คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Paining More And More
"ทำไมคุณหนูไม่เรียกคุณซีวอนกับคิบอมว่าพี่ล่ะครับ...ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ เดี๋ยวก็ได้โดนคุณท่านดุอีกหรอก"
"ก็เรียกว่าพี่ชายไง...ไม่ได้หรอ"
"ได้สิครับ...ได้อยู่แล้ว แต่คุณควรเรียกพวกเขาว่าพี่ซีวอนกับพี่คิบอมด้วยสิครับ พวกเขาอายุมากกว่าคุณหนูนะ จะเรียกชื่อเฉยๆได้ยังไง"
"ไม่เอาอ่ะ...แค่พี่ชายก็พอแล้ว พวกเขาไม่โกรธหรอก"
"ผมรู้ว่าพวกเขาจะไม่โกรธคุณหนูครับ แต่ว่าทำไมล่ะครับ...มันไม่ได้ยากอะไรนี่นา"
......................................................................
"อ้าวฮันคยอง!"
ทันทีที่เขาด้าวเข้าไปในร้าน เสียงหวานของคนที่เพิ่งจะยื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่ให้ลูกค้าก็ร้องทักเขาด้วยรอยยิ้มเดิมๆที่มักจะมีประดับอยู่บนเรียวปากเสมอ จองซูพูดคัยอยู่กับลูกค้าคนนั้นอีกเพียงไม่กี่คำก็เดินเข้ามาหาเขา...ผู้ซึ่งทำอะไรไม่ได้เลยนอกจะยืนชะงักค้างอยู่ที่เดิมพร้อมหัวใจที่เต้นถี่รัว
"มาซื้อเค้กให้เจ้านายหรอ"
"ครับ"
"เอากี่ชิ้นดีล่ะ"
"ทั้งปอนด์เลยครับ"
"วันเกิดหรอ"
"เปล่าครับ...แค่อยากให้ดีใจ"
จองซูทำหน้างงกับคำตอบของหนุ่มชาวจีนอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะหัวเราะออกมาเบาๆและเอื้อมมือมาดึงรั้งข้อมือของคนตัวสูงให้เดินไปยังชั้นวางที่เต็มไปด้วยเค้กหลากสีสันต์ดังเช่นวันก่อน
"มาสิ...เดี๋ยวฉันช่วยเลือก"
ท่าทางแสนสดใสของนางฟ้าผู้มีลักยิ้มประดับอยู่ที่ข้างแก้มทำให้ฮันคยองอมยิ้มและยอมรับฟังคำอธิบายเจื้อยแจ้วนั่นแต่โดยดี แต่รอยยิ้มก็ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของเขาได้ไม่นานนักเมื่อตวัดกลับไปคิดถึงนายหนุ่มที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล...ร่างบอบบางของลีทงเฮนอนนิ่งและเงียบงัน...ไร้อาการบาดเจ็บใดๆเพิ่มเติม แต่กลับดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม มันจึงไม่เฉพาะยูชอนกับฮยอกแจที่เพิ่งกลับมาถึงโซลในตอนเช้าเท่านั้นที่แปลกใจ เขาที่นั่งเฝ้าไข้มาตั้งแต่เมื่อคืนก็แปลกใจเช่นกัน...และในฐานะของ'พี่ชาย'คนหนึ่ง...มันทำให้เขายิ่งเป็นกังวล
"ฮัยคยอง...?"
"อ่า...ครับ?"
"เหม่อๆนะ...เป็นอะไรรึเปล่า"
คนที่ถูกทักว่าเหม่อกระพริบตาถี่ๆราวกับไม่เข้าใจน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาก่อนหัวใจเจ้ากรรมจะเต้นตึกตักขึ้นมาจนเขาต้องรียกระแอมไอกลบเกลื่อน ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันจะได้ยินเสียงของมันก็ตามที...เอ่อ...บางทีก็อาจจะไม่น่ะนะ
"เปล่าครับ"
จองซูจ้องหน้าเขาอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาและอธิบายเกี่ยวกับเค้กสีต่างๆบนชั้นวางต่อตามเดิม ซึ่งเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงหวานๆและรอยยิ้มสดใสของนางฟ้าก็ทำให้ฮันคยองลืมจุดประสงค์ของการมาซื้อเค้กครั้งนี้ไปเสียสนิท
...............................................................
"โห้ยลูกพี่!...เค้กปอนด์เบ้อเริ่มเลย น่ากินสุดๆอ่ะ!"
ฮยอกแจกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันทีที่คนไปซื้อ(ซึ่งยังไม่มีใครสังเกตว่ากลับมาช้าไปสักหน่อย)วางกล่องกระดาษใบใหญ่ลงบนโต๊ะและดึงฝาออก ทงเฮเหลือบมองเค้กช๊อคโกแล๊ตปอนด์ใหญ่ในกล่องเพียงหางตาแล้วจึงเลิกสนใจมันไปอย่างสิ้นเชิง
"เค้กช๊อคโกแล๊ตของโปรดลูกพี่เลยนะ...จะกินมั้ยครับ เดี๋ยวผมตัดให้"
ฮยอกแจหันไปถามนายหนุ่มของตน ซึ่งแน่ล่ะ...เป็นเจ้าของเค้กปอนด์นี้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว หากแต่ร่างบางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเหล็กกลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจของโปรดของตัวเองเลยสักนิด ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติมันคงสามารถเรียกรอยยิ้มหวานๆให้คลี่กว้างขึ้นมาบนเรียวปากสวยได้อย่างง่ายดาย ทงเฮเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าและแววตาอันเฉยชา ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตว่างเปล่าจนดูราวกับดวงตาลูกปัดของตุ๊กตาไร้ชีวิต มันทำให้ลูกน้องของเขาซึ่งพยายามจะชวนนายหนุ่มของตนคุยมาตั้งแต่เช้าต่างพากันนิ่งงันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร...เฝ้ามองน้องชายของตนกลายเป็นตุ๊กตาอันไร้วิญญาณโดยไม่สามารถช่วยเหลือใดๆได้
ยูชอนเดินเข้าไปใกล้เพื่อวางมือสัมผัสลงบนมือเล็กที่วางแน่นิ่งอยู่บนเตียงอย่างแผ่วเบา...ถ่ายทอดความห่วงใยที่เขามักจะไม่แสดงออกเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายได้รู้สึก...อย่างน้อยก็อยากให้อบอุ่นขึ้นมาสักนิดก็ยังดี
"คุณทงเฮทานสักหน่อยนะครับ ฮันคยองอุตส่าห์ลงไปซื้อมาให้"
"ฉันไม่หิว...พวกนายเอาไปแบ่งกันกินก็ได้"
นายหนุ่มหน้าหวานบอกปัด...ยังคงไม่ยอมหันมาสบตากับคนในห้องแม้เพียงคนเดียว แต่กระนั้นทุกคนก็ประจักษ์ถึงขอบตาอันแดงก่ำของคนที่จวนเจียนจะร้องไห้อยู่ดี และสำหรับยูชอน...มือเล็กๆอันเย็นเฉียบข้างนั้นก็บีบกระชับมือของเขาแน่นคล้ายอยากจะสัมผัสไออุ่นให้มากกว่านี้
"พูดแล้วห้ามคืนคำนะครับลูกพี่ ตอนหลังอย่ามาร้องว่าอยากกินเชียว...ผมไม่แบ่งให้หรอกนะจะบอกให้!" ฮยอกแจโพลงขึ้นมาเหมือยหวังจะให้อีกฝ่ายเถียงเข้ากลับเหมือนอย่างเคย แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบงันที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันน่าเศร้า คนช่างพูดหน้าเสียไปนิดเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น เขาจึงตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบ
ฮันคยองถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาเดินเข้าไปประชิดขอบเตียงเคียงข้างยูชอน มือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็กที่ปกคลุมไปด้วยผมสีน้ำตาลเข้มของคนป่วยก่อนร่างสูงจะโน้มตัวลงไปจุมพิตหน้าผากนูนเกลี้ยงที่ร้อนผ่าวเพราะพิษไข้อย่างแผ่วเบาราวกับเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมา...การกระทำเดิมๆที่เขามักจะทำเสมอเมื่อเห็นน้องชายคนดีของตนเศร้าซึม เทวทูตแห่งความตายแสดงความรู้สึกไม่เก่งนักทุกคนรู้ดี...สัมผัสเพียงเล็กน้อยมักะสื่อถึงอะไรมากมายหลายๆอย่างทุกคนรู้ดีเช่นกัน...และจุมพิตเพียงแผ่วเบานั้นก็หมายถึงความห่วงใยมากมายและความรักมากมายที่เขามีต่อน้องชายของเขาคนนี้
"ถ้าไม่หิวก็นอนเสียนะครับ พวกผมจะไปคอยข้างนอก"
ชายหนุ่มชาวต่างชาติเอ่ยบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาก่อนจะผละออกไป เข่นเดียวกับอีกสองคนที่เดินตามเขาออกมาเงียบๆ ชายในชุดสูทสี่คนที่ยืนประจำอยู่หน้าห้องเหลือบมองคนที่ก้าวออกมาเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับมาสนใจหน้าที่เฝ้าระวังของตนตามเดิม
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะฮันคยอง...เอาตรงๆเลยนะ" ยูชอนเอ่ยถามหน้าเครียดพลางหมุนตัวก้าวนำเพื่อนไปยังร้านกาแฟที่ชั้นล่าง
"เจ้าชายแห่งรัตติกาล"
ถ้อยคำสั้นๆของคนพูดน้อยซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับนายหนุ่มในวันนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบเครียดขึ้นมาทันตา แม้แต่ฮยอกแจผู้มีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจก็มีสีหน้าไม่ชอบใจกับสิ่งที่ถูกเอ่ยออกมา
"เจ้าชายแห่งรัตติกาล?...คุ้นๆนะพวกแกว่ามั้ย"
"คนของโซเฮยอนไง...งานครั้งก่อนน่ะจำได้มั้ย"
ฮยอกแจร้องอ้อออกมาเบาๆพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทางเด็กๆ(ซึ่งแน่นอนล่ะ...เขาทำมันได้น่ารักไม่น้อยไปกว่านายหนุ่มหน้าหวานหรอกนะ!) แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังคงกังขาในบางสิ่ง
"แต่ทั้งเชวฮันซองกับคาเงโยชิ ริวยะก็ตายหมดแล้วนี่"
"ตายหมดแล้วไง...ถึงเชวซีวอนจะอยู่ที่จีนก็ใช่ว่ามันจะสั่งการคนของมันไม่ได้ อีกอย่าง...คนอย่างเจ้าชายแห่งรัตติกาลไม่จำเป็นต้องมีคนสั่งการด้วยซ้ำ"
ชื่อของเชวซีวอนที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้การก้าวเดินหยุดชะงักไปชั่วครู่ทันทีที่สิ้นเสียงของยูชอน...แม้แต่ฮันคยองที่ดูไม่ค่อนจะสนใจบทสนทนามากนักก็ยังหันกลับมาหาคนพูดซึ่งดูเหมือนจะยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิมเสียอีก
"เชวซีวอนเป็นชื่อต้องห้าม...แกก็รู้นี่ยูชอน"
ฮยอกแจพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่รู้กัยว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งสามคนนิ่งเงียบกันไปชั่วเสี้ยววินาที่ก่อนจะเริ่มก้าวเดินกันอีกครั้ง...ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งก้าวมาถึงหน้าลิฟต์ คนพูดน้อยที่สุดจึงเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาเป็นคนแรก
"แกว่ามันจะเป็นยังไงต่อยูชอน"
คนถูกถามไหวไหล่พลางก้าวนำเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดรออยู่
"พวกโซเฮยอนกำลังขาดคนออกคำสั่ง ไม่นานเชวซีวอนจะกลับมา...แล้วมันคงไม่จบที่แค่พามาส่งโรงพยาบาลแบบนี้แน่ ใครๆก็รู้คนของเชวซีวอนเก่งมากแค่ไหน"
ยูชอนเอ่ยความคิดของตนออกมาแล้วจึงนิ่งเงียบไปเช่นเดียวกับอีกสองคนที่เหลือ...เพราะเพียงแค่นึกถึงความสามารถของเหล่าลูกน้องของเชวซีวอน ชีวิตของนายหนุ่มก็ดูเหมือนจะหดสั้นลงมาอีกจนน่ากลัวว่าพวกเขาจะยื้อรั้งมันให้ยาวออกไปกว่านี้ไม่ไหวอีกต่อไป
........................................................................
ร่างสูงแนบตัวเข้ากับกำแพงอย่างรวดเร็วเมื่อปรากฏร่างของชายสามคนอยู่ที่หน้าลิฟต์ ชายหนุ่มผมสีทองซีดสะดุดตาของเขา...ยังคงดึงดูดความสนใจของเขาดั่งเช่นเดิม คงเป็นเพราะกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งมากกว่าใคร หรืออาจเป็นเพราะดวงตาที่เย็นชาจนไร้ความรู้สึกยิ่งกว่าใครที่ทำให้เขาสนใจชายหนุ่มคนนั้นนัก...หานเกิง
คิบอมคอยจนกระทั้งผู้พิทักษ์ทั้งสามคนก้าวกายเข้าไปในลิฟต์แล้วจึงออกมาจากที่ซ่อนของตน ใบหน้าคมเรียบเฉยเช่นเดียวกับแววตาขณะหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาเบอร์ของใครสักคน เขากรัชับเสื้อกาวด์สีขาวเข้ากับไหล่มากขึ้นพลางก้าวเดินตรงไปยังห้องพักของใครบางคนโดยมีมือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้แนบหู
..........................................................................
ทงเฮรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจช้าลง...เจ็บปวดจนหายใจได้ลำบากยิ่งกว่าคราใด ร่างบอบบางขยับเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าทาง แต่กระนั้น ดวงตากลมโตก็ยังคงจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าสีหม่นด้านนอก...ฝนใกล้จะตกอีกแล้ว เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำท่าจะหลับตาลงอย่างที่ถูกแนะนำให้ทำ แต่ประตูที่ถูกผลักเปิดเข้ามาก็ทำให้เจ่ไม่ได้ทำอย่างที่ใจหวัง ใบหน้าหวานหันมาสบตากับผู้มาใหม่อย่างเชื่องช้า และร่างของชายสูงวัยผู้ถือไม้เท้าก็ทำใหเเขาชะงักในทันที
"พ่อ..." เสียงหวานพึมพำออกมาเบาๆพลางฝืนคำสั่งหมอด้วยการพยุงตัวขึ้นนั่ง
"ยูชอนบอกฉันว่าแกอยู่โรงพยาบาล"
"..."
"ฉันเลยอยากรู้ว่าแกเป็นหนักจนสมควรจะเป็นห่วงอย่างที่น้ำเสียงมันบอกรึเปล่า"
"..."
"และฉันก็เห็นแล้วว่ามัน...ไม่"
ลีดองวุคยืนอยู่ตรงนั้น...พยุงตัวเองด้วยไม้เท้าอยู่ที่กลางห้อง ไม่ได้ก้าวเข้ามาประชิดเตียงลูกชายของตนอย่างที่ควรจะเป็น ชายสูงวัยจึงไม่สามารถสังเกตเห็นดวงตาที่วูบไหวไปด้วยน้ำตาของคนป่วยที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง ทงเฮพยายามจะหายใจ...พยายามจะไม่ร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนที่สั่งห้ามไม่ให้เขามีน้ำตา..แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคนสั่งห้ามเองเสมอที่ชอบทำให้เขามีน้ำตาอย่างอ่อนแอ
"ขอโทษครับพ่อ...ผมจะไม่ให้ยูชอนทำแบบนั้นอีก"
"ดี...อย่ามาตายให้ฉันเห็นก็แล้วกัน"
คุณลีพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาไม่แพ้แววตาแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป...ทิ้งความเงียบงันอันน่าหดหู่ไว้เบื้องหลังราวกับจงใจให้อีกคนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม คนป่วยเอนตัวล้มกลับลงมานอนตามเดิม มือบางกระชับผ้าห่มเข้าแนบตัวพลางพลิกกายหันหลังให้ประตู...ยังคงพยายามที่จะหายใจด้วยลำคอที่แสบเคืองและดวงตาอันพร่าเลือน
ไม่หรอก...
ไม่ตายหรอก
จนกว่าพ่อจะเห็นค่าของลีทงเฮคนนี้
ไม่มีทางที่จะตายก่อนหรอก
ประตูห้องถูกผลักเปิดเข้ามาอีกครั้งในเวลาไม่กี่นาที่ต่อมา แต่คราวนี้ทงเฮไม่คิดจะหันกลับไปสนใจใดๆอีก เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นชั่วครู่ก่อนร่างบอบบางจะถูกกระชากให้พลิกกลับมานอนหงายอย่างไม่ออมแรงเท่าไรนัก ดวงตาโตเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของคนหยาบคายได้ชัดตา คนป่วยทำท่าจะอ้าปากร้อง แต่มือใหญ่ก็ปิดหมัยเข้าที่ริมฝีปากบางพร้อมกับร่างสูงที่โยนตัวขึ้นมานั่งคร่อมคนที่นอนอย่างไร้ทางสู้อยู่บนเตียง
"อื้ออ!" ทงเฮดิ้นรน กรีดร้องเสียงอู้อี้ผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของเขาอยู่ แต่เขาก็ร้องเรียกหาอิสระอย่างเอาแต่ใจได้ไม่นานนัก เพระาปลายกระบอกปืนที่ถูกจ่อแนบเข้าที่ข้างซอกคอ...คิมคิบอมยังคงใช้วิธีทักทายที่หยาบคายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
"รู้นะครับว่าถ้าส่งเสียงจะเกิดอะไรขึ้น"
คิบอมแค่นเสียงขึ้นจมูกเมื่อคนตัวเล็กนิ่งงันไปในทันทีที่ผิวกายถูกสัมผัสด้วยอาวุธสังหาร...บอกแล้ว ลีทงเฮก็เป็นเพียงแค่คนปากดีที่อ่อนแอ นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องตรงขึ้นมาที่เขาราวกับกำลังพูดอะไรสักอย่าง...ฏำลังเว้าวอนขออะไรสักอย่าง แต่เขาก็เลิกเข้าใจดวงตาของลีทงเฮไปนานจนอ่านไม่ออกเสียแล้ว
ร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวทรงตัวอยู่บนเข่าของตนพลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วเรียวขยับกดปุ่มต่อสายหาใครบางคนแล้วจึงแนบโทรศัพท์เครื่องบางเข้ากับหูของคนที่นอนนิ่งอยู่ที่ระหว่างขาของตน
ทงเฮไม่ได้เอ่ยถามว่าตนกำลังจะได้พูดกับใคร เขานอนนิ่ง...ฟังเสียงสัญญาณดังเพื่อรอให้มีคนรับสายอย่างนิ่งสงบ หรือบางที...อาจไม่มีแรงที่จะทำตัวดื้อดึงแล้วก็เป็นได้
"ว่าไงตัวเล็ก"
เสียงทุ้มที่เอ่ยลอดมาตามสายทำให้ดวงตาที่กำลังเหม่อลอยพลันขยับเบิกกว้างขึ้นมาในทันที คนตัวเล็กอ้าปากค้างราวกับกำลังจะเปล่งเสียงอะไรสักอย่างออกมา แต่ลำคอที่ตีบตันก็ทำให้ไม่มีสิ่งใดผ่านลำคอของเขาออกมาจนเวลาผ่านไปเกือบนาที กระบอกปืนที่กดแนบลงมากับผิวมากขึ้นก็บังคับให้เขาจำต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป
"ซีวอน..."
"ให้ตายสิ...ผ่านมาสิบกว่าปีนายก็ยังไม่ยอมเรียกฉันว่าพี่ชายสักที ฉันเป็นพี่ชายของนายนะทงเฮ"
"ไม่ใช่!...แกไม่ใช่!"
เสียงหวานที่เปลี่ยนมาเป็นแข็งกร้าวเช่นเดียวกับแววตาที่ทอแววแข็งกระด้างอย่างเกลียดชัง...แต่มันก็ยังคงวูบไหวไปด้วยน้ำตาที่คิบอมจงใจทำเป็นมองไม่เห็น เชวซีวอนผู้อยู่ปลายสายนั้นหัวเราะในลำคอเบาๆทันทีที่สิ้นเสียงตะคิดก่อนน้ำเสียงที่เล่นทีจริงของเขาเมื่อครู่จะพลันเปลี่ยนมาเป็นเหี้ยมเกรียมเย็นชาราวกับรู้ว่าเขาคงซื้อใจน้องชายตัวเล็กของเขาด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนไม่ได้อีกต่อไป
"หึ...รู้ก็ดี คิบอมบอกว่านายอยู่โรงพยาบาล แต่รู้มั้ย...ถ้าฉันกลับไปถึงเกาหลีเมื่อไร นายจะไปจบลงในหลุมแทนที่จะเป็นเตียงของโรงพยาบาล"
เลือดในกายของคนถูกขู่พลันลดอุณหภูมมิเย็นเฉ๊ยบลงอย่างหวาดกลัว เพราะทงเฮรู้ดีว่าเชวซีวอนเป็นคนยังไง...รู้ดีว่าทุกคำพูดของเชวซีวอนไม่เคยมีคำใดเป็นคำโกหก...น้ำตาของทุกวันในวัยเด็กของเขาเป็นสิ่งยืนยันเรื่องนั้นได้ดี
"กลัวจนพูดไม่ออกเลยรึไง...หรือว่ากำลังร้องไห้อยู่กันล่ะตัวเล็ก"
ทงเฮอยากจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่จวนเจียนจะไหลรินออกมา แต่ดวงตาคมของคนคุกเข่าคร่อมร่างของเขาอยู่ก็ทำให้เขายังคงพยายามที่จะเข้มแข็งต่อไปอย่างหยิ่งทระนง...พยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดและน่าเวทนา
"ยังไงก็ช่างเถอะ...ฉันก็ทำให้นายร้องไห้ทุกทีนั่นล่ะ"
"..."
"แต่คงโชคร้ายหน่อย เพราะตอนนี้คิบอมพี่ชายคนดีของนายจะไม่โอ๋นายอีกแล้ว...แย่นิดนึงนะ"
คนปลายสายแค่นเสียงขึ้นจมูกเหมือนอยากจะดูถูก...แต่ต่อให้ซีวอนไม่พูด ทงเฮก็รู้ดีถึงความจริงข้อนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว
"ไปตายซะ"
คนปากดีพยายามไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นไหวเมื่อเค้นมันผ่านลำคออันเจ็บแสบออกมา...ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ซีวอนหัวเราะเบาๆอีกครั้งฟังดูคล้ายกำลังขบขัน
"เออ...ไปก็ได้ อย่าชิงตายก่อนฉันกลับไปก็แล้วกัน"
ใบหน้าหวานเบนหนีออกมาจากโทรศัพท์ราวกับอยากจะบอกให้ผู้เป็นเจ้าของที่อยู่ด้านบนรู้ว่าปลายสายได้ตัดสายไปแล้ว ทุกอย่างช่างเงียบงันระหว่างคนทั้งสองคนที่อยู่บนเตียงเดียวกัน คิบอมเก็บโทรศัพท์ของตนใส่กระเป๋าขณะที่ทงเฮเหม่อมองสายฝนที่สาดเทอยู่ด้านนอก
"หมดธุระของนายแล้วก็ไปซะ"
"..."
"หรือจะยิงฉันอีกก็ตามใจ...รีบทำแล้วไสหัวไปไกลๆฉันสักที!"
"ลีทงเฮ"
"..."
"ห้ามร้องไห้"
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้ยเรียกดวงตาแดงก่ำให้ตวัดกลับมามองคนที่นั่งคร่ออมทับอยู่บนตัวของตนอีกครั้ง ทงเฮอยากจะเอื้อมมือขึ้น...อยากจะร้องให้อีกฝ่ายโอบกอดปลอบเขาเหมือนอย่างเคย...อยากจะให้อีกฝ่ายเอ่ยถามว่าทำไมถึงมีน้ำตา...มีใครแกล้งรึเปล่า แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...อ่อนแอแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่กำจับผ้าห่มของตนเอาไว้แน่นและกระชับมันเขามาแนบตัวยิ่งกว่าเก่าเพราะตอนนี้มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคน
"ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้"
คิบอมในมาดของคุณหมอแสนดีจ้องมองคนที่มีน้ำตาเต็มขอบตาอีกชั่วครู่ก่อนจะเก็บปืน เหวี่ยงตัเองลงมาจากเตียงแล้วจึงเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะสัมผัสร่างของคนเจ็บ...ไม่แม้แต่จะเช็ดหยดน้ำตาที่เริ่มไหลริน ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นพลางพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ประตูตามเดิม มือเล็กเลื่อนผ้าห่มขึ้นสูงจนปิดถึงดวงตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของตน...ร้องไห้จนร่างกายสั่นไหวเช่นเดียวกับหัวใจที่ถูกทำให้พังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่าโหดร้าย
ก็รู้อยู่ว่าอ่อนแอ...
ทำไมใครๆถึงชอบทำลายลีทงเฮนักนะ
ไม่คิดบ้างรึไง...
ลีทงเฮก็เจ็บปวด...ก็มีน้ำตานะ
ลีทงเฮ...ก็พังทลายได้เหมือนกับคนอื่นๆนะ
ใจร้ายกันมากเกินไปรึเปล่า
......................................................
"ก็ผมรู้ว่ายังไงซีวอนกับคิบอมก็ต้องปกป้องผมอยู่แล้ว...ยังไงพวกเขาก็ต้องดูแลผมอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพี่หรือไม แต่ผมรู้ว่าพวกเขาจะดูแลผมตลอดไป...ผมจะอยู่เพื่อพวกเขาเอง คนที่ผมเรียกว่าพี่จะต้องเป็นคนที่ผมอยากให้ปกป้องผม...อยากให้ดูแลผม...อยากให้รักผม...ต้องเป็นคนที่ผมอยากจะให้พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อผม เพราะผมจะให้ชีวิตกับพวกเขาเอง...จะมอบความสุขทุกอย่างให้พวกเขาเอง"
...........................................................
"คุณทะ..."
"พี่ยูชอน..."
เสียงหวานอันสั่นเครือที่ดังลอดมาจากใต้ผ้าห่มทำให้ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าพี่ชะงักค้างอยู่ที่หน้าประตู...มันก็นานแล้วนะที่ลีทงเฮเลิกเรียกเขาว่าพี่น่ะ ยูชอนรีบสาวเท้าเข้าไปยืนริมเตียงคนป่วยเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งสองคนที่มีท่าทางแปลกใจไม่แพ้กัน
"ทำไมครับคุณทงเฮ...มีปัญหาอะไรรึเปล่า"
ยูชอนว่าพลางค่อยๆดึงผ้าห่มลงมาจากใบหน้าของคนบนเตียง...ซึ่งมันทำทุกคนประจักษ์กับน้ำตาบนใบหน้าหวานทันที ทงเฮกำลังร้องไห้จนจมูกแดงปากซีดไปหมด...สะอึกสะอื้นจนดูเหมือนกำลังหายใจไม่ทัน และมันก็เป็นหน้าที่ของพี่ชายคนดีทั้งสองคนแและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขามีที่เข้าไปลูบหัวเช็ดน้ำตาให้กับคนขี้แยเหมือนอย่างเคย
ทั้งสามคนต่างเข้ามาลูบสัมผัสคนที่กำลังร้องไห้เพื่อปลอบโยน...ต่างคนต่างอยู่กับลีทงเฮมานานพอที่จะรู้ว่าลีทงเฮต้องการเพียงสัมผัสเล็กๆน้อยๆเพื่อปลอบโยน...ถวิลหาความอบอุ่นอ่อนโยนจากใครก็ได้เพียงเท่านั้นเอง มือของฮันคยองถูกมือบางอันเย็นเฉียบเกาะกุมเอาเข้ามาแนบแก้มที่เต็มไปด้วยน้ำตาราวกับอยากจะซึมซาบไออุ่นจากฝ่ามือกร้านเข้าสู่หัวใจ
"พี่ฮัน...ฮึก....กอด...นะ..ฮึก...กอด"
ไม่ต้องบอกอีกให้เป็นที่เสียเวลา ฮันคยองก้มลงไปสอดแขนเข้าใต้แผ่นหลังบอบบางก่อนจะพยุงขึ้นมากอดไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม กดศีรษะได้รูปเข้ากับบ่ากว้าง...ปลอบโยนน้องชายคนดีด้วยอ้อมกอดเหมือนเช่นเคย
"ร้องไห้ทำไมครับคุณทงเฮ...มีใครแกล้งมารึไง"
ยิ่งเสียงทุ้มเอ่ยถามประโยคเดิมๆที่ได้ยินมาเกือบตลอดทั้งชีวิต ทงเฮก็ยิ่งสะอึกสะอื้น...ยิ่งปล่อยน้ำตาและโอบกระชับร่างของพี่ชายเอาไว้แน่นขึ้น แต่มือเล็กทั้งสองข้างก็ยังไม่วายเอื้อมไปควานหามือของคนดูแลอีกสองคนมาเกาะกุมเอาไว้...เหมือนอยากจะย้ำให้ตัวเองรู้ว่าเขายังเหลือคนอีกมากมายที่พร้อมจะอยู่ข้างกาย...ไม่ทิ้งหนีไปอย่างโหดร้ายเหมือนใครบางคน
"เจ็บจังเลย...ทำไมทุกอย่างถึง...ฮึก...น่าเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ...ฮึก...ทำไมทุกคน...ฮึก...อยากให้ผมเจ็บปวดนักล่ะครับพี่ฮัน"
........................................................
เอามาลงให้แบบด่วนๆแล้วก็จะจากไปแล้วค่ะ เพราะไรเตอร์ต้องรีบไปอ่านหนังสือแล้ว จะสอบอีกสองวันแล้วอ่า ตอนนี้ก็มีคิเฮเล็กน้อยตามที่สัญญา(ได้ข่าวว่าไม่ได้จับกันเลย- -*) และชายเชวก็ยังโผล่มาเพียงแค่เสียงอีกเช่นเดิม...ค่าตัวแพงดีจริงๆ- -*
อาทิตย์หน้าของดนะจ้ะ เพราะไรเตอ์สอบยาวถึงวันที่ห้าเลย ก็อาจจะงดยาวเป็นสองอาทิตย์นะ ขอโทดจริงๆนะจ้ะ แต่ถ้าเปนไปได้จะพยายามให้มันเปนแค่อาทิตย์เดียวนะ
รักทุกคนนะคะ^^
ความคิดเห็น