ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF:HANTEUK] :: The One I Love ลิขิตหัวใจนายมาเฟีย .. Part2

    ลำดับตอนที่ #8 : If You Leave ..

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 54


    เขาโดนปล่อยลงที่หน้าคอนโดทันทีที่พวกเขามาถึงโซล เทวทูตหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงแค่จอดรถให้เขาลงที่ด้านหน้าตึกแล้วจึงขับรถจากไป บอกทิ้งไว้เพียงว่าเครื่องสแกนลายนิ้วมือหน้าห้องบันทึกลายนิ้วมือของเขาเอาไว้แล้ว เข้าไปด้านในได้เลย

     

    หัวใจของอีทึกอบอุ่นขึ้นมาอีกนิดเพราะถ้อยคำนั้น

     

    ถ้อยคำที่บอกว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน

     

    ร่างบอบบางหมุนตัวเดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างเชื่องช้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าประตูขัยบส่งรอยยิ้มมาให้เขานิดอย่างใจดีพร้อมกับเปิดประตูให้เขาได้เข้าไป เทพธิดาไม่ได้โต้ตอบใดๆกลับต่อท่าทางมีน้ำใจนั่น เขาเดินไปยืนรอลิฟต์ ดวงตาแสนหวานเสเบือนออกไปมองแจกันดอกไม้ใบใหญ่ที่ตั้งวางประดับอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ...อีทึกรู้จักเพียงแค่ดอกกุหลาบ ดอกไม้แสนสวยในแจกันเป็นดอกอะไรเขาไม่รู้หรอก

     

    "ชอบหรอคะ"

    เสียงพนักงานทำความสะอาดที่เดินผ่านมาเช็ดกระจกบริเวณนี้ที่เอ่ยทักขึ้นเรียกสายตาของเขาให้ตวัดไปหาเล็กน้อย อีทึกมองรอยยิ้มของเธอเพียงชั่วครู่ก็เบือนสายตากลับมาที่ดอกไม้ในแจกันตามเดิม

     

    "ดอกคาร์เนชั่นจากร้านตรงถนนบล๊อคถัดไปนี่เองค่ะ มันเพิ่งมาใหม่พอดี"

     

    "คาร์เนชั่นงั้นหรอ"

    ริมฝีปากบางซีดจางขยับเรียกชื่อเจ้าดอกไม้ออกมาเบาๆตามที่พนักงานคนนั้นบอกกล่าวคล้ายอยากจะรู้ว่ามันให้ความรู้สึกอย่างไรยามออกเสียง อีทึกเอื้อมมือไปไล้ปลายนิ้วลงบนกลีบดอกอันอ่อนบางของมัน...ดอกคาร์เนชั่นสีขาวพิสุทธิ์ เทพธิดาขยับรอยยิ้มจางๆขึ้นมาบนเรียวปาก

     

    "มันสวย ผมชอบ"

     

    ถ้าขอให้ซื้อให้...จะได้มั้ยนะ

     

    .........................................................................

     

    "แล้วนายคิดว่าไง"

     

    "บอกยากครับ"

     

    "นั่นสินะ"

    เชวซีวอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่เบื้องหลังโต๊ะทำงานและกำลังเลื่อนดูรูปถ่ายในมือของตนเปรยออกมาเบาๆ ดวงตาคมจ้องมองภาพถ่ายที่ถูกแอบถ่ายมาโดยฝีมือของเทวทูตแห่งความตายนิ่งราวกับกำลังมองหาราบละเอียดบางอย่างที่อาจจะตกหล่นไปจากรอบแรกที่มองผ่านมัน ฮันคยองยืนนิ่งอยู่ที่อีกด้านของโต๊ะด้วยท่าทางสงบนิ่ง ปล่อยให้นายหนุ่มคนใหม่ของลีกรุ๊ปวิเคราะห์ภาพที่เขาถ่ายมาเหล่านั้นโดยไม่คิดจะเสนอความเห็นใดๆออกไป

     

    "แล้วสถานการณ์ที่จีนเป็นไงบ้าง"

     

    "สายข่าวของผมเงียบหายไปหลายวันแล้วครับ"

    ซีวอนถอนหายใจออกมาเบาๆพลางสะบัดรูปถ่ายมากมายในมือวางลงบนโต๊ะทำงาน ให้มันกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนโต๊ะเหนือเอกสารที่เขากำลังเซ็นค้างไว้ นายหนุ่มแหงนศีรษะพิงลงกับเก้าอี้ เหม่อสายตาขึ้นไปมองเพดานด้านบนด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับมายืดตัวนั่งตรงสบตากับเขาตามเดิม

     

    "แล้วนายคิดว่าเราควรจะทำยังไง"

     

    "ผมไปเองครับ"

     

    ......................................................

     

    กว่าคุณทงเฮจะปล่อยให้เขากลับบ้านมาได้ก็ตกเย็นเข้าไปแล้ว นายหนุ่มตัวเล็กอาละวาดใหญ่เมื่อเขาเอาข่าวไปบอก...ทั้งร้องโวยวายทั้งมีน้ำตาเลยล่ะ ฮันคยองไม่ได้เห็นภาพการเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจแบบนั้นมานานแล้ว...นานมากเสียจนลืมไปแล้วว่าน้ำตาของลีทงเฮให้ความรู้สึกยังไง...ทำให้รู้สึกผิดมากได้แค่ไหน

     

    เทวทูตหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆพลางก้าวเดินออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังห้องพักของตน ใช้เวลาไม่นานให้เครื่องสแกนลายนิ้วมือหน้าห้องได้อ่านลายนิ้วมือแล้วจึงผลักประตูเปิดเข้าไป ด้านในห้องมืดสนิท แถมยังเงียบงันว่างเปล่า ฮันคยองก้าวเข้าไป ตั้งท่าจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยได้หน่อยก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันฉับเมื่อนึกไก้ว่ามันควรจะมีใครอีกคนยั่งอยู่ในห้อง

     

    บางครั้งการงานที่วุ่นวายก็ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจตัวเองหลงลืมไป

     

    "หายไปไหนอีกนะ"

    หนุ่มชาวจีนบ่นพึมพำพลางก้าวเดินไปดูยังห้องต่างๆของคอนโดของตนเผื่อจะโชคดีเจอคนที่สมควรจะอยู่ตรงนี้นั่งอยู่ยังห้องใดห้องหนึ่ง แต่เขาก็ต้องสบถออกมาอีกเมื่อมันไม่มีแม้เงาของคนที่เขาตามหา ร่างสูงโปร่งลงลิฟต์กลับไปที่ชั้นล่าง สาวเท้าไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูที่อาจจะบอกเขาได้ว่าเทพธิดาบินหายไปไหน

     

    "ขอโทษนะครับ จำคนที่ผมมาส่งได้รึเปล่า"

     

    "คุณคนสวยๆน่ะหรอครับ จำได้สิ มีอะไรรึเปล่าครับ"

     

    "เขา...เอ่อ...ออกไปไหนรึเปล่าครับ"

    พนักงานรักษาความปลอดภัยหนุ่มนิ่งคิดไปชั่วครู่ราวกับกำลังทบทวนใบหน้าที่เขาเห็นผ่านตาในวันนี้ ก่อนจะร้องอ้อออกมา

     

    "เข้ามาได้พักหนึ่งก็เดินอมยิ้มออกไปน่ะครับ ไปทางนู้นน่ะ"

    ฮันคยองพึมพำขอบคุณก่อนจะเดินไปตามทางที่พนักงงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นชี้นิ้วออกไป ตัวเล็กแค่นั้นแถมยังมีไข้อุ่นๆอยู่ คงจะไปไหนได้ไม่ไกลนัก เดินตามหาเอาก็คงตามทัน ชายเสื้อโค้ตสีดำยาวแค่เข่าสะบัดออกเล็กๆเพราะลมหนาวที่โบกพัดมาพร้อมกับละอองหิมะ เขาพ่นลมหายใจออกมาผ่านริมฝีปากให้มันกลายเป็นไอเจือจางอยู่ในอากาศ สอดสองมือที่ซ่อนอยู่ใต้ถุงมือหนังสีดำลงกระเป๋าเสื้อโค้ตเพื่อกันมาออกจากสายลม ผ้าพันคอผ้าโปรดไม่มีพันอยู่รอบคอเหมือนเคย เพราะยกให้ใครอีกคนแบบถาวรไปแล้ว

     

    เจอตัวเมื่อไรจะจับตีก้นให้เข็ด!

     

    ท้องถนนค่อนข้างเงียบเหงาในวันที่อากาศหนาวจัดอย่างวันนี้ มันจึงมีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่เป็นเพื่อนร่วมทาง แต่สำหรับเขา...เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นแบบนี้ให้กลับทำให้ทุกอย่างเงียบเหงาลงกว่าเดิมเสียอีก ฮันคยองสังเกตเห็นร้านขายดอกไม้เล็กๆแห่งหนึ่งอยู่ที่อีกฝากของถนนซึ่งเจ้าของร้านกำลังดึงประตูเหล็กลงมาปิดร้าน และมันก็ทำให้เขาพอจะเดาได้ลางๆว่าเทพธิดาหายออกมาทำไม

     

    คงเป็นเพราะดอกไม้แน่ๆ

     

    สิ่งเดียวที่ทำให้แววตาของเทพธิดาเปลี่ยนไปได้ทุกครั้งที่จ้องมอง

     

    ฮันคยองสาวเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เดินมาถูกทางแล้ว...ก็คงจะนั่งอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้นักหรอก นั่นไงล่ะ!...เดาผิดเสียที่ไหนกัน เขาข้ามถนนไปยังสวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม เดินตรงเข้าไปหาร่างบอบบางที่นั่งนิ่งอยู่บนชิงช้าที่ไม่ขยับไกว ใบหน้าหวานอาบไล้ไปด้วยแสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นแต้มยิ้มเจือจางมอบให้กับดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อนทั้งสามดอกในมือ

     

    เทวทูตหนุ่มชะงักจังหวะการก้าวเดินของตัวเองไปนิดและเผลอหยุดยืนเฝ้ามอง...รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเห็นภาพซ้ำของเมื่อสองปีที่แล้ว...เทพธิดานั่งอยู่ที่ชิงช้าพร้อมช่อดอกไม้และรอยยิ้มอ่อนจางที่เขาไม่เคยเห็นบนเรียวปากท่ามกลางแสงแดดและละอองหิมะของเดือนธันวาคม ต่างกันก็เพียงแค่ครั้งนี้ไม่มีเสียงปืน และเขาก็ไม่มีช่อดอกไม้มาให้ ฮันคยองหยุดยืนมองภาพนั้นอยู่อีกชั่วครู่ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปใกล้ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง

     

    บางครั้งคนที่ไม่เคยสนใจตัวเองก็ลืมไป

     

    ว่าตัวเองเป็นโลกทั้งใบของใครบางคน

     

    ว่าตัวเอง...มีใครบางคนอยากจะอยู่ใกล้ๆให้คอยดูแล

     

     

               

    อีทึกส่งรอยยิ้มจางๆให้กับดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อนหวานทั้งสามดอกในมือของตน...เจ้าของร้านบอกสีแดงความหมายไม่ดี หล่อนบอกให้เขาซื้อสีชทพูไปจะดีกว่า ตอนแรกก็กะว่าจะซื้อแค่ดอกเดียว และเขาก็ซื้อมาแค่ดอกเดียวจริงๆนั่นล่ะ แต่หล่อนให้เขาฟรีมาอีกสองดอกอันเป็นสองดอกสุดท้านที่อยู่ในแจกัน หล่อนบอกว่ามันเย็นแล้ว เก็บไว้ขายวันพรุ่งนี้ก็คงจะขายไม่ได้ เพราะช้ำหมด...ใจดีมากๆเลย อีทึกไม่ได้เจอคนใจดีแบบนี้มานานมากแล้ว ปลายนิ้วเรียวขยับยกขึ้นมาไล้กลีบบอบบางของดอกคาร์เนชั่นแผ่วเบา ความเรียบลื่นอ่อนนุ่มของมันทำให้เขาอมยิ้มออกมาอย่างชอบใจ

     

    อีทึกชอบดอกไม้เพราะแบบนี้

     

    มันอ่อนนุ่มและอ่อนหวานแบบนั้นปลอบโยนความรู้สึกได้ดี

     

    "มาทำอะไรตรงนี้"

    เสียงทุ้มดังขั้นพร้อมกับเงามือที่ทอดทับลงมาเหนือร่างของเขา คนถูกเอ่ยถามไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไปในทันที เช่นเดียวกับที่ไม่เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่ปรากฏกายยืนอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้น...อีทึกก็รู้สึกอุ่นขึ้นมามากเหลือเกิน

     

    "กลับมาแล้วหรอครับ"

     

    "หิมะตก ออกมาทำไมข้างนอก"

     

    "ดอกคาร์เนชั่น...สวยมาก"

    พวกเขาไม่ตอบคำถามของกันและกัน อีทึกเอ่ยชื่อดอกไม้ของเขาออกมาช้าๆกาอนจะช้อนดวงตาคู่หวานขึ้นสบกับดวงตาคมสีควันบุหรี่ของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วจึงค่อยๆเอ่บประโยคอีกท่อนออกมา....ทำตัวเหมือนเด็กหัดพูดที่ทำได้เพียงนำคำง่ายๆมาต่อกันกระนั้น แต่ฮันคยองก็ชินกับการพูดเป็นคำๆแบบนี้ของเทพธิดาไปเสียแล้ว เขายกมือขึ้นปัดละอองหิมะออกจากผมสีดำของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เลยลงไปตวัดชายผ้าพันคอพันเข้ากับลำคอเล็กอีกหนึ่งทบก่อนจะเอื้อมไปดึงหมวกฮู้ดที่ด้านหลังขึ้นมาคลุมศีรษะให้

     

    "ถ้าชอบทำไมไม่บอกจะได้ซื้อให้"

     

    "จะให้ด้วยหรอครับ"

     

    "พูดเหมือนฉันไม่เคยซื้อดอกไม้ให้"

    คำพูดนั้นทำให้หัวใจของอีทึกอุ่นวาบขึ้นมา แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายเหมือนไม่ใส่ใจก็ตาม อีทึกก้มห้นาอมยิ้มอยู่กับดอกไม้ในมือของตัวเอง เทพธิดาเอนแก้มแนบเข้ากับหน้าท้องแกร่งของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลังเลที่จะยกมือขึ้นโอบกอดอยู่ชั่วครู่ หากแต่เขาก็เลิกลังเลไปในทันทีเมื่อเทวทูตหนุ่มเป็นฝ่ายตวัดแขนโอบไหล่ของเขาเอาไว้หลวมๆ  อีทึกซึมซับความอบอุ่นนั่นเอาไว้และกอดอีกฝ่ายให้แน่นยิ่งกว่า

     

    "นี่..."

     

    "..."

     

    "ฉันต้องไปจีน...เอานายไปด้วยไม่ได้"

     

    ดอกคาร์เนชั่นร่วงหลุดจากมือลงมากระทบพื้น

     

    มันไม่สวย...อีกต่อไปแล้ว

     

    .................................................................

     

    "นายจะ..."

    คนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมเอกสารการเดินทางชะงักคำพูดที่กำลังจะเอ่ยกล่าวออกมาเมื่อคนที่เขาตั้งใจจะพูดด้วยไม่แม้แต่จะยอมขยับตัวแสดงอาการรับรู้ว่าได้ยินเสียงของเขส ร่างสูงโปร่งที่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนขยับก้าวเข้าไปด้านในห้อง เดินไปทรุดตัวนั่งที่ริมเตียงแล้วจึงแตะหลังมือลงไปเบาๆที่ข้างแก้มเนียนของเทพธิดาผู้ซึ่งฝังตัวเองอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนามาตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้เย็นของอีกวันเข้าไปแล้ว

     

    "นี่..."

     

    เขารู้ว่าทำบางอย่างพลาดไป

     

    บางอย่าที่ทำให้เทพธิดาเย็นชาย

     

    แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว

     

    และไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน

     

    เขาก็คิดว่าตัวเองก็จะตัดสินใจแบบนั้น

     

    ดอกคาร์เนชั่นของเมื่อคืนวานแลดูเฉาไปเสียหน่อย หากแต่มือเล็กก็ยังถือประคองมันเอาไว้ใกล้ๆอย่างทะนุถนอม...เหมือนกำลังโอบกอดพวกมันอยู่กระนั้น ฮันคยองเม้มริมฝีปากเข้าหากินนิด...หาคำพูดใดมาเอ่ยไม่ได้ไปชั่วครู่

     

    "ได้นอนบ้างรึเปล่า"

     

    "..."

     

    "อยากทานอะไรมั้ย"

    คำตอบที่เขาได้รับมาจากสองคำถามนั้นคือการขยับขดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มมากขึ้นของเทพธิดาผู้ไม่ยอมแม้แต่จะพลิกการหันมาหาเขาด้วยซ้ำ ฮันคยองอยากจะโกรธอีกฝ่ายให้มากอย่างที่เขาคิดอยากจะโกรธ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขากลับไม่มีแม้คำพูดใดจะเอ่ยออกไปด้วยซ้ำ เขาถอนหายใจ ไม่คิดจะเอ่ยซักอะไรอีกและเดินออกไปจัดข้าวของของตัวเองที่ด้านนอกตามเดิม

     

     

     

    อีทึกไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะรู้สึกอะไร...ควรจะคิดแบบไหน เพราะตอนนี้ในหัวของเขามันว่างเปล่า...หันไปทางไหนก็เจอแต่ความมืดบีบรัดเข้ามา...เปลวไฟของเขากำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ...ของขวัญของพระเจ้าของเขากำลังเคลื่อนห่างออกไป...ไกลจนเขาไม่มีแรงมากพอที่จะวิ่งตามไป

     

    ไม่สิ...ไม่กะจะให้เขาวิ่งตามแต่แรกแล้วต่างหาก

     

    เทพธิดากัดริมฝีปากของตัวเองเอาวไว...ห้าไม่ให้ตัวเองหลุดคำพุดหรือแม้แต่เสียใดๆออกมา เขาใช้สัมผัสอันอ่อนนุ่มของกลีบดอกไม้ปลอบโยนหัวใจของตัวเอง

     

    บอกว่ามันจะไม่เป็นไร

     

    บอกว่าทุกอย่างจะโอเค

     

    บอกว่า...ไม่จำเป็นต้องมีน้ำตา

     

    เขาสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับขยับขดตัวเข้าหากันมากขึ้นจนเข่าแทบจะชิดอก ใบหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านวมเกือบจะถึงปลายจมูกขยับนิดเพื่เปลี่ยนระดับสายตาของตนใปมองที่หน้าต่าง แต่มันก็เท่านั้น...หิมะที่ตกปรอยปรายอยู่ด้านนอกไม่ทำให้อะไรดีขึ้น อีทึกขยับตัวนอนคว่ำ ฝับหน้าของตนลงกับหมอใบนุ่ม

     

    สะอึกสะอื้นออกมาโดยไร้น้ำตาจนตัวสั่นอยู่เพียงลำพัง

     

    ........................................................

     

    เขาได้ยินเสียงคลิกเบาๆมาจากประตูห้องนอนที่อยู่ด้านหลัง แต่คนที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับเอกสารปลอบและประวิตปลอมต่างๆของตัวเองก็ไม่คิดจะหันไปสนใจในตอนนี้...เอกสารตรงหน้าสำคัญ เขาไม่อยากให้ใครก็ตามสาวมาถึงคนที่อยู่ข้างหลังเขา...ไม่อยากให้เทพธิดามีส่วนใดๆทั้งสิ้นในการตัดสินใจครั้งนี้ของเขา ฮันคยองเอื้อมมือไปหยิบเอกสารอีกแผ่นขึ้นมาอ่าน เป็นจังหวะเดียวกับที่เทพธิดานัยน์ตาแสนหวานเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างพอดี

     

    "หิวรึไง"

    เจ้าของร่างบอบบางที่ห่อหุ้มตัวเองด้วยเสื้อเชิ้ร์ตตัวใหญ่สีขาวของเขาเพียงตัวเดียวไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา อีทึกเดินมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเคียงข้างเขา ขยับตัวนิด ก่อนจะเอ่นตัวลงมาใช้หน้าตักของเขาหนุนนอนต่างหมอน...ไม่พูดอะไรออกมาแม้สักคำ...ไม่แม้แต่จะสบตากับเขาด้วยซ้ำ

     

    "ทำไม"

    เทพธิดาไม่ยอมเอ่ยตอบ อีทึกทำเพียงพลิกตัวฝังใบหน้าลงกับหน้าท้องของเขาแล้วจึงนิ่งไป และฮันคยองก็ไม่คิดจะถามอะไรให้มากไปกว่านี้ มือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาถือเอกสาร ในขณะที่มืออีกข้างก็วางลงเบาๆที่ศีรษะเล็ก ขยับลูบผมสีดำสนิทนุ่มมือไปมาเบาๆราวกับกำลังเหกล่อมให้อีกฝ่ายจมลงไปในนิทรากระนั้น

     

    เทวทูตหนุ่มมีคนร่างบางนอนหนุนตักอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเช้า

     

    ..................................................................

     

     




     

    ถ้าให้ตั้งชื่อตอนเปนภาษาไทย อยากจะตั้งชื่อตอนนี้ว่านาทีเงียบงันมากๆ เพราะจนแล้วจนรอด ทั้งคู่ก็ไม่ยอมพูดกันเลยตั้งแต่ต้นตอนยันจบตอนอ่านะ แต่พอจะพูดกัน ก็ดันพูดกันไปคนละทางอีก อะไรทำนองนั้น ลองอ่านตอนนี้คู่กับเพลงหน้าฟิคดูค่ะ(แอบมาเปลี่ยนให้ใหม่อีกแล้ว) คงจะทำให้ซึมกันไปได้พักใหย่ๆเลยล่ะนะ ไรเตอร์คิดว่าถ้าใครเดาธีมของเรื่องนี้ออกตั้งแต่ต้น น่าจะเดาเหตุการณ์นี้ได้ตั้งแต่ต้นนะว่ามันจะมีวันที่ฮันต้องทิ้งทึกไปแน่ๆ เพราะเนื้อเรื่องมันทำนองแบบ ฉันอยู่ตรงนี้นะ ได้โปรดอยู่ตรงนี้ได้มั้ย อยู่ใกล้ๆก็พอ อะไรทำนองนี้มาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วเนอะ แถมเมื่อสองตอนก่อนมั้งที่ฮันบอกว่าแล้วแบบนี้จะอยู่คนเดียวได้ยังไงอีก ชัดเจนที่สุดอ่ะ บางครั้งการอยู่คนเดียวนานๆก็ทำให้เราลืมได้เนอะว่าเรายังต้องดูแลใครบ้าง มันมีใครอีกบ้างที่ชีวิตขึ้นอยู่กับเรา อะไรแบบนี้ เพราะถ้านับกันดีๆ ทึกอยู่กับป๋าไม่เท่าไรเองนะคะ เมื่อภาคที่แล้วก็อยู่ในช่วงหน้าหนาวไม่เท่าไร นอนไปอีกสองปี นี่ก็ฟื้นขึ้นมาในช่วงหน้าหนาวได้อีกไม่เท่าไรเหมือนกัน รวมๆแล้วไม่น่าจะถึงสองเดือนด้วยซ้ำเนอะ ฟีลป๋าตอนตัดสินใจว่าจะไปก็เป้นทำนองแบบลืมนึกไปน่ะค่ะว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเองที่ต้องให้ห่วงแล้วนะ มานึกได้วว่ามีอีกคนต้องให้ดูแลก็เปนตอนที่เดินมาเจออีทึกเข้าซะแล้ว มันก็เลยช้าไปซะแล้วที่จะเปลี่ยนใจอะไรทำนองนั้น ก้ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าป๋าแกจะไปจริงๆรึเปล่านะ

     

    ตอนหน้า เปนตอนสุดท้ายแล้วจ้า มาดูบทสรุปของเทวทูตกับเทพธิดากันค่ะว่าจะเปนยังไง

     

    เจอกันครั้งหน้าจ้า^^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×