ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SJ:KIHAE] :: Bad Romance แผนรักร้ายมัดหัวใจนายตัวแสบ

    ลำดับตอนที่ #2 : Bad Thing No.1: สิ่งที่ยังเหลือ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.64K
      3
      13 มิ.ย. 53

    4 ปีต่อมา

     

    "ยิ้มหน่อยสิครับมีอินอา หันซ้ายนิดนึง...นั่นล่ะ สวยแล้วครับ"

    นิ้วเรียวกดรัวชัตเตอร์สาดแสงแฟลชใส่นางแบบคนสวยที่คอยขยับเปลี่ยนท่าตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย เนื่องจากเธอเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่มาจากการออดิชั่นเมื่อสองสามเดือนก่อน ทุกอย่างเลยดูค่อนข้างจะวุ่นวายไปนิดสำหรับช่างกล้องตัวเล็กที่ต้องคอยบอกนู่นบอกนี่ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหนื่อยกับการพูดซ้ำๆแบบนั้นเลยสักนิด ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางกล่าวขอบคุณเธอเมื่อได้ภาพตามที่ต้องการครบแล้ว...และรอยยิ้มนั้นก็สว่างไสวได้ยิ่งกว่าสปอร์ตไลท์ดวงไหนๆในสตูดิโอแห่งนี้เสียอีก

     

    "ยังเหลืออีกกี่ชุดครับนูน่า"

     

    "เหลืออีกชุดนึงค่ะ นายแบบกำลังแต่งหน้าอยู่ ทงเฮคอยน้องเค้าแป๊บนึงนะ"

    ลีทงเฮพยักหน้ารับคำของทีมงานคนนั้นเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งยังไม่มีคนจับจอง ดวงตากลมโตจ้องมองอยู่ที่หน้าจอแสดงภาพของกล้องราคาหลายล้านวอนของตนในขณะที่นิ้วก็ขยับกดปุ่มเลื่อนภาพดูไปเรื่อยเปื่อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันนิดๆเมื่อเห็นภาพที่เจ้าตัวคิดว่าไม่น่าจะกดชัตเตอร์ถ่ายเก็บมา ก่อนอีกไม่กี่วินาทีต่อมามันจะค่อยๆคลี่ออกกลับมาเป็นรอยยิ้มบางๆเมื่อเจอภาพถูกใจเข้า...ยิ้มๆบึ้งๆอยู่อย่างนั้นจนทีมงานที่เดินผ่านไปมาอดที่จะอมยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้...ลีทงเฮคนนั้นชอบทำตัวน่ารักให้คนอื่นหลงรักอยู่เสมอนั่นล่ะ

     

    "ทงเฮอ่า!"

    เสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบที่นาบเข้ามาที่ข้างแก้มทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งขึ้นมาสุดตัวจนเกือบจะทำเครื่องมือหากินราคาแพงของตนตกพื้นไป ทงเฮหันไปทำตาเขียวปัดใส่คนเรียกที่นอกจากจะดูไม่เดือดร้อนอะไรแล้วยังหัวเราะคิกคักสะใจอีกต่างหาก...มันน่านักจริงๆ!

     

    "เล่นอะไรของนายเจ้ากระต่ายอ้วนลีซองมิน! กล้องฉันตกพื้นพังไปนายจะรับผิดชอบมั้ยห๊า!"

    ช่างภาพคนเก่งหันไปแว้ดใส่ยัยเพื่อนสนิทสุดเพี้ยนของตัวเองเข้าให้เสียงดังอย่างโกรธๆ แต่ลีซองมินก็ยังหัวเราะได้อยู่ดีนั่นล่ะ คนที่อุตส่าห์ยอมเสียสละเวลาอันมีค่ามาหาถึงที่แกว่งเจ้ากระป๋องน้ำอัดลมใบเจ้าปัญหาไปมาตรงหน้าเพื่อนที่ยังทำหน้าง้ำใส่เขาไม่เลิกไม่ราคล้ายอยากจะล่อให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มออกมา ซึ่งแน่ล่ะ...อะไรที่ไม่ได้ผล ลีซองมินคนนี้ไม่ยอมเสียเวลาทำหรอก

     

    "คนเค้าอุตส่าห์มาหา ทักทายกันดีๆหน่อยก็ไม่ได้ ลีทงเฮนี่ทำตัวน่ารักๆเฉพาะอยู่ต่อหน้าเด็กในสังกัดรึไงนะ"

    ซองมินเปรยออกมาพร้อมกับโยกเอนหัวไปมาซ้ายขวาด้วยท่าทางน่ารัก(และแน่ล่ะ...ยังน่าหมั่นไส้สำหรับคนมองด้วย) แล้วเขาก็ต้องรีบโยกตัวหลบฝ่ามือเล็กๆของเพื่อนที่หันมาหวดใส่เขาทันทีที่สิ้นคำ ซึ่งแน่อยู่แล้ว...ฝีมือระดับลีซองมินซะอย่าง ทำไมมันจะไม่พ้น

     

    กระต่ายตัวน้อยกระแซะตัวเข้าไปนั่งเบียดเพื่อนสนิทบนเก้าอี้ก่อนจะเอนศีรษะซบลงไปบนไหล่บางเหมือนอยากจะอ้อน...แต่คนอย่างลีซองมินไม่เสียเวลามาอ้อนเคะหน้าหวานๆอย่างเขาหรอก ทงเฮรู้ดี ตากล้องคนสวยเหลือบสายตาไปมองเพื่อนสนิทของตนที่กำลังทำปากจู๋มองนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาสนใจกล้องในมือของตนตามเดิม

     

    "เมื่อไรนายจะถ่ายรูปเสร็จล่ะทงเฮ ฉันเบื่อแล้วนะ"

     

    "โดนใครทำอะไรมาอีกรึไงเจ้ากระต่ายอ้วน"

    ทงเฮย้อนถามกลับไปเสียงห้วนๆ หากทว่ามันก็แฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม และซองมินก็สนิทกับอีกฝ่ายมานานพอที่จะสัมผัสได้ถึงมันที่หัวใจ กระต่ายอ้วนตากลมไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไปในทันที เขาเหยียดขายาวออกไปพลางสะบัดปลายเท้าไปมา

     

    "ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังป่วยน่ะ"

     

    "ป่วย?...ป่วยก็ไปหาหมอสิ มานั่งซบฉันแบบนี้มันไม่หายหรอกนะ"

     

    "แต่ฉันไม่อยากไปนี่นา คุณหมอชอบดุฉันอ่ะ"

    คนที่คิดว่าตัวเองกำลังป่วยยู่ปากเข้าหากันอีกครั้งพลางซุกปลายจมูกเข้ากับลำคอขาวของเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไรกับการแนบชิดแบบนี้เท่าไรนัก...เอาพวกคลั่งสกินชิพมาอยู่ด้วยกันมันก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ

     

    "ก็เพราะว่านายมันดื้อน่ะสิซองมิน ไม่ไปแล้วจะหายมั้ยล่ะ"

     

    "ฉันอยากให้ทงเฮกอดฉันนี่"

     

    "ถึงฉันจะกล้ามใหญ่กว่านาย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันทำทุกอย่างได้เหมือนเด็กของนายนะลีซองมิน!"

     

    "ก็แค่กอดอ้ะ!!"

    ยัยกระต่ายเอาแต่ใจขึ้นเสียงดังข่มพร้อมกับทำหน้ามุ่ยอย่างขัดเคือง ฟันคมงับเอาเข้าที่กล้ามของเพื่อน(ที่ชอบมาอวดเขาเหลือเกินว่ามันใหญ่หนักหนา แหม...น่าอิจฉาตายล่ะ!)ไปเบาๆหนึ่งทีก่อนจะสอดแขนเข้าไปโอบกอดเอวเล็กคอดเอาไว้...เปลี่ยนจากงอนให้ง้อมาเป็นอ้อนกันสุดฤทธิ์จนทงเฮต้องเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้

     

    "ทงเฮกอดแล้วอุุ่นนี่นา"

    คนที่กอดแล้วอุ่นอมยิ้มนิดๆให้กับน้ำเสียงอ้อนๆแบบนั้นของเพื่อนพลางส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ เพราะตอนนี้เขาใกล้จะยอมแพ้เจ้าเพื่อนช่างตื๊อคนนี้เต็มทน ทงเฮวางกล้องในมือลงบนตักก่อนจะหันไปใช้หน้าผากของตัวเองโขกเข้าให้เบาๆที่ศีรษะของคนที่ยังซุกอยู่แนบกายของเขาไม่ห่าง

     

    "นายมันเด็กขาดความอบอุ่นลีซองมิน"

    ตากล้องคนสวยบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อๆพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาก้มลงมองกล้องบนตัก แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกเมื่อพบว่างานนี้มันน่าเบื่อกว่าการตามใจยัยเพื่อนสนิทมีปัญหา(?)คนนี้เสียอีก

     

    "ฉันก็ไม่ค่อยอยากทำงานนี้นักหรอก ถ่ายรูปคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต้องการอะไรมันจะสนุกอะไรล่ะเนอะ"

    ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกเป็นครั้งที่สามพร้อมกับทำท่าจะยกกล้องของตัวเองขึ้นมากดเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันที่จะยึดกล้องในมือให้มั่นด้วยซ้ำ มือใหญ่ของใครบางคนที่มาย่อตัวนั่งอยู่ตรงหน้าก็ยึดข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องสำอางค์อย่างดีเพื่อเตรียมรับกับแสงแฟลชเอนทำองศานิดๆเพื่อสบตากับเขาที่กำลังก้มหน้าอยู่ ในขณะที่บนเรียวปากหยักซึ่งวาวไปด้วยลิปมันจางๆคู่นั้นก็คลี่รอยยิ้มมาให้เขาอย่างทะเล้นแสนซน

     

    "ไม่อยากถ่ายรูปผมหรอครับทงเฮฮยอง...น้อยใจนะเนี่ย คนเค้าอุตส่าห์โดดเรียนไปคัดตัวมาเชียวนะ"

    แน่ล่ะ...ไม่ต้องมีเสียงทุ้มต่ำอันทรงเสน่ห์นั่น ทงเฮก็ยังรู้ว่าเจ้าของมือหยาบอุ่นๆคู่นี้เป็นใคร...ก็มันสัมผัสไปตามร่างกายของเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมจะจำไม่ได้กันล่ะ! เขาขยับรอยยิ้มขึ้นมานิดก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปกดจูบเบาๆที่ปลายจมูกของคนช่างเจรจาราวกับจะมอบมันให้เป็นรางวัลในความช่างฉอเลาะนั่นโดยไม่คิดจะสนใจสายตาของใครที่อาจจะมองมาเห็นเข้า

     

    "ไม่ยักจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาให้โฮสต์มาเป็นนายแบบด้วยนะโจวคยูฮยอน"

     

    ...............................................................

     

    ตอนนี้น่ะนะ...คิมแจจุงมีสิ่งที่อยากได้อยู่สามอย่างล่ะ

     

    1. อยากได้เหล้าดีกรีแรงๆมากระแทกปากสักสองสามช๊อต และถ้าเป็นว้อดก้าได้ก็จะเยี่ยมมากเลย

    2. อยากได้บุหรี่สักมวนมาสูดนิโคตินลงปอดให้ชื่นใจ

    และ 3. อยากได้ใครก็ได้มาฝั่งยัยผู้หญิงแพศยานั่นลงหลุมไปให้เสร็จๆสักที!

     

    ร่างบอบบางในชุดสูทสีดำสนิทสั่งตัดอย่างดีสบถออกมานิดพลางจ้องมองร่างของมารดาของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโรงไม้เนื้อดีค่อยๆถูกวางลงไปในหลุมลึกท่ามกลางสายตาเศร้าสลดมากมายของผู้คนที่มาร่วมงาน...ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าผู้หญิงพรรค์นั้นมีคนคบค้าสมาคมเยอะถึงขนาดนี้!...อ้า ใช่แล้วล่ะ เวลาที่เขารอคอยมากว่าสี่ปี...ไม่สิ ต้องพูดว่าตั้งแต่ตอนสิบขวบเลยล่ะมั้ง...ก็มาถึง โรคร้ายพายัยผู้หญิงคนนั้นออกไปจากชีวิตของเขาสักที!...น่าจะไปปิดผับฉลองนัก!

     

    "กำลังอยากได้นี่อยู่ใช่มั้ยล่ะ"

     

    ไม่เสียแรงจริงๆที่เขาเลือกคบหมอนี่เป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง

     

    บุหรี่มวนหนึ่งถูกหย่อนลงมาตรงหน้าโดยฝีมือของคนที่เดินเข้ามายืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลัง แจจุงผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวหลังสุดของงานเงยหน้าขึ้นตั้งฉากกับบ่าเพื่อสบตากับคนที่ช่างเข้าใจความปรารถนาของเขาเสียจริง...และมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดนักหรอก ชิมชางมินยืนก้มหน้าส่งรอยยิ้มมาให้เขาพลางเริ่มแกว่งบุหรี่ในมือไปมาคล้ายจะล่อให้เขาเข้าไปตะครุบ ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆจนน่าจะเอาไปเขียนเป็นทฤษฎีตายตัวเลยล่ะ คนตัวเล็กรีบคว้าจับเจ้าบุหรี่มวนนั้นเอาไว้ก่อนจะรีบควานหาไฟแช๊คมาจุดมันสูบอย่างไม่เกรงใจสถานที่

               

    "แม่ตายทั้งทีเป็นเด็กดีหน่อยก็ไม่ได้"

    ชางมินว่าเหมือนจะบ่นพลางเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆซึ่งยังว่างอยู่ด้วยรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางหายไปจากเรียวปาก แจจุงแค่นเสียงขึ้นจมูกนิดคล้ายอยากจะเยาะหยันถ้อยคำนั้นพลางพ่นควันสีเทาผ่านริมฝีปากออกมา...โชคดีที่คนที่มาร่วมงานส่วนใหญ่ได้ลุกเดินจากเก้าอี้ไปมุงอยู่ที่รอบหลุมศพกันหมด ไม่อย่างนั้นภาพที่คิมแจจุงลูกชายเจ้าของบริษัทดังกำลังนั่งสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าไม่แคร์โลกในงานศพแม่ของตัวเองคงได้เป็นที่โจษจรรย์กันไปทั่วโซลภายในไม่ถึงสองชั่วโมงนี้แน่ๆ

     

    "ก็ว่าจะออกไปดื่มคืนนี้น่ะ ไปด้วยกันมั้ยล่ะ ฉันเลี้ยงเลยนะ"

    ชายหนุ่มร่างสูงหลุดหัวเราะออกมานิดให้กับถ้อยคำประชดประชันนั่นพลางวาดแขนยาวๆของตนโอบบ่าแคบๆของเพื่อนข้างกายเอาไว้ โยกเอนร่างนั้นไปมาคล้ายกำลังปลอบโยน...และเขาก็หมายความแบบนั้นจริงๆเสียด้วยสิ

     

    "ทำไมเศร้าล่ะแจจุง ฉันนึกว่านายจะดีใจเสียอีก"

     

    "เปล่าสักหน่อย"

     

    "งั้นเอาบุหรี่คืนมา"

     

    "ให้แล้วห้ามเอาคืนสิ!"

    คนสวยหันมาแว้ดใส่พร้อมกับรีบโยกตัวหลบมือใหญ่ที่ตั้งท่าจะมาจิ๊กบุหรี่ที่ตอนนี้เป็นของเขาแล้วกลับคืนไป และแน่ล่ะ...โดยไม่ลืมที่จะส่งค้อนวงใหญ่ไปสบทบด้วยอีกแรง ท่าทางน่ารักๆผิดวิสัยนั่นทำให้ชางมินหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้มือเอนศีรษะเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยผมสีดำสนิทนั่นให้เอนซบลงมาที่ไหล่ของตน

     

    ผมนิ่มที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นอ่อนของแชมพูราคาแพงนั่นเคยเป็นสีทองซีด เขาจำได้ แหงล่ะ...ก็มันเป็นเขาเองนี่ล่ะที่ยุให้อีกฝ่ายไปทำมา ทว่าเพียงแค่สิบสองชั่วโมงต่อจากนั้น...ยังไม่ทันที่เจ้าของร้านทำผมจะลืมหน้าพวกเขาด้วยซ้ำ แค่เจ้าตัวขอลงจากรถไปหยิบของบางอย่างจากที่บ้านไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้นล่ะ อะไรบางอย่างภายในสิบนาทีนั้นก็ทำให้คิมแจจุงย้อมผมกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง...และก็เป็นสีนั้นมาตลอดอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับเจ้าแม่แฟชั่นอย่างคิมแจจุงเอาเสียเลย

     

    ชางมินคิดว่าตัวเองรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร และบุคคลผู้เป็นหนึ่งในข้อสันนิษฐานของเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น...ทำหน้าเศร้าซึมอยู่ตรงหน้าหลุมลึกพร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวในมือ

     

    ดวงดาวของคิมแจจุงคนนั้น

     

    ชองยุนโฮ

     

    "แจจุง..."

     

    "..."

     

    "ไม่เข้าไปคุยกับเขาหน่อยหรอ นั่งอยู่ตรงนี้เขามองไม่เห็นนายหรอกนะ"

    แจจุงนิ่งไป...ไม่ยอมเอ่ยตอบอะไรออกมาในทันที เขาคีบบุหรี่ออกมาจากริมฝีปากของตัวเองพลางเหลือบสายตาขึ้นไปมองคนที่ชางมินกำลังพูดถึง...และมันก็ทำให้ความรู้สึกของเขาวุ่นวายไปหมดเพียงแค่ได้จ้องมองใบหน้าคมอันเศร้าสร้อยนั่น ถึงแม้จะเป็นเพียงระยะไกลๆแบบนี้ก็ตาม

     

    เขาควรจะรู้สึกแบบไหนกันนะ...บอกไม่ถูกเลย

     

    เขายกบุหรี่กลับขึ้นมาคาบไว้บนริมฝีปากอีกครั้ง สูดควันพิษอุ่นๆนั่นเข้าปอดไปลึกๆก่อนจะพ่นมันผ่านรูจมูกออกมา...ให้ภาพของผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงภาพเบลออันพร่ามัว...เป็นเหมือนภาพอันรางเลือนในความฝันยามหลับใหล

     

    และสำหรับแจจุง...

     

    ชองยุนโฮเป็นตัวแทนของฝันดีสำหรับเขาเสมอ

     

    "ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากร้องไห้แล้วก็ทำตัวงี่เง่า"

     

    "ยังร้องไห้อยู่อีกหรอ ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว"

    ชางมินก้มหน้าลงไปสบตากับคนที่เอนศีรษะพิงไหล่ของเขาอยู่พลางใช้มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมาดึงบุหรี่ออกจากริมฝีปากบางเพื่อนำมันมาสูบเสียเองเมื่อเห็นว่าคนสวยทำท่าจะทิ้งขว้างของกำนัลของเขาด้วยการปล่อยมันตกลงพื้นเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายคาบมันไว้อย่างหมิ่นเหมเหลือเกิน

     

    "ชางมินไม่รู้หรอก"

    เสียงหวานเอ่ยกระซิบออกมาแผ่วเบาพลางเบือนสายตาหนีออกมาจากคนที่เปรียบเสมือนพ่อเลี้ยงของตนที่กำลังเอ่ยกล่าวคำลาครั้งสุดท้ายอยู่ที่หน้าหลุมศพ...เอ่ยบอกว่ารักมากขนาดไหน...เอ่ยบอกว่าจะรักตลอดไป...ช่างเป็นคำพูดที่น่าชังสิ้นดี! ทำไมถึงชอบพูดอะไรที่ทำให้เขาอยากจะร้องไห้อยู่เรื่อยเลย และมันก็น่าขำที่เขามักจะได้ยินมันไปเสียทุกครั้งราวกับผู้หญิงคนนั้นได้สาปแช่งเขาเอาไว้

     

    "แจจุง...เป็นอะไร"

     

    "..."

     

    "มานี่ม่ะ...มานั่งตักฉันนะ"

    ชางมินโยนบุหรี่ของตนทิ้งอย่างไม่คิดใส่ใจที่จะดับมันก่อนแล้วจึงหันไปดึงร่างบอบบางของคนที่นั่งอยู่ข้างๆให้ลุกขึ้นมานั่งคร่อมทับขาของเขาเอาไว้...จับประคองให้นั่งอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังจัดท่าให้ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบกระนั้น เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่บัดนี้สูงกว่าเขาไปเสียแล้ว และดวงตากลมโตคู่นั้นก็แดงก่ำอย่างที่เขาเห็นจนใกล้จะเป็นเรื่องธรรมดา ริมฝีปากที่แดงสดได้ยิ่งกว่าผลสตรอเบอร์รี่ถูกเม้มกัดไว้แน่นจนดูคล้ายว่ามันอาจจะปริแตกออกมาได้ภายในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้หากผู้เป็นเจ้าของลงแรงไปที่ฟันอีกเพียงนิด

     

    คิมแจจุงผิดสัญญากับเขาอีกแล้ว

     

    "สบตาฉันนะแจจุง...มองมาแค่ที่ฉัน อย่าหันกลับไปมอง"

    ยิ่งชองยุนโฮเอ่ยย้ำคำบอกรักมากเท่าไร ร่างของแจจุงก็ยิ่งสั่นไหว เช่นเดียวกับที่ดวงตายิ่งเต็มตื้นไปด้วยน้ำตา ใบหน้าหวานทำท่าจะเบือนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ที่ด้านหลัง หากแต่ยังไม่ทันมองพ้นข้ามไหล่ของตนไป ชางมินก็จัดการใช้สองมือยึดใบหน้าของคนไม่เชื่อฟังเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งค่อยๆเลื่อนมือของตนไปกดแนบอยู่ที่ใบหน้าเล็กทั้งสองข้าง...ปิดกั้นทุกสรรพเสียงที่จะเข้ามาทำร้ายเพื่อนของเขาให้อาจมีน้ำตาเอาไว้

     

    "ไม่ต้องมองนะแจจุง อะไรที่ทำให้นายร้องไห้ก็อย่าไปมอง"

     

    "ชางมิน...ฮึก"

    หยดน้ำตาร่วงตกลงมาจากดวงตาคู่โตอันสั่นไหวซึ่งกำลังจ้องตรึงมาที่ดวงตาของเขาอย่างที่ถูกสั่ง...มันดูเหมือนกำลังถามอะไรบางอย่าง และชางมินก็ทำเพียงแค่ยิ้มรับมันพร้อมกับแนบมือลงไปให้แน่นมากขึ้น

     

    "อย่าฟังในสิ่งที่นายไม่อยากได้ยิน...แค่อย่าฟัง"

     

    แสงดาวของคิมแจจุง

     

    "ฉันจะอยู่ตรงนี้นะ มองตาฉันไว้...ฉันจะอยู่ในที่ๆนายมองเห็นตกลงมั้ย ถ้าไม่อยากมองอะไร นายก็แค่มองมาที่ฉัน เราเคยสัญญากันแบบนั้นนี่แจจุง"

     

    ทำไมแสงดาว...ถึงชอบทำให้เขาหนาวเย็นอยู่เรื่อยเลยนะ

     

    แจจุงเลื่อนมือของตนขึ้นไปวางทับบนที่มือใหญ่ของเพื่อนสนิทเพื่อกดมันให้แนบเข้ามาอีก เพราะเขายังคงได้ยินว่าชองยุนโฮรักคิมแจวอนคนนั้นมากเท่าไร...เพราะเขายังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของชองยุนโฮว่าดังมากขนาดไหนในวันที่คิมแจวอนสิ้นลม

     

    แต่มันรักมากกว่าที่คิมแจจุงรักชองยุนโฮรึเปล่า

     

    แต่มันดังมากกว่าที่คิมแจจุงร้องไห้ในวันที่ชองยุนโฮแต่งงานรึเปล่า

     

    ไม่มีทางหรอก...เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด

     

    ดวงตาของแจจุงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชางมินตามที่ถูกสั่ง หากทว่าทุกอย่างที่เขาเห็นก็ยังคงพร่ามัวไม่จางเสียที แต่สิ่งเดียวที่เด่นชัดกลับเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานนั่น...รอยยิ้มที่เขาเคยบอกอีกฝ่ายไปว่ามันสวยงามและทำให้เขาสบายใจได้มากแค่ไหนยามจ้องมอง...ชิมชางมินเป็นเทวดาตัวน้อยๆประจำตัวของเขาเสมอนั่นล่ะ

     

    เทวดาพ่อทูนหัวผู้แสนดีของเขา

     

    "ชางมิน...ฮึก...ชางมิน"

     

    "นายจะไม่เป็นไรนะแจจุง ฉันจะอยู่ตรงนี้นะ"

     

    ยังมีสิ่งที่คิมแจจุงอยากได้อยู่อีกข้อหนึ่งนะ...เมื่อกี้ลืมไปได้ยังไงก็ไม่รู้

     

    4. อยากได้ความรักของชองยุนโฮมาครอบครองยังไงล่ะ

     

    .......................................................................

     

    เพล้ง!

     

    "ถือยังไงถึงได้ทำจานฉันแตกได้ทุกวันน่ะห๊าปาร์คจองซู! ฉันหักจนไม่รู้จะหักเงินแกยังไงแล้วนะ! ถ้าคุณหนูจนขนาดถือประคองถาดไม่ได้ก็ไม่ต้องมาดันทุรังทำ มันเดือดร้อนแทนที่จะเป็นประโยชน์เข้าใจมั้ย!"

    ศีรษะเล็กๆของคนซุ่มซ่ามถูกผลักเสียเต็มแรงโดยฝีมือของหญิงเจ้าของร้านจนคนที่ตอนนี้เหนื่อยมากเหลือเกินถึงกับเซล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นท่ามกลางเศษซากของจานกระเบื้องคมๆที่ตนทำตกแตกไปเมื่อครู่

     

    "ขอโทษครับคุณจาง"

     

    "กองไว้ตรงนั้นล่ะย่ะ! รีบเก็บซะก่อนที่มันจะไปบาดลูกค้าเข้า!"

    เธอก้มลงมาสั่งเขาเสียงห้วนแล้วจึงหันไปโปรยยิ้มให้เหล่าลูกค้าของหล่อนเหมือนจะบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วงและตอนนี้เธอก็สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้หมดแล้ว ก่อนเธอจะหมุนตัวเดินไปนั่งจัดการบัญชีที่หลังเค้าน์เตอร์เก็บเงินตามเดิม

     

    "อ๊ะ!"

    ชายหนุ่มผู้มีดวงตาแสนหวานร้องอุทานออกมาเบาๆเมื่อเขาดันซุ่มซ่ามปัดมือไปโดนกระเบื้องจนมันบาดเข้าให้ที่กลางฝามือ เขายกบาดแผลเข้ามาดูใกล้ๆพลางรีบใช้ชายผ้ากันเปื้อนกดมันเอาไว้เพื่อหยุดเลือด...วันนี้คงต้องเสียเงินซื้อพลาสเตอร์ยาอีกแล้วสินะ แย่จังเลย

     

    "ซุ่มซ่ามอีกแล้ว"

    เขาบ่นกับตัวเองเบาๆพร้อมกับค่อยๆชันตัวลุกขึ้นอย่างระมัดระวังไม่ให้ตัวเองโดนเศษกระเบื้องบาดอีกเป็นแผลที่สอง กดข่มความร้อนที่ขอบตาเอาไว้ด้วยการคลี่รอยยิ้มบางๆออกมาให้ลูกค้าที่จ้องมองมายังเขาด้วยสายตาเหมือยอยากจะช่วย...และเขาก็ไม่เคยชอบสายตาแบบนั้นเอาเสียเลย เขาไม่ใช่ลูกหมาข้างถนนเสียหน่อยที่ต้องคอยรอรับความเห็นใจจากใครน่ะ

     

    "ให้ฉันช่วยมั้ยคะ มือของคุณเลือดไหลใหญ่แล้วนะ"

     

    "ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง"

    ผู้หญิงแสนดีคนนั้นหน้าเจื่อนไปนิดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของเขาก่อนเธอจะหันกลับไปสนใจทานอาหารที่เธอสั่งมาตามเดิม

     

    ถ้าใครเป็นลูกค้าประจำร้านอาหารจีนร้านนี้ในช่วงเช้าล่ะก็ คงต้องคุ้นต่กับภาพแบบนี้ดีเชียวล่ะ เพราะปาร์คจองซูจะทำอะไรบางอย่างตกแตกเสมอในทุกวัน ตั้งแต่เล็กที่สุดอย่างขวดใส่เกลือ ไปจนถึงจานใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารพร้อมเสิร์ฟ แต่ก็ไม่มีใครเห็นเจ้าของร้านตะโกนไล่เขาออกเสียที คงจะรู้กระมังว่าลูกค้ากว่าครึ่งที่กลับมาทานที่นี่นั้นก็เพราะรอยยิ้มอ่อนจางแสนหวานกับดวงตากลมโตแสนงดงามของบริกรคนสวยคนนี้(และอีกครึ่งก็คงเป็นเพราะบริกรตายิ้มในกะบ่ายนั่นล่ะ)

     

    อีทึกย่อตัวลงไปเก็บเศษกระเบื้องใส่ถาดเสิร์ฟอาหารที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ มือที่ตอนนี้ประดับไปด้วยบาดแผลยาวกลางฝ่ามือทำให้กระเบื้องบางชิ้นที่เขาหยิบจับนั้นเปื้อนเลือดไปด้วย แต่คนจับก็หาได้ร้องอุทรณ์ใดๆออกมาเลยสักคำ...ยังคงมีรอยยิ้มบางๆอยู่บนเรียวปากเสมอ...ไม่เคยหยุดยิ้มเลยแม้สักวินาที คงเป็นเพราะหากเขาหยุดยิ้มไปแม้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งเดียวที่จะเข้ามาแทนอาจเป็นหยดน้ำตาก็เป็นได้

     

    ร้องไห้น่ะ...เหนื่อยกว่ายิ้มอีกนะ

     

    "หมดแล้ว"

    คนตาหวานร้องออกมาเบาๆคล้ายจะพอใจกับความอดทนของตนในการก้มหยิบเศษกระเบื้องทีละชิ้นๆแทนการใช้ไม้กวาดและที่โกยผง ก่อนเจ้าตัวจะยืดกายยืนขึ้น เดินถือประคองถาดในมือออกไปด้านนอกร้านเพื่อเทซากที่เคยเป็นจานกระเบื้องทิ้งที่ถังขยะตรงหน้าร้าน

     

    อีทึกใช้ไหล่ดันบานประตูให้เปิดออกแล้วจึงรีบแทรกตัวออกไปก่อนที่มันจะเด้งกลับมาตีหน้าเขาให้ได้เจ็บตัวอีก เขาจัดการเทเศษของมีคมเหล่านั้นลงถังขยะอย่างระมัดระวังแล้วจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านเพราะได้ยินเสียงเจ้าของร้านตะโกนเรียกเขาอยู่แว่วๆ แต่กระนั้น เจ้าตัวก็ยังไม่วายเสียเวลาสองสามวินาทีหันไปส่งรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างเป็นมิตรให้กับชายหนุ่มร่างบางผิวขาวซีดผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ก่อนจะหันหลังเข้าร้านมา

     

    ..................................................

     

    ลีฮยอกแจอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวน้อยๆให้กับเจ้าผู้ชายตาหวานที่ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารจีนฝั่งตรงข้าม...ดูก็รู้ว่าทำงานอะไรไม่เป็นสักอย่าง(ก็เจ้าตัวเล่นมีเรื่องให้ออกมาเทเศษแก้วทุกวันสินา!) แต่เจ๊เจ้าของร้านปากมากคนนั้นก็ยังเก็บเอาไว้ทำงานได้นานขนาดนี้จนไม่น่าเชื่อ แหงล่ะ...จะหาพนักงานเสิร์ฟอารมณ์ดีขยันยิ้มแบบนั้นได้ง่ายๆที่ไหนกัน

     

    เขาถอนหายใจพลางจัดการพลิกป้ายที่แขวนอยู่ที่หน้าประตูร้านเป็นคำว่าopenแล้วจึงเดินไปนั่งคอยไอ้บาริสต้าตัวร้ายประจำร้านอย่างใจเย็น ดวงตาเรียวรีจับจ้องอยู่ที่นาฬิกาข้อมือพร้อมกับเหลือบขึ้นมองไปยังประตูหน้าร้านเป็นระยะๆ...เขาล่ะอยากจะรู้นักว่าระหว่างลูกค้าคนแรกของร้านในวันนี้กับเจ้าบาริสต้าสายเสมอของเขา ใครจะโผล่หัวเข้ามาในร้านก่อนกัน

               

    "ฮยองงง!!...ผมมาแล้วครับ!!"

               

    9:12 น.

     

    ได้ข่าวว่าร้านของเขาเปิดเก้าโมงไม่ใช่เรอะ!!

     

    "อ๊คแทคยอนสายสิบสองนาที"

    เสียงหวานเอ่ยบอกออกมาเรียบๆพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองคนมาสายที่กำลังยืนหอบหายใจจนตัวโยนอยู่ที่หน้าประตูร้านด้วยสายตาเหมือนกำลังทวงขอคำอธิบายสำหรับสาเหตุนั้น อ๊คแทคยอนเบ้หน้านิดๆเมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านกาแฟคนสวยตั้งท่าจะจดสิบสองนาทีที่ว่านั่นไปหักเงินเดือนของเขา

     

    "ฮยองอ่า สิบสองนาทีเองนะ หยวนๆกันหน่อยสิ"

     

    "ก็ไม่ได้จะว่าอะไร"

     

    "แต่จะเอาไปหักเงินใช่มั้ยล่ะ"

    ฮยอกแจไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่าให้ไปคิดเอาเองพลางเปิดทางให้บาริสต้าของเขาเดินทำหน้าง้ำเข้าไปประจำตำแหน่งของตนที่ด้านหลังเค้าน์เตอร์ แน่ล่ะ...เขาไม่เห็นใจไอ้คนตัวโตนี่เสียหรอก ถ้าเป็นคนตาหวานที่ร้านอาหารจีนฝั่งตรงข้ามก็ว่าไปอย่าง ยังมีเจ้าหนุ่มคนไทยตายิ้มที่ทำงานกะบ่ายนั่นอีกคนด้วยนะ...เจ๊แกช่างมีโชคในเรื่องของบริกรจริงๆเลยพับผ่าสิ

     

    "ฮยองใจร้ายอ่า"

    แทคยอนบ่นพึมพำออกมาพลางจัดการผูกผ้ากันเปื้อนสีดำของตนให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมรับลูกค้าคนแรกของวันที่อาจจะเข้ามาใช้บริการเมื่อใดก็ได้

     

    "ฮยอกแจอัปป้าอ่าา!!"

    สิ้นเสียงตะโกนร้องเรียก คนที่ถูกเรียกว่าพ่อก็โดนร่างเล็กๆของเจ้าลูกชายกระโดดเข้าใส่จนรับเอาไว้แทบไม่ทัน เด็กชายตัวน้อยวัยสามขวบจัดการหอมแก้มซ้ายขวาของคุณพ่อแทนการเอ่ยทักทายอรุณสวัสดิ์จนหนำใจก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาราวกับจะชอบใจกลิ่นหอมอ่อนๆบนผิวขาวๆนั่น

     

    "ตื่นแล้วหรอครับลียูกึนคนเก่ง"

     

    "ตื่นแล้ว วันนี้ยูกึนแปรงฟันเองด้วยนะ เก่งมั้ยฮะ"

     

    "ลูกพ่อนี่เก่งจังเลยน้าาา ขอหอมแก้มหน่อยเร็ว"

    แทคยอนที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำกาแฟของตนอยู่อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าเด็กลียูกึนจอมแสบทำตัวน่ารักน่าชังช่างอ้อนกับคุณพ่อหน้าหวานของตน...ทีกับเขาล่ะซนซะไม่มี พูดครับสักคำก็ไม่เคย ตอบแต่อือๆอยู่นั่นล่ะ...มันน่าตีนักเชียว!

     

    "ยูกึนอยากไปเล่นข้างนอก...ไปเล่นที่สนามเด็กเล่น"

    ร่างเล็กที่ยังคงอยู่ในชุดนอนสีฟ้าสดใสร้องแง้วออกมาพร้อมกับทำหน้าอ้อนใส่คุณพ่อสุดชีวิต และแน่ล่ะ...แค่แทคยอนเห็นตาของเจ้าคุณพ่อที่ว่าก็รู้คำตอบแล้ว

     

    "ตอนนี้ยังไม่ได้ครับยูกึน พ่อต้องดูแลร้านนะ ตอนเย็นได้มั้ยครับเด็กดี"

     

    "แต่ว่า..."

    เด็กน้อยพยายามที่จะแย้งขึ้นอีกครั้ง หากทว่าเมื่อเจอคุณพ่อทำตาดุใส่เท่านั้นล่ะ เจ้าตัวเล็กถึงกับปิดปากลงมาฉับพร้อมกับรีบซุกหน้าลงกับไหล่บางทันที...ซึมไปเลยนั่นล่ะ ฮยอกแจรู้ ฮยอกแจเห็น แต่ก็ไม่ได้เข้าไปเอาใจ...นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้ว เขาโยกเอนร่างเล็กๆในอ้อมกอดของตัวเองไปมาพร้อมกับกดจูบลงเบาๆที่ข้างขมับของลูกชายคนดีของเขาคล้ายเป็นคำขอโทษสำหรับการที่ออกไปเที่ยวด้วยไม่ได้

     

    "ถ้าอยากไปตอนนี้ ไปกับคุณอาได้มั้ย แล้วตอนเย็นเราค่อยไปด้วยกันอีกรอบ...เอามั้ยครับยูกึนคนเก่ง ได้เที่ยวสองรอบเลยนะ"

    ยูกึนนิ่งคิดไปนิดก่อนจะพยักหน้าตอบรับออกมาหงึกหงักด้วยท่าทางที่แลดูสดใสขึ้น

     

    "ไปกับคุณอาก่อนก็ได้"

     

    "ยูกึนนี่น่ารักจริงๆเลยน้าา โอ๊ะ!...นั่นมาพอดีเลย...คุณฮันคยองครับ พายูกึนไปเล่นที่สนามเด็กเล่นหน่อยได้มั้ยครับ ผมต้องดูร้านน่ะ"

     

    ...................................................................

     

     

     

     

     

     

    อันที่จริคำว่ามีอินอาเนี่ย ออกเสียงว่ามี-นาอ่ะ แต่ว่าเวลาพิมพ์แล้วมันแปลกๆก็เลยใช้คำว่ามีอินอาแทน เรียกได้ว่าช่วยสามี(?)ขายของทำมาหากินกันเลยทีเดียว ชื่ออัลบั้มนี้แปลว่าคนสวยค่ะ อย่างท่อนที่เยซองร้องน่ะว่าซารังฮันดามีอินอา(คล้ายๆแบบนี้อ่านะ) ก็แปลว่ารักนะคนสวย...อะไรทำนองนั้น และพอฟังไปรวมๆ เหมือนเพลงแซวสาวเลยเนอะ ไม่ว่าคัยจะหาว่าผมบ้า ผมก็จะรักคุณนะคนสวย...อะไรแบบนั้น ฟังไปแล้วก้อารมดียังไงพิกล^^




     เรียกได้ว่าเล่นเอาช๊อคกันไปเลยทีเดียวนะสำหรับสี่ปีถัดมาของแต่ละคู่ โดยเฉพาะฮยอกน้อยของเรานะ แค่สี่ปีฮยอกน้อยของเราก็กลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนไปซะแล้ว
    = = ก้คงต้องลองดุกันต่อไปว่าเจ้าหนูยูกึนนี่เป็นลูกฮยอกจริงๆรึเปล่านะ(ลูกชายของใครบ้างน้า แม่ยกส่งเสียงหน่อยเร็วววว) ส่วนยุนแจของเราที่ดูจะดราม่ากว่าใครเพื่อนก้...นะ ชองยุนโฮคนหล่อของเราคงไม่เกิดอีกเหมือนเดิมสำหรับเรื่องนี้= = (ยุนคงบอก เล่นเรื่องไหนกูก็ไม่เกิดทั้งนั้นล่ะฟะ! ขนาดเรื่องฮาๆอย่างฮาร์ทเคว็กยังมีคนเกลียดขี้หน้ากุเลย) เพราะมี๊แจของเราเล่นประเดิมร้องไห้กันเลยทีเดียวนะ ส่วแม่ยกฮันทึกก็คงจะอุทานทำนองแบบ อ่าวไอ้ชิบหาย ทำไมมึงมาอยุ่ฝั่งนี้ล่ะฮันแน่ๆเลย ก็คงต้องรอดุต่อไปว่าตาฮันของเราหายหัวไปไหนมาสี่ปีนะ ตอนนี้เหล่าเมะของเราดูเหมือนจะหายกันไป(ไม่ก็โผล่มาเพียงแค่ชื่อ) แต่ส่วนตัว...ชอบพาร์ทด๊องมินที่สุดเลยอ่ะ^^ น่ารักดีเนอะ ซองมินดูเหมือนเด็กมีปันหาดีอ่ะแล้วคาแรคเตอร์ของคยูก็ดูกวยโอ๊ยดียังไงพิกล

     

     

    ตอนหน้าประเดิมความเลวร้ายของเราด้วยคู่นำโชค(?)ของเราค่ะ คิเฮนั่นเอง คิมคิจะโผล่ออกมามั้ย ต้องรอลุ้นกันต่อไป (บอกกันตรงๆเลยทีเดียวว่าคู่ที่แน่นอนแล้วเปนคิเฮนะ- -"...ตอนแรกก้ว่าจะแต่งคยูเฮซะหน่อย แต่ก็กลัวจะช๊อคตายกันไป...หรือว่าจะเอาคยูเฮดีน้าาา^^)

     

     

    รอตอนหน้ากันแบบนานๆอีกเหมือเดิมค่ะ(คาดว่าคงจะลงพร้อมกันสองเรื่องไม่ได้เหมือนคราวที่แล้วแน่ๆเลย= =)

     

    ปล. มีคนย้ำคิดย้ำทำด้วย ไม่บอกหรอกว่าหกพีคู่ไหน ให้เดากันต่อไปเองงง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×