...เหมือนไม่มีชีวิตกระนั้น ดวงตาคมสีควันบุหรี่จับจ้องดวงหน้าหวานที่เบือนสายตาหนี
อีทึกอบอุ่นเกินไปแล้ว
อีทึกพูดมากเกินไปแล้ว
อีทึก...ทำร้ายตัวเองมาเกินไปแล้ว
"ขอโทษนะครับ"
เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบาก่อนร่างบอบบางจะขยับกายเข้าแนบชิด...ไม่ได้โอบกอด...ไม่ได้ขอให้โอบกอด...ทำเพียงแค่แนบแก้มลงกับหัวไหล่กว้าง...ทำเพียงอยู่ใกล้...ทำเพียงทอดสายตาอันพร่ามัวเพราะม่านน้ำตาของตนออกไป
แค่นี้ก็ปลอบใจอีทึกได้มากพอแล้ว
แค่นี้หัวใจของอีทึกก็อบอุ่นมากพอแล้ว
"ขอโทษสำหรับทุกอย่างเลย"
...................................................
เสียงหายใจอันสม่ำเสมอและแผ่วเบาทำให้อีทึกยอมขยับประตูห้องนอนให้เปิดอ้าออกกว้างพร้อมกับก้าวออกมาจากด้านใน ร่างบอบบางก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟาที่เจ้าของห้องกำลังนอนเหยียดยาวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา...ที่นอนที่เคยเป็นของเขา
มือถือสีดำสนิทและกระเป๋าเงินหนังสีดำวางอยู่ข้างกันบนโต๊ะกาแฟใกล้ๆ เสียงเล็กน้อยอาจจะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นได้อีทึกรู้ดี หากแต่เขาก็ยังยอมเสี่ยงต่อการถูกจับได้ด้วยการยืนเฝ้ามองเทวทูตผู้หลับใหลต่อไป...อีทึกชอบแบบนี้...ชอบความเงียบงันที่ไม่มีดวงตาคู่คมที่เอาแต่มองหาใครบางคนในตัวของเขาที่ไม่ใช่เขา
ถ้าคุณมองไม่เห็นอะไร...คุณจะรักอีทึกรึเปล่านะ
ไม่มีทางหรอก...ใช่มั้ยล่ะ
ชายหนุ่มยอมละสายตาออกมาจากคนหลับใหลและเดินไปหยิบกระเป๋าเงินที่วางแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดออกอย่างถือวิสาสะ มันมีบัตรอะไรมากมายอยู่ในนั้น...บัตรที่แสดงความเป็นตัวตนของอีกฝ่าย อีทึกหยิบมันออกมาทีละใบ...อ่านข้อมูลเหล่านั้นไปทีล่ะนิด
"หาน...เกิง"
เสียงหวานลองออกเสียงชื่อภาษาจีนที่มีคำอ่านเป็นภาษาอังกฤษตัวเล็กๆอยู่ข้างใต้ที่มีอยู่บนบัตรใบหนึ่งเบาๆคล้ายอยากจะรู้ว่ามันฟังดูเป็นยังไงก่อนจะวางมันเรียงลงบนโต๊ะตามบัตรใบก่อนหน้านั้น...มีรูปสอดอยู่ในช่องตรงนี้ด้วย นิ้วเรียวค่อยๆดึงมันออกมาจากช่องด้านหลังอย่างระมัดระวัง และเขาก็ต้องยิ่งระวังเมื่อเห็นว่าคนในรูปเป็นใคร...ปาร์คจองซู ดวงตาคู่หวานจับจ้องมองคนในภาพ...คนที่ช่างสดใสอยู่ใต้แสงตะวัน
ไม่มีทางหรอก
ต่อให้คุณมองไม่เห็น...คุณก็จะไม่มีทางรักอีทึก
เพราะอีทึกยิ้มแบบนั้นไม่ได้
เพราะอีทึกสดใสแบบนั้นไม่ได้
ใช่มั้ยล่ะ...
เขาสอดรูปใบนั้นกลับเข้าไปก่อนจะหันกลับมาสนใจบัตรต่างๆที่เขาดึงมันออกมาวางเรียงอยู่บนโต๊ะ...บัตรทุกอย่างที่มีทุกอย่างเกี่ยวกับชายที่ชื่อหานเกิง มือเล็กหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่หยิบติดมือมาด้วยจากในห้องออกมาแล้วจึงค่อยๆจัดการถ่ายภาพของบัตรแต่ละใบอย่างปราณีตบรรจง
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเชวซีวอน
จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับคนที่เปลี่ยนโลกของเขาทั้งใบ
อีทึกส่งภาพเหล่านั้นออกไปยังหมายเลขที่เขาต้องการอย่างรวดเร็วก่อนจะจัดการเก็บบัตรเหล่านั้นกลับเข้าไปยังที่ของมัน เขาก้มลงตรวจเช็คสภาพของที่เขาทำการรื้อค้นอีกครั้งแล้วจึงทำท่าจะหมุนตัวออกมา แต่สะโพกที่ไปชนเข้ากับขอบโต๊ะจนมันขยับเลื่อนและส่งเสียงออกมาก็ทำให้เขาโดนรั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน คนที่ตื่นขึ้นเพราะเสียงขาโต๊ะครูดกับพื้นดึงร่างบางกลับมาเซล้มลงบนตัวของตนก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับอยู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว
"ทำอะไร"
อีทึกไม่ตอบในทันที เขาค่อยๆหย่อนโทรศัพท์มือถือของตนลงบนพื้นและใช้ปลายนิ้วผลักมันเข้าไปใต้โซฟา...ทำทุกอย่างอย่างเงียบงันและแทบไม่ขยับไหงวจนคนด้านบนไม่ทันสังเกตเห็น
"เปล่าครับ"
"แล้วออกมาทำอะไรข้างนอก"
"ผมแค่นอนไม่หลับ"
"ฉันห้ามนายออกไปนั่งตรงระเบียงแล้วไม่ใช่รึไง"
ดวงตาคมสีควันบุหรี่จับจ้องใบหน้าหวานที่เบือนหลบ....มองไปตามแก้มนวลอันซีดขาว ระเรื่อยต่ำลงไปยังลำคอระหงที่แลดูเปราะบาง...ไม่มีสิ่งใดเลยที่ดูแข็งแรง...ไม่มีส่วนใดเลยที่ดูไม่น่าทะนุถนอมดูแล...อีทึกบอบบางเกินไป
"ขะ..."
"ฉันเบื่อคำขอโทษของนาย"
ชายหนุ่มชาวจีนพูดสวนขึ้นมาด้วยเสียงกระด้างแข็งอันเป็นปกติ เขาใช้มือบีบแก้มนุ่มเบาๆเพื่อพลิกใบหน้าหวานให้หันกลับมาสบตา...มันไม่ได้รุนแรง กลับกัน...มันอ่อนโยนจนน่าร้องไห้เลยล่ะ อีทึกไม่ได้เอ่ยตอบใดๆต่อถ้อยคำนั้น เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง...อยากจะพูดอะไรบางสิ่ง หากแต่เขาก็พูดออกมาไม่ได้...ไม่รู้จะพูดอย่างไร
อีทึกอยากจะขอให้กอด
อีทึกอยากจะบอกว่าหนาว
แต่อีทึกก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร
เพราะอีทึกทำแบบนั้นไม่เป็น
อีทึกไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรแบบนั้น
มือเล็กเกาะเข้าที่เอวของคนด้านบน ค่อยๆเลื่อนอ้อมขึ้นไปด้านหลังคล้ายอยากจะโอบอีกฝ่ายลงมาแนบชิด แต่ฮันคยองก็จับมือของคนซุกซนเอาไว้ได้ทันเสียก่อน เขาดึงมันออกมากดเอาไว้เหนือศีรษะของคนด้านล่างพลางจ้องมองด้วยสายตาที่ยิ่งอ่านยาก...นิ่งเรียบและเย็นชา
"จะทำอะไร"
"ผม..."
"ถ้าอยากให้กอด...ทำไมไม่พูด"
เขาอ่านสายตาคู่นั้นออก...ถึงแม้มันจะดูไร้แววเหมือนไม่มีชีวิต หากแต่ฮันคยองก็ยังคงสังเกตเห็นความปรารถนาที่พาดผ่านอยู่ในดวงตาคู่นั้น...เห็นมันตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
"ผม...เปล่า"
"ดี...เพราะฉันก็จะไม่กอดนายเหมือนกัน"
เทวทูตหนุ่มว่าก่อนจะเป็นฝ่ายลุกออกมาและหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอนของตน...ทิ้งให้อีกคนนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่โดนทำร้ายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เพราะเขาไม่อยากเยียวยาหัวใจตัวเองด้วยเงาของปาร์คจองซู
เพราะเขาไม่อยากทำร้ายใครด้วยเงาของปาร์คจองซู
เพราะเขาไม่อยากหลอกตัวเองด้วยเงาของปาร์คจองซู
ฮันคยองเจ็บปวด...ที่ต้องทำแบบนั้น
อีทึกกำลังรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องออกมาจึงได้แต่พลิกตัวหันหลังให้ประตูห้องนอนพร้อมกับกระชับผ้านวมที่ยังกรุ่นไปด้วยไออุ่นของเจ้าของเก่าเข้าหาตัว ฟันคมกัดลงที่ข้อนิ้วชี้ของตนหนักๆเพื่อระงับความเจ็บแสบของลำคอ...มีใครบางคนเคยบอกเขาว่ามันช่วยได้ ดวงตาคู่หวานกระพริบถี่เพื่อไล่ม่านน้ำตา แต่อีทึกก็หนาวเกินไป...หัวใจไม่อบอุ่นขึ้นมาเลย สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องลุกขึ้น คว้าบุหรี่และไฟแช๊คแล้วจึงพาตัวเองออกไปนั่งที่ระเบียง
.....................................................
ดอกกุหลาบสีขาวกับนางฟ้าสีขาวเป็นอะไรที่เหมาะกันชะมัดในความคิดของอีทึก...เหมาะกับหิมะ...เหมาะกับโบสถ์...เหมาะกับสุสาน ไม่เหมือนเขาที่เป็นเหมือนรอยด่างบนพื้นหิมะสีบริสุทธิ์ในอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ฮันคยองก้มลงวางช่อดอกกุหลาบสีขาวในมือลงตรงป้ายหินที่สลักไว้อย่างงดงามโดยไม่ลืมที่จะหยิบช่อเก่าที่ยังไม่มีแม้เพียงรอยช้ำบนกลีบดอกกลับขึ้นมาด้วย ดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นทอดมองป้ายหินแผ่นนั้นอย่างเต็มไปด้วยความหมายและอ่อนโยน...มันทำให้เขาอิจฉาจนตาร้อนผ่าวขึ้นมา อีทึกที่ยืนเยื้องห่างออกมายกมือขึ้นกอดอกพลางเบือนสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังไปที่อื่นที่ไม่ใช่พื้นที่ของปาร์คจองซู
"ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้...คนตายไปแล้วจะรู้อะไร"
อีทึกกำลังพาล
อีทึกกำลังโกรธ
อีทึกกำลังอิจฉา
อีทึกกำลัง...เสียใจ
ฮันคยองไม่ได้โกรธเคืองถ้อยคำเหล่านั้น...นางฟ้าของเขาทำให้เขาสงบได้เสมอ ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปมองคนที่ถอยออกไปยืนเสียห่างด้วยสายตาที่พลันเปลี่ยนไปเป็นว่างเปล่า ชายผ้าพันคอของเขาโบกปลิวเช่นเดียวกับเส้นผมสีดำสนิท
"คนอย่างนายน่ะ...เคยรักใครบ้างรึเปล่า"
เทพธิดาพลันนิ่งไป ใบหน้ารูปสลักที่แสนงดงามหันกลับมาสบตากับคนถามด้วยแววตาที่ยิ่งว่างเปล่า หากแต่ข้างในกลับกำลังสั่นไหว อีทึกกำลังรู้สึกเหมือนพื้นที่เขาเหยียบยืนนั้นสั่นคลอนเหมือนหัวใจของตนเอง
"หนึ่งคืนน่ะ...ไม่พอสำหรับรักใครหรอกครับ"
..........................................................
"ไม่เข้าไปนั่งด้านในหรอคะ มันอุ่นกว่านะ"
คนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ขั้นบันไดหน้าโบสถ์ส่ายหน้าปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงสาวคนนั้นเบาๆ ดวงตาคู่หวานซ่อนอยู่ใต้เงาหมวกคลุมสีขาวบริสุทธิ์จนบอกไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกสิ่งใด ปลายนิ้วเรียวคีบบุหรี่ออกมาจากริมฝีปากพลางเคาะเถ้าสีเทาลงกับพื้นบันได
"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ ผมรอเพื่อนอยู่"
อีทึกสกปรกเกินไปสำหรับโบสถ์ของคุณนะ
คนที่อยู่แต่ในนรกอย่างอีทึก...พระเจ้าไม่ต้องการหรอก
หญิงสาวคนนั้นพึมพำบอกให้เขาเข้าไปข้างในถ้าหากเปลี่ยนใจแล้วจึงเดินหายเข้าไปในโบสถ์ อีทึกพ่นออกมาจากริมฝีปากก่อนจะยกมวนบุหรี่ขึ้นมาอัดนิโคตินลงปอดอีกเฮือกใหญ่ เขาเหยียดยิ้มออกมานิดพลางลดมวนบุหรี่ลงมาดูปลายที่มอดไหม้ของมัน
'คนอย่างนายน่ะ...เคยรักใครบ้างรึเปล่า'
"คนโง่"
เสียงหวานพึมพำออกมาเบาๆขณะที่ดวงตาอันแสบเคืองก็กดต่ำลงมองที่พื้นใต้ฝ่าเท้าเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากใครก็ตามที่อาจเดินผ่านมา มือสั่นเทาจนเกือบจะคีบจับบุหรี่ไว้ไม่ไหว
เคยสิ...
เคยอยู่แล้ว
"คุณมัน...คนโง่"
......................................................
คำถาม...นั่นสินะ...แล้วทึกรักใครล่ะ
รีดเดอร์บอก กูอ่านแค่สองตอนกุยังรุ้เลยว่าทึกรักใคร แล้วทำไมมึงไม่รุ้ห๊าฮันนนน!!
ยังสอบไม่เส็ด แต่พิมพ์เสร็จแล้ว และก็อยากลง เลยเอามาลงให้(ทั้งๆที่พุ่งนี้สอบแต่เช้าเลย- -“) จบกันไปแบบอึดอัดตามสไตล์ฮันทึกเนอะ เศร้ามั้ย ก็ไม่เท่าไร หวานมั้ย ก็ไม่ค่อยเท่าไร...เป็นสไตล์ฮันทึกประจำเรื่องนี้ทีเดียว ทำเอาทั้งรีดเดอร์ทั้งไรเตอร์มึนตลอดเลย- -“ ไรเตอร์ว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากนะ กับการรักใครคนใหม่ที่เหมือนคนเก่าเด๊ะโดยที่มองเขาเป็นเขา ไม่ใช่คนเก่าที่ไม่อยู่แล้วอ่ะ มันต้องมีบ้างแหละนะที่เอามาเปรียบเทียบแล้วก้มองหาสิ่งที่เราคุ้นเคยมาก่อน อะไรทำนองนั้นนะ ก้ให้เวลาพ่อเทวทูตสุดหล่อหน่อยละกัน ส่วนเรื่องสามพีเมื่อตอนที่แล้ว มีน้องบางคนเดาถูกอีกแล้ว...น้องอย่าเพิ่งสับสนนะ เชื่อมั่นในสิ่งที่น้องสังเกตเห็นตอนแรก อย่าไปสับสนนนนน ส่วนเปนคนไหนที่ตอบถูกนั้น ไปขุดอ่านคอมเม้นต์เอาเองนะ^^
มีน้องคนนึงขอให้อวยพรวันเกิดให้ด้วย มาเม้นขอไว้ช่วงที่ไรเตอร์หายหัวไปพอดี เลยไม่ได้มาอวยพรให้เลยอ่ะ- -“
| ||||
| ||||
Name : tui [ IP : 202.28.27.3 ] |
เกิดวันที่11มาอวยพรให้ประมาณสิบวันถัดมาคงไม่ว่ากันนะ ก็ขอให้น้องtui(เหมือนพี่จะจำชื่อยูสหนูได้นะ จำได้ว่าเคยเห็นอ่ะ)มีความสุขมากๆนะคะ ไม่ว่าน้องจะอายุเท่าไร แต่ปีนี้ก็โตขึ้นมาอีกปีแล้วนะ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้ได้อย่างนั้นนะ อยากเอ็นท์ติดคณะไหนที่ไหนก็ขอให้ได้ตามที่หวังนะคะ แฮปปี้ๆตลอดไปเลยน้า^^
ตอนหน้ากลับไปที่คิเฮอีกครั้งหนึ่งค่ะ หลังจากลากกันขึ้นห้องไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก้ต้องไปรอลุ้นกันค่ะ บอกนิดนึง เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะ(รีดเดอร์บอกเฮ้ยไรฟะ กุยังอ่านไม่ค่อยรุ้เรื่องเลยนะ!!) จริงๆค่ะ อยากจะให้นับหนึ่งอาทิตย์ของคิเฮให้ดีๆ อย่าให้ขาดอย่าให้เกิน คู่อื่นเกินได้ขาดได้ แต่คู่คิเฮจะเป็นคู่เดียวที่พอดีเจ็ดวันค่ะ พอจบเจ็ดวันของคิเฮปุ๊บ...ก็จะเข้าช่วงสุดท้ายของฟิคแล้วนะ เร็วเนอะ
ไปแระจ้า เจอกันอาทิตย์หน้า ซึ่งก็ปีใหม่พอดีเนอะ^^
ปล. ไรเตอร์หายไปอ่านหนังสือแป๊บเดียว ก็มีเรื่องอีกแล้วเนอะ ปีนี้เอสเอ็มชงอย่างแรงอ่ะ ไม่ใช่ปีทองของผู้บริหารเอสเอ็มเลยจริงๆ มีเรื่องให้ปวดหัวตั้งแต่กลางปียันท้ายปีเลยทีเดียว และเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...คุณมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่ถ้าความคิดนั้นมันเป็นอะไรที่กำกวมและฟังดูสองแง่สองง่าม อย่าโพสลงในเน็ตเป็นดีที่สุด ไม่เข้าใจจริงๆ...คิดอะไรทำไมต้องประกาศให้โลกรู้ด้วยน้าคนเรา- -“ (แต่เค้ารักตัวเสมอนะตะเอง^^)
ความคิดเห็น