คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : chapter 1
Chapter 1:
กรุงเทพในยามกลางคืนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ขอบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต่างเข้ามาหาความสุขสำราญกันในย่านบันเทิงเริงรมย์ต่างๆที่ปรากฏอยู่ทั่วไปราวกับต้นหญ้าในท้องทุ่ง ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเข้ามาเพื่อหาความสนุกสนานด้วยการเผาผลาญเงินไปกับเหล่าอบายมุขทุกรูปแบบไมว่าจะเป็น สุรา หือ นารี
สยามสแคว์นั้นดูครึกครื้นเข้ากันกับแหล่งบันเทิงโดยรอบ ศูนย์รวมวัยรุ่นยุคใหม่ของประเทศน่าจะเป็นคำบรรยายที่น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับแหล่งชอบปิ้งแหล่งนี้ พื้นที่แห่งนี้ถูกล้อมด้วยถนนพระรามหนึ่งในด้านทิศตะวันออก ถนนอังรีดูนังต์ด้านทิศใต้ ถนนพญาไททางด้านทิศเหนือ ส่วนทางทิศตะวันตกนั้นติดกับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสถาบันที่ทรงคุณค่ามากที่สุดของประเทศก็อาจจะกล่าวได้
อีกฟากของถนนอังรีดูนังต์บนที่ตั้งหลายร้อยตารางวานั้นเป็นสถานที่ที่ขัดกับบรรยากาศความบันเทิงอย่างที่สุด ตราโล่กลมที่มีดาบเสียบปรากฏอยู่บนยอดของทุกตึก ทางเข้าสถานที่แห่งนี้นั้นติดอยู่กับถนนพระรามหนึ่งโดยมีป้ายขนาดใหญ่เขียนแสดงอำนาจอย่างชัดเจนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันหลักที่ยืนหยัดคู่กับความมั่นคงและความสงบสุขของประชาราษฎร์มานานหลายทศวรรษตั้งแต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ตึกกองบัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งเด่นเป็นสง่าด้านบนสามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ได้ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่พอดิบพอดี อาคารเป็นตึกสร้างใหม่ขัดกับอาคารอื่นๆโดยรอบ
ค้านข้างเป็นอาคารเก่าหลังเล็กๆ แต่สภาพของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำงานอยู่ภายในมิได้เก่าตามไปด้วย ป้ายด้านหน้าถูกทำอย่างชัดเจนว่า “กองบัญชากาตำรวจสอบสวนกลาง” หรือที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ขนานนามกันว่า เอฟ.บี.ไอ. แห่งเมืองไทย หน่วยขึ้นตรงของกองบัญชาการที่มีความสำคัญนั้นมีมากมายเช่น กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว และที่สำคัญและจะละเว้นไม่ได้ก็คือ กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือ บก.ปปป.
ภายในห้องประชุมที่ไม่ได้ตกแต่งอย่างโอ่โถงมากมายนักภายในมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่สามนาย
คนแรกคือ พล.ต.อ. ประชา สันติสุข หรือบุคคลที่สื่อมวลชนหลายสาขาขนานนามโดยที่ท่านมิได้เต็มใจนักว่า บิ๊กประชา ผู้มีความสำคัญเป็นอันดับต้นของประเทศ ท่านมีตำแหน่งเป็นถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่สองมีชั้นยศต่ำกว่าท่านหนึ่งชั้นยศคือ พล.ต.ท. เป็นเวลาหกเดือนแล้วที่บอร์ดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นระหว่าง พล.ต.อ.ประชา กับ พล.ต.ท.เอกนิรุจ เพื่อความมุ่งหมายในการปราบปรามการคอรัปชั่นให้หมดไปจากวงการตำรวจไทย และเพื่อให้บอร์ดนี้สามารถปฏิบัติงานได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นท่าน ผบ.ตร.จึงได้มาเป็นประธานบอร์ดเสียเอง และให้ผบ.ตำรวจสอบสวนกลางเป็นรองประธาน ส่วน พ.ต.อ.สิริพลนั้นเดิมทีเป็นตำรวจจากกองปราบปรามตำรวจนครบาล แต่หลังจากที่ทั้งประธานและรองประธานได้ลงความเห็นนั้นก็ตัดสินใจย้าย พ.ต.อ.สิริพลมาช่วยราชการ เนื่องมาจากความตรงในการทำงานและประวัติการทำงานที่ดีเด่น
“เรามีคดีใดบ้างที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมาเพื่อทำการจับกุมเจ้าพนักงานของเราบ้างรึเปล่า สิริพล” ประธานบอร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินกันสามคนโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง แม้ท่านจะใกล้จะเกษียณแต่เสียงยังหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญหากยังมีความคิดที่จะทำงาน
“ยังเหลืออีกหลายคดีครับท่าน ส่วนใหญ่เป็นคดีรับสินบนของนายตำรวจชั้นผู้น้อย ผมได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้กับผู้กำกับแต่ละสถานีทราบและให้ดำเนินการ” พ.ต.อ.สิริพลกล่าวอย่างคล่องแคล่ว ด้วยวัย40ปีไฟในการทำงานยังครุกกรุ่น ใบหน้าที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกของเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรดาผู้สื่อข่าวไม่กล้าจะเข้ามาทำข่าวของมือปราบคอรัปชั่นผู้นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ เขายินดีที่จะรับไว้อย่างเต็มใจ “คดีที่ผมดูจะเป็นกังวลก็คือคดีของ ท่านพ.ต.อ.อากูร ครับเรายังไม่มีหลักฐานใดๆเพียงพอที่จะเอาผิดกับท่าน อาจจะเป็นไปได้ว่าท่านบริสุทธิ์”
“เป็นไปได้ครับท่าน จากการทำงานของเขาที่เคยเป็นผู้ช่วยผม อากูรเป็น
คนที่มือสะอาดครับ” ท่านรองประธานสนับสนุน “อากูรเป็นตำรวจด้วยอุดมการณ์ครับ ถ้าความจำของผมไม่ผิดพลาด อากูรเคยเป็นนาย ของ สิริพลครับ ใช่ไหมสิริพล”
“จริงอย่างที่ท่านรองพูดครับ ท่านอากูรน่าจะเป็นคนดีครับ เราอาจเก็บคดีนี้ไว้ก่อนและให้คนของเราเฝ้าดูพฤติกรรมสักระยะคงไม่เสียหาย”
“เอาอย่างที่คุณว่าก็ได้ สิริพลให้ตำรวจนอกเครื่องแบบของเราเฝ้าดูเป็นระยะก็ดีเหมือนกัน” ท่านประธาน กล่าวรับความคิดของนายตำรวจใต้บังคับบัญชาอย่างไว้วางใจ “เกือบลืมไปนึกว่าเรามีกันแค่สามคน บางทีถ้าหลักฐานมันไม่พอหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบเฉพาะการก็มีประโยชน์ไม่น้อยนะ”
พ.ต.อ.สิริพล กำลังนึกถึงภาพของหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบเฉพาะการ เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เสนอให้จัดตั้งหน่วยนี้โดยใช้กำลังจากนายตำรวจสัญญาบัตรที่คัดมาเป็นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ หน่วยนี้มีเพียงคนเดียวโดยคนที่รู้ชื่อของบุคคลดังกล่าวมีเพียงท่านประธานบอร์ดเพียงคนเดียว เขาให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัยของนายตำรวจคนนั้นเอง
“แล้วเรื่องคดีของนายตำรวจสัญญาบัตรที่ร่วมมือกับขบวนการขนยาเสพติดละ ผมจำชื่อไม่ได้ “ท่านประธานถาม “เอ...รู้สึกจะชื่อ อาคม อะไรสักอย่าง”
“ท่าน พล.ต.ต. อารมณ์ ปฐมกาล หรือครับ” เขากล่าว
“นั่นแหละ”ท่านประธานรับ
“ผมขออนุญาตตอบเรื่องนี้ครับท่าน” ท่านรองประธานเอ่ยขึ้นแทรกอย่าง
มีมารยาทตามที่ได้รับการอบรมมา “เนื่องจาก สิริพลได้ส่งเรื่องนี้มาให้ผมแล้วครับท่าน”
“เชิญ เอกนิรุจ ว่ามาเลยผมรอฟังอยู่”
“หลังจากที่ท่านสั่งให้ สิริพลสืบสวนเรื่องนี้ได้อย่างมีอำนาจสูงสุดครับ สิริพลได้สืบจนพบว่ามีนายตำรวจอีกหลายนายที่มีส่วนในการพัวพันกับเรื่องนี้ ผมจึงมีคำสั่งฉุกเฉินพักงานและควบคุมตัวทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องครับ ส่วนน่าเสียดายที่ พล.ต.ต. อารมณ์นั้นไม่สามารถอยู่รับความผิดได้อีกแล้วครับ”
“คุณหมายความว่าอะไร ทำไม อารมณ์ ถึงรับความผิดไม่ได้”
“ก่อนเริ่มการประชุมสามนาที ผมเพิ่งได้รับข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนงว่าท่าน อารมณ์ ได้เสียชีวิตแล้วครับ”
“หา...ตายแล้วเหรอ”เสียงอุทานของท่านประธานดังเกือบจะก้องห้องประชุมเล็กๆแห่งนั้น
แม้แต่สิริพลก็พลอยมีสีหน้าตกอกตกใจไปกับท่านประธานบอร์ดไปด้วย เขาเพิ่งรู้ว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้จากโลกไปเมื่อสักครู่นี้เอง
“ตายยังไง”
“ทางตำรวจท้องที่แจ้งว่า ท่านอารมณ์ ฆ่าตัวตายครับ” ท่านรองประธานตอบด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะปกติเป็นที่สุด “รอยกระสุนเพียงนัดเดียวที่ข้างขมับขวาเป็นสาเหตุครับ”
“ฆ่าตัวตายเหรอ เป็นทางออกที่เลวมาก เห็นแก่ตัว”ท่านประธานกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ท่านเกลียดคนที่แก้ปัญหาต่างๆด้วยการปลิดชีพตนเอง
“การฆ่าตัวตายทำให้ครอบครัวเดือดร้อน เห็นแก่ตัวมาก”
“ท่านครับอาจจะไม่ครับ”
ท่านประธานหันมาสบตากับท่านรองประธานทันทีรวมถึงสิริพลเองด้วย
“คุณหมายความว่ายังไง เอกนิรุจ”คำถามถูกยิงเป็นอันดับต่อมา แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้แล้วของท่านรองประธานเพราะท่านตอบทันที
“ท่าน อารมณ์ ไม่ได้ทิ้งครอบครัวครับ ก่อนที่ท่านจะยิงตัวตาย ท่านได้ลงมือสังหารทุกคนในบ้านตั้งแต่พ่อ แม่ ภรรยา และ ลูกของท่านครับ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่า อารมณ์เป็นคนยิงคนในบ้าน”
“คนใช้ที่บ้านท่านยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจครับว่าเห็นท่านอารมณ์ยิงครอบครัวของท่านเองกับตา และพนักวานสอบสวนยืนยันครับว่าคนใช้คนนั้นพูดจริง”
“หืม”เสียงอุทานอย่างสงสัยของท่านประธานดังขึ้นเกือบจะทันทีเช่นกัน “ผมต้องการสอบสวนคนใช้ในบ้านของอารมณ์ด้วยตนเอง”
“เสียใจครับท่าน”
“อย่าบอกนะว่า ไอ้คนใช้มันก็เสือกตายเหมือนกัน”
“ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกท่านว่า หลังจากให้ปากคำเสร็จ คนใช้คนนั้นก็ได้ไปดื่มสุรากับเพื่อนๆ เจ้าหน้าที่สงสัยว่านายคนนั้นอาจจะแอบเอาอะไรจากบ้าน ท่านอารมณ์ออกมาขายแล้วนำเงินไปดื่มสุรา แต่เคราะห์ร้ายครับเมื่อระหว่างที่นายคนนั้นกับเพื่อนจะไปเที่ยวกันต่อเกิดพลัดตกลงไปบนรางรถไฟฟ้าครับ หลังจากนั้นสีผิวที่ดำอยู่แล้วก็เกรียมทันทีครับ”
“บ้าจริง” ท่านประธานสบถดังลั่น
“ขออนุญาตครับท่าน” พ.ต.อ.สิริพลกล่าวขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นานในการประชุม “ผมว่าคดีนี้มันมีเงื่อนงำบางอย่างครับ ผมว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยรึเปล่าครับที่อยู่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการท่านอารมณ์จะมาตายเอากันหมดในเวลาไล่เลี่ยกันขนาดนี้ และผมว่ามันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ที่ท่านอารมณ์ต้องสังหารทุกคนในครอบครัว”
“คุณกำลังจะบอกอะไรผม สิริพล” ท่านประธานบอร์ดถามด้วยความเคารพในความฉลาดของเขาคนนี้
“ท่านครับ ผมว่าลักษณะนี้มัน ฆ่าปิดปากครับท่านครับ”
“คุณจะบอกว่ามีคนฆ่ายกครอบครัวท่านอารมณ์อย่างนั้นรึเปล่า”
“ครับท่าน ใครบางคนที่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นผู้บงการการร่วมมือกับผู้ค้ายาครับท่าน” หยุดพูดก่อนขยับเก้าอี้ให้นั่งได้ถนัดขึ้น “ใครคนนั้นเป็นคนบงการใหญ่ที่เกรงว่าพวกเราอาจจะสาวไปถึงการทุจริตของตัวผู้บงการได้ ใครคนนั้นไปพบท่านอารมณ์ที่บ้านและเริ่มการสังหาร”
“ฟังดูมีเหตุผล แล้วทำไม ใครคนนั้นของคุณถึงไม่ฆ่าคนใช้ซะตั้งแต่แรกเลยละในเมื่อมันคงง่ายกว่าการไปผลักตกรางรถไฟฟ้าทีหลัง”
“ท่านครับเรื่องรี้ตอบได้ไม่ยาก ท่านอารมณ์เพิ่งจ้างคนใช้มาไม่นานมานี้ครับ ทำให้ตัวผู้บงการไม่รู้ว่าบ้านท่านอารมณ์มีคนใช้จึงต้องตามไปเก็บที่หลัง”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคนใช้คนนั้นถึงไม่บอกตำรวจว่ามีคนฆ่าท่านอารมณ์ละ และอีกอย่างสิริพล คุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านท่านอารมณ์ไม่มีคนใช้”
พ.ต.อ.สิริพลเงียบไปหลังได้ยินคำถามจากท่านประธานของเขา เขามั่นใจว่าความคิดของเขาถูกต้องแต่ดูเหมือนน้ำหนักจะไม่พอเสียแล้ว แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก มันอาจจะเป็นปมของปัญหาที่เขากำลังนึกอยู่
“คนใช้เมาครับท่าน”
“ผมรู้ว่าคนใช้เมา แต่นั่นมันหลังให้การกับพนักงานสอบสวนนะ”
“ผมทราบดีครับเพียงแต่บางที เงินที่ชายคนนั้นนำไปดื่มอาจจะไม่ใช่เงินจากบ้านท่านอารมณ์ก็เป็นได้นะครับ คนร้ายอาจติดสินบนชายคนนั้นด้วยเงินก้อนโตครับ”
“อย่ามาบ้าน่าสิริพล คนตายหลายคนเกินกว่าที่เงินจะซื้อได้นะผมว่า”
“ท่านครับ คนใช้บ้านท่านอารมณ์เพิ่งมาทำงานครับ และเงินนั่นอาจจะมากกว่าที่ท่านคิดนะครับ”
“แล้วตอนนี้ไอ้เงินนั่นมันอันตรธานไปอยู่ไหนกันละ”
“คำตอบมีอยู่แค่ที่ด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับท่าน” พ.ต.อ.สิริพลเว้นวรรคชั่วครู่ราวกับต้องการเห็นใบหน้าแสดงความสงสัยจากทั้งท่านประธานและท่านรองประธาน “กระแสไฟฟ้าจากรางส่งผลให้ร่างของชายคนนั้นไหม้ เงินคงไม่สามรถทนกับความร้อนได้แน่ครับ เงินไม่ได้หายไปไหนหรอกท่านครับ มันติดอยู่กับตัวของชายคนนั้นนั่นเอง”
“อืม...เป็นไปได้ทีเดียว”ท่านประธานและท่านรองกล่าวเกือบจะพร้อมๆกัน ก่อนที่ท่านรองประธานจะพูดต่อด้วยความสงสัยพอๆกับบุคคลอีกคนที่อยู่ด้านข้าง”แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านอารมณ์เพิ่งจะมีคนใช้”
พ.ต.อ.สิริพลไม่ต้องนึกให้เสียเวลา “ท่านครับผมเพิ่งไปบ้านท่านเมื่อสองวันก่อนตอนนั้นเป็นงานวันเกิด และท่านบอกกับผมเองว่าท่านไม่ได้จ้างคนใช้ไว้ ภรรยาของท่านเองก็บ่นอยู่ย่อยว่าน่าจะหาคนใช้สักคน ในตอนแรกผมยังแปลกใจที่ท่านรองบอกว่าคนใช้บ้านของท่านอารมณ์ไปให้ปากคำ ผมมานึกได้ก่อนผมจะกลับบ้านท่านบอกว่าจะมีเพื่อนของท่านหาคนใช้ให้ในวันสองวันครับ”
“มีความเป็นไปได้สูง”ท่านประธานกล่าว”แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปสิริพล”
“อันดับแรกต้องสั่งให้ สน.พระโขนงระงับการปิดคดีไว้ครับท่านและห้ามเผาศพทุกศพจนกว่าจะทำการชันสูตร เราอาจพบร่องรอยการต่อสู้”พ.ต.อ.สิริพลกล่าวตอบ”เราจำเป็นต้องทำให้เร่งด่วนที่สุดครับ”
“เอกนิรุจจัดการทันทีนะ ภายในวันพรุ่งนี้ผมต้องเห็นเอกสารเกี่ยวกับคดีของอารมณ์ที่ห้องทำงานผม “
“ท่านครับ ผมเกรงว่าจะไม่ทันครับ กว่าผมจะสั่งให้ระงับการปิดคดีคงเป็นตอนเช้าเพราะตอนนี้มันสามทุ่มกว่าแล้วครับ”
“ผมเห็นด้วยครับท่าน”พ.ต.อ.สิริพลกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นผมเลื่อนให้ ก่อนเราจะทำการประชุมเรื่องนี้ ตกลงรึเปล่า”
ทั้งสองพยักหน้า
“แล้วก็เอกนิรุจ คดีนี้ให้สิริพลเป็นคนทำเหมือนเดิมนะ”
“ครับท่าน”ท่านรองรับคำสั่ง
“ผมว่าเราจบการประชุมนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน งานของเรามันหนัก
มากพอแล้วสำหรับคืนแห่งความตายคืนนี้”ท่านประธานกล่าวหลังจากชำเลืองดูนาฬิกาที่แขวนผนังอยู่ข้างกล้องโทรทัศน์วงจรปิด”ท่านสุภาพบุรุษมีผู้ใดสงสัยและต้องการซักถามรึเปล่า” ท่านเว้นช่วงแต่ไม่มีใครมีทีท่าสงสัย “ถ้าเช่นนั้นขออย่าลืมว่าพวกเรากำลังทำงานให้ประเทศชาติ อย่าได้โลเลกับการกระทำอันเป็นการดูหมิ่นเกียรติของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นอันขาด เชิญเลิก”
พ.ต.อ.สิริพลลุกขึ้นยืนเกือบจะทันทีตามด้วยท่านนายพลตำรวจทั้งสอง เขาคำนับให้ท่านทั้งสองอย่างเคารพ รอจนท่านประธานและท่านรองประธานออกไปนอกประตูแล้วจึงเดินตามออกไปตามระบบอาวุโสที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหารและนักเรียนนายร้อยตำรวจ เดินออกจากประตูและปล่อยให้ประตูปิดอย่างอัตโนมัติและพบว่าท่านประธานยังคงยืนรออยู่ส่วนท่านรองนั้นได้เดินไปขึ้นรถที่นายตำรวจติดตามได้เรียกมาให้ก่อนหน้า
“สิริพล คุณฉลาดมาก คุณมองออกว่าเป็นการฆ่าปิดปาก ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” พล.ต.อ.ประชากล่าวชมผู้ใต้บังคับบัญชา ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ เขาเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านครับจริงต้องขอบคุณลูกชายผมครับที่มันเอาคดีคล้ายกันนี้มาทำต่อที่บ้าน” เขาพูดเจือด้วยเสียงหัวเราะ
“ไม่ยักรู้ว่าลูกชายคุณเป็นตำรวจ”
“ครับท่าน ลูกผมเพิ่งจบมาสองปียังไม่ได้ทำตัวเด่นอะไรมากมายนักครับ ตอนนี้ก็เป็นรองผู้กำกับการฝ่ายปราบปรามอยู่สน.ปทุมวันนี่แหละครับท่าน”
“ลูกคุณนี่เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆนะ”
“ท่านชมกันเกินไปแล้วครับ”
“ไม่หรอก คนดีๆเก่งๆผมสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับท่าน ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวครับ เดี๋ยวผู้บัญชาการที่บ้านจะดุเอาครับท่าน”
“ตามสบาย ผมก็ต้องไปแล้ว ศรีภรรยาคอยอยู่”
โค้งคำนับอีกหนึ่งครั้งก่อนเดินอย่างคล่องแคล่วไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ทางออก เขาตรงไปที่ที่จอดรถแคบๆด้านหน้าตึกก่อนจะขึ้นรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดสีเทาและติดเครื่องทันที มือขวาพลันไปถูกปืนพกข้างตัวก่อนจะมาจับพวงมาลัยและออกรถมุ่งหน้ากลับบ้านชานเมืองแถบบางนา
เส้นทางที่เขามักจะใช้เดินทางกลับบ้านเป็นประจำในยามค่ำคืนนั้น เขาหลีกเลี่ยงการใช้ทางพิเศษ(ทางด่วน)เนื่องจากในเวลาสามทุ่มเช่นนี้รถที่ไหนจะมาติด เขายอมที่จะหงุดหงิดนิหน่อยบนถนนพระรามสี่และถนนสุขุมวิทดีกว่าที่จะไปเสียเงินให้กับการทางพิเศษ
รถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วราวๆ “ไอ้พวกเวร”สบถด่ากลุ่มวัยรุ่นที่ชอบขับรถซิ่งก่อนจะปาดหน้า ถ้าหาก
ไม่ใช่วันนี้เขาคงรีบวิทยุแจ้งไปที่ สน.คลองตันแล้วก็ได้ แต่วันนี้ภรรยาเขากำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ที่บ้านเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบงานแต่งงานของเขา
เขานึกถึงเรื่องที่น่าเสียดายเรื่องหนึ่งขึ้นมาเมื่อราว 5 โมงเย็นของวันนี้ เมื่อลูกชายของเขาโทรศัพท์มาจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันอาจจะต้องกลับบ้านช้า เพราะลูกชายของเขาจะต้องไปกับสารวัตรปราบปรามในการเข้าทำลายโต๊ะพนันบอลแหล่งใหญ่ใจกลางเซนเตอร์พอยต์ บางทีนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลก็ได้ ที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายคนเดียวของเขาไปทำอาชีพอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจ แต่เมื่อลูกชายยืนกรานเขาก็ไม่ได้คัดค้านอีกต่อไป
เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้างเอวดังขึ้น พร้อมกับการทำงานของระบบสั่นข้างๆเอวดานซ้าย เขาปล่อยให้มันดังอีกสองถึงสามครั้งก่อนจะหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเก่าแต่ยังใช้ได้ดีขึ้นมาแนบหู
“ที่รักเหรอจ๊ะ” เขาทักทายหลังจากเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
“ค่ะ ที่รัก”เสียงปลายสายอีกด้านตอบรับ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย”ลูกบอกคุณหรือยังว่าจะกลับดึก”
“บอกแล้วจ๊ะ แล้วตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้าน คุณจะเอาก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าที่อุดมสุขหรือเปล่า ผมอาจจะแวะซื้อให้คุณได้นะ”
“อย่าดีกว่าค่ะที่รัก ฉันอยากให้คุณรีบกลับบ้าน” เธอตอบ “รู้อะไรมั้ยกว่าฉันจะเตรียมเค้กเสร็จมันก็ร่วมชั่วโมงทีเดียว”
“ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเลยนะ”
“ค่ะ แล้วเจอกันที่บ้านค่ะ”
“แล้วพบกันจ๊ะ ที่รัก”เขาเอ่ยตอบก่อนที่จะปล่อยให้ปลายสายวางโทรศัพท์ก่อนแล้วจึงนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาไปเสียบไว้กับซองข้างเอวเช่นเดิม ก่อนจะเลี้ยวขวาที่สามแยกพระรามสี่เข้าสู่ถนนสุขุมวิท แต่ก็ต้องเบรกอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงที่แยกคลองตัน
โชคไม่ดีเอาเสียเลย
เขาคิดในใจ ตลอดเกือบจะทุกครั้งของการกลับบ้านดึก แยกรี้น้อย
ครั้งมากที่เขาจะต้องมาติดไฟแดง ปล่อยใจให้ไหลไปตามเพลงเบาๆของ พีซ เมคเกอร์ และจำได้ว่าครั้งแรกที่ฟังเพราะลูกชายของเขาเปิดตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อสี่ปีก่อน ช่วงปิดเทอมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพลงอาจจะไม่ไพเราะมากเท่าศิลปินในอดีตที่เขาเคยฟังแต่เขก็ชอบกับความหมายของเพลง บอย พีซเมคเกอร์ สื่อความหมายของความเหงาได้ดีเกินกว่าใครจะคาดคิด เขาอดคิดไม่ได้ส่าเพลงนี้อาจจะทำใครบางคนน้ำตาตกมาแล้วก็ได้
เหยียบคันเร่งออกรถอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว ก่อนจะบีบแตรไล่รถคันหน้าที่มัวแต่พลอดรักกับเพื่อนหญิงของตนเองจนลืมที่จะดูสัญญาณไฟ ไม่นานนักรถก็ขึ้นสะพานข้ามคลองพระโขนงและมาถึงสถานีปลายทางของรถไฟฟ้า ผ่านปากซอยบ้านของท่านพล.ต.ต.อารมณ์ ผู้เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ทำให้เขาอดคิดถึงความยุ่งยากในวันรุ่งขึ้นไม่ได้
เขาต้องมาติดไฟแดงอีกครั้งที่แยกสุขุมวิท 62 เป็นเหตุการณ์ปกติ แทบจะไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะพลาดการหยุดชมตลาดบางจากไปได้จากการติดไฟแดงที่แยกนี้ จุดเริ่มต้นของทางด่วนนี้บ่อยครั้งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการจราจรติ
ขัด
มุ่งหน้าออกจากถนนสุขุมวิทเข้าสู่ ซอยสุขุมวิท103 หรือซอยอุดมสุข ซอยนี้เป็นซอยที่อุดมสุขสมชื่อของมัน ตั้งแต่ปากทางเข้าจนถึงท้ายซอยที่ติดกับถนนศรีนครินทร์นั้นเต็มไปด้วยร้านอาหารที่อยู่ในระดับภัตตาคารแต่ราคาไม่แพง มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตามทางเท้าเสียด้วย
เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่เข้าสู่ถนนบางนาได้ โดยจะต้องเลี้วขวาหลังจากข้ามสะพานข้ามคลองเล็กเกือบจะสุดซอย และมุ่งหน้าตรงเข้าไปผ่านสถานที่ฝึกสุนัขแห่งเดียวในละแวกนั้น ตามด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่ทางออกจากทางลัดนั้นโดยด้านขวาเป็นเซ็นทรัลบางนาส่วนทางซ้ายเป็นห้างบิ๊กซี
เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด และขับตรงไปไม่เท่าไรก็เลี้ยวซ้ายอีกครั้งเข้าหมู่บ้านไพโรจน์ขับตรงผ่านหน้ายามเฝ้าหมู่บ้านที่ทำความเคารพและยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย และตรงเข้าไปอีกเจ็ดหลังก็เข้าถึงบ้านอันแสนสงบของเขา
ก่อนที่เขา ภรรยา และลูกจะเข้าบ้านทุกครั้ง เหมือนเป็นข้อตกลงเดียวกันว่าพวกเขาจะทิ้งงานในสมองไว้ที่ประตูบ้านเท่านั้น
เขาจอดรถที่หน้าบ้านเพื่อลงไปเปิดประตูรถ ก้าวขาลงจากรถและตรงไปที่ประตูบ้าน เขาไปจับที่กลอนกลางประตูและค่อยๆเปิดมันออกจนกว้าง เขาหันกลับและกำลังจะเดินไปที่รถ
พระเจ้าช่วย!
เขานึกขึ้นดังลั่นในสมองและนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาลืมทำสิ่งหนึ่งก่อนเปิดประตูบ้านนั่นก็คือการไขกุญแจ เขามองไปที่ประตูอย่างกระวนกระวายด้วยกลัวว่า
อาจจะเกิดเหตุไม่ดี พลันก็นึกไปว่าลูกชายอาจจะมาถึงบ้านก่อนเขา แต่แล้วความคิดนี้ก็พังทลายเมื่อสายตาเขาไม่พบรถยนต์นิสสันสีดำของลูกชายที่ควรจะอยู่ที่โรงเก็บรถ
ค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวังราวกับไม่ใช่บ้านของตนเอง ปืนพกสีดำยี่ห้อบาเร็ตต้ากำแน่นอยู่ที่มือขวาพร้อมที่จะยิงใครก็ตามที่ไม่ใช่สมาชิกภายในบ้านไฟในครัวยังเปิดอยู่แต่ไฟที่ห้องนั่งเล่นกับปิดมืด ทั้งที่มันควรจะเปิดหากภรรยาเขารอคอยการกลับมาของเขาอยู่ ก้าวอาดๆไปที่ประตูหน้าด้วยความชำนาญ
“ที่รัก คุณอยู่ในบ้านรึเปล่า”เขาส่งเสียงและพยายามใช้น้ำเสียงที่ปกติที่สุด มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาคิดเบาๆในใจและกำลังภาวนาให้เป็นเช่นนั้น แต่ดูเหมือนสถานการณ์ต่างๆจะไม่อำนวยให้เขาคิดเช่นนั้น “ที่รัก”
ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีแต่คำตอบที่เขาได้รับกลายเป็นความเงียบสงบราวกับไม่มีใครอยู่ในบ้าน
พ.ต.อ.สิริพลผ่านงานการเป็นตำรวจมานานแต่ยังไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเขาไม่กล้าจะเปิดประตูเข้าไปในบ้านเพราะความกลัวว่าจะพบกับภาพที่เขาพยายามจะไม่นึกถึงมัน
เอื้อมมือซ้ายไปที่ลูกบิดแล้วค่อยๆหมุนเพราะเกรงว่าจะเกิดเสียงดัง ประตูไม่ได้ล็อคก็เป็นสิ่งที่แปลกอีกเช่นกัน ชั่ววินาทีเขาก็กระชากประตูออกและเปิดไฟห้องนั่งเล่นอย่างทันที และสิ่งที่เขาพบคือความว่างเปล่า!
“ที่รัก คุณอยู่ไหน ผมกลับมาแล้ว” เขาตะโกน แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิม
เขาเดินพลางประทับปืนเล็งไปตามทางทางขวาเป็นห้องครัวที่ไฟเปิดอยู่ตั้งแต่เขามาถึง สืบเท้าไปที่ประตูอย่างระมัดระวังและโผล่ไปที่ประตูครัวหมายจะได้เจอกับภรรยาโดยที่ปืนยังคงเล็งไปทั่วห้อง
โต๊ะสำหรับเตรียมอาหารมีกับข้าวหลายอย่างวางอยู่แกงเขียวหวาน ไข่เจียวหมูสับ และเค้กวันครบรอบการแต่งงาน ตู้เย็นและตู้กับข้าวยังคงปิดสนิทไม่มีอะไรแปลกตาภายในห้องนี้ เขาสืบเท้าช้าเข้าไปในห้องครัวสายตาสอดส่ายหาภรรยาแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหาเจอดูเหมือนใครบางคนต้องการจะเล่นตลกกับเขาและมันกำลังทำให้เขาแทบบ้า
สายตาชำเลืองสำรวจอาหารบนโต๊ะช้าๆ และเขาก็พบกับสิ่งที่แปลก ปลอมที่สุดภายในบ้าน หน้าเค้กถูกตกแต่งเป็นรูปคนสองกำลังอยู่เคียงข้างกัน แสดงความรักได้เป็นอย่างดีแต่ข้อความทำให้เขาใจแทบสลาย
เมียมึงรับเคราะห์เพราะความเสือกรู้มากของมึง
มันเขียนด้วยสีแดงสด เขาคิดเช่นนั้น แต่แล้วความคิดเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเพ่งมองที่ข้อความดีๆ มันไม่ได้เขียนด้วยสีแดงแต่มันเขียนด้วยน้ำสีแดง หรือจะพูดให้ถูกก็คือมันถูกเขียนด้วยเลือด เลือดจากภรรยาผู้รับเคราะห์แทนเขา
เกือบจะล้มลงเพราะความตกใจระคนเสียใจสุดชีวิตแต่แล้วหูก็พลันได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงครางอย่างทรมานจากด้านบน และแล้วเขาก็นึกออกว่าเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยมาตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ไม่รอให้แน่ใจเขาวิ่งออกจากครัวและโผเข้าสู่บันไดที่ตรงสู่ชั้นที่สอง เขาไม่กลัวที่จะส่งเสียงดังอีกต่อไป ถีบประตูห้องนอนของเขากับภรรยาและตรงไปที่เตียงนอนก่อนจะพบกับความสยดสยอง
ร่างเล็กๆของภรรยาเขานอนอยู่บนเตียงนอนคู่หลังใหญ่ ในสภาพเปลือยกายแขนทั้งสองข้างถูกมัดอยู่กับหัวเตียง เขาแทบจะร้องไห้เพราะความสงสารที่ภรรยาเขาเพิ่งจะพบเขาเดินเซไปที่เตียงราวกับมันอยู่ไกลแสนไกล ข้อมือมีรอยกรีดและเลือดยังคงไหลช้าๆ ดวงตาของเธอยังเบิกกว้างและที่สำคัญเธอยังไม่ตายแต่ลมหายใจรวยริน
“พล คะ” เสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ!!!!
Chapter 1:
กรุงเทพในยามกลางคืนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ขอบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต่างเข้ามาหาความสุขสำราญกันในย่านบันเทิงเริงรมย์ต่างๆที่ปรากฏอยู่ทั่วไปราวกับต้นหญ้าในท้องทุ่ง ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเข้ามาเพื่อหาความสนุกสนานด้วยการเผาผลาญเงินไปกับเหล่าอบายมุขทุกรูปแบบไมว่าจะเป็น สุรา หือ นารี
สยามสแคว์นั้นดูครึกครื้นเข้ากันกับแหล่งบันเทิงโดยรอบ ศูนย์รวมวัยรุ่นยุคใหม่ของประเทศน่าจะเป็นคำบรรยายที่น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับแหล่งชอบปิ้งแหล่งนี้ พื้นที่แห่งนี้ถูกล้อมด้วยถนนพระรามหนึ่งในด้านทิศตะวันออก ถนนอังรีดูนังต์ด้านทิศใต้ ถนนพญาไททางด้านทิศเหนือ ส่วนทางทิศตะวันตกนั้นติดกับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสถาบันที่ทรงคุณค่ามากที่สุดของประเทศก็อาจจะกล่าวได้
อีกฟากของถนนอังรีดูนังต์บนที่ตั้งหลายร้อยตารางวานั้นเป็นสถานที่ที่ขัดกับบรรยากาศความบันเทิงอย่างที่สุด ตราโล่กลมที่มีดาบเสียบปรากฏอยู่บนยอดของทุกตึก ทางเข้าสถานที่แห่งนี้นั้นติดอยู่กับถนนพระรามหนึ่งโดยมีป้ายขนาดใหญ่เขียนแสดงอำนาจอย่างชัดเจนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันหลักที่ยืนหยัดคู่กับความมั่นคงและความสงบสุขของประชาราษฎร์มานานหลายทศวรรษตั้งแต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ตึกกองบัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งเด่นเป็นสง่าด้านบนสามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ได้ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่พอดิบพอดี อาคารเป็นตึกสร้างใหม่ขัดกับอาคารอื่นๆโดยรอบ
ค้านข้างเป็นอาคารเก่าหลังเล็กๆ แต่สภาพของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำงานอยู่ภายในมิได้เก่าตามไปด้วย ป้ายด้านหน้าถูกทำอย่างชัดเจนว่า “กองบัญชากาตำรวจสอบสวนกลาง” หรือที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ขนานนามกันว่า เอฟ.บี.ไอ. แห่งเมืองไทย หน่วยขึ้นตรงของกองบัญชาการที่มีความสำคัญนั้นมีมากมายเช่น กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว และที่สำคัญและจะละเว้นไม่ได้ก็คือ กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือ บก.ปปป.
ภายในห้องประชุมที่ไม่ได้ตกแต่งอย่างโอ่โถงมากมายนักภายในมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่สามนาย
คนแรกคือ พล.ต.อ. ประชา สันติสุข หรือบุคคลที่สื่อมวลชนหลายสาขาขนานนามโดยที่ท่านมิได้เต็มใจนักว่า บิ๊กประชา ผู้มีความสำคัญเป็นอันดับต้นของประเทศ ท่านมีตำแหน่งเป็นถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่สองมีชั้นยศต่ำกว่าท่านหนึ่งชั้นยศคือ พล.ต.ท.
เป็นเวลาหกเดือนแล้วที่บอร์ดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นระหว่าง พล.ต.อ.ประชา กับ พล.ต.ท.เอกนิรุจ เพื่อความมุ่งหมายในการปราบปรามการคอรัปชั่นให้หมดไปจากวงการตำรวจไทย และเพื่อให้บอร์ดนี้สามารถปฏิบัติงานได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นท่าน ผบ.ตร.จึงได้มาเป็นประธานบอร์ดเสียเอง และให้ผบ.ตำรวจสอบสวนกลางเป็นรองประธาน ส่วน พ.ต.อ.สิริพลนั้นเดิมทีเป็นตำรวจจากกองปราบปรามตำรวจนครบาล แต่หลังจากที่ทั้งประธานและรองประธานได้ลงความเห็นนั้นก็ตัดสินใจย้าย พ.ต.อ.สิริพลมาช่วยราชการ เนื่องมาจากความตรงในการทำงานและประวัติการทำงานที่ดีเด่น
“เรามีคดีใดบ้างที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมาเพื่อทำการจับกุมเจ้าพนักงานของเราบ้างรึเปล่า สิริพล” ประธานบอร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินกันสามคนโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง แม้ท่านจะใกล้จะเกษียณแต่เสียงยังหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญหากยังมีความคิดที่จะทำงาน
“ยังเหลืออีกหลายคดีครับท่าน ส่วนใหญ่เป็นคดีรับสินบนของนายตำรวจชั้นผู้น้อย ผมได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้กับผู้กำกับแต่ละสถานีทราบและให้ดำเนินการ” พ.ต.อ.สิริพลกล่าวอย่างคล่องแคล่ว ด้วยวัย40ปีไฟในการทำงานยังครุกกรุ่น ใบหน้าที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกของเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรดาผู้สื่อข่าวไม่กล้าจะเข้ามาทำข่าวของมือปราบคอรัปชั่นผู้นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ เขายินดีที่จะรับไว้อย่างเต็มใจ “คดีที่ผมดูจะเป็นกังวลก็คือคดีของ ท่านพ.ต.อ.อากูร ครับเรายังไม่มีหลักฐานใดๆเพียงพอที่จะเอาผิดกับท่าน อาจจะเป็นไปได้ว่าท่านบริสุทธิ์”
“เป็นไปได้ครับท่าน จากการทำงานของเขาที่เคยเป็นผู้ช่วยผม อากูรเป็น
คนที่มือสะอาดครับ” ท่านรองประธานสนับสนุน “อากูรเป็นตำรวจด้วยอุดมการณ์ครับ ถ้าความจำของผมไม่ผิดพลาด อากูรเคยเป็นนาย ของ สิริพลครับ ใช่ไหมสิริพล”
“จริงอย่างที่ท่านรองพูดครับ ท่านอากูรน่าจะเป็นคนดีครับ เราอาจเก็บคดีนี้ไว้ก่อนและให้คนของเราเฝ้าดูพฤติกรรมสักระยะคงไม่เสียหาย”
“เอาอย่างที่คุณว่าก็ได้ สิริพลให้ตำรวจนอกเครื่องแบบของเราเฝ้าดูเป็นระยะก็ดีเหมือนกัน” ท่านประธาน กล่าวรับความคิดของนายตำรวจใต้บังคับบัญชาอย่างไว้วางใจ “เกือบลืมไปนึกว่าเรามีกันแค่สามคน บางทีถ้าหลักฐานมันไม่พอหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบเฉพาะการก็มีประโยชน์ไม่น้อยนะ”
พ.ต.อ.สิริพล กำลังนึกถึงภาพของหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบเฉพาะการ เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เสนอให้จัดตั้งหน่วยนี้โดยใช้กำลังจากนายตำรวจสัญญาบัตรที่คัดมาเป็นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ หน่วยนี้มีเพียงคนเดียวโดยคนที่รู้ชื่อของบุคคลดังกล่าวมีเพียงท่านประธานบอร์ดเพียงคนเดียว เขาให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัยของนายตำรวจคนนั้นเอง
“แล้วเรื่องคดีของนายตำรวจสัญญาบัตรที่ร่วมมือกับขบวนการขนยาเสพติดละ ผมจำชื่อไม่ได้ “ท่านประธานถาม “เอ...รู้สึกจะชื่อ อาคม อะไรสักอย่าง”
“ท่าน พล.ต.ต. อารมณ์ ปฐมกาล หรือครับ” เขากล่าว
“นั่นแหละ”ท่านประธานรับ
“ผมขออนุญาตตอบเรื่องนี้ครับท่าน” ท่านรองประธานเอ่ยขึ้นแทรกอย่าง
มีมารยาทตามที่ได้รับการอบรมมา “เนื่องจาก สิริพลได้ส่งเรื่องนี้มาให้ผมแล้วครับท่าน”
“เชิญ เอกนิรุจ ว่ามาเลยผมรอฟังอยู่”
“หลังจากที่ท่านสั่งให้ สิริพลสืบสวนเรื่องนี้ได้อย่างมีอำนาจสูงสุดครับ สิริพลได้สืบจนพบว่ามีนายตำรวจอีกหลายนายที่มีส่วนในการพัวพันกับเรื่องนี้ ผมจึงมีคำสั่งฉุกเฉินพักงานและควบคุมตัวทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องครับ ส่วนน่าเสียดายที่ พล.ต.ต. อารมณ์นั้นไม่สามารถอยู่รับความผิดได้อีกแล้วครับ”
“คุณหมายความว่าอะไร ทำไม อารมณ์ ถึงรับความผิดไม่ได้”
“ก่อนเริ่มการประชุมสามนาที ผมเพิ่งได้รับข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนงว่าท่าน อารมณ์ ได้เสียชีวิตแล้วครับ”
“หา...ตายแล้วเหรอ”เสียงอุทานของท่านประธานดังเกือบจะก้องห้องประชุมเล็กๆแห่งนั้น
แม้แต่สิริพลก็พลอยมีสีหน้าตกอกตกใจไปกับท่านประธานบอร์ดไปด้วย เขาเพิ่งรู้ว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้จากโลกไปเมื่อสักครู่นี้เอง
“ตายยังไง”
“ทางตำรวจท้องที่แจ้งว่า ท่านอารมณ์ ฆ่าตัวตายครับ” ท่านรองประธานตอบด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะปกติเป็นที่สุด “รอยกระสุนเพียงนัดเดียวที่ข้างขมับขวาเป็นสาเหตุครับ”
“ฆ่าตัวตายเหรอ เป็นทางออกที่เลวมาก เห็นแก่ตัว”ท่านประธานกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ท่านเกลียดคนที่แก้ปัญหาต่างๆด้วยการปลิดชีพตนเอง
“การฆ่าตัวตายทำให้ครอบครัวเดือดร้อน เห็นแก่ตัวมาก”
“ท่านครับอาจจะไม่ครับ”
ท่านประธานหันมาสบตากับท่านรองประธานทันทีรวมถึงสิริพลเองด้วย
“คุณหมายความว่ายังไง เอกนิรุจ”คำถามถูกยิงเป็นอันดับต่อมา แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้แล้วของท่านรองประธานเพราะท่านตอบทันที
“ท่าน อารมณ์ ไม่ได้ทิ้งครอบครัวครับ ก่อนที่ท่านจะยิงตัวตาย ท่านได้ลงมือสังหารทุกคนในบ้านตั้งแต่พ่อ แม่ ภรรยา และ ลูกของท่านครับ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่า อารมณ์เป็นคนยิงคนในบ้าน”
“คนใช้ที่บ้านท่านยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจครับว่าเห็นท่านอารมณ์ยิงครอบครัวของท่านเองกับตา และพนักวานสอบสวนยืนยันครับว่าคนใช้คนนั้นพูดจริง”
“หืม”เสียงอุทานอย่างสงสัยของท่านประธานดังขึ้นเกือบจะทันทีเช่นกัน “ผมต้องการสอบสวนคนใช้ในบ้านของอารมณ์ด้วยตนเอง”
“เสียใจครับท่าน”
“อย่าบอกนะว่า ไอ้คนใช้มันก็เสือกตายเหมือนกัน”
“ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกท่านว่า หลังจากให้ปากคำเสร็จ คนใช้คนนั้นก็ได้ไปดื่มสุรากับเพื่อนๆ เจ้าหน้าที่สงสัยว่านายคนนั้นอาจจะแอบเอาอะไรจากบ้าน ท่านอารมณ์ออกมาขายแล้วนำเงินไปดื่มสุรา แต่เคราะห์ร้ายครับเมื่อระหว่างที่นายคนนั้นกับเพื่อนจะไปเที่ยวกันต่อเกิดพลัดตกลงไปบนรางรถไฟฟ้าครับ หลังจากนั้นสีผิวที่ดำอยู่แล้วก็เกรียมทันทีครับ”
“บ้าจริง” ท่านประธานสบถดังลั่น
“ขออนุญาตครับท่าน” พ.ต.อ.สิริพลกล่าวขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นานในการประชุม “ผมว่าคดีนี้มันมีเงื่อนงำบางอย่างครับ ผมว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยรึเปล่าครับที่อยู่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการท่านอารมณ์จะมาตายเอากันหมดในเวลาไล่เลี่ยกันขนาดนี้ และผมว่ามันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ที่ท่านอารมณ์ต้องสังหารทุกคนในครอบครัว”
“คุณกำลังจะบอกอะไรผม สิริพล” ท่านประธานบอร์ดถามด้วยความเคารพในความฉลาดของเขาคนนี้
“ท่านครับ ผมว่าลักษณะนี้มัน ฆ่าปิดปากครับท่านครับ”
“คุณจะบอกว่ามีคนฆ่ายกครอบครัวท่านอารมณ์อย่างนั้นรึเปล่า”
“ครับท่าน ใครบางคนที่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นผู้บงการการร่วมมือกับผู้ค้ายาครับท่าน” หยุดพูดก่อนขยับเก้าอี้ให้นั่งได้ถนัดขึ้น “ใครคนนั้นเป็นคนบงการใหญ่ที่เกรงว่าพวกเราอาจจะสาวไปถึงการทุจริตของตัวผู้บงการได้ ใครคนนั้นไปพบท่านอารมณ์ที่บ้านและเริ่มการสังหาร”
“ฟังดูมีเหตุผล แล้วทำไม ใครคนนั้นของคุณถึงไม่ฆ่าคนใช้ซะตั้งแต่แรกเลยละในเมื่อมันคงง่ายกว่าการไปผลักตกรางรถไฟฟ้าทีหลัง”
“ท่านครับเรื่องรี้ตอบได้ไม่ยาก ท่านอารมณ์เพิ่งจ้างคนใช้มาไม่นานมานี้ครับ ทำให้ตัวผู้บงการไม่รู้ว่าบ้านท่านอารมณ์มีคนใช้จึงต้องตามไปเก็บที่หลัง”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคนใช้คนนั้นถึงไม่บอกตำรวจว่ามีคนฆ่าท่านอารมณ์ละ และอีกอย่างสิริพล คุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านท่านอารมณ์ไม่มีคนใช้”
พ.ต.อ.สิริพลเงียบไปหลังได้ยินคำถามจากท่านประธานของเขา เขามั่นใจว่าความคิดของเขาถูกต้องแต่ดูเหมือนน้ำหนักจะไม่พอเสียแล้ว แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก มันอาจจะเป็นปมของปัญหาที่เขากำลังนึกอยู่
“คนใช้เมาครับท่าน”
“ผมรู้ว่าคนใช้เมา แต่นั่นมันหลังให้การกับพนักงานสอบสวนนะ”
“ผมทราบดีครับเพียงแต่บางที เงินที่ชายคนนั้นนำไปดื่มอาจจะไม่ใช่เงินจากบ้านท่านอารมณ์ก็เป็นได้นะครับ คนร้ายอาจติดสินบนชายคนนั้นด้วยเงินก้อนโตครับ”
“อย่ามาบ้าน่าสิริพล คนตายหลายคนเกินกว่าที่เงินจะซื้อได้นะผมว่า”
“ท่านครับ คนใช้บ้านท่านอารมณ์เพิ่งมาทำงานครับ และเงินนั่นอาจจะมากกว่าที่ท่านคิดนะครับ”
“แล้วตอนนี้ไอ้เงินนั่นมันอันตรธานไปอยู่ไหนกันละ”
“คำตอบมีอยู่แค่ที่ด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับท่าน” พ.ต.อ.สิริพลเว้นวรรคชั่วครู่ราวกับต้องการเห็นใบหน้าแสดงความสงสัยจากทั้งท่านประธานและท่านรองประธาน “กระแสไฟฟ้าจากรางส่งผลให้ร่างของชายคนนั้นไหม้ เงินคงไม่สามรถทนกับความร้อนได้แน่ครับ เงินไม่ได้หายไปไหนหรอกท่านครับ มันติดอยู่กับตัวของชายคนนั้นนั่นเอง”
“อืม...เป็นไปได้ทีเดียว”ท่านประธานและท่านรองกล่าวเกือบจะพร้อมๆกัน ก่อนที่ท่านรองประธานจะพูดต่อด้วยความสงสัยพอๆกับบุคคลอีกคนที่อยู่ด้านข้าง”แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านอารมณ์เพิ่งจะมีคนใช้”
พ.ต.อ.สิริพลไม่ต้องนึกให้เสียเวลา “ท่านครับผมเพิ่งไปบ้านท่านเมื่อสองวันก่อนตอนนั้นเป็นงานวันเกิด และท่านบอกกับผมเองว่าท่านไม่ได้จ้างคนใช้ไว้ ภรรยาของท่านเองก็บ่นอยู่ย่อยว่าน่าจะหาคนใช้สักคน ในตอนแรกผมยังแปลกใจที่ท่านรองบอกว่าคนใช้บ้านของท่านอารมณ์ไปให้ปากคำ ผมมานึกได้ก่อนผมจะกลับบ้านท่านบอกว่าจะมีเพื่อนของท่านหาคนใช้ให้ในวันสองวันครับ”
“มีความเป็นไปได้สูง”ท่านประธานกล่าว”แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปสิริพล”
“อันดับแรกต้องสั่งให้ สน.พระโขนงระงับการปิดคดีไว้ครับท่านและห้ามเผาศพทุกศพจนกว่าจะทำการชันสูตร เราอาจพบร่องรอยการต่อสู้”พ.ต.อ.สิริพลกล่าวตอบ”เราจำเป็นต้องทำให้เร่งด่วนที่สุดครับ”
“เอกนิรุจจัดการทันทีนะ ภายในวันพรุ่งนี้ผมต้องเห็นเอกสารเกี่ยวกับคดีของอารมณ์ที่ห้องทำงานผม “
“ท่านครับ ผมเกรงว่าจะไม่ทันครับ กว่าผมจะสั่งให้ระงับการปิดคดีคงเป็นตอนเช้าเพราะตอนนี้มันสามทุ่มกว่าแล้วครับ”
“ผมเห็นด้วยครับท่าน”พ.ต.อ.สิริพลกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นผมเลื่อนให้ ก่อนเราจะทำการประชุมเรื่องนี้ ตกลงรึเปล่า”
ทั้งสองพยักหน้า
“แล้วก็เอกนิรุจ คดีนี้ให้สิริพลเป็นคนทำเหมือนเดิมนะ”
“ครับท่าน”ท่านรองรับคำสั่ง
“ผมว่าเราจบการประชุมนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน งานของเรามันหนัก
มากพอแล้วสำหรับคืนแห่งความตายคืนนี้”ท่านประธานกล่าวหลังจากชำเลืองดูนาฬิกาที่แขวนผนังอยู่ข้างกล้องโทรทัศน์วงจรปิด”ท่านสุภาพบุรุษมีผู้ใดสงสัยและต้องการซักถามรึเปล่า” ท่านเว้นช่วงแต่ไม่มีใครมีทีท่าสงสัย “ถ้าเช่นนั้นขออย่าลืมว่าพวกเรากำลังทำงานให้ประเทศชาติ อย่าได้โลเลกับการกระทำอันเป็นการดูหมิ่นเกียรติของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นอันขาด เชิญเลิก”
พ.ต.อ.สิริพลลุกขึ้นยืนเกือบจะทันทีตามด้วยท่านนายพลตำรวจทั้งสอง เขาคำนับให้ท่านทั้งสองอย่างเคารพ รอจนท่านประธานและท่านรองประธานออกไปนอกประตูแล้วจึงเดินตามออกไปตามระบบอาวุโสที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหารและนักเรียนนายร้อยตำรวจ เดินออกจากประตูและปล่อยให้ประตูปิดอย่างอัตโนมัติและพบว่าท่านประธานยังคงยืนรออยู่ส่วนท่านรองนั้นได้เดินไปขึ้นรถที่นายตำรวจติดตามได้เรียกมาให้ก่อนหน้า
“สิริพล คุณฉลาดมาก คุณมองออกว่าเป็นการฆ่าปิดปาก ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” พล.ต.อ.ประชากล่าวชมผู้ใต้บังคับบัญชา ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ เขาเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านครับจริงต้องขอบคุณลูกชายผมครับที่มันเอาคดีคล้ายกันนี้มาทำต่อที่บ้าน” เขาพูดเจือด้วยเสียงหัวเราะ
“ไม่ยักรู้ว่าลูกชายคุณเป็นตำรวจ”
“ครับท่าน ลูกผมเพิ่งจบมาสองปียังไม่ได้ทำตัวเด่นอะไรมากมายนักครับ ตอนนี้ก็เป็นรองผู้กำกับการฝ่ายปราบปรามอยู่สน.ปทุมวันนี่แหละครับท่าน”
“ลูกคุณนี่เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆนะ”
“ท่านชมกันเกินไปแล้วครับ”
“ไม่หรอก คนดีๆเก่งๆผมสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับท่าน ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวครับ เดี๋ยวผู้บัญชาการที่บ้านจะดุเอาครับท่าน”
“ตามสบาย ผมก็ต้องไปแล้ว ศรีภรรยาคอยอยู่”
โค้งคำนับอีกหนึ่งครั้งก่อนเดินอย่างคล่องแคล่วไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ทางออก เขาตรงไปที่ที่จอดรถแคบๆด้านหน้าตึกก่อนจะขึ้นรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดสีเทาและติดเครื่องทันที มือขวาพลันไปถูกปืนพกข้างตัวก่อนจะมาจับพวงมาลัยและออกรถมุ่งหน้ากลับบ้านชานเมืองแถบบางนา
เส้นทางที่เขามักจะใช้เดินทางกลับบ้านเป็นประจำในยามค่ำคืนนั้น เขาหลีกเลี่ยงการใช้ทางพิเศษ(ทางด่วน)เนื่องจากในเวลาสามทุ่มเช่นนี้รถที่ไหนจะมาติด เขายอมที่จะหงุดหงิดนิหน่อยบนถนนพระรามสี่และถนนสุขุมวิทดีกว่าที่จะไปเสียเงินให้กับการทางพิเศษ
รถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วราวๆ
“ไอ้พวกเวร”สบถด่ากลุ่มวัยรุ่นที่ชอบขับรถซิ่งก่อนจะปาดหน้า ถ้าหาก
ไม่ใช่วันนี้เขาคงรีบวิทยุแจ้งไปที่ สน.คลองตันแล้วก็ได้ แต่วันนี้ภรรยาเขากำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ที่บ้านเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบงานแต่งงานของเขา
เขานึกถึงเรื่องที่น่าเสียดายเรื่องหนึ่งขึ้นมาเมื่อราว 5 โมงเย็นของวันนี้ เมื่อลูกชายของเขาโทรศัพท์มาจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันอาจจะต้องกลับบ้านช้า เพราะลูกชายของเขาจะต้องไปกับสารวัตรปราบปรามในการเข้าทำลายโต๊ะพนันบอลแหล่งใหญ่ใจกลางเซนเตอร์พอยต์ บางทีนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลก็ได้ ที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายคนเดียวของเขาไปทำอาชีพอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจ แต่เมื่อลูกชายยืนกรานเขาก็ไม่ได้คัดค้านอีกต่อไป
เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้างเอวดังขึ้น พร้อมกับการทำงานของระบบสั่นข้างๆเอวดานซ้าย เขาปล่อยให้มันดังอีกสองถึงสามครั้งก่อนจะหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเก่าแต่ยังใช้ได้ดีขึ้นมาแนบหู
“ที่รักเหรอจ๊ะ” เขาทักทายหลังจากเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
“ค่ะ ที่รัก”เสียงปลายสายอีกด้านตอบรับ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย”ลูกบอกคุณหรือยังว่าจะกลับดึก”
“บอกแล้วจ๊ะ แล้วตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้าน คุณจะเอาก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าที่อุดมสุขหรือเปล่า ผมอาจจะแวะซื้อให้คุณได้นะ”
“อย่าดีกว่าค่ะที่รัก ฉันอยากให้คุณรีบกลับบ้าน” เธอตอบ “รู้อะไรมั้ยกว่าฉันจะเตรียมเค้กเสร็จมันก็ร่วมชั่วโมงทีเดียว”
“ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเลยนะ”
“ค่ะ แล้วเจอกันที่บ้านค่ะ”
“แล้วพบกันจ๊ะ ที่รัก”เขาเอ่ยตอบก่อนที่จะปล่อยให้ปลายสายวางโทรศัพท์ก่อนแล้วจึงนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาไปเสียบไว้กับซองข้างเอวเช่นเดิม ก่อนจะเลี้ยวขวาที่สามแยกพระรามสี่เข้าสู่ถนนสุขุมวิท แต่ก็ต้องเบรกอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงที่แยกคลองตัน
โชคไม่ดีเอาเสียเลย
เขาคิดในใจ ตลอดเกือบจะทุกครั้งของการกลับบ้านดึก แยกรี้น้อย
ครั้งมากที่เขาจะต้องมาติดไฟแดง ปล่อยใจให้ไหลไปตามเพลงเบาๆของ พีซ เมคเกอร์ และจำได้ว่าครั้งแรกที่ฟังเพราะลูกชายของเขาเปิดตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อสี่ปีก่อน ช่วงปิดเทอมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพลงอาจจะไม่ไพเราะมากเท่าศิลปินในอดีตที่เขาเคยฟังแต่เขก็ชอบกับความหมายของเพลง บอย พีซเมคเกอร์ สื่อความหมายของความเหงาได้ดีเกินกว่าใครจะคาดคิด เขาอดคิดไม่ได้ส่าเพลงนี้อาจจะทำใครบางคนน้ำตาตกมาแล้วก็ได้
เหยียบคันเร่งออกรถอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว ก่อนจะบีบแตรไล่รถคันหน้าที่มัวแต่พลอดรักกับเพื่อนหญิงของตนเองจนลืมที่จะดูสัญญาณไฟ ไม่นานนักรถก็ขึ้นสะพานข้ามคลองพระโขนงและมาถึงสถานีปลายทางของรถไฟฟ้า ผ่านปากซอยบ้านของท่านพล.ต.ต.อารมณ์ ผู้เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ทำให้เขาอดคิดถึงความยุ่งยากในวันรุ่งขึ้นไม่ได้
เขาต้องมาติดไฟแดงอีกครั้งที่แยกสุขุมวิท 62 เป็นเหตุการณ์ปกติ แทบจะไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะพลาดการหยุดชมตลาดบางจากไปได้จากการติดไฟแดงที่แยกนี้ จุดเริ่มต้นของทางด่วนนี้บ่อยครั้งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการจราจรติ
ขัด
มุ่งหน้าออกจากถนนสุขุมวิทเข้าสู่ ซอยสุขุมวิท103 หรือซอยอุดมสุข ซอยนี้เป็นซอยที่อุดมสุขสมชื่อของมัน ตั้งแต่ปากทางเข้าจนถึงท้ายซอยที่ติดกับถนนศรีนครินทร์นั้นเต็มไปด้วยร้านอาหารที่อยู่ในระดับภัตตาคารแต่ราคาไม่แพง มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตามทางเท้าเสียด้วย
เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่เข้าสู่ถนนบางนาได้ โดยจะต้องเลี้วขวาหลังจากข้ามสะพานข้ามคลองเล็กเกือบจะสุดซอย และมุ่งหน้าตรงเข้าไปผ่านสถานที่ฝึกสุนัขแห่งเดียวในละแวกนั้น ตามด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่ทางออกจากทางลัดนั้นโดยด้านขวาเป็นเซ็นทรัลบางนาส่วนทางซ้ายเป็นห้างบิ๊กซี
เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด และขับตรงไปไม่เท่าไรก็เลี้ยวซ้ายอีกครั้งเข้าหมู่บ้านไพโรจน์ขับตรงผ่านหน้ายามเฝ้าหมู่บ้านที่ทำความเคารพและยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย และตรงเข้าไปอีกเจ็ดหลังก็เข้าถึงบ้านอันแสนสงบของเขา
ก่อนที่เขา ภรรยา และลูกจะเข้าบ้านทุกครั้ง เหมือนเป็นข้อตกลงเดียวกันว่าพวกเขาจะทิ้งงานในสมองไว้ที่ประตูบ้านเท่านั้น
เขาจอดรถที่หน้าบ้านเพื่อลงไปเปิดประตูรถ ก้าวขาลงจากรถและตรงไปที่ประตูบ้าน เขาไปจับที่กลอนกลางประตูและค่อยๆเปิดมันออกจนกว้าง เขาหันกลับและกำลังจะเดินไปที่รถ
พระเจ้าช่วย!
เขานึกขึ้นดังลั่นในสมองและนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาลืมทำสิ่งหนึ่งก่อนเปิดประตูบ้านนั่นก็คือการไขกุญแจ เขามองไปที่ประตูอย่างกระวนกระวายด้วยกลัวว่า
อาจจะเกิดเหตุไม่ดี พลันก็นึกไปว่าลูกชายอาจจะมาถึงบ้านก่อนเขา แต่แล้วความคิดนี้ก็พังทลายเมื่อสายตาเขาไม่พบรถยนต์นิสสันสีดำของลูกชายที่ควรจะอยู่ที่โรงเก็บรถ
ค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวังราวกับไม่ใช่บ้านของตนเอง ปืนพกสีดำยี่ห้อบาเร็ตต้ากำแน่นอยู่ที่มือขวาพร้อมที่จะยิงใครก็ตามที่ไม่ใช่สมาชิกภายในบ้านไฟในครัวยังเปิดอยู่แต่ไฟที่ห้องนั่งเล่นกับปิดมืด ทั้งที่มันควรจะเปิดหากภรรยาเขารอคอยการกลับมาของเขาอยู่ ก้าวอาดๆไปที่ประตูหน้าด้วยความชำนาญ
“ที่รัก คุณอยู่ในบ้านรึเปล่า”เขาส่งเสียงและพยายามใช้น้ำเสียงที่ปกติที่สุด มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาคิดเบาๆในใจและกำลังภาวนาให้เป็นเช่นนั้น แต่ดูเหมือนสถานการณ์ต่างๆจะไม่อำนวยให้เขาคิดเช่นนั้น “ที่รัก”
ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีแต่คำตอบที่เขาได้รับกลายเป็นความเงียบสงบราวกับไม่มีใครอยู่ในบ้าน
พ.ต.อ.สิริพลผ่านงานการเป็นตำรวจมานานแต่ยังไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเขาไม่กล้าจะเปิดประตูเข้าไปในบ้านเพราะความกลัวว่าจะพบกับภาพที่เขาพยายามจะไม่นึกถึงมัน
เอื้อมมือซ้ายไปที่ลูกบิดแล้วค่อยๆหมุนเพราะเกรงว่าจะเกิดเสียงดัง ประตูไม่ได้ล็อคก็เป็นสิ่งที่แปลกอีกเช่นกัน ชั่ววินาทีเขาก็กระชากประตูออกและเปิดไฟห้องนั่งเล่นอย่างทันที และสิ่งที่เขาพบคือความว่างเปล่า!
“ที่รัก คุณอยู่ไหน ผมกลับมาแล้ว” เขาตะโกน แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิม
เขาเดินพลางประทับปืนเล็งไปตามทางทางขวาเป็นห้องครัวที่ไฟเปิดอยู่ตั้งแต่เขามาถึง สืบเท้าไปที่ประตูอย่างระมัดระวังและโผล่ไปที่ประตูครัวหมายจะได้เจอกับภรรยาโดยที่ปืนยังคงเล็งไปทั่วห้อง
โต๊ะสำหรับเตรียมอาหารมีกับข้าวหลายอย่างวางอยู่แกงเขียวหวาน ไข่เจียวหมูสับ และเค้กวันครบรอบการแต่งงาน ตู้เย็นและตู้กับข้าวยังคงปิดสนิทไม่มีอะไรแปลกตาภายในห้องนี้ เขาสืบเท้าช้าเข้าไปในห้องครัวสายตาสอดส่ายหาภรรยาแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหาเจอดูเหมือนใครบางคนต้องการจะเล่นตลกกับเขาและมันกำลังทำให้เขาแทบบ้า
สายตาชำเลืองสำรวจอาหารบนโต๊ะช้าๆ และเขาก็พบกับสิ่งที่แปลก ปลอมที่สุดภายในบ้าน หน้าเค้กถูกตกแต่งเป็นรูปคนสองกำลังอยู่เคียงข้างกัน แสดงความรักได้เป็นอย่างดีแต่ข้อความทำให้เขาใจแทบสลาย
เมียมึงรับเคราะห์เพราะความเสือกรู้มากของมึง
มันเขียนด้วยสีแดงสด เขาคิดเช่นนั้น แต่แล้วความคิดเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเพ่งมองที่ข้อความดีๆ มันไม่ได้เขียนด้วยสีแดงแต่มันเขียนด้วยน้ำสีแดง หรือจะพูดให้ถูกก็คือมันถูกเขียนด้วยเลือด เลือดจากภรรยาผู้รับเคราะห์แทนเขา
เกือบจะล้มลงเพราะความตกใจระคนเสียใจสุดชีวิตแต่แล้วหูก็พลันได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงครางอย่างทรมานจากด้านบน และแล้วเขาก็นึกออกว่าเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยมาตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ไม่รอให้แน่ใจเขาวิ่งออกจากครัวและโผเข้าสู่บันไดที่ตรงสู่ชั้นที่สอง เขาไม่กลัวที่จะส่งเสียงดังอีกต่อไป ถีบประตูห้องนอนของเขากับภรรยาและตรงไปที่เตียงนอนก่อนจะพบกับความสยดสยอง
ร่างเล็กๆของภรรยาเขานอนอยู่บนเตียงนอนคู่หลังใหญ่ ในสภาพเปลือยกายแขนทั้งสองข้างถูกมัดอยู่กับหัวเตียง เขาแทบจะร้องไห้เพราะความสงสารที่ภรรยาเขาเพิ่งจะพบเขาเดินเซไปที่เตียงราวกับมันอยู่ไกลแสนไกล ข้อมือมีรอยกรีดและเลือดยังคงไหลช้าๆ ดวงตาของเธอยังเบิกกว้างและที่สำคัญเธอยังไม่ตายแต่ลมหายใจรวยริน
“พล คะ” เสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ!!!!
ความคิดเห็น