ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF:HANTEUK] :: The One I Love ลิขิตหัวใจนายมาเฟีย .. Part2

    ลำดับตอนที่ #4 : Close to You [1]

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 53


    เมื่อปล่อยให้อยู่คนเดียวที่ห้องไม่ได้ เพราะเช้าวันนี้เทพธิดาจอมวุ่นวายจู่ๆก็ไข้ขึ้นสูงเอาเสียดื้อๆ และเขาก็ไม่สามารถหยุดงานได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ทางเดียวที่ฮัยคยองจะทำได้ก็คือการหนีบคนป่วยจอมดื้อดึงมาทำงานด้วยในเช้าวันต่อมา แต่แทนที่มันจะทำให้เขาเบาใจลง เขากลับสังหรณ์ใจแปลกๆขึ้นมาเสียอย่างนั้นจนแทบจะปล่อยให้อีกฝ่ายห่างสายตาออกไปไม่ได้

     

    อีทึกพิเศษสมชื่อนั่นล่ะ

     

    มีปัญหาวิ่งเข้ามาชนอยู่เสมอจริงๆ

     

    "คอยนี่เข้าใจมั้ย"

    ถึงแม้คนร่างบางจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของเขาอย่างว่าง่ายพร้อมกับพยักหน้ารับคำหงึกหงักอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ฮันคยองก็ยังไม่วางใจให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขาคนเดียวแบบนี้อยู่ดี เทวทูตหนุ่มหันซ้ายแลขวาราวกับอยากจะหาคนที่ยังพอพึ่งพาได้เข้ามาช่วยดูแลคนป่วยทั้งๆที่เขาก็อยู่ในห้องกับคนป่วยที่ว่าเพียงแค่สองคนเท่านั้น...ช่างแย่นักที่เขาไม่มีงานเอกสารมากพอจนถึงกับต้องมีเลขาส่วนตัวเหมือนเจ้ายูชอนมัน

     

    เขาถอนหายใจออกมาเบาๆพลางเดินอ้อมโต๊ะทำงานตัวใหญ่ไปหยุดยืนอยู่ที่ข้างเก้าอี้ ชายหนุ่มออกแรงจับมันหมุนหันมาหาพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งไปบนปลายเท้าของตนเพื่อจะได้สบตากับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้ถนัดมากขึ้น และถึงจะแปลกที่ กระนั้นแล้ว อีทึกก็ยังแลดูเหมือนไร้ชีวิตเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาเอื้อมมือไปปัดปอยผมออกจากข้างแก้มเนียนแผ่วเบาแล้วจึงเลยลงมาจับกระชับสาบเสื้อหนาวตัวหนาเข้าหากันมากขึ้นเพื่อให้คนตัวเล็กที่วันนี้มีไข้รุมๆได้อุ่นเพียงพอ ก่อนจะนำมือของตนกลับลงมาค้ำไว้ที่วางแขนของเก้าอี้ตามเดิม

     

    "ปวดหัวมั้ย"

    ร่างบอบบางที่นั่งก้มหน้ามองเขาส่ายหน้านิดๆ และคงเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าวันนี้ดวงตาแสนหวานคู่นั้นแลดูใสเป็นพิเศษ...ไม่มืดหม่นว่างเปล่าเหมือนที่เขาคุ้นชินอย่างน่าประหลาดใจ ฮันคยองอมยิ้มนิดๆให้กับท่าทางว่าง่ายแบบนั้นพลางใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กเบาๆ

     

    "อยู่นี่อย่าไปไหนเข้าใจมั้ย ใครจะพาไปไหน บอกพวกเขาว่าฉันสั่งให้นายอยู่ตรงนี้...ตกลงนะ"

    อีทึกพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นเชิงตกลง และการว่าง่ายแบบนั้นก็ทำให้เขาได้รับรอยยิ้มของเทวทูตแห่งความตายกลับคืนมาเป็นการตอบแทน อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาจัดเสื้อผ้าของเขาให้แน่นหนาขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเอกสารภาษาจีนตั้งใหญ่ที่เขาแอบเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอ่านอยู่ทุกคืนจนดึกดื่น

     

    เทพธิดาตัวเล็กแตะปลายเท้าลงบนพื้นเพื่อขยับหมุนเก้าอี้ของตัวเองไปมา....เขาไม่เคยได้กลิ่นอากาศแบบที่นี่...กลิ่นของกระดาษและความวุ่นวายที่อวนไปด้วยกลิ่นของกาแฟจางๆ มันทำให้เขาตื่นตาได้อย่างง่ายดายและอยากจะมองเห็นทุกอย่างไปเสียหมด แต่ก็ช่างน่าเสียดายที่ที่นี่มีคนเยอะมากเหลือเกินจนทำให้เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นยามเดินเข้ามาเสียด้วยซ้ำ เขาหมุนเก้าอี้กลับมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะอีกครั้ง และกรอบรูปที่ตั้งอยู่ที่หัวมุมโต๊ะด้านหนึ่งก็ทำให้เขาต้องเบนสายตาหนีพร้อมกับเอื้อมมือไปปัดมันคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเสีย

     

    ตอนนี้...ตรงนี้...เป็นของอีทึก

     

    แค่ของอีทึก!

     

    ฝันดีของอีทึก แม้แต่นางฟ้า....ก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง!

     

    ...............................................................

     

    "ตื่นแล้วๆ!....เพราะนายเสียงดังอ่ะฮยอกแจ!"

     

    "ลูกพี่นั่นล่ะเสียงดัง! ทำไมชอบโทษผมอยู่เรื่อยเลยอ่ะ เขาตื่นเลยเห็นมั้ย"

    ดวงตาแสนหวานกระพริบถี่เพื่อปรับโฟกัสมองหาเจ้าของเสียงหวานทั้งสองคนที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากนิทรา และเขาก็หาเจอได้ไม่ยากนักหรอก เพราะทั้งคู่ชะโงกหน้าอยู่เหนือหัวของเขานี่เอง ผู้ชายตัวขาวผู้มีดวงตาเรียวรียิ้มเผล่ออกมาให้เขาอย่างสำนึกผิด ต่างจากอีกคนที่กำลังมุ่ยหน้ามองเพื่อนด้วยท่าทางขัดเคือง เขาจำผู้ชายคนนี้ได้...ลีทงเฮ คนสำคัญของคุณฮันคยอง

     

    "ตื่นแล้วหรอครับ พวกเราเห็นคุณนอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ดูไม่ค่อยสบายเท่าไร เลยช่วยกันอุ้มมานอนที่โซฟา ขอโทษที่เสียงดังจนปลุกให้คุณตื่นนะครับ ผมชื่อฮยอกแจนะครับ ส่วนนี่คุณทงเฮ"

    ผู้ชายตัวขาวคนนั้นที่แนะนำตัวเองว่าชื่อฮยอกแจพูดเจื้อยแจ้วด้วยรอยยิ้มกว้างจนเขาคิดว่าต้องไม่มีใครเบื่อที่จะอยู่ใกล้แน่ๆ...สดใสได้มากเหลือเกิน  อีทึกค่อยๆชันตัวลุกขึ้นนั่ง และไม่ว่าเขาจะขยับตัวไปทางไหน สายตาของผู้ชายตัวเล็กทั้งสองคนก็จะขยับมองตามไปด้วยจนมันน่าอึดอัด เทพธิดาขยับตัวถอยหลังจนแผ่นหลังแทบจะจมหายลงไปในพนักพิงด้านหลังพลางมองคนตัวเล็กทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนจะถาม

     

    "พูดหน่อยสิ!"

    เขาคิดว่าลีทงเฮเปลี่ยนไปเยอะทีเดียวจากที่เขาจำได้...เหมือนในที่สุดทุกฟันเฟืองที่ประกอบขึ้นมาเป็นผู้ชายตัวเล็กๆที่ชื่อลีทงเฮก็หมุนไปในทิศทางที่มันควรจะหมุนเสียที ใบหน้าหวานที่เริ่มจะติดมุ่ยนิดๆยื่นเข้ามาใกล้เขาราวกับอยากจะให้เขาประจักษ์กับความไม่พอใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาในแววตากลมโตคู่นั้นได้ชัดๆ

     

    "ลูกพี่ทำเขากลัวอ่ะ!"

     

    "ก็อีทึกไม่ยอมพูดกับฉันก่อนนี่!"

    เขาไม่รู้ว่าควรจะแปลกใจดีรึเปล่าที่อีกฝ่ายยังสามารถจำชื่อเขาได้จากการพูดคุยเพียงแค่ประโยคสั้นไม่กี่คำเมื่อนานมาแล้ว...แต่อีทึกก็แปลกใจนั่นล่ะ

     

    "นี่...อยากกินเค้กมั้ย"

    คิ้วเรียวของคนโดนชวนออกไปทานเค้กเลิกขึ้นนิดคล้ายจะไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้น ต่างจากทงเฮที่ส่งสายตาคาดหวังมาให้เขาเช่นเดียวกับฮยอกแจที่จู่ๆก็เปลี่ยนมาพยักหน้าเออออด้วยท่าทางลุ้นสุดๆไปกับคนที่เจ้าตัวเรียกว่าลูกพี่

     

    "แต่ว่าคุณฮันคยองสั่งไว้..."

     

    "ฉันใหญ่กว่าฮันคยองอีกนะ เพราะฉะนั้น คำสั่งของฉันใหญ่กว่าของหมอนั่น"

    ท่าทางดื้อรั้นและถือดีที่เขาจำได้ก็ยังไม่ได้หายไปไหนเสียทีเดียว อีทึกอึกอักลังเล แต่เมื่อโดนคนตัวเล็กทั้งสองคนช่วยกันจับมือฉุดดึงเขาให้ลุกขึ้นมาจากโซฟาอย่างเอาแต่ใจ เขาก็เถียงอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามไปอยู่ดีนั่นล่ะ

     

    .................................................................

     

    "เค้กไม่อร่อยหรอ"

     

    "เปล่าครับ"

     

    "เปล่าก็กินอีกสิ เค้กที่ฮันคยองซื้อกลับไปให้นายคราวก่อนก็ของร้านนี้นะ"

    ส้อมคันเล็กที่สะกิดเขี่ยอยู่ที่ผลสตรอเบอร์รี่ผลโตบนหน้าเค้กชะงักไปนิดให้กับคำบอกเล่านั้น หากแต่คนที่หัวใจอบอุ่นขึ้นมามากเหลือเกินก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยการเขี่ยเจ้าสตรอเบอร์นี่แดงช่ำลูกขึ้นออกให้พ้นหน้าเค้กและตักครีมช๊อคโกแล๊ตเข้าปากไป

     

    "ครับ"

    ทงเฮมุ่ยหน้านิดๆให้กับคำตอบสั้นๆของเขาคล้ายจะไม่พอใจที่เขาช่างประหยัดคำพูดเหลือเกิน ต่างจากฮยอกแจที่นั่งอยู่ข้างๆนัก เพราะรายนั้นกินเอาๆไม่สนใจจะคุยกับใครจนปากเลอะไปหมดแล้ว...เหมือนเด็กตัวเล็กๆไม่มีผิด

     

    ความรู้สึกเหมือนอยากจะดูแลใครสักคนมันเป็นแบบนี้นี่เอง

     

    อีทึกเพิ่งจะเคยรู้...เหมือนตัวเองต้องอยู่เพื่อใครสักคน

     

    "กินเลอะ"

    เสียงหวานเอ่ยกล่าวออกมาห้วนสั้นพร้อมกับยื่นมือออกไปใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดครีมสีขาวเหล่านั้นออกจากปากแดงๆของคนที่ดูจะชะงักไปนิดกับการกระทำของเขา ฮยอกแจปล่อยให้เขาเช็ดปากให้ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มเผล่ออกมาอย่างน่ารักและใช้ส้อมตักเจ้าเค้กวนิลาในจานยื่นมาตรงหน้าเขาคล้ายแทนคำขอบคุณสำหรับความใจดีเมื่อครู่

     

    "กินนะ"

     

    "กินนะ"

    ประโยคเดียวกันที่ดังออกมาจากคนตัวเล็กทั้งสองคนแทบจะในเวลาเดียวกันทำให้อีทึกชะงักอึ้งไปนิด ฮยอกแจยิ้มกว้าง ทงเฮก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกัน จะต่างก็เพียงแค่คนที่เป็นลูกพี่นั้นตั้งท่าจะเอาส้อมมาจิ้มผลสตรอเบอร์รี่ในจานของเขาไปทานเท่านั้น แน่ล่ะ...ดวงตาใสๆอย่างควดหวังสุดๆแบบนั้น ถ้าเขาปฏิเสธไป คงต้องร้องไห้แน่ๆ

     

    "ครับ"

    เขาหันไปพยักหน้าให้ทงเฮนิดๆเป็นเชิงอนุญาตก่อนจะหันกลับมาสนใจฮยอกแจอีกครั้ง และก็อีกเหมือนเดิมนั่นล่ะ...ดวงตาใสๆแบบคาดหวังสุดๆของคนตัวเล็กที่มีรอยยิ้มซื่อมากเหลือเกินก็ทำให้เขาต้องจำใจเอาเจ้าเค้กคำนั้นเข้าปากไปอย่างไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทาน ก็คงไม่แคล้วต้องร้องไห้แน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่เข้าจะงับฟันลงไปบนส้อม มือใหญ่ของใครบางคนก็มายึดรั้งข้อมือเล็กๆของฮยอกแจเอาไว้กลางอากาศเสียก่อน

     

    "พี่ฮันอ่า..."

    คนที่กำลังเคี้ยวสตรอเบอร์รี่ลูกโตจนแก้มตุ่ยครางออกมาเสียงอ่อยเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งมาถึงพลางขยับตัวไปมุดซ่อนอยู่ด้านหลังของคนดูแลตัวเล็กที่กำลังเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้งๆให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นกราดเกรี้ยวหงุดหงิด อีทึกเห็น...และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวในโต๊ะที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตา

     

    "ฉันแค่พาอีทึกออกมากินเค้กนิดเดียวเองนะ ฝากบอกยูชอนไว้แล้วด้วย!"

    ทงเฮคนดื้อรั้นพูดหงอขอความเห็นใจได้เพียงครึ่งประโยคเท่านั้นล่ะ เพราะไม่นานเขาก็กลับมาขึ้นเสียงอย่างเอาแต่ใจเหมือนเดิมตามประสาคนที่มีคนยอมลงให้เสมอจนเป็นนิสัย หากแต่เทวทูตหนุ่มก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะโดยไม่แม้เพียงเอ่ยอะไรออกมาสักคำ และอีทึกรู้...คนที่ดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นจับจ้องอยู่อย่างกล่าวโทษก็คือเขา...เขาคนเดียวเท่านั้น

     

    ร่างผอมบางที่นั่งหลังเหยียดตรงอยู่บนเก้าอี้ขยับตัวขยุกขยิกนิดเพื่อเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ที่ข้างโต๊ะ...และเขาก็ยังอ่านแววตาคู่นั้นไม่ออกเหมือนเคย เรียวปากบางเม้มเข้าหากันนิด...กำลังคิดว่าควรพูดอะไรออกไปดี ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้นึกออก มือใหญ่ที่อบอุ่นเสมอของคนตัวสูงก็จับสัมผัสลงมาเบาๆที่ข้างแก้ม จับค้างอยู่ชั่วครู่แล้วจึงลากต่ำลงมาจับค้างอยู่ที่ข้างลำคอ ก่อนจะวกกลับขึ้นไปแตะนิ่งอยู่ที่หน้าผาก

     

    "ไข้ลดแล้วนี่"

     

    "..."

     

    "รู้งี้ซื้อเค้กให้กินตั้งแต่เช้าซะก็ดี"

     

    อีทึกคิดว่าบางที...พระเจ้าอาจจะนึกออกแล้วก็ได้ว่าพระองค์ได้สร้างเข้าขึ้นมาบนโลกด้วย

     

    ...................................................................

     

    "อยากจะกลับรึยัง"

     

    "อื้ม"

     

    "คิดถึงเตียงล่ะสิ"

    อีทึกหน้างุดหลบสายตาของคนตัวสูงที่กำลังก้มหน้าลงมาคุยกับเขาพลางหยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยอมรับ ร่างบอบบางที่หลังจากกลับมาจากร้านเค้กแล้วก็ทำได้แค่นั่งๆนอนๆอยู่ที่โซฟาขยับตัวชันเข่าขึ้นมาพร้อมกับเกยคางลงไปและเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า

     

    อีทึกมึนหัว

     

    อีทึกไม่ชอบความวุ่นวายเร่งรีบของที่นี่

     

    อีทึกไม่ชอบวิธีที่โลกหมุนเร็วเกินไปของที่แห่งนี้

     

    เขาคิดว่าดวงตาของเขาจะสามารถบอกทุกความรู้สึกของเขาออกไปได้ หากแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดจะเข้าใจมันรึเปล่า ใบหน้าคมนั้นยังคงนิ่งเฉยและดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นก็ยังคงอ่านยาก ท่าทางเหมือนลูกแมวขี้เหงาแบบนั้นทำให้ฮันคยองหลุดยิ้มออกมานิด เขาวางมือลงบนศีรษะเล็กที่ปกคลุมไปด้วยผมสีดำยาวระบ่าแล้วจึงโยกเอนมันไปมาเบาๆ

     

    "งั้นกลับ"

    มือเล็กถูกเกาะกุมก่อนจะถูกกระตุกเบาๆคล้ายจะเรียกให้ลุกขึ้น อีทึกเดินตามแรงลากจูงของคนตัวโตไปอย่างว่าง่าย สายตาของพนักงานออฟฟิศที่มองตามเขามาทำให้เขาต้องเสเบือนสายตาก้มลงมองพื้นและกระชับมือแสนอุ่นข้างนั้นให้แน่นขึ้น...และมันก็ทำให้อีทึกอบอุ่นที่หัวใจมากเหลือเกินที่มันมีแรงบีบเบาๆตอบกลับมาก่อนมือเขาจะถูกนำไปซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตทั้งๆที่ยังเกาะกุมกันไว้อยู่...ทำเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่เดินข้างกัน

     

    และมันก็ทำให้อีทึกสงสัยไปเสียทุกครั้ง

     

    คุณอบอุ่นกับทุกคนแบบนี้รึเปล่านะคุณฮันคยอง

     

     

     

     

    "ทำไม"

    ดวงตาแสนหวานของคนที่เขาเพิ่งอุ้มขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซต์ซึ่งจับจ้องมายังใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตาคล้ายกำลังตั้งคำถามทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกไป และเขาก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับมา

     

    "ซื่อบื้อ"

    เทวทูตหนุ่มบ่นพึมพำออกมาเหมือนเคยพลางตวัดชายผ้าพันคอผืนหนาขึ้นพันลำคอเล็กจนสูงปิดถึงจมูกก่อนจะวกกลับลงมากระชับเสื้อโค้ตตัวหนาเข้ากับร่างบางมากขึ้น...โดนลมตีขนาดนี้ เดี๋ยวไข้ต้องกลับแน่ๆ

     

    "อุ่นมั้ย"

     

    "อื้อ"

    ยิ่งอีกฝ่ายยืนยันว่าอุ่น ฮันคยองก็ยิ่งมั่นใจว่ามันอุ่นไม่พอ เขาจับสาบเสื้อหนาวตัวหนาของคนตัวเล็กทาบเข้าหากันแน่นพลางเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อหาทางเลือกที่ดีกว่านี้...เห็นทีเขาคงต้องทำเรื่องขอรถจริงๆแล้วกระมังถ้าคนตัวเล็กยังป่วยกระปอดกระแปดและทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ได้แบบนี้ ก่อนสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกับใช้ข้อนิ้วลูบเบาๆเข้าที่ข้างแก้มเนียนราวกับอยากจะให้ความอบอุ่นจากร่างกายของตนถ่ายทอดไปยังคนที่มีผิวกายเย็นมากเหลือเดิน

     

    "ปวดหัวรึเปล่า"

    ใบหน้าหวานที่หายเข้าไปอยู่ด้านหลังผ้าพันคอกว่าครึ่งส่ายไปมาปฏิเสธคำถามนั้น และก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปากย้ำถามอะไรออกไปอีก โทรศัพท์มือถือเครื่องบางในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เทวทูตหนุ่มล้วงหยิบมันขึ้นมา เหลือบมองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเล็กน้อยก่อนจะกดรับสายและยกมันขึ้นแนบหู

     

    "ครับคุณทงเฮ"

     

    "ซีวอนฝากบอกว่าคนที่ชื่อโจวมี่มาควางจู"

    เสียงหวานของทงเฮช่างห้วนกระด้างนักเมื่อปรากฏชื่อของเชวซีวอนอยู่ในประโยคสนทนาที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา แต่นี่ก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อประมาณสองปีก่อนที่แม้แต่ใช้อากาศหายใจร่วมห้องกัน ลีทงเฮยังอาละวาดให้ได้วุ่นวายทุกครั้งไป แต่กระนั้นก็เถอะ...เชวซีวอนก็ยังตามใจลีทงเฮมากเหลือเกิน

     

    "โจวมี่?"

     

    "อะไรแบบนั้นนั่นล่ะ!...ซีวอนอยากให้นายตามไปดูว่ามันมาทำไม"

    โจวมี่...ฮันคยองคุ้นชื่อผู้ชายคนนี้ดีเชียวล่ะ คนที่คุณซีวอนเกลียดนักเกลียดหนา เพราะหมอนั่นแทรกแซงบริษัทสาขาที่จีนให้วุ่นวายไปหมด แผนการขยายสาขาเพิ่มที่จีนล้มไม่เป็นท่าแถมยังมีคนตายไปเป็นเบือก็เพราะหมอนั่น...เจ้าพ่อที่มีอำนาจเหนือทุกอย่างที่เงินสามารถซื้อได้ในกรุงปักกิ่งคนนั้น

     

    "ห้ามยิง ห้ามแทรกแซงอะไรทั้งนั้น แค่สะกดรอยตามอย่างเดียว...แล้วทำไมหมอนั่นต้องมาใช้นายด้วยล่ะ! คนของตัวเองก็มีเยอะแยะอ่ะ นายเป็นพี่ชายของฉันนะ!!"

    เมื่อไปลงกับคนที่ฝากวานมาบอกไม่ได้ ลีทงเฮก็หันมาระเบิดความไม่พอใจกับเขาแทนที่ ซึ่งแน่ล่ะ...เสียงหวานที่ตะโกนแว้ดๆออกมาแบบนั้นสามารถเรียกรอยยิ้มจากเขาได้อย่างเช่นเดิม

     

    "ผมแค่ช่วยคุณซีวอนทำงานนะครับคุณทงเฮ"

     

    "ทำไมต้องไปเรียกหมอนั่นว่าคุณด้วย! เรียกซีวอนเฉยๆก็พอแล้ว ไอ้ซีวอนก็ได้ฉันอนุญาต!...คนน่าหมั่นไส้ขี้เต๊ะพรรค์นั้นน่ะ ไม่ต้องเคารพ เข้าใจมั้ย?!"

     

    กลายเป็นคนน่าหมั่นไส้ขี้เต๊ะไปเสียแล้ว

     

    แต่มันก็ยังดีกว่าคนสารเลวของเมื่อสองปีก่อนล่ะนะ

     

    ฮันคยองหลุดหัวเราะออกมาเบาๆให้กับน้ำเสียงพาลๆแบบนั้นของคนตัวเล็กที่อยู่ปลายสายผู้ซึ่งป่านนี้คงอาละวาดเตะนู้นเตะนี้จนล้มคว่ำไปหมดแล้วแน่ๆ เขาพูดคุยกับนายหนุ่มอีกเพียงไม่กี่คำแล้วจึงค่อยวางสาย ดวงตาแสนหวานของเทพธิดาจอมดื้อดึงที่จ้องมองเขายืนคุยโทรศัพท์เขม็งราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจบางอย่างทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วดีดจมูกโด่งรั้นเข้าให้เบาๆอย่างหมั่นไส้...คงต้องพาไปด้วยอีกอย่างช่วยไม่ได้ล่ะนะ

     

    "เคยไปควางจูมั้ย"

     

    "ควางจู?"

     

    "เราต้องไปควางจูกันเดี๋ยวนี้เลย"

     

    ................................................................................

     





     

    ตอนนี้ก็ยังคงขายความโมเอะอย่างต่อเนื่องนะ มาสั้นๆแต่หวานผิดหูผิดตามาแบบสองตอนติดเลยทีเดียว= = คู่หูอึนเฮของเราคงโกยคะแนนความน่ารักไปได้เยอะอยู่ ดูซนผิดจากพาร์ทที่แล้วลิบลับเลย เวลาทำให้คนดีขึ้นค่ะ you will get better in time อะไรทำนองนั้นอ่านะ นายเอกของเราก็ดูจะว่าง่ายขึ้น(รึเปล่า)  บทพูดน๊อย-น้อย พ่อพระเอกคนดีของเราก็บทพูดน๊อย-น้อย มีเจ้าอึนเฮสองคนนั่นล่ะที่พูดเอาๆ- -“ แต่ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆเนอะ ให้เวลาป๋าแกต่อปายยยยย

     

     

    ตอนหน้าไปตามกันต่อที่ควางจูค่ะ จะยังคงหวานแบบนี้อยู่ต่อไปมั้ย ก็คงต้องตามลุ้นกันล่ะนะ^^

     

     

    เจอกันค่ะ^^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×