ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SJ:WONKYU | HANTEUKCIN] :: My Bloody Valentine

    ลำดับตอนที่ #3 : 2' :พี่ชาย .. น้องชาย .. คนพิเศษ

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 54


    "นี่ฮีชอล พี่ชายของนายหายไปไหนอีกแล้วล่ะ เราต้องซ้อมเดินกันแล้วนะ"

     

    "รู้แล้วล่ะนาา! ไม่เห็นฉันโทรตามอยู่รึไง!"

    หนึ่งในคนสวยประจำเอกแฟชั่นดีไซน์เนอร์ของคณะศิลปกรมศาสตร์ตวาดแว้ดใส่เพื่อนร่วมชั้นปีที่ทำหน้าที่เป็นคนกับกำรันเวย์ พวกเขามีซ้อมเดินแฟชั่นกันวันนี้...เขาใส่เสื้อที่อีทึกออกแบบ และอีทึกก็จะใส่เสื้อที่เขาออกแบบเช่นกัน เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ตอนนี้นายแบบของเขาหายไปน่ะสิ!...ไม่แปลกใจเท่าไรหรอก เพราะถึงเวลามีโชว์ประจำเทอมทีไร อีทึกเป็นได้หายไปทุกที โชคดีหน่อยก็หาเจอก่อนงานเริ่ม โชคร้ายหน่อยเขาก็ต้องไปให้ไอ้เจ๊กหน้าจีนจอมกวนประสาทนั่นช่วย...แบบนั้นน่ะเสียหน้าชะมัด! แต่ถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยแทบจะเทอมละครั้ง เขาก็ยังรู้สึกร้อนรนไปกับมันได้ทุกครั้ง...ความอ่อนหวานบอบบางเกินไปของพี่ชายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยคนนั้นทำให้เขาไม่เคยรู้ดีที่ปล่อยให้อีกฝ่ายห่างสายตาไป

     

    นิ้วเรียวสวยกดย้ำปุ่มโทรออกอีกครั้ง และมันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีคนมารับสายเขาเช่นเดิม ฮีชอลสบถออกมา อยากจะเตะนู่นเตะนี่ระบายอารมณ์อยู่เหมือนกัน แต่ชุดที่เขาใส่อยู่ตอนนี้เป็นชุดที่อีทึกออกแบบ ทำพังไปเดี๋ยวจะวุ่น...พี่ชายได้ร้องไห้แน่ๆเขามั่นใจ

     

    "หายไปไหนของเขากันแน่นะ น่าหงุดหงิดชะมัดเลย!"

     

    ........................................................

     

    อีทึกเสียใจที่ทำแบบนี้อยู่เรื่อย...เขาเสียใจจริงๆ แต่บางทีความตื่นกลัวก็ชอบทำให้เขาทำอะไรโง่ๆลงไป และอีทึกก็ตื่นกลัวได้กับทุกเรื่องอยู่เสมอยิ่งกว่าคนขี้ขลาด เขาก็เลยทำอะไรโง่ๆให้ฮีชอลโกรธให้คุณแม่ทำโทษอยู่เรื่อย

     

    คนตัวบางวางหนังสือสองสามเล่มที่ตัวเองยืมมาเมื่ออาทิตย์ก่อนลงบนเค้าน์เตอร์พร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้คุณบรรณารักษ์ที่นั่งดูแลอยู่ที่ด้านหลังเล็กน้อยตามประสาคนคุ้นหน้าก่อนจะหมุนรีบสาวเท้าเดินขึ้นไปยังชั้นสอง กึ่งวิ่งกึ่งเดินลัดเลาะไปตาชั้นหนังสือเพื่อไปยังชั้นวางที่ตั้งอยู่ลึกที่สุดของชั้นสอง...หนังสือเกี่ยวกับศาสนาไม่ค่อยมีคนเข้ามายุ่งด้วยอยู่แล้วเขารู้ดี

     

    อีทึกทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่แคบๆระหว่างชั้นหนังสือที่เขาคิดว่าลับสายตาคนมากที่สุด เอนหัวพิงพนังด้านหลังเอาไว้แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ถ้ถาคุณแม่รู้ว่าอีทึกมานั่งจมกองฝุ่นอยู่แบบนี้ต้องโดนตีแน่ๆ แต่ไม่เห็นเป็นไรเลย...เขาไม่ได้แพ้ฝุ่นเสียหน่อยนี่! คนไม่แพ้ฝุ่นชันเข่าขึ้นมากอดไว้แนบอก เอนแก้มแนบลงบนหัวเข่าพลางเหม่อสายตาอ่านชื่อหนังสือบนสันปกไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา

     

    ฮีชอลคงหาคนมาเดินแทนเขาได้เหมือนเดิมนั่นล่ะ

     

    ..........................................................

     

    "มึงควรจะเอาตรงนี้มาวาง..."

     

    "เอกแฟชั่นไม่ได้มีซ้อมเดินกันวันนี้หรอวะ"

    คนที่กำลังยืนฟังเพื่อนอธิบายงานอยู่พูดแทรกขึ้นมากลางประโยคของอีกฝ่านเมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ไม่สมควรจะมาเดินอยู่แถวนี้ในเวลานี้เพิ่งเดินเข้าหอสมุดมาด้วยท่าทางร้อนรน...คนสวยตาหวานดึงสายตาของผู้คนได้มากพอๆของน้องชายคนสวยจอมเหวี่ยงนั่นล่ะ ฮันคยองเลิกคิ้วขึ้นนิดอย่างแปลกใจเมื่ออีกคนไม่ได้หมุนตัวเดินออกจากหอสมุดไปหลังจากคืนหนังสือเสร็จอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่กลับเดินขึ้นไปยังชั้นสองเสียอย่างนั้น

     

    "ซ้อมวันนี้นี่ ทำไม มึงไปสัญญากับใครว่าจะไปเป็นนายแบบให้อีกล่ะ"

     

    "เปล่า เดี๋ยวกูกลับมาช่วยนะ แป๊บนึง"

    หนุ่มชาวจีนตบบ่าเพื่อนไปหนักๆสองทีก่อนจะสาวเท้าเดินตามร่างบอบบางเมื่อครู่ขึ้นไปยังชั้นสองอย่างไม่รีบร้อนอะไรมากนัก...อันที่จริง เขากำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะเมื่อนึกไดด้ว่าตอนนี้ใครบางคนคงกำลังหัวเสียแบบสุดๆอยู่เป็นแน่ มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อนำมากดต่อสายหาคนที่เขาคิดว่าคงกำลังหัวเสียแบบสุดๆ...แค่คิดหน้าหงิกๆของลูกแมวที่อยู่ปลายสาย เขาก็ยิ้มออกมาได้แล้วล่ะ

     

    "พูดมาฮันคยอง ฉันให้เวลาสามวิ"

     

    "พี่ชายใครหายน้าาา"

    ถ้อนคำสั้นๆของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักไปเขารู้สึก ฮันคยองคลี่รอยยิ้มให้กว้างขึ้นพลางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปตามชั้นวางหนังสืออันเงียบงัน เขาสนุกที่เห็นคิมฮีชอลอารมณ์เสีย และยิ่งไปกว่านั้น เขาก็โคตรสนุกที่สามารถทำให้คิมฮีชอลอารมณ์เสียได้...แบบนี้เรียกซาดิสม์ได้รึเปล่านะ ลูกแมวตากลมส่งเสียงขู่ฟ่อๆมาตามสาย

     

    "จะเอาอะไร"

     

    "มื้อเย็น"

     

    "อีทึกไปด้วย"

     

    "ตามใจ"

     

    "กลับบ้านก่อนสองทุ่ม"

     

    "บอกคนขับรถนายให้ไปรอที่้ร้านได้เลย"

    เขาได้ยินฮีชอลสบถพึมพำออกมาเบาๆก่อนจะตัดสายทิ้งไป ฮันคยองหัวเราะให้กับยัยแมวเหมียวอารมณ์ร้ายที่เขาชอบหาเรื่องพาตัวเองเข้าไปให้มันข่วนหน้าอยู่เรื่อยอย่างอารมณ์ดีพลางหย่อนโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ฮันคยองฮัมเพลงกับตัวเองเบาๆ เสียงส้นร้องเท้าของเขากระทบพื้นไม้ดังก้องสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่ระหว่างชั้นหนังสืออันเงียบงัน เขาเดินดูไปตามแต่ละชั้นเรื่อยๆอย่างใจเย็นจนไปสะดุดเข้ากับเสียงกุกกักที่ตรงระหว่างชั้นหนังสือเกือบจะด้านในสุด ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปดูก่อน แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งเล่นซนอยู่ตรงนั้นคนเดียว

     

    "จับตัวคนหนีซ้อมได้แล้ว"

     

    "อ้ะ!"

    พี่ชายตาหวานของคิมฮีชอลอุทานออกมาเบาๆพร้อมกับทำหน้างสือที่ตัวเองเพิ่งจะดึงลงมาจากชั้นวางหลุดมือลงกระทบพื้น ใบหน้าใสทอแววตื่นตะลึงยามเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ฮันคยองอมยิ้มให้กับท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกจับได้หลังจากแอบทานขนมในห้องเรียนนั่นพลางก้าวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

     

    "ฮีชอลโกรธใหญ่แล้วนะ"

     

    "ฮีชอลโกรธมากมั้ย"

    บางครั้งเขาก็สงสัยว่าคิมฮีชอลอายุน้อยกว่าคนตรงหน้านี้จริงๆรึเปล่า หรือแค่ให้น้องชายอ้างเรื่องว่าไปแลกเปลี่ยนเมืองนอกมาเพื่อให้มาเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกับตัวเองแล้วให้คนอื่นเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายกันแน่...เพราะบางครั้งอีทึกก็ดูใสซื่อมากเกินไปจนเขาเห็นฮีชอลต้องเขาไปดูแลอยู่บ่อยๆ ฮันคยองถอนหายใจออกมาเบาๆให้กับความซับซ้อนของครอบครัวตระกูลคิมพลางทรุดตัวนั่งลงบนปลายเท้าของตน ส่งรอยยิ้มจางๆไปให้คนตรงห้นาที่บัดนี้ทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้เสียแล้ว

     

    แมวเหมียวจะรู้มั้ยนะว่าขนาดพี่ชายยังกลัวตอนที่ตัวเองโกรธเลย

     

    "แล้วอีทึกมาทำอะไรในนี้ล่ะ ฝุ่นเยอะออก หายใจไม่สะดวกเลย"

     

    "ฮีชอลโกรธมากมั้ย คุณแม่ไม่อยากให้ฮีชอลอารมณ์เสีย...คุณแม่จะโกรธฉันที่ทำให้ฮีชอลอารมณ์ไม่ดี"

    คนตัวเล็กผวาเข้ามากระตุกเสื้อของเขายิกๆพร้อมกับเอ่ยย้ำคำถามเดิมของตนออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ทอแววเป็นกังวลขึ้นมาหน่อยจนเขาชักจะรู้สึกไม่ดีที่ไปแหย่เล่นแบบนั้น...บางครั้งความสัมพันธ์ของครอบครัวตระกูลคิมก็ทำให้เขาปวดหัว มันมีบางอย่างบิดเบี้ยวอยู่ในความสัมพันธ์เหล่านั้นและวิธีที่สองพี่น้องใช้เรียกกันและกัน เขารู้สึกแบบนั้น แต่เพื่อนหลายคนก็บอกว่าอย่าเอาหัวเข้าไปสู่รู้เรื่องของตระกูลคิมที่สามารถซื้อโลกได้ทั้งใบให้มากนักจะดีกว่า

     

    ฮันคยองคลี่รอยยิ้มออกมานิดพลางวางมือลงบนศีรษะเล็กและโบกเอนมันไปมาเบาๆคล้ายอยากจะปลอบโยนให้อีกฝ่ายคลายกังวลในเรื่องที่เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นกังวลไปทำไม(เพราะใครๆก็รู้ทั้งนั้นว่าคิมฮีชอลอารมณ์เสียได้ทั้งวี่ทั้งวันอยู่แล้วนั่นล่ะยามที่เมื่อพี่ชายหายออกไปจากข้างกายน่ะ)

     

    "ฮีชอลเคยโกรธนายด้วยรึไง ฉันเห็หมอนั่นโกรธได้ทุกคนบนโลกยกเว้นนายอยู่คนเดียว"

    อีทึกนิ่งคิดไปนิดคล้ายกำลังทวนคำพูดของเขาก่อนในที่สุดจะส่งรอยยิ้มหวานแสนซื่อมาให้...เป็นรอยยิ้มที่หวานบาดใจยิ่งกว่าช๊อคโกแล๊ตที่ว่าหวานจนแสบคอเลยล่ะ ฮันคยองหลุดหัวเราะออกมาเบาๆให้คนที่ดูไร้เดียงสามากเหลือเกิน เขาดึงมือเล็กออกมาจากชายเสื้อพร้อมกับขยับกายยืดตัวยืนขึ้น มือใหญ่ที่เกาะกุมจ้อมือผอมบางเอาไว้หลวมๆกระตุกเบาๆเรียกรั้งให้คนตัวเล็กต้องลุกตามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

     

    "ไปเร็ว ฉันพาไปหาฮีชอลนะ"

     

    "อื้ม"

    อีทึกพยักหน้ารับคำเบาๆด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่กระนั้นก็ยังยอมเดิมตามแรงลากรั้งของเขามาอย่างง่ายดาย...คำว่านางฟ้าไม่ได้ถูกยกให้อีทึกโดยไร้ความหมายอยู่แล้ว ใครๆก็รู้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะว่ายังไง อีทึกชอนซาก็มักจะทำตามโดยไร้ข้อโต้แย้งเสมอ

     

    คนที่ใครๆก็ว่าเป็นเหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวประจำตัวของคิมฮีชอลยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมเกี่ยวปอยผมขึ้นถัดใบหู ใบหน้าหวานก้มลงมองมือแสนอุ่นที่กำอยู่รอบข้อมือของเขาจนมิด แล้วก็ต้องอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามือของเขาเล็กกว่ามือของอีกฝ่ายมากขนาดไหน อีทึกก้าวเดินตามเจ้าของร่างสูงโปร่งและแผ่นหลังหว้างไปอย่างเชื่องช้า...ชอบที่จะเป็นผู้เฝ้ามองจากด้านหลังเหมือนทุกที

     

    "ทำไมถึงชอบหนีตอนวันแสดงโชว์อยู่เรื่อย ไม่กลัวฮีชอลเสียใจรึไง"

     

    "ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจ แค่..."

    น้ำเสียงของฮันคยองไม่ได้ดุดัน ไม่มีแววต่อว่า...แต่น้ำเสียงไต่ถามเรียบๆนั่นกลับทำให้อีทึกเสียใจ ดวงตาคมสีควันบุหรี่ตวัดข้ามไหล่กลับมานิดเหมือนจะขอคำตอบที่เขาพูดทิ้งค้างเอาไว้ และอีทึกก็เลือกที่จะกดสายตาลงมามองที่ปลายเท้าเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะ อากาศด้านนอกหอสมุดซึ่งอุ่นกว่าทำให้มือหยาบกร้านข้างนั้นให้สัมผัสอุ่นจัด

     

    "แค่...?"

    ไม่มีคำตอบสำหรับการย้อนถามนั่น อีทึกเบือนสายตาออกไปมองแนวไม้ดอกริมฟุตบาธ...ไม่ยอมมองอะไรที่มีอิทธิพลต่อหัวใจอีกต่อไป เขาได้ยินเสียงฮันคยองถอนหายใจ...อะไรที่เกี่ยวกับฮีชอลเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฮันคยองเสมอ ไม่ต้องเอ่ยถาม ไม่ต้องฟังคำซุบซิบ แค่ฟังน้ำเสียงของฮันคยองยามเอื้อนเอ่ยประโยคที่มีชื่อคิมฮีชอลประกอบอยู่ในนั้นก็เพียงพอแล้ว

     

    "ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิพูดอะไรหรอกนะ แต่อีทึกไม่คิดหน่อยหรอว่าฮีชอลอาจจะอยากให้อีทึกใส่ชุดที่เขาออกแบบเองน่ะ หมอนั่นยังยอมใส่ชุดที่นายออกแบบเลย ให้คนอย่างคิมฮีชอลแต่งตัวอย่างที่เราต้องการร่ะยากขนาดไหน อีทึกเป็นพี่ชายของหมอนั่นก็น่าจะรู้ดีกว่าใครนี่นา แล้วอีทึกหนีออกมาแบบนี้ทุกครั้ง ฮีชอลจะคิดยังไงล่ะ ชุดพวกนั้นที่ฮีชอลออกแบบน่ะ...มันวัดมาจากขนาดตัวของนายนะ ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฮีชอล...ไม่ใช่ใครทั้งนั้น คนที่ควรจะใส่โชว์ก็ควรจะเป็นแค่นาย ไม่ใช่คนอื่นสิ"

     

    หอประชุมสำหรับจัดงานใหญ่ประจำเทอมปรากฏอยู่ที่อีกฝ่ากถนน ฮันคยองพาเขาเดินข้ามไป นักศึกษาเอกแฟชั่นที่กำลังจัดการยกของอยู่ที่ด้านนอกต่างพากันทำตาโตและตะโกนเรียกหาคิมฮีชอลลั่นเมื่อเหลือบมาเห็นเขาเข้า การซ้อมที่กำลังดำเนินอยู่บนเวทีหยุดชะงักลงทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปด้านใน

     

    "ดูซิว่าฉันเจอใครคิมฮีชอล!"

     

    "อีทึกกก!!"

    ร่างบอบบางกระโดดลงมาจากรันเวย์อย่างคล่องแคล่วก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาหา ฮีชอลผลักหนุ่มจีนร่างสูงออกให้พ้นทางด้วยสีหน้าขัดใจชัดเจนก่อนจะผวาเข้ามารวบร่างที่ผอมไม่แพ้กันของพี่ชายมากอดเอาไว้แนบตัวแน่น

     

    "หายไปไหนมา มือถือไปไหน ทำไมชอบหายไปแบบนี้อยู่เรื่อย"

    คนเป็นพี่ชายไม่ได้เอ่ยตอบคำถามมากมายเหล่านั้นออกมาแม้สักคำ อีทึกก้มหน้า เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเหลือเพียงเส้นบางเฉียบ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังพยายามที่จะฝืนส่งรอยยิ้มไปให้น้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใช้สองมือตรึงไหล่ทั้งสองข้างเขาเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหนอีก ใบหน้าสวยของฮีชอลบึ้งตึง...แต่จะว่าไป ฮีชอลก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วนั่นล่ะ คนที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นน้องชายของเขาเขย่าตัวเขาเบาๆเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบนานเกินไป

     

    "อีทึกเป็นอะไร"

     

    "เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ไม่..."

     

    "นายไม่...?"

     

    "ฉันจะ...ไปเปลี่ยนชุดละกันนะ"

    อีทึกส่งรอยยิ้มไปให้น้องชายเสียหนึ่งทีก่อนตั้งท่าจะหมุนตัวเดิมไปทางห้องแต่งตัวที่อยู่ด้านหลัง แต่เขาก็ถูกฮีชอลคว้าจัวเองไว้เสียก่อน น้องชายของเขาหน้าบึ้ง ใช้สองมือยึดจับไหล่ของเขาเอาไว้แน่นขึ้นคล้ายอยากจะให้แน่ใจว่าคราวนี้เขาจะไม่สามารถเดินหันหลังหนีไปได้อีกอย่างเอาแต่ใจ...คิมฮีชอลเอาแต่ใจได้อย่างร้ายกาจ อีทึกรู้ความจริงข้อนี้ดีกว่าใคร

     

    "กำลังรู้สึกอะไร บอกฉันมา"

     

    "มันไม่สำคัญหรอกนา ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"

    ฮันคยองกอดอกยืนมองการโต้เเถียงเดิมๆของพี่น้องตระกูลคิมอยู่ห่างๆด้วยท่าทางใจเย็นราวกับรู้ตอนจบของละครฉากนี้อยู่แล้ว และเขาก็ก็มั่นใจเลยล่ะว่าทุกคนของเอกแฟชั่นรู้ตอนจบของฉากมากพอๆกับที่เขารู้ อีทึกจะยิ้มให้กับความเอาแต่ใจของน้องชายอย่างไม่คิดเหนื่อย...ยิ้มอยู่อย่างนั้นจนโดนน้องชายเขย่าตัวบังคับให้พูดหนังขึ้นนั่นล่ะถึงจะเริ่มร้องไห้...นั่นไง! ขาดคำเสียที่ไหน

     

    ยัยแมวหง่าวทำพี่ชายนางฟ้าร้องไห้อีกจนได้

     

    "ฉันขอโทษ...ฮึก...ขอโทษ"

     

    "ฉันไม่ได้อยากฟังคำขอโทษนะอีทึก! นายเอาแต่ขอโทษแล้วเมื่อไรฉันจะรู้สักทีว่านายรู้สึกยังไงกันแน่!...ว่ามา จะบอกได้รึยังว่าหนีไปทำไม!"

     

    แต่ฮันคยองก็รู้...คิมฮีชอลแคร์ความรู้สึกของพี่ชายมากกว่าใคร

     

    "ไม่มีอะไร...ฮึก..."

     

    "โอ๊ยยยย!...ให้ตายเหอะ! ฉันล่ะเบื่อจะดูแลนายจริงๆ ไปเร็ว ยัยยูริอยากจะแต่งหน้าให้นายจะแย่อยู่แล้ว"

    สบถออกมาดังลั่นเหมือนจะเพื่อให้ตัวเองสบายใจก่อนจะจับมือพี่ชายฉุดกระชากลากถูพาเข้าไปยังห้องแต่งตัวด้านหลัง ฮันคยองส่ายหน้ายิ้มๆให้กับพี่น้องตระกูลคิมที่ถ้าไม่นับหน้าตาที่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนกันแล้วล่ะก็ ทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด...ไม่มีสักอย่างจริงๆ!...อ้อ!...มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกัน

     

    อีทึกแคร์ความรู้สึกของน้องชายมากกว่าตัวเองเสมอ

     

    ในขณะที่ฮีชอลก็ฟังแค่เสียงของพี่ชายเพียงคนเดียวมาตลอด

     

    .......................................................

     

    "ย่าห์! เลิกแกล้งฉันสักทีจะได้มั้ยไอ้บ้า! ฉันหงุดหงิดแล้วนะ!"

    ฮีชอลโวยวายออกมาเสียงดังลั่นร้านจนลูกค้าเกือบค่อนร้านหันมามองที่โต๊ะของพวกเขาอย่างสงสัย อีทึกก้มหน้างุดอยู่กับจานอาหารของตัวเองเพื่อหลบสายตาเหล่านั้น ต่างจากน้องชายที่ยังโวยวายแง้วๆใส่หนุ่มจีนตัวสูงที่นั่งอยู่อีกฝากโต๊ะไม่เลิกไม่ราเสียที...อาหารอิตาเลี่ยนอะไรอร่อย เขารู้ แต่เขาก็กินอาหารแคลอรี่สูงแบบนี้เยอะๆไม่ได้ พิซซ่าถึงได้วางเหลืออยู่กว่าครึ่งชิ้นในจานของเขาแบบนี้ และเขาก็ไม่คิดจะแตะอย่างอื่นบนโต๊ะอีก

     

    "อีทึกอิ่มแล้วหรอ"

    เป็นฮันคยองที่เอ่ยทักออกมา อีทึกเงยหน้าขึ้นไปส่งรอยยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะยอมเชื่อไปแบบนั้น แม้จะด้วยสีหน้าตะขิดตะขวงใจก็ตามที แต่ฮีชอลไม่ คนเป็นพี่อย่างเขารู้ น้องชายของเขาเหลือบสายตามามองเขานิดก่อนเจ้าตัวจะหยิบพิซซ่าอีกชิ้นมาวางแหมะไว้ที่จานของเขาด้วยกริยาที่ดูห้วยกระด้างตามนิสัย

     

    "กินให้หมดนั่น ฉันถึงจะพานายกลับบ้าน"

     

    "แต่ว่าฮีชอล..."

     

    "ทำไม"

     

    "เดี๋ยวฉันโดนคุณแม่ดุ"

     

    "แม่นั่งอยู่ตรงนี้รึไง มันเข้าไปอยู่ในท้องนาย พรุ่งนี้ก็ไหลลงโถส้วมหมดเแล้ว แม่จะไปรู้ได้ไงว่าวันๆนายกินอะไรบ้าง กินเข้าไปเหอะนา"

     

    "แต่คุณหมอจะรู้"

    ฮันคยองนิ่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องที่นั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม...ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ บทสนทนาของสองพี่น้องตระกูลคิมมักจะมีอะไรซ่อนอยู่และทำให้เขาแปลกใจได้เสมอ เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดเมื่อได้ยินคำว่าคุณหมอหลุดออกมาจากเรียวปากบางของคนตาหวาน(ที่ตั้งท่าจะร้องไห้เสียแล้ว)

     

    "อีทึกไม่สบายอยู่หรอ"

     

    "เปล่าๆ...รีบทานเถอะ จะสองทุ่มแล้ว คุณลุงคนขับรถคงมาคอยแล้วล่ะ"

    อีทึกยิ้มกลบเกลี่ยนพร้อมกับโบกมือปฏิเสธข้อกล่าวหาของเขาไปมาด้วยท่าทางมีพิรุธชัดเจน แต่ดวงตาคู่หวานที่ถูกรอยยิ้มดันขึ้นจนโค้งเหมือนยิ้มตามไปด้วยนั้นก็ทำให้เขาหลงเชื่อมันอีกเหมือนเคย เขาก็เลยหันกลับมาแหย่ลูกแมวหง่าวของเขาเล่นต่อเหมือนเดิม

     

    "คิมฮีชอลคนกินจุ กินเยอะแล้วยังชอบดุอีก นิสัยแย่เนอะอีทึก"

     

    "ไอ้เจ๊กปากมอม! อยากตายนักรึไงวะ!"

    คนสวยตาหวานหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆกับตัวเองให้กับการโต้เถียงนั่น...เหมือนจะเป็นความรู้สึกที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆเสียแล้วที่ทำให้เขามีความสุขอยู่บนความสุขของคิมฮีชอลมาเสมอ แค่น้องชายอารมณ์ดี เขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะอารมณ์ดีด้วยเช่นกัน อีทึกยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก และกว่าเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร ดวงตาของเขาก็เหลือบมองข้ามขอบแก้วไปยังชายหนุ่มที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามเสียแล้ว

     

    มันก็เหมือนเคยนั่นล่ะ...

     

    อีทึกมีมุมไว้สำหรับแอบมองคนพิเศษของอีทึกโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเสมออยู่แล้ว

     

    .......................................................

     

    "ทำไมกลับดึกนักฮีชอล คุณพ่ออุตส่าห์จะพาออกไปข้างนอกเสียหน่อย ตอนนี้งอนหนีไปนอนแล้วล่ะมั้ง"

     

    "โธ่แม่...ผมโทรมาบอกแล้วนี่ว่าจะกลับดึกๆ แม่ไม่ได้บอกพ่อรึไง แล้วอีกอย่าง นี่ยังไม่สามทุ่มด้วยซ้ำ ไม่เห็นจะดึกตรงไหน"

    ฮีชอลสะบัดแขนออกมาจากการเกาะกุมของมารดาด้วยท่าทางเหมือนจะรำคาญอาการห่วงจนเกินเหตุนั่น คนสวยจิ๊ปากออกมาอย่างขัดเคืองพลางกระแทกเท้าเดินโครมครามขึ้นชั้นบนไป ปล่อยให้พี่ชายตาหวานยืนเผชิญหน้าอยู่กับมารดาของตนเพียงลำพัง

     

    คุณนายคิมฮาราปรับเปลี่ยนสีหน้าห่วงใยของตนมาเป็นเย็นชาเรียบเฉนยามที่หล่อนหันมาสบตากกับเขา ใบหน้าหวานสวยที่ลูกชายถอดแบบไปแทบจะทุกกระเบียดนิ้วเชิดขึ้นนิดด้วยท่าทางเย็นชา...หล่อนไม่ใคร่สนใจเด็กที่หล่อนจำเป็นจะต้องเลี้ยงไว้ข้างกายอย่างทะนุถนอมยิ่งกว่าไข่ในหินคนนี้เท่าไรนักหรอก คนทั้งบ้านรู้ดี อีทึกฝืนคลี่รอยยิ้มส่งไปให้คนที่บังคับให้เขาเรียกว่ามารดาเฉพาะอยู่ต่อหน้าผู้อื่นก่อนจะโค้งตัวลงให้อย่างสุภาพเป็นการทักทาย

     

    "ไปไหนกันมา"

     

    "ไปทาน...พิซซ่ามาครับคุณฮารา"

     

    "แล้วแกกินรึเปล่า"

     

    "แค่...นิดหน่อยครับ"

    คุณนายคิมหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่สิ้นคำของเขา หล่อนเม้มริมฝีปากซ่อนอาการไม่พอใจเอาไว้จนตัวสั่นไปหมดก่อนหล่อนจะสะบัดมือชี้นิ้วไปยังห้อหนังสือที่อยู่ด้านหลัง...อีทึกผวาถอยนิดยามเห็นหล่อนเงื้อมือขึ้นแบบนั้น

     

    "คุณหมอยูคอยอยู่ในห้องหนังสือ"

    หล่อนตวัดเสียงเอ่ยบอกเขาห้วนๆก่อนจะสะบัดตัวเดินหันหลังเดินจากไป ไม่รอคอยที่จะฟังคำตอบรับของเขาแต่อย่างใด อีทึกถอนหายใจออกมาเบาๆ กอดกระเป๋าของตนเข้าแนบอกแน่นขึ้นก่อนจะก้าวเดินไปยังห้องหนังสือตามที่ถูกสั่งอย่างว่าง่ย

     

    "เกือบโดนตีแล้ว"

    เสียงของคนที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ที่ขั้นบันไดทำเอาเขาสะดุ้งขึ้นมานิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปส่งรอยยิ้มอ่อนๆให้กับน้องชายที่นั่งหลบอยู่ที่บันได้ขั้นเกือบบนสุด

     

    "นั่นสิ กลัวแทบตายแหน่ะ"

     

    "โกหกไม่เป็นรึไง"

    น้ำเสียงของฮีชอลห้วนกระชาก มันทำให้คนฟังใจเสียไปสักหน่อย แต่อีทึกก็ยังสามารถส่งรอยยิ้มกลับไปให้ยัยลูกแมวหง่าวที่ชอบทำตัวหงุดหงิดงุ่นง่านใส่เขาอยู่เรื่อยอยู่ดี

     

    "คุณหมอยูจะรู้ ถ้าคุณแม่รู้จากปากหมอยู ฉันก็จะโดนทำโทษ...ถ้าฉันไม่ได้ออกไปไหน ฮีชอลก็จะไม่ได้ออกไปไหนเหมือนกัน ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นนี่"

     

    "เหอะ!"

    เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำให้ฮีชอลไม่พอใจตรงไหน อีกฝ่ายถึงได้แค่นเสียงขึ้นจมูกและลุกขึ้นเดินขึ้นห้องไปแบบนั้น อีทึกยิ้มค้างให้กับพื้นที่ว่างเปล่าตรงขั้นบันไดตรงนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้าหมุนตัวเดินไปยังห้องหนังสือตามเดิม มือบอบบางเคาะลงเบาๆที่ประตูไม้เป็นเชิงขออนุฐาตแล้วจึงผลักเปิดเข้าไป คุณหมอยูที่นั่งอ่านหนังสือรอเขาอยู่ที่โซฟาเหลือบสายตาขึ้นมามองเขานิดก่อนจะยิ้มกว้างออกมาและรีบลุกขึ้นเดินมาพาเขาเข้าไปด้านใน

     

    "ว่าไงคนพิเศษของหมอ วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ย ขอหมอตรวจร่างกายเธอนิดเดียวนะ ไม่มีฉีดยา สัญญาเลย"

     

    แน่ล่ะ...อีทึกพิเศษแน่อยู่แล้ว

     

    คนที่ถูกเลือกมาให้มีชีวิตเพื่อเป็นอวัยวะสำรองให้กับน้องชายน่ะพิเศษแน่อยู่แล้ว

     

    .............................................................

     

     

     

     

     


    ต้องขอบอกว่าคอมเม้นแรกของตอนที่แล้วทำเอาไรเตอร์ตกใจนิดหน่อย เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองมอมเมาเยาวชนยังไงพิกล= =  เหมือนมีคนอธิบายให้แล้ว แต่ไรเตอร์ก็ขออธิบายซ้ำละกันนะคะ ออนท๊อป(on top)แปลว่าฝ่ายหญิง(ในที่นี้คือเคะ)อยู่บนน่ะค่ะ พอจะ...เอ่อ...นึกออกเนอะ มันก็เลยแปลกที่ว่าตาวอนฟ้องว่าโดนออนท๊อปแล้วทิ้งไง(ก็มึงไม่เดือดร้อนแถมยังสบาย แล้วมึงจะเสียใจทำไม อะไรทำนองนั้น) แล้วทุกคนเข้าใจคำว่าว้าบ(อันเปนอาการซึ่งเปนต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น)กันรึเปล่า ว้าบไม่ได้แปลว่าสลบไปรึอะไรนะคะ แต่ว้าบเนี่ยคืออาการของพวกที่จำพฤติกรรมของตัวเองหลังเมาไม่ได้น่ะค่ะ คือพอตัวเองเมาปุ๊บ ไปทำอะไรยังไงที่ไหนบ้าง ตื่นเช้ามาจะจำไม่ได้เลย อาการยังงี้มีจริงๆนะ เพื่อนไรเตอร์เป็นมาแล้ว ตื่นเช้ามามันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมาไปตั้งแต่เมื่อไรอ่ะ

     

    แอมบมาเปลี่ยนคณะให้ตัวละครหลายตัวเมื่อวาน ขอเปลี่ยนอีทึกคนสวยมาเรียนสินกำแทนละกันนะคะ^^ ฟีลต่างกันลิบลับเลยทีเดียวระหว่างคุ่หลักกับคู่รองของเขา= = ตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีใครรู้สึกเหมือนป๋าฮันในเรื่องมั้ยที่ว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องตระกูลคิมคู่นี้ดูบิดเบี้ยวน่ะค่ะ ทั้งทึกทั้งฮีเหมือนจะไปกันคนละแนวยังไงพิกลเนอะ ทั้งคู่ดูมีอะไรซ่อนอยู่เลยว่ามั้ย(ทิ้งระเบิดไว้แล้วยิ้มหวานจากไปเหมือนเดิม) ตากี้ที่ว่าซึนแล้ว ไรเตอร์ว่าคุณฮีของเราซึนกว่านะ คาแรคเตอร์ฮีนี่แบบซึนดาเระชัดๆอ่ะ= = ส่วนนางฟ้าของเราก็สไตล์นางเอกเต็มที่ ร้องไห้ตลอด ส่วนตัวชอบคาแรคเตอร์แบบนี้นะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดขึ้นนะที่ทำให้เขามีน้ำตา แต่มันมีอย่างอื่นซ่อนอยู่มากกว่านั้นต่างหากล่ะแต่มันพูดออกมาไม่ได้อะไรทำนองนั้น(น้องรีดเดอร์บอกงง- -“) แต่การให้ป้าแกมีนิสัยแบบนี้รู้สึกตะขิดตะขวงใจตัวเองยังไงพิกล เพราะซุปเปอร์จูเนียร์อีทึกไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นอ่าค่ะ= = อีทึกมักจะให้ความรู้สึกเหมือนฝืนอยู่เสมอมากกว่า แบบทำอะไรเกินลิมิตตลอดจนบางครั้งมันก็ดูน่าเศร้า อะไรทำนองนั้น(ไม่รู้มีคัยคิดเหมือนกันมั้ยนะ) แอบบอกนิดนึงว่าพล๊อตของคู่รองสามพีของเราเนี่ย ไรเตอร์เอามาจากหนังเรื่องนึงค่ะ คิดว่าถ้าคนเคยดู อ่านสองประโยคสุดท้ายของตอนก็น่าจะนึกออกแล้ว ส่วนใครไม่รู้ เราไม่บอกกกก จะมาเฉลยตอนจบเรื่องจ้า^^ 

     



    ไม่มีใครสัญญานะว่าฟิคเรื่องนี้จะไม่ดราม่าอ่ะ รีดเดอร์ที่ตามมาจากเรื่องก่อนๆคงทำหน้าแบบ =[]= อิโจวโดนเสียบแบบนี้มึงยังจะดราม่าได้อีกเรอะอิไรเตอร์! แน่ๆเลย ส่วนคนที่เคยอ่านฟิคของไรเตอร์เป็นครั้งแรกก็...ไรเตอร์เป็นคนอารมณ์ดีนะ^^(ยิ้มหวานอย่างมีความหมาย) รอลุ้นกันต่อปายยยยยยย(อยู่กันมานานมีหลายคนแอบรู้ทันว่าเด๋วจะดราม่าใช่มั้ย ชั่ดช่าา! เจ้าเด็กพวกนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว!)




    ตอนหน้าตัดกลับไปหาคุณโจวคนดีที่ไปออนท๊อปชาวบ้านแล้วทิ้ง(?)บ้างนะว่าตอนนี้ตกระกำลำบากไปถึงไหนแล้ว(ชั้นล่ะสงสารแกจริงๆ
    = =)

     

     

    เจอกันตอนหน้าจ้า ทอล์คยาวเป็นประวัติการณ์มากอ่ะ= =


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×