คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 10' :สิ่งที่มองเห็นจากข้างหลัง
"นี่อีทึก..."
"ทำไมหรอฮีชอล"
เจ้าของชื่อที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นหญ้าริมสระน้ำด้านข้างตึกคณะศิลปกรรมเหลือบสายตาไปมองคนเอ่ยเรียกที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างๆเล็กน้อยก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆและเอนแก้มแนบวางลงบนหัวเข่า จ้องมองน้องชายที่กำลังใช้มือเสยผมตัวเองให้วุ่นวายด้วยสายตาอบอุ่น อีทึกเอื้อมมือขึ้นไปเกี่ยวผมที่ระอยู่ที่ข้างแก้มขาวของน้องชายขึ้นไปถัดหูเบาๆ
"ฮีชอลผมยาวแล้ว"
"นายผมยาวกว่าฉันอีกนะ!"
ฮีชอลตวัดเสียงใส่เขาพร้อมกับปัดมือของเขาออกมาจากใบหน้าที่เจ้าตัวหวงนักหวงหนาแรงๆ...ก็เจ็บนิดหน่อย แต่อีทึกก็ไม่ได้เก็บเอามันมาใส่ใจอะไรมากมายนัก เขาคลี่ยิ้มออกมา ปล่อยให้ฮีชอลเหล่ตามองเขาด้วยสายตาพาลๆอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยต่อว่าใดๆออกมาแม้สักคำ เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายสบถงึมงำในขณะที่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาจิ้มกดยิกๆเหมือนอยากจะกลบเกลื่อนอาการบางอย่าง
"นายมันงี่เง่าอีทึก"
"รู้แล้วล่ะนา ฮีชอลบอกฉันแบบนั้นทุกวันเลย"
"เหอะ!"
อีทึกหลุกเสียงหัวเราะออกมาอีกให้กับอาการแบบนั้นของน้องชาย เขาใช้มือดึงกิ๊ฟต์หนีบผมสีดำเรียบๆที่ติดรั้งเส้นผมของตัวเองเอาไว้อยู่ออกมาเพื่อใช้มันหนีบติดเส้นผมที่ตกลงมาระข้างแก้มของน้องชายขึ้นไปอยู่ที่เหนือใบหู ฮีชอลเหล่ตามามองเขานิดๆคล้ายจะประเมินว่าเขาคิดจะทำอะไรแผลงๆกับผมที่เจ้าตัวรักนักรักหนารึเปล่า และเขาก็ทำเพียงแค่ส่งรอยยิ้มไปให้พร้อมกับใช้ข้อนิ้วลูบแก้มเนียนๆของอีกฝ่ายเบาๆ
"ปล่อยผมไว้แบบนั้นเดี๋ยวจะสิวขึ้นนะ"
"ฉันรู้แล้วนา!"
ฮีชอลปัดมือของเขาออกจากการจับเนื้อต้องตัวเป็นครั้งที่สองด้วยแรงที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย...และก็เป็นอีกครั้งที่พี่ชายคนดีไม่ได้เอ่ยปากต่อว่าใดๆออกมาแม้สักคำ อีทึกกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ในลำคอพลางพลิกใบหน้ากลับมาเกยคางวางไว้บนหัวเข่าตามเดิม
"มันใกล้แล้ว...นายรู้มั้ย"
เสียงของฮีชอลเรียบเฉย ต่างจากหัวใจของเขาที่กระตุกไป รอยยิ้มบนเรียวปากจืดเจื่อนลงนิด หากแต่เขาก็จัดการทำให้มันกลับมาดูสดใสได้ในวินทีถัดมาโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น อีทึกพลิกหน้าเอนแก้มแนบลงกับหัวเข่าอีกครั้ง...ทว่าครั้งนี้ทิศทางที่เขาเบือนหน้าไปหากลับไม่มีน้องชายนั่งอยู่ตรงนั้น
"ฮีชอลกลัวหรอ"
"ทำไมต้องกลัวด้วย ยังไงมันก็มาถึงสักวันอยู่ดีนั่นล่ะ"
"ไม่หรอก...ฮีชอลมีฉันอยู่ทั้งคน ฮีชอลจะไม่เป็นอะไร"
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้ำเสียงของตัวเองเป็นแบบนั้น...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้วันแสนดีกลายเป็นแบบนี้ แต่บางครั้ง...เขาก็เกลียดความรู้สึกของตัวเองมากจริงๆ อีทึกกอดขาของตัวเองแน่นขึ้น จิกปลายเล็บเข้ากับเนื้อที่ต้นแขนเพื่อให้ตัวเองรู้สึกเจ็บ...จะได้ไม่ต้องรู้สึกถึงความรู้สึกอื่นในหัวใจที่มันน่าเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าฮีชอลกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ หากแต่มือนิ่มที่วางทาบลงมาบนศีรษะของเขาเบาๆพร้อมกับร่างผอมบางของน้องชายที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นจนสีข้างสัมผัสกันก็ทำให้เขาเลิกคิดอะไรมากมายไปในทันที
เพราะบางที...พี่ชายคนนี้ก็รักน้องชายที่ชื่อคิมฮีชอลมากเกินไปจริงๆ
เพราะบางที...การมีอยู่ของน้องชายที่ชื่อคิมฮีชอลก็มีค่ามากสำหรับพี่ชายคนนี้จริงๆ
"ฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรนายอีทึก ต่อให้ฉันกำลังจะตายไม่มีแม้แต่แรงหายใจ ฉันก็จะไม่ยอมให้ใครเอาหัวใจของนายมาใส่ให้ฉัน...ไม่มีทางยอมเด็ดขาด"
...............................................................
"อยากเที่ยวกันมั้ยคิมฮีชอล"
"ไปตายคนเดียวไป๊!"
อีทึกหลุดหัวเราะคิกคักออกมาและเกือบจะสำลักนมที่ตัวเองกำลังดูดอยู่เพราะถ้อยคำตอบโต้คำเชิญชวนนั้นของน้องชาย ฮันคยองดูอึ้งไปนิดให้กับคำตอบที่มาเร็วทันใจมากเกินไปเสียหน่อย...ทำท่าทำทางยกมือขึ้นกุมหัวใจเหมือนหัวใจสลายด้วยสีหน้าอึ้งๆแบบนั้นน่ะน่ารักดีชะมัด แต่ไม่นานเจ้าตัวก็กลับมายิ้มกว้างได้อีกครั้ง คนตัวสูงที่อุตส่าห์ตามหาพวกเขาในโรงอาหารกลางอันวุ่นวายได้จนเจอชูตั๋วบางอย่างสามใบขึ้นมาโบกไปมาเหมือนอยากจะอวดให้สองพี่น้องตระกูลคิมได้เห็นพลางถือวิสาสะสอดตัวเข้ามานั่งบนเก้าอี้เคียงข้างเขา...อ่า ฮีชอลตาลุกวาวขึ้นมาเชียวล่ะ
"ใครเชิญนายนั่งไม่ทราบฮันคยอง...แล้วก็อย่าเข้าใกล้คนของฉันด้วย!"
"รับปากว่าจะไปด้วยกันก่อนสิแล้วฉันจะไป เอเวอร์แลนด์เชียวนะคิมฮีชอล อีทึกก็อยากไปใช่มั้ยล่ะ...เห็นมั้ยอีทึกพยักหน้าด้วย"
"อีทึก!!"
"ฉันเปล่าสักหน่อย ฮีชอลอย่าพาลฉันสิ"
"เหอะ!"
โดนพี่ชายทำปากยื่นใส่เข้าหน่อย คิมฮีชอลก็ดูเหมือนจะน๊อตหลุดแบบถาวร(?) คนสวยประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์กระแทกตะเกียบของตนลงบนถาดอาหารเสียงดังก่อนจะยกถาดอาหารของตนลุกเดินหนีไปเอาเสียเฉยๆท่ามกลางสายตางงๆของเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองคน อีทึกเอนคอมองตามหลังน้องชายไปนด้วยสายตาไม่เข้าใจ...ฮีชอลก็เข้าใจยากแบบนี้เสมอนั่นล่ะนะ เขารีบดูดนมที่เหลืออยู่ในกล่องให้หมดแล้วจึงตั้งท่าจะลุกเดินตามน้องชายไป แต่สีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ทำให้เขาต้องทรุดตัวกลับลงมานั่งตามเดิม
จะให้อีทึกทิ้งหัวใจของตัวเองให้นั่งทำตาเศร้าอยู่ตรงนี้...อีทึกก็ใจร้ายเท่านั้นไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ
"ฮันคยอง..."
"ยัยคิมฮีชอลนี่ไม่ได้เรื่องเลยน้าาา"
อีทึกส่งรอยยิ้มอ่อนจางไปให้คนข้างกายที่ทำหน้ายู่อยู่กับตัวเองด้วยท่าทางผิดหวังสุดๆ...เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรเพื่อปลอบใจอีกฝ่ายดี...แม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไรแล้วจะให้เขาพูดอะไรกันล่ะ ฮันคยองฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง
"ฮันคยอง...ร้องไห้หรอ?"
"ฮ่าๆ!...คิดอะไรแบบนั้น ฉันเลิกร้องไห้เพราะคิมฮีชอลมานานแล้ว"
"งั้นหรอ"
"งั้นสิ!...จะรักคิมฮีชอลได้นี่ต้องอึดถึกทนนะ อีทึกรู้รึเปล่า"
ฮันคยองหัวเราะออกมาให้กับความห่วงใยของเขา แขนยาวข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาวางพาดยาวไว้บนโต๊ะก่อนที่อีกฝ่ายจะเอนแก้มแนบลงบนแขนข้างนั้น ในขณะที่ก็ใช้มืออีกข้างมาจับศีรษะของเขาโยกเอนไปมาอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ อีทึกชะงักไปนิด...ลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองควรจะทำสีหน้าแบบไหนตอบรับถ้อยคำเมื่อครู่ดี แต่สุดท้ายเขาก็สามารถส่งรอยยิ้มตอบกลับรอยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมอบมาให้เขาได้เป็นสำเร็จ ดวงตาคมที่ชอบมองเขาเหมือนเป็นเด็กเล็กๆคู่นั้นจ้องมองขึ้นมายังเขาอย่างอ่อนโยน
แต่มันไม่เหมือนตอนที่มันจ้องมองคิมฮีชอลเลยสักนิด
และบางครั้ง...มันก็ทำให้เขาอิจฉามากเหลือเกิน
"ไม่รู้ว่าฉันเคยบอกอีทึกรึยัง แต่อีทึกก็คงจะรู้แล้วนั่นล่ะ"
"รู้อะไรหรอ"
"ก็...เรื่องที่ฉันชอบคิมฮีชอลน่ะ"
บางครั้ง...อีทึกก็ประหลาดใจที่ตัวเองยังสามารถยิ้มได้อยู่ทั้งๆที่เจ็บปวด
"ฉันคิดว่าฉันควรจะมาขออนุญาตอีทึกก่อนน่ะ แต่ก็นะ...ขอให้ฉันดูแลน้องชายของอีทึกได้มั้ย"
ฮันคยองดูเก้อเขินยามที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา ผิวแก้มของเจ้าตัวแดงระเรื่อขึ้นมาได้อยากน่ารักจนเขาอยากจะหัวเราะออกมาและพูดแหย่ออกไปเหมือนทุกที หากแต่อีทึกกลับทำได้เพียงแค่ส่งรอยยิ้มไปอย่างคนโง่พร้อมกับหลุบสายตาลงมาจ้องมองถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ทำได้เพียงแค่บอกตัวเองให้ยิ้มต่อไป
ทำได้เพียงแค่บอกตัวเองให้หายใจต่อไป
ทำได้เพียงแค่บอกตัวเองให้ไม่รู้สึกอะไร
"อื้ม...เอาสิ"
"งั้น...อีทึกช่วยฉันหน่อยได้มั้ย แค่นิดเดียวก็ได้นะ"
ทำไมความรักของเขาถึงชอบทำให้เขามีน้ำตานักนะ...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
คิมฮีชอลหัวเสีย โอ้ แน่ละ...หัวเสียแน่อยู่แล้ว! พักกลางวันของเขาถูกทำลายโดยฝีมือของไอ้พวกต่างด้าวไร้สมองที่สักจะพูดอะไรก็พูดโดยไม่คิดถึงหัวใจของใครอีกคน และกว่าเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองฟิวส์ขาดจนลืมพี่ชายเอาไว้กับไอ้ไร้สมองนั่นที่โรงอาหารก็เป็นตอนที่เขาเดินออกมาไกลโขแล้ว...บ้าชะมัด! เขาสบถพลางเร่งฝีเท้าเดินย้อนกลับไปตามทางเดิมที่ตัวเองเพิ่งเดินผ่านมา...เขาไม่ชอบให้ไอ้ไร้สมองนั่นอยู่ใกล้พี่ชายของเขา...ไม่ชอบสุดๆไปเลยด้วย!
"เดินดูทางหน่อยสิวะ!"
เขาหันไปสบถใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวเองเดินชนเข้าอย่างไม่คิดจะสนว่าตัวเองเป็นคนผิดก่อนจะก้าวยาวๆเข้าไปในโรงอาหารที่มีคนวุ่นวายไม่เลิกไม่ราเสียที...แม่งเอ๊ย! ไอ้ไร้สมองนั่นจับหัวพี่ชายจอมน่ารำคาญของเขาอีกแล้ว! คนสวยก้าวฉับๆตรงเข้าไปที่โต๊ะก่อนจะใช้สองมือตบปึ้งลงบนโต๊ะจนคนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหลังตรงแทบจะในทันที ฮันคยองดูตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนหมอนั่นจะคลี่ยิ้มส่งมาให้เข้าด้วยรอยยิ้มเดิมๆที่เขาไม่เคยชอบที่จะจ้องมอง
"ลืมอะไรรึเปล่าคิมฮีชอล"
"เงียบปากไป! เสียงของนายมันน่ารำคาญฮันคยอง!...อีทึก ไปเรียน!"
"อ่ะ...อืม"
พี่ชายเงิยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มให้เขาพร้อมกับพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย หากแต่ชั่ววินาทีสั้นๆที่เขาได้สบตากับดวงตาแสนหวานคู่นั้นก็ทำให้เขาต้องเบิกตาขึ้นกว้างพร้อมด้วยเลือดในกายที่เย็นเฉียบขึ้นมา...ทั้งๆที่ในหัวกำลังรู้สึกเหมือนกำลังจะใกล้ระเบิด
ทำไมถึงมีคนชอบทำให้อีทึกร้องไห้นัก!
ทำไมคิมฮีชอลถึงไม่เคยปกป้องตนของตัวเองได้เลยสักครั้งนะ!
"มึงทำอะไรพี่กู!"
เขาคว้าข้อมือของพี่ชายพร้อมกับกระชากตัวของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นออกมาจากเก้าอี้ ดึงเข้ามาให้หลบซ่อนอยู่ที่ด้านหลังของตน...ถ้าจะถามว่าหวงอย่างนั้นหรอ เออสิวะ!...ใครๆก็หวงคนของตัวเองทั้งนั้นนั่นล่ะ! ฮันคยองร้องอุทานออกมาเบาๆให้กับเสียงตวาดและความหยาบคายของเขา หมอนั่นรีบลุกขึ้นตามขึ้นมา ทำสีหน้าท่าทางงั่งๆอย่างการทำเป็นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำให้คนอื่นจะร้องไห้แล้วไม่รู้เรื่องได้ยังไง
ทำให้คนที่รักตัวเองมากขนาดนั้นจะร้องไห้แล้วไม่รู้เรื่องได้ยังไง!
งั่งสิ้นดี!
"คิมฮีชอล ฉันม่ะ..."
"มึงพูดอะไร! ทำพี่กูร้อ...อุ๊บ! อื้อออ!"
มือเล็กบอบบางข้างหนึ่งอ้อมมาปิดปากของเขาหมับ ปิดกั้นคำพูดที่เหลือของเขาให้ค้างอยู่ที่กลางลำคอและเหลือเพียงเสียงอื้ออึงไม่เป็นคำ จากหางตา เขาเห็นพี่ชายจอมงี่เง่าของตัวเองคลี่รอยยิ้มส่งข้ามไหล่ของเขาไปให้คนที่ยืนทำหน้าเจื่อนๆอยู่ตรงหน้า
"ขอโทษนะฮันคยอง ฉันต้องไปเรียนแล้วล่ะ"
"อ่า...ครับ"
"แล้วก็เรื่องที่ขอน่ะ...ฉันจะลองช่วยพูดให้ละกันนะ"
ถ้าน้ำเสียงจะสิ้นหวังขนาดนั้น...
ถ้ามือจะสั่นไหวได้มากขนาดนั้น...
"เหอะ!"
ฮีชอลปัดมือของพี่ชายออกจากริมฝีปากของตนแรงๆ เขาตวัดสายตามองคนตัวสูงตรงหน้าด้วยสายตาเกลียดชังก่อนจะสะบัดตัว รั้งจับข้อมือของพี่ชายและพาเดินออกมาจากโรงอาหารกลางที่แสนวุ่นวาย ก้าวเดินของอีทึกเชื่องช้าจนน่ารำคาญ...และเขาก็หงุดหงิดใจมากเกินกว่าที่จะชะลอฝีเท้าของตัวเองให้ช้าลงหรือหยุดคอย ระยะห่างของพวกเขาจึงกว้างมากขึ้นทุกทีที่ก้าวเดินจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลากให้พี่ชายให้เดินตามมาเหมือนคนใจร้าย แต่ถ้าหากเขาไม่เกาะกุมข้อมมือเล็กๆข้างนั้นเอาไว้และกระชากลากให้อีกฝ่านเดินตามมาอย่างเอาแต่ใจแบบนี้
อีทึกคงหยุดเดิน...และล้มลงเดี๋ยวนั้น
พี่ชายแสนน่ารำคาญของเขาก็ทำได้เพียงเท่านั้นนั่นล่ะ!
"นี่ฮีชอลอ่า..."
"อะไร! อย่าพูดมากได้มั้ย ฉันกำลังหงุดหงิดนายรู้รึเปล่า"
"อื้ม"
พี่ชายรั้งข้อมือของตัวเองเอาไว้นิด และก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าพี่ชายคิดจะทำอะไร อ้อมแขนก็สอดเข้ามาโอบกอดเอวของเขาเอาไว้จากด้านหลัง ฮีชอลหยุดการก้าวเดินของตัวเองลง...ยืนนิ่งให้พี่ชายกอดอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกที่ค่อยๆสงบลง อีทึกฝังใบหน้าเข้ากับบ่าของเขา กอดกระชับตัวของเขาแน่นขึ้นด้วยอ้อมกอดอันสั่นไหวราวกับต้องการอะไรสักอย่างไว้ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตัวเองต้องล้มลง
"ฉันรักฮีชอลนะ"
"เออ รู้แล้วนา"
"ฉัน...ฮึก...รักฮีชอลจริงๆนะ"
"ไม่ต้องฝืนพูดก็ได้นะถ้าไม่ได้มากขนาดนั้นจริงๆน่ะ"
เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะแสนเสียดสีประชดประชันเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง...คิมฮีชอลไม่เคยใช่พวกปากหวานแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนั่นล่ะ แต่แทนที่เขาจะทำให้ยัยพี่ชายขี้แยร้องแง้วๆออกมาอย่างแสนงอนเหมือนเคย อีทึกกลับกอดเขาแน่นขึ้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับลาดไหล่ของเขามากขึ้นจนเขารู้สึกได้ถึงรอยเปียกชื้นบนเสื้อผ้าของตัวเอง...และคิมฮีชอลก็ทำได้เพียงแค่ยืนโง่อยู่นิ่งๆอย่างนั้น
"ฉันรักฮีชอลจริงๆนะ...ฮึก...รักมากที่สุด...รักฮีชอลมากจริงๆ"
คิมฮีชอลเพิ่งจะทำหัวใจของพี่ชายแตกสลายใช่รึเปล่า
คิมฮีชอลเพิ่งจะทำความรู้สึกของคนของตัวเองพังทลายใช่รึเปล่า
บ้าบัดซบที่สุดเลย!
.............................................................
คิมฮีชอลล่ะสงสัยตัวเองเป็นบ้า..
เขามาทำห่าอะไรที่นี่วะแม่ง!!
"อ๋าาา! เครื่องเล่นอันนั้นดูน่ากลัวจัง"
เขาล่ะอยากจะตบหัวยัยพี่ชายไปสักป้าบเผื่อจะเลิกทำตัวบ้านนอกส่งเสียงร้องโอ้อ้าเสียงดังแบบนั้นได้บ้าง แต่ก็นะ...เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเฝ้ามองยัยพี่ชายบ้านนอกนั่นเอาไว้ไม่ให้คลาดหลงหายไปไหน...ขี้คร้านจะยืนร้องไห้ให้อายเด็กน่ะสิไม่ว่า! ฮีชอลถอนหายใจออกมาเบาๆพลางล้วงมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ขาเดฟพอดีตัวของตน ก้าวเดินตามพี่ชายไปเรื่อยๆด้วยท่าทางเซ็งๆ
"ไม่สนุกหรือไงคิมฮีชอล แก่เกินไปสำหรับเอเวอร์แลนด์ซะแล้วล่ะมั้ง"
"เงียบปากไปเลยนะนายน่ะ!"
เขาหันไปตวัดเสียงใส่ไอ้คนต่างด้าวที่เดินกอดอกอยู่ข้างๆด้วยท่าทางสุนทรีย์มากผิดปกติยังไงพิกลจนมันน่ารำคาญลูกหูลูกตา ฮีชอลสบถออกมาเบาๆพลางเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าข้อมือของพี่ชายที่ตั้งท่าจะเดินทิ้งห่างเขาออกไปเอาไว้และรั้งให้กลับเข้ามาใกล้ตัว ในขณะเดียวกันก็ขยับถอยห่างออกมาจากคนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆเหมือนไม่อยากจะให้พี่ชายอยู่ใกล้หมอนั่นมากเกินไปนัก
"ไปเล่นรถไฟเหาะกันดีกว่าอีทึก"
"อ๋าา! ไม่เอานะฮีชอล มันน่ากลัวออก อย่าเล่นเลยนะ"
"ฉันบอกว่าเล่นก็เล่นไปเหอะนาา!"
ฮีชอลกระตุกข้อมือของพี่ชายแรงๆเพื่อให้อีกฝ่ายยอมก้าวเดินตามเขามาอย่างเอาแต่ใจ อีทึกร้องแง้วๆ บ่นหงุงหงิงว่าไม่เอาๆไปตามประสา แต่ก็นะ...เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะลากยัยพี่ชายขี้กลัวขึ้นเล่นเครื่องเล่นโหม่งโลกแบบนั้นสำเร็จอยู่แล้ว...ขี้คร้านจะแหกปากร้องไห้ตอนถึงคิวขึ้นเล่นน่ะสิไม่ว่า!
"ฮีชอลอ่า ชิงช้าสวรรค์ดีกว่านะ...ไปเร็วๆ"
อีทึกดื้อรั้นได้มากเท่านั้นอยู่แล้ว เขาน่าจะรู้นะ ฮีชอลยอมผ่อนแรงลากรั้งลงและยอมเป็นฝ่ายถูกพี่ชายลากไปตามทางบ้าง อีทึกหัวเราะคิกคักชอบใจพลางหันมายิ้มกว้างโชว์ลักยิ้ม(อยากเห็นตายล่ะ!)ให้เขาเหมือจะภูมิใจที่ในที่สุดก็ใช้เวลาเกิดที่มากกว่าแค่อยู่เก้าวันเข้าข่มเขาได้
เหอะ!...เพ้อเจ้อชะมัดอ่ะ!
แต่มันก็เท่านั้นนั่นล่ะ ดวงตาแสนหวานที่บิดโค้งเป็นรอยยิ้มตามเรียวปากแบบนั้นก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้อยู่ดี ฮีชอลยกมือข้างที่วางยีผมสีดำตัดสั้นเปิดใบหูของตนที่เพิ่งไปตัดมาใหม่เมื่อวันก่อนด้วยท่าทางเหมือนจะเบื่อยังไงพิกล เขาดึงมือออกมาจากการเกาะกุมของพี่ชายเพื่อเปลี่ยนไปจับมืออีกข้างของอีกฝ่าย ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินอยู่เคียงข้างและใช้แขนข้างนั้นตวัดกอดคอพี่ชายเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะกุมกันอยู่ให้ออกห่าง
"โอ๊ะ! เบาๆสิฮีชอล"
อีทึกคะมำไปข้างหน้านิดจากแรงโถมตัวของเขาก่อนจะหันมามองหน้าเขางงๆเหมือนไม่เข้าใจว่าจู่ๆเขาจะกอดคอทำไม ทำสีหน้าสีตาแอ๊บแบ๊วเหมือนเด็กน้อยวัยประถมจนเขาล่ะอดไม่ได้ที่จะใช้มือบิดแก้มไปสักทีสองที(และแน่ล่ะ...ระดับคิมฮีชอลน่ะไม่เคยทำแบบททะนุถนอมอยู่แล้ว)
"ฉันเจ็บนะฮีชอลอ่า!"
"สม! เมื่อไรจะเลิกทำหน้าเหมือนพวกปัญญาอ่อนแบบนั้นสักที มันรำคาญลูกตานะรู้มั้ย"
"ฉันเปล่าทำสักหน่อย"
"อิจฉาพี่ชายที่หน้าเด็กกว่าล่ะสิคิมฮีชอล"
"ฉันไม่ได้คุยกับนายไอ้เจ๊ก!"
คนที่เดินกอดอกตามมาอยู่ข้างหลังไม่ห่างนักหัวเราะออกมาเสียงดังแบบหยามกันสุดๆจนเขาล่ะอยากจะหันไปเตะเป็นบ้า แต่มือเล็กที่บีบจับมือของเขาเอาไว้เบาๆก็ทำให้เขาไม่คิดจะเก็บเอามันมาใส่ใจอีก ฮีชอลล้วงมือข้างที่ว่างใส่กระเป๋ากางเกงอย่างเคยชินพร้อมกับหันกลับมาสนใจทางเดินตรงหน้า(ที่ดูเหมือนจะตรงไปยังชิงช้าสวรรค์โดยที่เขาไม่รู้ตัว)และไม่คิดจะเหลือบสายตาไปมองคนตัวสูงที่ก้าวยาวๆขึ้นมาเดินอยู่เคียงข้างให้เสียเวลา
"พูดกับฮันคยองดีๆสิฮีชอล"
"เหอะ! คนอย่างหมอนั่น พูดดีแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว"
"ฉันได้ยินนายนะคิมฮีชอล"
"เห็นฉันแคร์มั้ยล่ะไอ้บ้า!"
ฮีชอลหันไปสะบัดเสียงใส่ไอ้จีนปากมอมที่ชอบกวนประสาทเขาอยู่เรื่อย และเขาก็ทำร้ายสายตาของตัวเองด้วยการมองเห็นรอยยิ้มของหมอนั่นที่ส่งมอบมาให้ เขาสบถพึมพำ เลือกที่จะหันหน้าไปหาพี่ชายและคลอเคลียจมูกอยู่ที่แนวลาดไหล่ผอมบางอย่างที่มักจะทำเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กเวลาอยากจะเลี่ยงอะไรสักอย่าง
เขาแค่ไม่อยากให้คนที่คอยปกป้องเขามาเสมอต้องเจ็บปวดเพียงเพราะเขา
เขาแค่ไม่อยากให้คนที่คอยห่วงใยเขามาตลอดต้องร้องไห้เพียงเพราะเขา
"ฉันว่า...ฉันไปดูอะไรทางนู้นดีกว่า ฮีชอลกับฮันคยองต่อแถวคอยไปนะ"
เสียงของอีทึกแว่วหวานอ่อนโยนยามเอ่ยประโยคนั้น เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ก้มลงมาส่งมอบให้เขาที่เอนแก้มแนบอยู่ที่หัวไหล่ แสงอาทิตย์ที่ส่องย้อนเข้าตาลงมาจากบนฟ้าทำให้ใบหน้าที่ก้มลงมาสบตากับเขานั้นแลดูรางเลือนเหมือนนางฟ้าที่พร้อมจะสยายปีกบินหนีหายไปได้ทุกเวลา และก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากพูดอะไรออกไปเพื่อเอ่ยรั้งขอให้อยู่ต่อ...ขอให้อย่าจากข้างกายเขาไปไหน นางฟ้าที่คอยปกป้องเขาอยู่เสมอ...คอยเช็ดน้ำตาให้เขาอยู่เสมอก็ขยับตัวถอยห่างออกมาจากการไขว่คว้าของเขาและหันหลังเดินจากไป
แต่ทำไมกันนะ...คิมฮีชอลคนนี้ถึงเป็นคนที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นแตกร้าวไปด้วยน้ำตาเสมอเลย
.............................................................
ในชั่วขณะหนึ่งอีทึกก็แค่คิดว่าพวกเขาสองคนนั้นดูเหมาะสมกันดี...และมันไม่มีที่ให้เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป ความคิดแบบนั้นทำให้เขาหายใจไม่ออก มันทำร้ายหัวใจของเขา...ทำร้ายความรู้สึกของเขา และเขาก็เกลียดมันไม่แพ้ที่เขาเกลียดตัวเองเลยสักนิด...เพราะจริงๆแล้ว คิมฮีชอลก็เหมาะสมกับฮันคยองคนนั้นอยู่แล้วจริงๆไม่ใช่รึไง ความจริงเรื่องนี้...ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน เขาถอนหายใจออกมาเบาๆพลางทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งตรงข้ามกับซุ้มขายไอศกรีมสีเหลืองสดที่มีเด็กประถมมุ่งอยู่เต็มไปหมด เขาแค่ต้องการเวลาอีกนิดหน่อย..ขอเวลาอีกแค่นิดเดียวจริงๆแล้วเขาก็จะยิ้มได้เหมือนเดิม
ความโง่ของเขาคงไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่น้องชายชอบว่าจริงๆนั่นล่ะ
ดวงตาคู่หวานที่กดต่ำอยู่ที่หน้าตักค่อยๆช้อนมองขึ้นรอบตัวไปยังกลุ่มเด็กประถมที่ยังซื้อไอศกรีมโคนกันไม่เสร็จเสียที แล้วเขาก็ต้องอมยิ้มออกมาเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนทำหน้ายุ่งอยู่ด้านหน้าซุ้มขายไอศกรีมข้างๆกลุ่มเด็กๆพวกนั้น...ใครจะไม่รู้จักเดือนของคณะวิศวกรรมคนดังที่เล่นดนตรีประจำอยู่ที่ผับแถวมหาลัยกันล่ะ มนุษย์ดาวอังคารยังรู้จักเชวซีวอนเลยนะเขาว่า อีทึกเอนคอเฝ้ามองคนตัวสูงยืนกอดอกทำหน้าคิดหนักอยู่ที่หน้าซุ้มขายไอศกรีมสีสดเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรจะเลือกซื้อรสไหนดี
คนที่โดนคนที่ดูเหมือนไม่แคร์ใครแบบนั้นใส่ใจขนาดนี้จะรู้สึกยังไงนะ
"เอาแม่งสองรสเลยละกันวะ...เฮ้ย! หลบดิ!"
อีทึกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆให้กับถ้อยคำที่ริมฝีปากหยักสวยของเดือนคนดังของคณะวิศวกรรมศาสตร์ขยับเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเหมือนหัวเสียยังไงพิกลพร้อมกับที่เจ้าตัวใช้แขนแหวกกลุ่มเด็กๆให้หลบออกมาจากหน้าร้านและขยับแซงคิวเข้าไปซื้อก่อนเสียอย่างนั้น เขากดสายตากลับลงมามองที่หน้าตักของตัวเองอีกครั้งพลางขยับมือทั้งสองข้างมาจับประสานกันไว้บนตัก
หัวใจเจ็บปวดเกินไป
ดวงตาแสบร้อนเกินไป
"ฮึก...บ้าที่สุดเลย"
อีทึกงอตัวมาด้านหน้า ใช้สองมือปิดใบหน้าของตนเอาไว้เพื่อปิดกั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาเอาไว้ให้อยู่กับเพียงแค่ตัวเอง ริมฝีปากสีแดงสดถูกกัดแน่นจนเจ็บเพราะไม่อยากจะทำให้ตัวเองดูน่าสมเพชมากเกินไปนักที่มานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้เหมือนคนโง่ แต่กระนั้น...นางฟ้าที่ชอบทำร้ายหัวใจของตัวเองอยู่เรื่อยก็สั่นไปหมดจนดูเหมือนจะแตกสลายหายไปได้ทุกเมื่อหากจับต้องอีกแม้เพียงครั้งเดียว
แค่น้ำตาเขายังห้ามไม่ได้...แล้วจะเขาจะห้ามให้ตัวเองไม่รักได้ยังไงกัน
แล้วจะให้อีทึกทำยังไง...จะไม่ให้อีทึกเจ็บปวดได้ยังไง
..........................................................
พวกเขาขึ้นชิงช้าสวรรค์มาจนได้ คงเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงสายๆของวันอยู่ คนก็เลยยังไม่มาเล่นชิงช้าสวรรค์มากนัก พวกเขาถึงได้เข้ามานั่งอยู่ในกระเช้าแคบๆนี่เร็วกว่าที่คิด ฮีชอลพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยกมือขึ้นกอดอกฉับเพื่อแสดงให้อีกคนรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ใคร่พึงพอใจมากนักพลางเหม่อสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยแววตาเบื่อๆ...ไอ้เครื่องบ้านี่ก็หมุนช้าจนน่ารำคาญจริงๆ เขากระแทกหลังพิงพนักพิงแรงๆก่อนจะตวัดสายตากลับเข้ามาด้านในไปยังคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม และแน่ล่ะ...รอยยิ้มของฮันคยองไม่พ้นทำให้เขาหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม
"ยิ้มแบบนั้นมีอะไรรึไง"
"ไปฟังคุณหมีอบรมมารึยังล่ะ"
"อือ"
"ฉันขอคำตอบของคำถามได้มั้ย"
ฮีชอลเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง...สบตากับดวงตาที่กำลังพูดสิ่งหวานเชื่อมขนาดนั้นทำให้เขาคลื่นไส้ เขาเคาะเท้าลงกับพื้นเบาๆสองสามทีก่อนจะหันกลับมาสบตากับคนที่ทวงขอคำตอบจากเขาอีกครั้ง...เขาไม่สนหรอกรู้มั้ย ตราบใดที่ไม่ใช่คนที่เขาแคร์ล่ะก็...ถึงกำลังจะตายตรงหน้า คนอย่างคิมฮีชอลก็ไม่สนใจเสียหรอก
ทำให้คนอื่นเสียใจน่ะ...ใครสนกันล่ะ!
"แล้วอีทึกล่ะ"
"มันไม่ได้เกี่ยวกับอีทึกไม่ใช่รึไง"
เพราะแบบนี้เขาถึงว่าไงล่ะ...ใครสนกันล่ะวะ!
เขาแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกพลางจ้องมองผู้ชายที่เขาชักจะเกลียดขี้หน้ามากขึ้นทุกทีด้วยสายตาเย็นชาคิมฮีชอลเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พร้อมกับยกเท้าข้างหนึ่งยันเข้ากับขอบที่นั่งฝั่งตรงข้าม เรียวปากสีสดขยับเหยียดรอยยิ้มร้ายกาจส่งไปให้คนที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น...ไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่างจริงๆ!
"ผู้ชายที่คอยแต่ทำให้คนที่รักตัวเองมากกว่าความรู้สึกของคนคนนั้นเองร้องไห้น่ะ คำตอบน่ะหรอ...ไปตายเหอะ!"
........................................................
มีซีวอนโผล่ออกมานิดหน่อย คงทำให้ตอนนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อยอ่านะ= =ตอนนี้ก็...อยากจะให้ทุกคนรู้สึกเป็นธรรม(?)กับป๋าหน่อย เพราะตอนนี้มีแค่ฮีชอลกับอีทึกเป็นคนดำเนินเรื่องอยู่แค่สองคนเนอะ เราก็เลยไม่รู้ว่าป๋าคิดอะไรอยู่ และบางทีมันก็อาจจะเจ็บปวดก็ได้ใช่มั้ยล่ะ ไม่เคยโดนคนที่รักพูดจาดีๆใส่สักทีเลย= = ก็นะ...เข้าใจความรู้สึกของอีทึกกันใช่มั้ยคะ ที่ว่าเกลียดตัวเองตรงนั้นน่ะค่ะ ไรเตอร์ว่าการคิดว่าคนที่เรารักดูเหมาะสมกับคนอื่นดีเป็นความคิดที่สิ้นหวังมากอ่ะ แต่อีทึกก็คิดแบบนั้นแล้วก็เกลียดความคิดแบบนั้นของตัวเอง ทั้งๆที่ในความเป็นจริง พวกเขาทั้งสองคนควรจะดูเหมาะสมกันอยู่แล้วน่ะค่ะ(เหมือนจะเกลียดตัวเองที่เกลียดความคิดแบบนั้นอะไรทำนองนั้นอ่าค่ะ) แต่ตอนนี้คุณฮีเท่จริงอะไรจริงอ่ะ! ป๋าโดนลดขั้นไปเป็นตัวประกอบอย่างสมบูรณ์เลย = =
ตอนหน้าไปหาเสี่ยคิยูกับอิหนูตัวล่ำเหมือนเดิมคะ^^
ใครจะสอบก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะคะ
ความคิดเห็น