ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SJ:KIHAE] :: The One I Love ลิขิตหัวใจนายมาเฟีย

    ลำดับตอนที่ #2 : The God of Death

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 52


    ชายหนุ่มเบิกตาค้างกว้าง ความมืดมิดอันน่าอึดอัดที่รอบกายกำลังทำให้เขาหายใจไม่ออกราวกับกำลังถูกอากาศกดดันให้ชิดติดพื้นอย่างไร้ความปราณี เขารู้สึกเหมือนไม่ได้เหยียบยืนอยู่บนอะไรสักอย่างเมื่อมีความมืดสนิทตีวงโอบล้อมตัวอยู่แบบนี้ ร่างสูงหมุนไปรอบกายเพื่อหาสัญญาณบางอย่างที่สามารถบอกเขาได้ว่าเขากำลังยืนอยู่ที่ไหน....แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดพอที่จะบอกเขาได้แม้สักนิดนอกจากความมืด

     

    ความหวาดกลัวทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดอย่างน่าสมเพชเมื่อรู้สึกได้ถึงของเหลวหนืดข้นบางอย่างที่ไหลมากระทบข้อเท้า...และมันก็ใช้เวลาเพียงไม่นานที่จะทำให้เขารู้ว่ามันคืออะไรโดยที่ไม่จำเป็นต้องก้มลงมองเนื่องจากกลิ่นคาวคลุ้งอันคุ้ยเคยที่ลอยขึ้นมากระทบจมูก

     

    เลือดที่นองอยู่เต็มพื้นเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับที่มันพาร่างของใครหลายคนให้ลอยมา ใบหน้าอันคุ้นเคยทำให้เขาผงะถอยหนีอย่างตกใจจนเลือดที่ไหลท้วมสูงถึงเอวกระเพื่อมเป็นวงกว้างและกระเด็นขึ้นมาโดนใบหน้าของคนที่กำลังหวาดกลัว มือเปื้อนเลือดหลายสิบคู่เอื้อมขึ้นมาจากผืนน้ำสีเลือดจับรั้งเขาเอาไว้...พยายามจะฉุดดึงร่างของเขาให้ล้มลงไปใต้ผิวน้ำ

     

    มันทำให้ชายหนุ่มเริ่มที่จะอ้าปากกรีดร้อง

     

    อืออืออืด...อืออืออืด

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเปิดลืมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว...มันเบิกโพลงจ้องมองเพดานสีขาวเรียบๆด้านบนอย่างตื่นตระหนกอยู่ชั่วครู่พร้อมด้วยลมหายใจหอบกระชั้นอีกทั้งเหงื่อยังโทรมหาย และเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เขาก็เอื้อมมือมาความหาโทรศัพท์มือถือของตนที่กำลังนอนสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ชายหนุ่มกดรับและเอามันขึ้นมาแนบหูโดยไม่ยอมกรอกเสียงใดๆลงไปทักทายคนปลายสายอย่างที่ควรทำ...ยังคงนอนจ้องมองเพดานเบื้องบนต่อไปราวกับกำลังอ่านข้อความที่อาจถูกขีดเขียนไว้บนนั้น

     

    "ฮันคยอง ฉันเอง...ยูชอน""

     

    "อือ"

    ชายหนุ่มครางรับในลำคอสั้นๆเหมือนจะบอกปลายสายว่าเขากำลังฟังอยู่พร้อมกับยอมขยับตัวลุกขึ้นนั่งในที่สุด....ไอ้ความฝันบ้านั่นทำเขาปวดหัวให้ตายสิ! เขาดึงผ้าห่มที่ตกลงไปกองอยู่บนพื้นกลับขึ้นมาวางไว้บนเตียงส่งๆก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างควานหานาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียงเพื่อดูเวลา...ซึ่งเจ้าตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กๆของเขาก็ไม่ได้ทำให้เขาพอใจมากนักเพราะมันเพิ่งผ่านเที่ยงมาได้ไม่เท่าไร

     

    "คุณทงเฮอยากพบ...ที่เดิมนะ"

     

    "อือ"

    ฮันคยองทำเสียงรับรู้ตอบกลับไปสั้นๆอีกครั้งก่อนจะกดวางสายไป เจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องสวยถูกโยนทิ้งไว้บนเตียงอันยุ่งเหยิงอย่างไม่ค่อยได้รับการใส่ใจเท่าไรในขณะที่เจ้าของผู้สวมกางเกงนอนขายาวสีดำเพียงตัวเดียวลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปตามนัด

     

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้สายน้ำอุ่นๆปะทะใบหน้าแล้วไหลผ่านไปตามร่างเปลือยเปล่าของตนอันมีรอยสักสีดำสนิทเลื้อยวนอยู่รอบหัวไหล่ข้างซ้ายยาวลงจนเกือบจะถึงข้อศอก น้ำที่อุ่นจัดส่งผลให้มีไอน้ำสีขาวขุ่นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ...บดบังร่างสูงโปร่งอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามของคนที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำให้เห็นอยู่เพียงเลือนรางราวกับอยู่ท่ามกลางสายหมอก

     

    ภาพฝันที่ติดตาทำให้เขาเลือกที่จะหลับตาลงเพื่อลืมมันเสีย ฮันคยองถอนหายใจออกมาเบาๆพลางก้มหน้าหลบสายน้ำเพื่อให้มันไปปะทะกับแผ่นหลังกว้างของตน มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมสีทองซีดชุ่มน้ำให้ออกไปพ้นจากใบหน้าในขณะที่อีกข้างยันกระเบื้องเย็นเฉียบเอาไว้...น้ำอุ่นๆกำลังทำให้เขาพอใจ หากแต่นัดที่ต้องรีบไปทำให้เขาต้องยอมตัดใจเอื้อมมือไปปิดน้ำก่อนที่เขาจะโอ้เอ้อยู่ท่ามกลางสายน้ำอุ่นนานกว่านี้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาจบท้ายด้วยการไปสาย...และการไปตามนัดของนายหนุ่มจอมเอาแต่ใจสายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจมากนัก!         

     

    ..........................................

     

    ลีทงเฮแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อคนที่เขาเรียกมาพบนั่งคอยกันพร้อมหน้าตรงเวลา ชายหนุ่มถอดแว่นสีชาของตนออกพลางทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาสีเข้มฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อนอะไรมากนัก...ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายมาสายแท้ๆ

     

    "ตรงเวลาดี แต่ขอโทษที่ฉันมาสายไปหน่อย....พ่อคุยนานกว่าที่คิดน่ะ"

    ชายหนุ่มยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจเหมือนจะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนาพลางจัดการรินเครื่องดื่มให้ตัวเอง และไม่ลืมที่จะถามความเห็นของชายอีกสามคนที่มานั่งประจันหน้าอยู่กับเขาที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

     

    ฮันคยองที่นั่งอยู่ตรงกลางรับแก้วมาจากชายหนุ่มตรงหน้าโดยไม่ไม่เอ่ยสิ่งใด เช่นเดียวกับปาร์คยูชอนและลีฮยอกแจที่นั่งประกบอยู่ด้านข้าง หนุ่มชาวจีนยกมันขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยแล้วจึงวางมันกลับลงไปบนโต๊ะโดยไม่คิดจะยกมันขึ้นดื่มอีก...ท้องเขายังว่างเกินไปสำหรับอะไรแรงๆในตอนนี้

     

    "ลูกพี่โดนหัวหน้าใหญ่ด่ามาหรอครับ"

    ฮยอกแจโพลงถามขึ้นเสียงซื่อ ซึ่งคำถามของเขาก็ทำให้คนถูกถามสำลักเครื่องดื่มที่ตนกำลังดื่มอยู่ในทันที ชายหนุ่มไอค่อกแค่กจนแก้มเนียนๆขึ้นสีระเรื่อ แต่ถึงแม้เขาจะก้มหน้าก้มตาไอขนาดไหน ใบหน้าขาวที่ค่อนไปทางหวานน่ารักเสียมากกว่าก็บึ้งตึงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาลูกน้องของเขาทุกคน

     

    "บ้าหรอวะ!...พ่อเรียกฉันเข้าไปคุยนี่มันต้องหมายถึงด่าอย่างเดียวรึไง!"

     

    "ก็แหม...ส่วนใหญ่มันเป็นด่านี่ลูกพี่"

    ฮยอกแจยังคงพูดต่อพร้อมด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก...ดูไม่หวั่นเกรงต่อเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่แม้แต่น้อย คงเป็นเพราะโดนจนชินแล้วกระมัง...หรือบางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าหวานของคนที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงนั้นแลดูน่ารักมากกว่าจะน่ากลัวก็เป็นได้ที่ทำให้เขาไม่ค่อยกลัวเวลานายหนุ่มหงุดหงิดใส่แบบนี้เท่าไรนัก

     

    ทงเฮสบถพึมพำออกมาเบาๆพลางกระแทกหลังพิงพนักโซฟาแรงๆอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่แลดูออกจะกลมโตเหมือนผู้หญิงเอาเสียมากๆของเขาถลึงจ้องมองคนพูดไม่ถูกหูอย่างหงุดหงิด...ถึงแม้สิ่งที่ฮยอกแจพูดมามันจะถูกอยู่ส่วนหนึ่งก็ตาม!

     

    "ไม่ใช่โว้ย!...นายนี่ปากแกว่งหาเสี้ยนจริงๆเลยฮยอกแจ พูดจาให้มันคิดหน่อยสิวะ!"

    ชายหนุ่มโต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเด่นชัด หากแต่ฮยอกแจก็ยังคงยิ้มรับ...ถึงแม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูแหยเต็มที

     

    "แล้วพูดเรื่องอะไรกันล่ะครับ"

    ยูชอนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่เขาใช้มันอยู่เป็นนิจหลังจากเจ้าตัวนั่งนิ่งเงียบตีหน้าเครียดไม่ได้พูดอะไรมานาน แต่น้ำเสียงสุภาพแสนเรียบเฉยนั่นกลับทำให้นายหนุ่มตวัดตาหันมามองเขาอย่างไม่พอใจไม่น้อยไปกว่าที่ใช้มองฮยอกแจสักเท่าไร

     

    "เรื่องของครอบครัว พ่ออยากให้ฉันหาเมีย...พวกนายอยากรู้รายละเอียดอีกมั้ย!?"

     

    "ไม่ล่ะครับ"

    ยูชอนตอบรับคำถามประชดประชันนั้นด้วยเสียงเบาๆอันเรียบเฉยเช่นเดิมก่อนเขาจะตัดสินใจเทของเหลวในแก้วลงคอทีเดียวจนหมดแล้วจึงนั่งนิ่งเงียบเพื่อรอคอยฟังเรื่องที่เขาควรจะได้ฟัง ทงเฮถอนหายใจอีกครั้งพลางจัดการเติมเครื่องดื่มให้ตัวเองใหม่อีกแก้วก่อนจะเอ่ยปากพูดเรื่องที่เขาควรจะพูดออกมาในที่สุด

     

    "ที่เรียกมาเพราะมีงานให้ทำ"

    คำว่างานที่หลุดออกมาจากปากของนายหนุ่มทำให้ฮยอกแจยืดหลังขึ้นตรงอย่างกระตือรือร้นจนออกนอกหน้าในทันทีพร้อมด้วยดวงตาพราวระยับอย่างตื่นเต้น...ผิดกับเพื่อนของเขาอีกสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าทางสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

     

    "ต้องขอบคุณฮันคยองที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น การที่เชวฮันซองตายทำให้คนของมันวุ่นวาย"

    เขาเอ่ยกล่าวเสียงเนิบๆพร้อมด้วยรอยยิ้มร้ายๆบนมุมปาก มือเล็กหมุนแก้วในมือไปมาให้เจ้าเครื่องดื่มสีอำพันด้านในเอนเอียงจนปริ่มๆจะกระเฉาะหกออกมาจากขอบแก้วอย่างน่าหวาดเสียวอยู่หลายครั้ง

     

    "ฉันอยากให้นายสองคนไปจัดการโกดังเก็บของของพวกมันที่อยู่นอกเมือง...งานง่ายๆอย่าให้พลาดมาล่ะ!"

    ทงเฮรีบสัมทับทันทีเมื่อเห็นใบหน้ากระตือรือร้นที่เว่อร์เกินเหตุของฮยอกแจ เขาถอนหายใจเหนื่อยๆพลางล้วงมือเข้าไปหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทด้านในก่อนจะสะบัดให้มันลอยไปวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าผู้ที่เขากำลังจะมอบหมายงานให้อย่างพอดิบพอดี

     

    "ส่วนฮันคยอง...นี่คืองานของนาย"

    ฮันคยองปรายสายตามองรูปที่วางแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ นัยน์ตาสีน้ำตาลเพ่งพิศภาพแอบถ่ายในมือด้วยแววตาที่แสนเรียบเฉย...ไม่ใคร่สนใจอะไรมากนัก

     

    "คาเงโยชิ ริวยะ...คนญี่ปุ่น มือขวาของเชวฮันซอง ฉลาดเป็นกรดเชียวล่ะ...ระวังตัวด้วย"

    ฮันคยองพยักหน้ารับรู้คำเตือนโดยไร้คำพูดใดๆ ดวงตาคมจ้องบุคคลในรูปซึ่งถูกแอบถ่ายมาแน่นิ่งราวกับกำลังจดจำโครงหน้าของชายชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งในตอนนี้เป็นงานของเขาให้ขึ้นใจ

     

    "รู้นะว่าต้องทำยังไง"

     

    "ครับ" เขาตอบรับคำของนายหนุ่มด้วยถ้อยคำสั้นๆที่ฟังดูแทบจะเป็นเพียงเสียงครางในลำคอพลางเก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวแค่เข่าของตน ทงเฮคลี่รอยยิ้มขึ้นมาบนเรียวปาก...เป็นรอยยิ้มพิกลๆที่จะขบขันก็ไม่ใช่จะอ่อนใจก็ไม่เชิง

     

    "พูดหน่อยสิวะฮันคยอง ฉันไม่กินนายนะเว้ยถ้านายจะพูดภาษาเกาหลีเพี้ยนไปบ้างน่ะ" ชายหนุ่มกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ ซึ่งเขาก็ไม่ได้รับแม้แต่รอยยิ้มของคนที่เขาเย้าแหย่เล่นด้วย...มันเพียงแค่ทำให้เทวทูตหนุ่มผู้พูดน้อยอยู่เป็นนิจเบนหน้าหลบสายตาก็เท่านั้น

     

    "ไอ้นี่มันพูดน้อยน่ะลูกพี่...เนอะฮันคยองเนอะ"

     

    "แต่ถ้านายพูดมากกว่านี้แค่คำเดียว รับรองฉันกินนายแน่ลีฮยอกแจ!" นายหนุ่มแหวกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง...เป็นกริยาที่อาจจะแลดูน่ารักไปเสียหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พ่อคนช่างพูดหงอกลับไปได้เหมือนเดิม ทงเฮสบถพึมพำออกมาเบาๆเหมือนจะเบื่อที่จะต้องลับฝีปากกับเจ้าลูกน้องปากพล่อยคนนี้เต็มทนโดยไม่ได้สังเกตเห็นการขยับตัวอึกอักของยูชอนผู้เป็นดังผู้พิทักษ์ในเงามืดอันเลือดเย็นของตน

     

    "จะดีหรอครับถ้าไม่จัดการกับเชวซีวอนก่อน" ชายหนุ่มเสียงแหบยอมเอ่ยปากถามสิ่งที่ตนคาใจออกมาในที่สุด ซึ่งมันก็ทำให้นายหนุ่มชะงักมือที่กำลังยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากไปชั่วครู่ ทงเฮแย้มรอยยิ้มพลางวางแก้วในมือของตนลง...เป็นรอยยิ้มขื่นๆที่มาพร้อมกับแวววูบไหวบางอย่างในดวงตา

     

    "นายยังฉลาดเหมือนเดิมยูชอน แต่ตอนนี้เชวซีวอนยังไม่ใช่ปัญหาของเรา ที่สำคัญ..."

    ชายหนุ่มนิ่งไปพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากอันแลดูร้ายลึกไม่เหมาะกับใบหน้าหวานๆของเจ้าตัวเลยสักนิด แต่กระนั้น...ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตก็ทอประกายวูบไหวชัดเจนจนคนต้นเรื่องอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่เอ่ยชื่อนั้นออกมา

     

    "พ่ออยากจะดูมันไปอีกสักพัก...คงอยากรู้ว่ามันจะทำยังไงต่อ"

    ทงเฮยักไหล่เหมือนมันไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหนาอย่างที่เขาบอกไว้ตั้งแต่ต้นก่อนจะเอนหลังกลับไปพิงพนักโซฟาและยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากบางสวยของตนอีกครั้ง...กรอกของเหลวสีอำพันลงคอเพื่อลบความรู้สึกบางอย่างอันแสนไร้สาระให้ออกไปจากช่วงอก ดวงตากลมโตเบือนออกไปมองนอกหน้าต่างที่ติดฟิล์มสีทึบเอาไว้อย่างเหม่อลอย...แต่ใครจะรู้เล่าว่าภายใตความเหม่อลอยนั้น คนหน้าหวานกำลังคิดสิ่งใดอยู่

     

    "ยังไงเสีย...เชวซีวอนก็ลูกรักพ่ออยู่แล้วนั่นล่ะ"

     

    ......................................................

     

    "ยูชอนมาช้าจัง ฉันคอยนายนานแล้วนะ" เสียงหวานสะบัดใส่คนที่เพิ่งมาถึงสถานที่นัดอย่างแง่งอนทันทีเมื่อปาร์คยูชอนเริ่มขยับรอยยิ้มอันแสนหล่อร้ายกาจของเขาขึ้นมาบนเรียวปาก คิมจุนซูยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหนี...รู้ดีว่าถ้าเผลอไปมองไอ้รอยยิ้มนั่นเมื่อไร เขาเป็นต้องใจอ่อนยอมหายโกรธเจ้าปากห้อยๆนั่นทุกที!...ทำไมถึงเป็นแบบนั้นตลอดเลยนะ!!

     

    "ก็เจ้านายของผมเลทนี่นา นี่เลยเวลานัดมาแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะครับจุนซู"

     

    "แล้วนายลองมายืนขาแข็งแค่ครึ่งชั่วโฒงบ้างมั้ยล่ะ"

     

    "ทำไมจุนซูไม่นั่งล่ะครับ ตรงนั้นก็มีเก้าอี้ว่างอยู่เห็นมั้ย...ซื่อบื้อจริงๆเลยน้าแฟนผมเนี่ย"

     

    "ปาร์คยูชอน!!"

    เจ้าของชื่อหัวเราะร่าออกมาอย่างถูกใจที่เขาสามารถแหยแฟนหนุ่มของตนให้ปรอทแตกได้อย่างง่ายดายจนน่าจะมอบโล่ห์เกียรติยศอันทรงเกียรติให้ เขายกมือขึ้นกอดคอคนตัวเล็กแล้วจึงรั้งพาเดินออกมาจากบริเวณนั้นก่อนคนเสียงหวานจะได้แว้ดออกมาให้ได้อายอีกเป็นรอบที่สอง

     

    "โอ๋ๆๆๆๆ...ไม่แกล้งแล้วก็ได้ อยากไปไหนล่ะครับสุดที่รักของผม เดี๋ยวผมจะพาคุณไปทุกที่เลย"

     

    "ทุกที่จริงๆนะ"

     

    "ครับ...แต่แค่สองทุ่มนะครับ คืนนี้ผมมีงาน...ไปกันเถอะครับ ผมอยากจะอยู่กับจุนซูของผมนานๆ"

     

    สำหรับผู้พิทักษ์สีเลือดคนนี้แล้ว

     

    ลีทงเฮก็เป็นเหมือนร่างกายที่เขาต้องปกป้อง

     

    ต้องรักษา...อย่าให้ต้องเปื้อนเลือด

     

    ไม่ว่าสองมือของตนจะต้องเปื้อนเลือดคนอื่นสักเท่าไรก็ตาม

     

    แต่คิมจุนซู...คนที่ช่างมีค่าต่อชีวิตของเขามากมาย

     

    เปรียบเสมือนหัวใจที่ทำให้เขามีชีวิต

     

    ต้องรักและดูแล...อย่าให้ต้องหยุดเต้น

     

    ไม่ว่าจะเสียอะไรไปมากเท่าไรหรือต้องทำร้ายใครทั้งน้ำตาก็ตามที

     

    ........................................................

     

    "โทรมามีอะไรรึเปล่า...ค่าโทรต่างประเทศมันแพงไม่ใช่รึไง"

     

    "พี่ครับ..."

     

    "ว่าไงฮยอกแจ" คนเป็นพี่เอ่ยย้อนถามอีกครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองที่น้องชายของตนอึกๆอักๆไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที....รู้ผ่านสายโทรศัพท์อย่างง่ายดายว่าเจ้าน้องชายหน้าไก่ของตนต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในหัวใจเป็นแน่

     

    "คือว่าผม..."

     

    "ฮ่าๆๆๆ....นายนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะฮยอกแจ คิดอะไรก็พูดออกมาสิ ไม่เห็นต้องกลัวนี่ นายก็รู้ว่าพี่จะไม่โกรธนาย"

    ฮยอกแจคลี่รอยยิ้มผ่อนคลายออกมานิดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอันแสนอ่อนโญนของพี่ชายหน้าหวานที่อยู่ไกลถึงจีน

     

    "ผมรู้ว่าพี่ซองมินจะไม่โกรธผม...พี่ไม่เคยโกรธผมอยู่แล้ว"

     

    "รู้แล้วทำไมไม่พูดสักทีล่ะว่ามีอะไร"

     

    "พี่ครับ..."

     

    "หืม?"

     

    "ผมรักพี่นะครับ"

     

    "นายมีอะไรรึเปล่าฮยอกแจ ปิดบังอะไรพี่อยู่รึเปล่า"

    เสียงที่เข้ามขึ้นทำให้ฮยอกแจรู้ว่าคนปลายสายเริ่มจริงจังกับบทสนทนาที่ดูไร้สาระนี่มากขึ้น...แต่บอกไม่ได้หรอก....พูดไม่ได้หรอก....ถ้าพูดไปแล้วมันจะลบรอยยิ้มแสนหวานนั่นให้หายไปและเหลือเพียงความกังวล ก็ไม่ต้องหรอก...ไม่จำเป็นเลยสักนิด...ไม่จำเป็นที่ลีซองมินจะต้องรู้ว่ามือเล็กๆของลีฮยอกแจผู้เป็นน้องชายที่เขาจับกุมเอาไว้มาตลอดเวลานั้นได้เปื้อนเลือดของใครมามากมายจนจำไม่ได้...อย่าดีกว่า เขาแสร้งแย้มรอยยิ้มขึ้นเหมือนอยากจะบอกให้ปลายสายรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

     

    "เปล่านี่ครับ...ไม่มีอะไรเสียหน่อย"

     

    "นาย...เหงาหรอ"

    ฮยอกแจตอบคำถามนั้นไม่ได้ เขาจึงทำเพียงแค่เบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างของคาเฟ่เล็กๆที่เขานั่งอยู่ ดวงตาเรียวรีจับจ้องผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้ากระจกร้านไปมาอย่างวุ่นวาย...ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อยู่เช่นเดิม และพี่ชายหน้าหวานก็ถือความเงียบนี้เป็นคำตอบรับ

     

    "อีกแค่นิดเดียวนะฮยอกแจ อีกแค่ไม่กี่เดือนพี่ก็จะกลับไปแล้ว...กลับไปเป็นหมอที่เกาหลีมีเงินเยอะๆ แล้วเราจะไม่ลำบากกันอีกแล้ว...อดทนเพื่อนพี่หน่อยได้มั้ยฮยอกแจ เราจะได้ดูหิมะแรกของปีด้วยกันนะพี่สัญญา"

    คนที่ถูกขอให้อดทนคลี่รอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาบนเรียวปากเป็นครั้งแรกของการสนทนา

     

    "ครับพี่ซองมิน...ได้แน่นอนอยู่แล้ว"

     

    สำหรับผู้พิทักษ์แห่งความเชื่อมั่น

     

    ลีทงเฮคือคนที่เขาต้องปกป้องด้วยชีวิต

     

    ปกปักษ์รักษา...ด้วยทุกความสามารถที่มีโดยไม่สงสัยสิ่งใด

     

    เชื่อในสิ่งที่ตนคิดโดยไร้ข้อกังขาใดๆให้วุ่นวาย

     

    ลีซองมินคือคนที่เขาต้องดูแลด้วยหัวใจ

     

    รักจนสุดใจ...ด้วยทุกความรู้สึกที่มีโดยไม่คิดเสียใจ

     

    ยึดมั่นในความรู้สึกของตนโดยไร้สิ่งใดสามารถมำให้สั่นคลอน

     

    ..........................................

     

    คนอย่างคาเงโยชิ ริวยะไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าตนคือเป้าหมายคนต่อไปของฝ่ายตรงข้าม...เช่นเดียวกับมาเฟียใหญ่อย่างลีดองวุคที่ไม่ใช่คนโง่ เขาคงตระหนักได้ถึงความน่ากลัวในการจัดการเรื่องต่างๆของเชวซีวอนเข้าแล้วถึงได้เริ่มลงมือทำการล้างบางโซเฮยอนในสิ้นซากแบบนี้ ริวยะรู้ความจริงข้อนี้มานานจนทำใจได้เสียแล้ว...แต่ก็นั่นล่ะ...ใครจะยอมตายง่ายๆกัน! พวกมันจะส่งเทวทูตมาคืนนี้เขารู้...เหมือนอย่างที่ทำกับเชวฮันซอง แต่ไม่เป็นไร...เขาก็เตรียมรับมือเรื่องนั้นมาเรียบร้อย

     

    คาเงโยชิ ริวยะขยับร่างผอมเกร็งของตนขยุกขยิกอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่พลางขยับปากกาในมือไปมาเพื่อจรดลายเซ็นของตนลงบนเอกสาร หากแต่มือใหญ่อีกข้างหนึ่งกลับจับกระชับแน่นอยู่ที่ด้ามปืนซึ่งถูกซ่อนไว้อยู่ด้านล่างของลิ้นชัก หน้าต่างด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขาถูกเปิดออกอย่างเคยเพื่อให้สายลมยามราตรีกาลโบกพัดเข้ามาจนม่านกำมะหยี่สีเลือดนกขยับไหวเบาๆ ส่วนหน้าต่างอีกสองบานที่เหลือนั้นถูกปิดสนิทเช่นเดียวกับประตูบานเดียวของห้องที่ถูกล๊อคไว้อย่างแน่นหนา

     

    เสียงโทรศัพท์มืถือที่ดังขึ้นในความเงียบอันวังเวงทำให้ปลายปากกาหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนเขาจะตัดสินใจวางปากกาลงเพื่อใช้มือข้างนั้นล้วงหยิบเจ้าอุปกรณ์สื่อสารที่กำลังกรีดร้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทด้านใน...ไม่ยอมแม้แต่จะละปลายนิ้วออกมาจากด้ามปืนเพียงเสี้ยววินาที

     

    "ว่าไง"

     

    "แน่ใจนะครับว่าไม่ต้องการพวกผม"

    เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคย...คิมคิบอม

     

    "แกจำสิ่งที่ฉันบอกให้แกทำได้รึเปล่า"

    ริวยะไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับย้อนถามคำถามใหม่ด้วยเสียงนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใดๆอันเป็นเสียงที่ใครต่อใครคุ้นเคย และมันก็ทำให้คนที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนจำต้องตอบคำถามนั้นอย่างไร้ทางเลือก

     

    "จำได้ครับ"

     

    "ดีแล้ว" เขาตอบกลับไปสั้นๆแล้วจึงวางสายไปโดยไม่ลืมที่จะปิดเครื่องเพื่อไม่ให้มันดังขึ้นมากวนใจเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นถอนหายใจพลางหยิบปากกาขึ้นมาจรดมันกลับลงไปบนกระดาษเหมือนเดิม แต่ถึงแม้สายตาและมือของเขาจะยังจดจ่ออยู่กับงาน ในหัวของเขากลับเต็มไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง...เรื่องของเทวทูตแห่งความตาย

     

    ไม่บ่อยนักที่พวกจางซึนกีจะส่งเทวทูตออกมาส่งสารแห่งความตาย เพราะลำพังเพียงแค่อิทธิพลอันมากล้นของลีดองวุคก็ทำให้ทุกอย่างง่ายดายมากพออยู่แล้ว แต่ถึงแม้มันจะไม่บ่อย....ทุกกลุ่มก็รู้ความสามารถในการส่งสารของคนของลูกชายของเขาคนนี้ดีว่ามีประสิทธิภาพมากขนาดไหน...ส่งสารถึงมือผู้รับได้รวดเร็วขนาดไหน!

     

    ไม่มีใครทราบรูปพรรณสัณฐานที่แน่ชัดเพราะไม่เคยมีใครรอดกลับมาเล่าให้ฟัง และมันก็เป็นเรื่องน่าขำในการคิดว่าบางทีเขาอาจจะเคยเดินสวนกับพ่อเทวทูตคนนี้มาเป็นล้านๆครั้งแล้วก็ได้ คำว่าเทวทูตไม่ใช่คำที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยไร้ความหมาย หากแต่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บอกลักษณะของชายปริศนาคนนี้ได้...งดงามดั่งเทวทูต...เขาเล่ากันมาว่าอย่างนั้น และริวยะก็เชื่อเรื่องนี้มากพอๆกับที่เขาเชื่อว่าเขาจะรอดผ่านคืนนี้ไปได้...ไม่เชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว!

     

    ชายหนุ่มเก็บเอกสารทั้งหมดใส่ลิ้นชักใกล้ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง...ปล่อยให้ลมเย็นๆโบกพัดต้องใบหน้าและเส้นผมจนมันยุ่งเหยิง หากทว่าลมเย็นๆวูบหนึ่งที่พัดเข้ามานั้นก็ทำให้นัยน์ตาของเขาขยับเบิกกว้างขึ้นมาในทันที มือใหญ่กระชากปืนออกมาจากที่ซ่อน แต่โลหะเย็นเฉียบที่จี้ประชิดอยู่ที่ข้างขมับก็ทำเอาเลือดในกายของเขาแข็งค้าง และปล่อยปืนในมือหลุดลงพื้นอย่างรวดเร็วพอๆกับตอนที่มัถูกดึงออกมา เขาเหลือบมองไปยังชายหนุ่มผู้ซึ่งปรากฏกายอยู่ข้างๆเขาด้วยสายตาหวาดกลัว เทวทูตแห่งความตายยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย...ไม่ยี่หระต่อความหวาดกลัวนั้นราวกับเคยชิน ไฟที่เปิดสว่างทำให้ริวยะเห็นใบหน้าของผู้บุกรุกชัดนัก...และภาพนั้นก็สะท้อนอยู่ในแววตาอันหวาดกลัวของเขาอย่างชัดเจน แต่เพียงไม่นานเขาก็สามารถลบความหวาดกลัวออกไปจนหมดสิ้น...หลงเหลือไว้เพียงดวงตาเรียบเฉยอันเจ้าเล่ห์ฉลาดเฉลียวดังเดิม

     

    ชายชาวญี่ปุ่นขยับตัวเพื่อหมุนเก้าอี้ไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ยอมให้ปลายกระบอกปืนเบี่ยงมาจ่ออยู่ที่กลางหน้าผาก แลกกับการที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของเทวทูตหนุ่มได้เต็มสองตา ซึ่งเขาก็ไม่ผิดหวังนักเพราะเทวทูตหนุ่มไม่ยอมแม้แต่จะขยับมือที่ถือปืนด้วยซ้ำ

     

    "ฆ่าฉันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรอกนะ" เขาเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย...เนิบนาบจนน่ารำคาญ

     

    "ทุกอย่างถูกวางไว้หมดแล้ว เชวซีวอนไม่ใช่คนโง่ เขาวางแผนทั้งหมดไว้เรียบร้อยเพื่อเอาทุกอย่างที่ควรจะเป็นของเขาคืน...ฆ่าฉันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา" ริวยะว่าพลางขยับปกเสื้อสูทสีดำของตน แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็ไม่ได้แม้แต่จะทำให้แววตาของเทวทูตหนุ่มวูบไหว เขารับฟังมันด้วยใบหน้าเรียบเฉยและไม่พูดแทรกแม้สักคำราวกับอยากจะให้ชายที่นั่งอยู่ได้ทำตามใจเป็นครั้งสุดท้าย

     

    "คาเงโยชิ ริวยะ" เทวทูตหนุ่มประกาศถ้อยคำแห่งความตาย...และเพียงแค่การเอ่ยเรียกชื่อสั้นๆ มันก็ถึงกับลบประกายตาอันแสนเจ้าเล่ห์ให้จางหายไปจากแววตาของเจ้าของชื่อได้อย่างง่ายดาย ริมฝีปากของริวยะขยับอ้าหุบอยู่หลายครั้งคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็ไร้เสียงใดๆเล็ดลอดออกมา....ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้แววตาของเทวทูตหนุ่มหวามไหวเพราะความสงสารแต่อย่างใด กลับกัน...เขากระชับปืนในมือแน่นขึ้น

     

    "แล้วเจอกันในนรก"

     

    ปัง!!

     

    ............................................

     

    ร่างสูงโยนเสื้อโค้ทของตนลงบนเตียงพร้อมกับอาวุธคู่กาย ห้องของเขามืดสนิทเพราะเจ้าของห้องไม่นึกอยากจะเปิดไฟสักดวง มันจึงมีเพียงแสงไฟจากด้านนอกเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่ห้องของเขา...แต่มันก็ทำอะไรได้ไม่มากนักนอจากสร้างเงาตะคุ้มจางๆให้ปรากฏตามแนวกำแพงก็เท่านั้น ฮันคยองเดินไปเปิดตู้เย็น คว้าขวดเบียร์ติดมือมาหนึ่งขวดก่อนจะย้ายตัวเองออกจากห้องไปยืนรับลมอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึก...อยากจะหาที่เงียบไให้ลมเป่าหัวเพื่อให้ลืมกลิ่นเลือดก่อนจะล้มตัวลงนอนก็แค่นั้น

     

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปทรุดตัวนั่งลงบนขอบกำแพงกั้นเตี้ย...จงใจละเลยป้ายที่แขวนบอกไว้ว่าห้ามขึ้นไปนั่งหรือยืนบนนั้นก่อนจะกระดกขวดเบียร์ขึ้นจรดริมฝีปาก นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองออกไปไกล ณ เส้นขอบฟ้าที่ดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปเสียแล้ว ผมสีทองซีดยาวระต้นคอปลิวสะบัดตามแรงลมเล็กน้อย หากแต่เขาก็ไม่สนใจว่ามันจะยุ่งในเวลาอีกไม่นาน

     

    เขายกขวดเบียร์ขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้งก่อนจะวางมันลงบนกำแพง...และนั่นก็ทำให้เขาหันไปเห็นร่างบอบบางของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนขอบกำแพงห่างออกไปไม่กี่เมตร ชายผ้าพันคอสีขาวที่ดูน่าอบอุ่นโบกสะบัดไปตามแรงลม เช่นเดียวกับชายเสื้อและผมสีน้ำตาลทอง สายลมที่โบกพัดจนตัวเสื้อแนบลงไปกับร่างทำให้เขารู้ว่าเจ้าของร่างบอบบางคนนั้นเป็นผู้ชาย...ยืนยันความจริงขอนั้นอบ่างชัดเจนถึงแม้เสี้ยวหน้าด้านข้างจะงดงามจนลืมหายใจ ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้นก่อนในที่สุดจะยกมือขึ้นมาปัดผมให้ออกไปพ้นใบหน้าและหันมาคลี่รอยยิ้ม

     

    มันทำให้คนที่แอบเฝ้ามองรู้ตัวในทันทีว่าตนแอบเหม่อมองชายหนุ่มปริศนาคนนั้นอย่าเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สตินานขนาดไหน!

     

    ................................................

     

     

     สวัสดีจ้า^^...ทักทายกันครั้งแรกสำหรับเรื่องนี้เนอะ จำได้ว่าบอกไปก็หลายคนอยู่ว่าเรื่องใหม่แบ๊วแน่นอน แต่เปิดเรื่องมาดันยิงกันตายซะงั้น- -*...ขอโทษทีนะจ้ะ ขอเอาเรื่องนี้ลงก่อนละกันนะ ดูสีธีมก็น่าจะรู้กันแล้วว่าเรื่องนี้ออกจะดาร์กหน่อยๆ(เรื่องที่แล้วเป็นสีขาวถ้าใครเคยอ่าน...ฟีลมันต่างกันค่ะ ลองอ่านดูเดี๋ยวก็รู้^^) หลังจากปล่อยบทนำไปสองสามวัน(รับผลแอดมิดเลยทีเดียว- -*) รีดเดอร์90%ที่เมนต์ทิ้งไว้หน้าแตกกันเป็นแถวๆ...ใครว่าเค้าคนนั้นคือลีทงเฮล่ะยะ!...เปนป๋าฮันของเราต่างหาก ชื่อเรื่องเปนคิเฮ แต่คนเปิดเรื่องเป็นป๋าฮันนี่มันก็ยังไงๆอยู่นะ(ปล่อยให้งงเล่นๆๆ) ตอนนี้ก็มีมาให้เดากันอีกแล้วว่าไอ้หนุ่มคนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้ากับฮันคยองเปนใคร^^...จะเดากันถูกมั้ยน้า



    ตอนหน้าอาจจะเลทนิดหน่อยถึงมากที่สุดค่ะ เพราะชีวิตช่วงนี้วุ่นวายมาก ผ่านช่วงค้าขายฟิค(ใครซื้อจัสต์ยูเสาร์หน้าเจอกันค่ะ)และช่วงรับน้องไปเมื่อไร อาทิตย์ละตอนเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ ตอนนี้ก็เอาไอ้สองตอนนี้ไปนอนกอดซักสองสามอาทิตย์ละกันนะจ้ะ



    คนที่เคยเจอกันแล้วที่เรื่องที่แล้วสวัสดีอีกครั้งค่ะ ส่วนคนที่เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะ^^


    ปล.  โอยยย เด็กดีเปนหอยอะไรฟะเนี่ย เราต้องลบตอนก่อนหน้าแล้วลงใหม่อีกรอบเพื่ออะไรกานนนนนนนนน




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×