ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF:HANTEUK] :: The One I Love ลิขิตหัวใจนายมาเฟีย .. Part2

    ลำดับตอนที่ #2 : At The Edge of The Feeling in My Mind

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 53


    รถมอเตอร์ไซต์สีดำคันใหญ่จอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอพาร์ทเม้นต์หรูกลางย่านใจกลางเมือง...มอเตอร์ไซต์เป็นทางเลือกที่ไม่เข้าท่านักสำหรับกลางเดือนธันวาคมที่หิมะตกและอากาศติดลบแบบนี้ เขารู้ แถมคนที่นั่งซ้อนท้ายเขามายังเป็นคนป่วยที่เพิ่งฟื้นจากอาการโคม่าได้เพียงแค่สามสี่วันอีกต่างหาก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เขามีเจ้าคันนี้เป็นยานพาหนะอยู่คันเดียวนี่นะ

     

     ฮันคยองดับเครื่องยนต์ จัดการถอดหมวกกันน๊อคของตนออกจากศีรษะไปวางไว้ตรงหน้ารถ สะบัดผมนิดๆก่อนตั้งท่าก้าวลุกออกมา แต่มันก็เท่านั้นเมื่อแรงที่ยึดจับอยู่ที่ข้างเอวของเขายังไม่คลายออกไปเสียที เช่นเดียวกับแก้มนุ่มที่ยังคงแนบค้างอยู่ที่แผ่นหลังของเขา

     

    "นี่..."

    ฮันคยองเอี้ยวตัวไป ทำท่าจะสะกิดเรียก แต่ใบหน้าสวยหวานที่ซ่อนอยู่ด้านหลังผ้าพันคอผืนหนาสีเข้มของเขาอยู่กว่าครึ่งซึ่งกำลังพริ้มตาหลับสนิทก็ทำเอาเขาชะงักไปก่อนเขาจะต้องถอนหายใจออกมาคล้ายจะเหนื่อยใจกับความใจอ่อนของตัวเองที่ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ราวกับกลัวเทพธิดาผู้หลับใหลจะหล่นร่วงลงมาจากบนฟ้าหากเขาเพียงแค่ออกแรงขยับตัวอีกนิด ชายหนุ่มจัดการตั้งขาตั้งของรถตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะคว้าจับมือเล็กที่จับอยู่ที่ข้างเอวของตนมาเกาะกุมเอาไว้และดึงมันออกมาเบาๆ

               

    "อ่ะ...อื้ออ"

    อีทึกที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อโค้ทตัวใหญ่สีดำของเขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาทันทีที่เขาสัมผัสปลายนิ้วลงไปบนมือเล็กอันเย็นเฉียบ ดวงตาแสนหวานปรอยปรือมองมาทางเขาที่ยืนอยู่ข้างรถด้วยสายตางุนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะตั้งท่ายกขาก้าวตามลงมาบ้าง หากแต่ยังไม่ทันที่ปลายเท้าจะสัมผัสพื้น ร่างบอบบางที่ดูพองฟูเป็นพิเศษเพราะความหนาของเสื้อหนาวที่ไซส์ใหญ่กว่าตัวเองอยู่หลายเบอร์ก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นแนบอกอุ่นของคนที่เจ้าตัวนั่งอิงไออุ่นมาตลอดทาง

     

    "อือออ...ไปไหน"

    เทพธิดายังคงแลดูงุนงงเพราะความง่วงงุนและอ่อนเพลียครางอือออกมาพร้อมกับงึมงำถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา คนถูกถามไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไปในทันที เขาเดินตรงเข้าไปในตัวตึกโดยได้รับความช่วยเหลือจากยามเฝ้าประตูในการคอยเปิดประตูและกดลิฟต์ให้

     

    "ชั้น31ครับ ของคุณ"

    เขาค้อมศีรษะให้ยามคนนั้นนิดเป็นการขอบคุณที่อุตส่าห์ตามเข้ามากดชั้นให้ก่อนที่จะเดินกลับไปประจำหน้าที่ที่หน้าประตูตามเดิม ฮันคยองกระชับร่างของคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ปล่อยให้อีกฝ่ายจมกลับลงไปในห้วงนิทราโดยไม่ยอมเอ่ยตอบคำถามที่ถูกถามทิ้งไว้ ดวงตาสีควันบุหรี่จับจ้องไปที่ตัวเลขบอกชั้นอย่างใจเย็น หากแต่ลมหายใจอุ่นๆที่รวยรินเป่ารดอยู่ที่ข้างลำคอของเขาก็เรียกให้เขาตวัดสายตากลับลงมาสนใจคนในอ้อมแขนอีกครั้ง

     

    ทำเป็นไม่สนใจไม่ได้เลยสักครั้งจริงๆ

     

    "ชั้ย31"

    เสียงบอกชั้นพร้อมกับประตูที่เลื่อนเปิดออกทำให้เขายอมละสายตาออกมาจากคนในอ้อมแขนและก้าวเท้าเดินตรงไปยังห้องพักของตน ฮันคยองเปิดประตูห้องอย่างทุลักทุเล แล้วจึงเดินเข้าไปยังห้องนอน จัดการวางร่างของคนหลับใหลลงบนเตียงกว้างอย่างนุ่มนวลพร้อมกับห่มผ้าให้ หากแต่แรงกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา อีทึกปรอปรือตาขึ้นตื่นพลางบิดกายไปมาคล้ายจะไม่สบายตัว

     

    "ที่...ไหน"

     

    "หลับซะ"

    เทวทูตหนุ่มไม่ตอบคำถาม เขาจัดการดึงผ้าพันคอออกจากลำคอเล็ก ช้อนแผ่นหลังบางขึ้นมานิดเพื่อถอดเสื้อหนาวอันแสนเทอะทะออกให้แล้วจึงปล่อยให้กลับลงไปนอนตามเดิม อีทึกดูเหมือนจะสบายตัวขึ้นเมื่อถอดเสื้อตัวใหญ่นั่นออก แต่ก็ยังไม่ยอมปิดเปลือกตาลงไปเสียทีอย่างดื้อรั้นทั้งๆที่ก็อ่อนเพลียจากการเดินทางมากเหลือเกิน

     

    "ทำไมไม่นอน"

     

    "ผมไม่..."

     

    "หลับซะ"

    ฮันคยองใช้ข้อนิ้วลูบไปตามแก้มนวลอย่างแผ่วเบาเพื่อเห่กล่อมให้อีกฝ่ายหลับตาเสีย และมันก็ได้ผลอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นบอกจริงๆเสียด้วย เพราะคนป่วยค่อยๆปิดเปลือกตาของตนลงและผล็อยหลับไปภายในเวลาแทบจะไม่ถึงห้าวินาที

     

    เขาถอนหายใจออกมาเบาๆพลางยกมือขึ้นเสยผมด้วยท่าทางเหนื่อยๆ ดวงตาสีควันบุหรี่กวาดมองดูเทพธิดาผู้หลับใหลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับไปนอนยังโซฟาด้านนอก ทว่าดวงตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับรูปถ่ายในกรอบรูปบนโต๊ะข้างเตียงเข้าเสียก่อน...รูปภาพของนางฟ้าของเขา เรียวปากหยักขยับยกยิ้มขึ้นนิดให้แก่คนในภาพอย่างอ่อนโยนพร้อมกับที่เขาไล้ปลายนิ้วไปตามโครงหน้าหวานผ่านแผ่นกระจกอันเย็นเฉียบ

     

    "ราตรีสวัสดิ์ครับนางฟ้า ขอให้ฝันดีนะครับ"

     

    ....................................................

     

    "กลับบ้านได้แล้วงั้นหรอ"

     

    "ครับ"

    ฮันคยองตอบรับคำของนายหนุ่มสั้นๆพลางเอื้อมมือไปรับแฟ้มเอกสารภาษาจีนจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่มาเปิดดูคร่าวๆ...สองปีผ่านไปแล้ว ลีทงเฮก็ยังดูบอบบางอยู่แบบนั้น และในบางครั้งก็ดูน่าปกป้องทะนุถนอมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก คงเป็นเพราะตลอดมานี้ ลีทงเฮมีพี่ชายที่ชื่อว่าเชวซีวอนคอยดูแลอยู่ทุกฝีก้าวก็เป็นได้ที่ทำให้ลีทงเฮดูอ่อนหวานมากเหลือเกิน

     

    "ดีใจด้วยนะ"

     

    "ครับ"

     

    "เอางานกลับไปอ่านต่อที่บ้านก็ได้ ปล่อยคนป่วยไว้คนเดียวมันไม่ดีหรอกนะ"

     

    "ครับ"

    ฮันคยองรับคำสั้นๆก่อนทำท่าจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป หากแต่ร่างบอบบางของนายหนุ่มกลับลุกขึ้นเดินมาดักหน้าเขาเอาไว้เสียก่อน คนตัวเล็กวาดแขนโอบกอดเขาเอาไว้ ซุกกายเข้าหาอย่างออดอ้อนราวกับจะบอกเขาว่าฮีตเตอร์ในห้องยังอุ่นไม่พอสำหรับวันที่อากาศติดลบแบบนี้...กลายเป็นน้องชายตัวเล็กจอมงอแงขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ แต่ตอนนี้เขาก็ชินกับอาการลมเพลมพัดแบบนี้แล้วล่ะ เทวทูตหนุ่มอมยิ้มนิดพลางใช้แขนข้างหนึ่งโอบกอดเอวเล็กเอาไว้

     

    "ตอนเย็นอยากทานเค้กมั้ยครับคุณทงเฮ"

     

    "อื้อ!"

     

    "ถ้างั้น...ไปบอกฮยอกแจกับยูชอนนะครับ แล้วเราจะได้ไปด้วยกัน"

     

    "อื้อ!"

     

    ก็บอกแล้ว...

     

    ลีทงเฮอ่อนหวานขึ้นมากเหลือเกิน

     

    .............................................................

     

    ร่างบอบบางขยับพลิกตัวไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นรับแสงอาทิตย์ของยามเช้าที่สาดแสงส่องทะลุรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา อีทึกขดตัวเข้าหากันพร้อมกับกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวมากขึ้นเพื่อแสวงหาความอบอุ่นที่มากกว่าแสงแดดอันอ่อนจาง ดวงตาแสนหวานกวาดมองไปทั่วห้องที่ไม่คุ้นตา...คงย้ายคอนโดใหม่สินะ เขาค่อยๆชันตัวลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงเอาไว้กับหัวเตียง...ยังคงกวาดสายตามองไปทั่วจนไปสะดุดเข้ากับกรอบรูปที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง ริมฝีปากบางซีดเม้มแน่นเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นยิ้มได้สวยงามมากเหลือเกิน

     

    ปาร์คจองซูช่างเป็นผู้ชายที่ใจร้ายนัก

     

    เพราะเพียงแค่ภาพถ่าย...ก็ทำร้ายให้เขาเจ็บปวดเสียแล้ว

     

    อีทึกขยับมุดตัวลงไปนอนอยู่ใต้ผ้าห่มตามเดิม เขาพลิกตัวหันหลังให้กับกรอบรูปและเหม่อมองอย่างว่างเปล่าออกไปยังนอกหน้าต่างผ่านรอยแง้มของม่านราวกับกำลังเฝ้ามองหาบางอย่างที่อยู่ในอากาศ

     

    หิมะคงจะตกอีกแล้วล่ะ

     

    ...........................................................

     

    "นี่..."

     

    "..."

     

    "ไม่สบายรึเปล่า"

    เงาที่ทอดทับลงมาบนร่างทำให้อีทึกรู้ว่าเจ้าของห้องได้เข้ามายืนอยู่ริมเตียง และกำลังยกมือขึ้นกอดอกจ้องมองเขาด้วยท่าทางอดทน หากแต่คนที่นอนขดตัวไม่ทำอะไรเลยอยู่บนเตียงมาทั้งวันก็ไม่แม้เพียงจะขยับพลิกตัวหันไปหาคนพูด...ไม่แม้เพียงเปลี่ยนท่าทางแสดงอาการรับรู้ด้วยซ้ำ เทพธิดาทำเพียงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้ไม่มีม่านมาปิดบังอีกต่อไปอย่างว่างเปล่า...เฝ้ามองหิมะที่ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าคล้ายกำลังเฝ้านับมันกระนั้น

     

    "หิวรึเปล่า"

    เทวทูตหนุ่มยังคงพยายามที่จะอดทนกับคนป่วยผู้แสนดื้อดึง แต่มันก็หมดลงเมื่อคนดื้อรั้นยังไม่คิดจะหันมาสนใจความห่วงใยของเขาเลยสักนิด ฮันคยองก้มลงไปกระชากร่างบางให้พลิกตัวขึ้นมานอนหงายพร้อมกับใช้มือบีบแก้มนุ่มเอาไว้เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายหันมาสบตา...มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาอยากจะทำจริงๆหรอก เขารู้ตัวเองดี

     

    "เป็นอะไร!"

     

    "..."

     

    "ถามทำไมไม่ตอบ!"

     

    "เปล่าครับ"

    เสียงแรกของวันถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา ดวงตาแสนหวานที่ยังคงดูแห้งแล้งว่างเปล่าคู่นั้นขยับเบนไปทางอื่นจนเขาต้องออกแรงบีบแก้มนุ่มแรงขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจกลับมา...ความอดทนของฮันคยองคนนี้มีไม่เยอะนักหรอกนะ โดยเฉพาะกับคนดื้อด้านพูดไม่รู้จักฟังน่ะ!

     

    "ลุกขึ้นมาทานข้าว ถ้าอยากจะตายออกไปตายข้างนอก อย่างมาตายที่ห้องของฉัน"

    พูดจบก็สะบัดใบหน้าหวานทิ้งแล้วจึงลุกเดินจากไป ปล่อยให้คนป่วยรู้สึกกลวงเปล่าอยู่อย่างนั้น อีทึกนอนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนสุดท้ายแล้วจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้น ขยับปลายเท้าลงจรดพื้น แต่ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นยืนได้เต็มตัว เรียวขาที่ยังคงอ่อนแรงก็ทำให้ร่างของเขาเซล้มลงไปกระแทกพื้นเสียงดังเสียก่อน

     

    "อ๊ะ!"

    เสียงหวานหลุดอุทานออกมาแค่นั้น เทพธิดานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบอย่างนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา และตอนนี้ลำคอของเขาก็แสบร้อนไปหมดจนเขานึกสงสัยว่ามันเป็นเพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขารึเปล่า อีทึกลุกขึ้น แต่ก้าวไปได้อีกเพียงครึ่งก้าว เขาก็ทรุดล้มลงไปอีก หากทว่าคราวนี้ เขาล้มลงไปกองอยู่บนพื้นแทบเท้าของใครบางคน

     

    "ซื่อบื้อ"

    เป็นคำบ่นเดิมๆและอ้อมแขนของคนเดิมๆที่ช้อนร่างของเขาขึ้นมาจากพื้น โอบกระชับเขาเข้าแนบอกอุ่นก่อนจะเดินพาเขาออกไปยังห้องครัว คนตัวสูงวางร่างของเขาให้นั่งลงบนเค้าน์เตอร์แล้วจึงหันไปตักข้าวต้มจากหม้อบนเตาใส่ชามมาให้เขา

     

    "ไม่กินแล้วจะมีแรงได้ยังไง"

    ฮันคยองบ่นพึมพำพลางเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างขาของเขา ดวงตาคมสีควันบุหรี่จ้องเขาคล้ายอยากจะต่อว่าในขณะที่มือข้างหนึ่งก็ถือประคองชามข้าวต้ม ส่วนอีกข้างก็ใช้ช้อนคนไปมาเพื่อลดความร้อนของมัน อีทึกเบือนหน้าหนีสายตาของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นก้มมองชามข้าวต้มที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายแทนที่

     

    "แล้วเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายรึไง"

    คำถามมาพร้อมกับช้อนที่พูนไปด้วยข้าวต้มซึ่งยื่นมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก และแน่ล่ะ...เขาจำต้องเอามันเข้าปากไป อีทึกไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับ เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าและกลืนข้าวต้มอุ่นๆนั่นลงคอไป ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อไม่มีเสียงใดๆหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้า เขาตักข้าวต้มคำต่อไปขึ้นป้อน หากทว่าคราวนี้เขาได้รับคำปฏิเสธมาเป็นการเบือนหน้าหนี

     

    "อิ่มแล้วครับ"

    ฮันคยองมุ่นหัวคิ้วในทันที เขายื่นช้อนเข้าไปประชิดเรียวปากบางอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้

     

    "กินเข้าไปอีก"

     

    "..."

     

    "อย่ามาทำตัวน่ารำคาญแบบนี้...กินเข้าไป!"

    อีทึกเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมกับยิ่งเบือนหน้าหลบ ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังอย่างชัดเจน...รำคาญอย่างนั้นหรอ อีทึกน่ารำคาญแล้วสินะ ฮันคยองเขวี้ยงทั้งชามทั้งช้อนลงอ่าง เสียโครมครามและเสียงแตกหาได้ทำให้คนทั้งสองคนที่อยู่ในห้องครัวสะทกสะเทือนใดๆไม่ กลับกัน...แววตาของเทพธิดายิ่งดูมืดมนว่างเปล่ามากกว่าเดิมเสียอีก มือใหญ่เอื้อมมาบีบปลายคางของเขาเอาไว้ และคราวนี้...อีทึกเจ็บร้าว

     

    "ฉันน่าจะปล่อยให้นายตายไปตั้งแต่ต้น นายว่าอย่างนั้นมั้ย"

     

    อย่างนั้นหรอ

     

    "ถ้าน่ารำคาญแบบนี้ ปล่อยให้ตายไปคงจะดีกว่า คิดแบบนั้นรึเปล่า"

     

    คิดแบบนั้นหรอ

     

    "ตอนนี้น่ะ...ถ้าอยากตายนัก จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย!"

    อีกฝ่ายสะบัดหน้าของเขาทิ้งคล้ายเบื่อที่จะคุยกับเขาเต็มทนก่อนจะเดินหนีไปคว้ากุญแจรถและเสื้อโค้ต แล้วจึงย่ำโครมๆเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะกระแทกประตูปิดเสียงดังราวกับจะตอกย้ำให้คนที่ยังอยู่ในห้องรู้ว่าเขาไม่คิดจะแคร์อีกต่อไป เทพธิดายังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นแม้ห้องจะว่างเปล่าไปหลายนาทีแล้วก็ตาม เขากัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้แน่นคล้ายกำลังพยายามข่มความรู้สึกบางอย่าง...และคงมีเพียงแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ามันคือน้ำตา

     

    รักมากจริงๆนะ

     

    อีทึกรักคุณมากจริงๆนะ

     

    แต่คุณน่ะ...

     

    ไม่คิดจะเริ่มรักอีทึกเลยรึไง

     

    ............................................................

     

    "เป็นห่วงงั้นสิ"

    ฮันคยองไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดกับนายหนุ่ม เขาทำเพียงแค่เบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างร้านที่ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทและหิมะยังคงร่วงโรย ดวงตาสีควันบุหรี่ทอดมองออกไปอย่างว่างเปล่ายังผู้คนที่เดินผ่านไปมาราวกับกำลังมองหาใครสักคนที่เขาอาจคุ้นเคย แต่มันก็เท่านั้นนั่นล่ะ...คนที่เขาคุ้นเคยทั้งหมดก็นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะนี้กันหมด

     

    ฮยอกแจและยูชอนไม่ได้เอ่ยคำใดๆออกมา เช่นเดียวกับลีทงเฮที่นั่งอยู่ข้างฮยอกแจที่ทำเพียงแค่เอนศีรษะพิงไหล่บอบบางของคนดูแลตัวเล็กเอาไว้พลางใช้ช้อนเขี่ยเค้กช๊อคโกแล๊ตในจานของตนไปมา

     

    "ไม่คิดจะรักหน่อยเลยหรอ"

    เทวทูตหนุ่มชะงักไปนิดเพราะเสียงหวานของนายหนุ่มก่อนเขาจะแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้กำลังรู้สึกอะไรด้วยการยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วจึงเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม

     

    "ไม่หรอกครับ"

     

    "..."

     

    "..."

     

    "เพราะเขาเหมือนผู้ชายคนนั้นหรอ"

    ฮันคยองนิ่งไปอีกครั้ง...รอยยิ้มของปาร์คจองซูที่อยู่ในความทรงจำของเขาทำให้เขายกยิ้มขึ้นมานิดกับความว่างเปล่า แต่มันก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นล่ะ

     

    "เพราะเขาไม่เหมือนเลยต่างหากล่ะครับ"

     

    .................................................

     

    อีทึกไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ส่วนไหนของโซล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือโซลรึเปล่า แต่เขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไป กระชับเสื้อหนาวตัวหนาที่ไม่ใช่ไซส์ของเขาเข้าแนบกายพร้อมกับใช้ทุกเรี่ยวแรงที่มีในการก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย หิมะตกหนัก...และเขาก็ยังคงเดินอยู่ตามฟุตบาธโดยปราศจากร่มกางบังศีรษะเหมือนคนอื่น ริมฝีปากบางซีดจางถูกเม้มเข้าหากันแน่น ในขณะที่เขาพยายามที่จะไม่ล้มลงอีก...เขาล้มลงมาตลอดทางจนเป็นแผลไปหมดแล้ว...เจ็บไปหมดแล้ว

     

    "คุณครับ..."

    อีทึกปฏิเสธที่จะยินยลความหวังดีจากผู้ชายท่าทางใจดีคนนั้นและก้าวเดินต่อไปตามทางเดินของตน แต่ดูเหมือนผู่ชายคนนั้นจะไม่อยากจะยอมแพ้กลับไปง่ายๆแบบนั้น มือใหญ่เอื้อมมาจับรั้งเข้างที่ต้นแขนของเขาเพื่อให้เขาหยุดก้าวเดินเสียที

     

    "นี่คุณครับ หิมะตกหนักขนาดนี้ใส่เสื้อแค่นั้นเดี๋ยวก็ตายเอาหรอกครับ"

     

    "อืม"

    คนร่างบางครางตอบไปแค่นั้นก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีออกมา อาศัยจังหวะที่สัญญาณไฟข้ามถนนเปลี่ยนสีเดินข้ามถนนหนีมา อีทึกก้าวเท้าเดินต่อไป และอีกเพียงสองก้าว เขาก็ล้มลงไปกระแทกพื้น...คนที่เพิ่งฟื้นจากโคม่าดูท่าว่าจะหมดแรงเสียแล้ว เขาค่อยๆชันตัวกลับขึ้นมายืนพร้อมกับสูดหายใจเอาอากาศอันเจ็บแสบเข้าปอดไปลึกๆแล้วจึงเริ่มก้าวเดินใหม่

     

    ตอนนี้อีทึกอยากได้บุหรี่จัง

     

    ......................................................

     

    ฮันคยองอยากจะสบถออกมาดังๆนัก หากแต่เขาก็ทำเพียงแค่จ้องมองห้องพักอันว่างเปล่าของตนด้วยสายตากราดเกรี้ยว ถุงพลาสติกที่ใส่กล่องเค้กอยู่สั่นไหวไปมาอันเนื่องมาจากมือที่กำเข้าหากันแน่นจนปรากฏรอยเส้นเลือด ก่อนสุดท้ายแล้วเจ้าเค้กราคาแพงกล่องนั้นจะถูกเขวี้ยงทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีพร้อมกับที่ร่างของคนลงมือก้าวโครมๆเดินออกจากห้องไป

     

    ตัวปัญหา!...น่ารำคาญ!

     

    อย่าให้เจอตัวเชียว!

     

    .....................................................

     

    อีทึกหายใจไม่ออก...อากาศหนาวยะเยือกเกินไปจนเขาหายใจไม่ได้ และตอนนี้เสื้อโค้ตตัวยาวที่เขาขโมยผู้ชายคนนั้นมาใส่ก็ไม่สามารถช่ายทำให้เขาอุ่นอีกต่อไป...แม้แต่กลิ่นกายคุ้นเคยและไออุ่นที่ยังคงตกค้างอยู่ก็ไม่สามารถทำให้เขาทนไหวอีกต่อไป

     

    ร่างบอบบางที่ตอนนี้อ่อนล้ามากเหลือเกินกระชับเสื้อตัวหนาเข้าแนบกายมากขึ้นพลางฝืนก้าวเดินต่อไป...ตอนนี้เขาหลงทางกว่าเดิมเสียอีก เพราะตอนนี้โลกในตาของเขานั้นเริ่มพร่ามัวลงทุกทีจนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปในทิศทางไหนอยู่

     

    เทพธิดาซวนเซนิด และคงจะล้มลงไปแล้วถ้าไม่ได้ใครบางคนรั้งต้นแขนเอาไว้ ร่างของเขาถูกฉุดกระชากเข้าไปในตรอกแคบๆก่อนจะโดนจับกระแทกเข้ากับพนังตึกสุดแรง มันเจ็บ...แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้ทุกความรู้สึกของเขาชาหนึบ

     

    ผลั่ก!!

     

    "ครั้งต่อไปจะเป็นหน้าของนายถ้ายังทำตัวซื่อบื้ออยู่แบบนี้จำเอาไว้!"

    หมัดหนักพุ่งตรงเข้าไปกระแทกกับกำแพงอิฐสุดแรง มันห่างจากโหนกแก้มของเขาเพียงอากาศกั้นจนเขาสัมผัสได้ถึงผิวกายที่เฉียดผ่านไป แต่อีทึกก็ไม่แม้เพียงจะละสายตาออกมาจากเทวทูตผู้กำลังยืนเกรี้ยวกราดอยู่ตรงหน้าเขาเลยสักนิด

     

    ฮันคยองหอบหายใจหนัก กระนั้นแล้วก็ยังคงจ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละในความกราดเกรี้ยว มือใหญ่ที่บัดนี้ข้อนิ้วแดงช้ำไปหมดยกขึ้นมาบีบแก้มนุ่มเพื่อดันใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมาสบตา หากแต่ความเย็นเฉียบของผิวกายที่ให้สัมผัสไม่ต่างกับแผ่นกระเบื้องเลยสักนิดก็ทำให้อีกฝ่ายชะงักและรีบใช้สองมือกอบกุมแก้มเนียนเอาไว้

     

    แบบนี้น่ะ...อุ่นขึ้นเยอะเลย

     

    "นี่...เป็นอะไรรึเปล่า"

    อีทึกส่ายหน้าปฏิเสธคำถามนั้นโดยที่ดวงตายังไม่คลายออกมาจากใบหน้าคมของคนตรงหน้าเลยสักนิด เขายกมือขึ้น ใช้ปลายนิ้วอันเย็นเฉียบของตนแตะไล้ไปตามโครงหน้าของเทวทูตแห่งความตายที่ปรากฏร่องรอยความห่วงใยอยู่ในแววตามากเหลือเกินราวกับอยากจะให้แน่ใจว่านี่คือของขวัญของพระเจ้าของเขาจริงๆ

     

    แค่คุณมายืนอยู่ตรงนี้...

     

    อีทึกก็ไม่เป็นไรแล้ว...ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ

     

    "บ้าเอ๊ย!...ทำไมซื่อบื้อแบบนี้นะ หัวนายไม่ได้มีไว้คิดเลยรึไงกัน!"

    ฮันคยองสบถออกมาพร้อมกับรั้งร่างบอบบางที่ให้ความรู้สึกเหมือนรูปสลักเข้าไปทุกทีเข้ามากอดแนบอกเพื่อแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายของตนไปให้...โอบกอดเอาไว้แนบแน่นจนอีกฝ่ายแทบจะจมหายลงไปในอก...ก็เทพธิดาช่างผอมบางมากเหลือเกิน

     

    "ห้ามหลับนะ เข้าใจมั้ย...นี่!...ฟังฉันอยู่รึเปล่า!"

    ศีรษะเล็กที่ฝั่งอยู่กับซอกคอของเขาขยับนิดเป็นเชิงรับรู้พร้อมกับรินรดลมหายใจที่ให้ความรู้สึกว่าเย็นมากเหลือเกินลงบนผิวกายของเขา แขนเล็กสอดเข้ามาใต้เสื้อโค้ตและโอบกอดเอวของเขาเอาไว้...ตอนแรกมันช่างแผ่วเบา หากแต่เมื่อร่างบอบบางเริ่มสั่นไหว มันก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้น

     

    "ผม...หนาว"

     

    "หนาวแน่สิ!...ตัวนายเย็นเฉียบเลย อยากตายนักรึไง"

    อีทึกไม่ได้เอ่ยตอบใดๆกลับ เขาเพียงกระชับอ้อมแขนของตนให้แน่นขึ้นพร้อมกับฝั่งใบหน้าเข้ากับไหล่กว้าง...ซ่อนดวงตาอันแสบเคืองเอาไว้ ก่อนไม่นาน เขาจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นที่กดจูบลงมาที่ข้างขมับของเขาเบาๆ...มันทำให้ทุกอย่างอุ่นขึ้นมามากเหลือเกิน

     

    "ไม่เป็นไรแล้ว ฉันเจอนายแล้ว...นายไม่เป็นอะไรแล้ว"

     

    อีทึกไม่เป็นอะไรแล้ว

     

    อุ่นขึ้นมากแล้วจริงๆ

     

    ..........................................................

     






    เนื่องจากว่าปั่นปลาทองให้ไม่ทัน เลยเอาเรื่องนี้มาขัดตาทัพให้ก่อนนะ(น้องรีดเดอร์คงบอก เรื่องนี้มันแทนปลาทองได้ที่ไหนกันล่ะยัยบ้าาา= =) ปันหาของพาร์ทนี้ไม่ได้อยู่ที่'เหมือน'อย่างพาร์ทที่แล้วอีกต่อไปแล้วเนอะ ปันหาเปลี่ยนมาเป็น'ไม่เหมือน'แทนซะแล้ว เพราะอีทึกไม่เหมือน...ฮันคยองเลยไม่รัก(งั้นหรอ??) (น้องรีดเดอร์บอก เหมือนมึงก้ไม่รัก ไม่เหมือนมึงก้ไม่รัก ไปตายซะเถอะเมิงงงง!!= =) และก็อย่างที่บอกไว้แล้ว พาร์ทนี้ ทึกของเราติ๊สแตกกว่าเดิมซะอีก- -" ใครเดาเหตุผลของการกระทำของทึกได้ ไรเตอร์มอบโล่ห์ให้เลยค่ะ แต่งเองยังหาเหตุผลในการกระทำของทึกไม่ค่อยได้เลย(ได้ข่าวว่ามึงแต่ง- -) ก็นั่นอีกแหละนะ...ขอพูดคำเดิมๆประโยคเดิมๆอีกสักทีก็แล้วกัน เรื่องแบบนี้มันก็ยังทำใจลำบากล่ะเนอะ ถึงแม้มันจะผ่านมาสองปีแล้ว แต่สำหรับคนที่เป้นเหมือนโลกของเราทั้งใบ ยังไงก็ไม่ลืม จริงมั้ยคะ...ให้เวลาป๋าฮันคนดีของเรา(ที่มีแนวโน้มว่าเรตติ้งจะตกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย)กันต่อไป



    รอตอนหน้า(ที่อาจจะนานมาก)ค่ะ^^



    มีลีทงเฮคนน่ารักโผล่มานิดนึง ต้องทำให้หลายคนคิดถึงตาคิมคิแหงๆเลยยยย อย่ายุให้ไรเตอร์ขุดตาแก้มบวมขึ้นมาจากหลุมน้าาาา




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×