ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate Love : รักใสๆ ของนายเพื่อนร่วมห้อง

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 3 : When time past.

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 58


    Part 3 : เมื่อเวลาผันผ่านไป...


    ๐๐Epn  Speak๐๐

     

                น่ารัก...น่ารัก ผมคิดว่าฟานน่ารัก ไม่รู้ว่าทำไมนะ แต่ยังไงฟานก็น่ารักสำหรับผมอยู่ดีหน้าขาวๆ

    ตากลมๆ ใส่แว่น ดูยังไงก็น่ารักมากๆ จริงๆ


                ของขวัญที่ผมให้ฟาน ตามจริงแล้ว ที่ผมบอกฟานไปว่าเราก็ให้อย่างนี้กับทุกคน มันไม่ใช่ความ

    จริงเลย ผมไม่ใช่คนที่จะเสียงเงินกับอะไรง่ายๆ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
    แต่ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า

    ทำไม ทำไมต้องไปทำอย่างนั้นกับฟาน ทำไมต้องให้ของขวัญ ที่มันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดให้ไปกับฟาน แถมไม่รู้ว่า

    มันจะจริงหรือเปล่า หรือว่าฟานจะยอมรับมันหรือเปล่า แถมยังทำให้โดนครูมองฟานว่าเป็นคนไม่ดีอีก ผม

    ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ


                เอาจริงๆ ของที่ผมให้ฟานไปเมื่อวานมันสำคัญมาก ผมไปนั่งคิดตลบหลังตลบหน้าว่าจะให้ดีหรือ

    เปล่าอยู่ตั้งนาน เพราะว่าถ้าให้ไป ฟานไม่รับ ผมจะทำยังไง แถมมันสำคัญจนที่คนเพิ่งรู้จักกันให้กันไม่ได้

    เลยเสียด้วย แต่ผมก็ตัดสินใจ ให้มันไป


                จบๆ ดีกว่าเรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันทีหลัง ตอนนี้ผมกำลังนั่งคุยกับแม่เรื่องที่จะย้ายไปทำงานต่าง

    ประเทศตามนโยบายและแผนการของบริษัทของแม่อยู่ ท่านว่าท่านไม่อยากจะไป เพราะเป็นห่วงผม ห่วง

    พ่อ แต่พ่อท่านบอกว่าให้ไปเถอะ ท่านดูแลผมได้ แหม พ่อผมนี่แมนจังนะครับ ทำกับข้าวก็ไม่ค่อยจะเป็น

    ดูแลลูกได้ ความจริงนะ ผมยังทำกับข้าวอร่อยกว่าพ่อแกเลย เอ๊ะ นี่ผมกำลังนินทาพ่ออยู่ใช่ไหมครับ บาป

    กินหัวแล้วตู 

     

                “เอปน์ ลูกอยู่ได้ใช่มั้ยถ้าไม่มีแม่น่ะ” แม่ผมพุดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

                “แหม คุณก็ ผมจะดูแลลูกให้อิ่มหมีพีมันแบบสุดๆ ไปเลย เชื่อใจผม” ในขณะที่ผมกำลังจะตอบ

    คำถามของแม่ คุณพ่อทูนหัวก็ชิงตัดหน้าแบบดื้อๆ ทำให้ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆ กับความไวแสงของคุณ

    พ่อเขาเลย

                ความจริงพ่อแม่ผมก็อายุเข้าสู่วัยทองแล้วล่ะครับ 40 อัพทั้งสองคนเลยครับ แต่หน้าตาของพวกท่าน

    จะเด็กกว่าอายุแบบมากๆ จนบางทีที่พวกท่านไปรับผมที่โรงเรียน เพื่อนยังถามเลยว่า
    พี่สาวมารับเหรอ’ ‘พี่

    ชายมารับเหรอ
    จนผมต้องสาธยายอีกยาวว่า นี่แม่กูพ่อกูนะ อย่าเหมาว่าเป็นพี่กูนะ อะไรประมาณนี้

                “แหม คุณนี่ตอบแทนลูกซะทุกอย่างเลยนะคะ ให้เอปน์แกตอบเองบ้างก็ได้ ว่าไงลูก?” ในที่สุด แม่

    ผมก็ถามมาอีกครั้ง เนื่องจากคุณพ่อแกตอบแทนเสียซะทุกอย่างเลย


                “คร้าบบบ เอปน์อยู่ได้ครับ มีพ่ออยู่เอปน์ก็สบายครับบ เดี๋ยวเอปน์ทำกับข้าวให้พ่อทานได้ครับ” ผม

    ตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้า แต่คำตอบของผมทำให้พ่อหันหน้าหล่อๆ มามองแล้วเอากำปั้นขนาด

    มหึมาโขกมาบนหัวผมแทบจะทันที


                “อึ้ก พ่อโขกหัวผมทำม๊ายย เดี๋ยวมะรืนมีสอบคณิตศาสตร์ผมได้ไม่ผ่านพอดีสิ พ่อทำให้เซลล์บน

    สมองผมตายไป สามสิบสองกำลังสิบจากสิบยกกำลังร้อยส่วนเชียวนะครับ!
    ” ผมแหกปากหวอใส่พ่อผมที่

    เก็บกำปั้นของตัวเองแล้วหันไปยิ้มกริ่มกับแม่อย่างรวดเร็ว


                “อย่างแกน่ะ ต่อให้มีเป็น สิบยกกำลังล้านล้าน แกก็ยังฉลาดไม่พอเหมือนเดิมแหละนะ” โอ๊ยยย

    เจ็บแสบบบพ่อผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกเย้ยหยันจนแม่อดไม่ไม่จึงเอื้อมมือมาตีพ่อไปทีนึง


                “นี่แน่ เพี๊ยะ! คุณนี่ก็ชอบดูถูกลูกจังนะคะ” แม่ผมพูดอย่างขึ้นอารมณ์ใส่พ่อที่เพิ่งจะสะดุ้งโหยง

    เพราะแรงตีจากมือของแม่ไปเมื่อครู่...ก็ใช่นะสิครับ แม่ผมนี่นะ เห็นตัวเล็กๆ มือหนักเป็นบ้า
    !

                “โอ๊ย เธอก็ ผมก็แค่วิพากษ์วิจารณ์การเรียนของคุณลูกชายทูนหัวนิดหน่อย” พ่อผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง

    พร้อมกับเอามือลูบแขนตัวเองเบาๆ อย่างเจ็บแสบ


                “พอเถอะครับ สรุป ผมดูแลตัวเองได้ครับ พ่อก็ดูแลผมได้ แม่ไปเถอะครับ ทำงานให้สนุกให้เต็มที่

    จะได้รีบกลับมาหาผมกับพ่อเร็วๆ”


                “ใช่ๆ เธอก็ต้องรีบไปรีบกลับ กำหนดการณ์สามเดือนใช่มั้ยล่ะ แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วล่ะ”


    ในที่สุด พ่อผมก็ปล่อยคำหวานออกมาจนได้ และผมก็จะโดนไล่ให้ไปอาบน้ำตามระเบียบ


                “ไปอาบน้ำลูกไป”

                นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ เสียงจากพ่อผมก็ดังขึ้นมา และผมก็ต้องเดินเข้าห้องนอนไปหยิบผ้าอาบน้ำ

    ตามกฎเกณฑ์ มาตรการระหว่างพ่อแม่กับลูกประจำบ้านชาติรัตน์โอฬารฝ่ายกรุงเทพมหานครข้อที่

    ๑๓
    : ขณะที่พ่อแม่กำลังสวีทกันห้ามบุคคลอื่นใดเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด นั่นแหล่ะครับเหตุผล

    -----------------(ต่อครับบ)--------------------

     

     

    วันที่สิบห้าของการเปิดเรียน พ.ศ. 2556

                “เอปน์~~~ ไปฉลองสอบย่อยคณิตผ่านกัน” เสียงของไอ้นิกดังมาจากข้างหลังของผมในขณะที่ผม

    กำลังจะเดินกลับบ้าน


                “แค่สอบย่อมมึงฉลองเหรอสัส สอบกลางภาคมึงจะสยิว!” ผมด่ามันไปพร้อมกับหันไปมองมันด้วย

    สีหน้าเอาเรื่อง


                “มึงอย่ามองกูด้วยสีหน้าแบบน้านสิว้าเพื๊อน~~” จากสีหน้าและตาที่ผมมองไอ้นิกทำให้มันรู้สึก

    ละอายใจ(เหรอ)


                เอาจริงๆ วันนี้ผมไม่ว่างครับ จะไปส่งแม่ที่สนามบินขึ้นเครื่องด้วย แต่ผมยังไม่ได้บอกใครเลย

    นอกจากฟาน ว่าแต่ผมให้ความสำคัญฟานมากเกินไปหรือเปล่าล่ะเนี่ย? แต่ผมก็ไม่มีเวลาจะบอกใครนี่นา

    วันนี้เรียนทั้งวันเลย ไทย คณิต วิทย์ อังกฤษ สังคม ถาโถมเต็มประดัง การบ้านเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ เต็มโต๊ะ

    เรียนเลยครับ ไม่พอนะครับยังจะมีคณิตเพิ่มมาให้ได้ปวดกระหม่อมไปอีก
    T^T

                “กูไม่ว่างว่ะ วันนี้ไปส่งแม่ขึ้นเครื่อง” ผมพูดบอกไอ้นิกที่ยืนจ้องหน้าผมอยู่นานสองนานคล้ายถามว่า

    ตกลงมึงจะเอาไง?

                “ฮ้ะ!!” ไอ้นิกแหกปากทันทีที่ได้ยินผมพูดออกไป ก่อนจะรวบรวมสติแล้วพูดต่อ

                “แม่มึงจะไปไหนวะ?” นั่นไง เริ่มมาแล้ว ผมไม่น่าผล็อยปากไปเล้ยยย T^T

                “ไปทำงาน”

                “ที่ไหน”

                “ต่างประเทศ”

                “ประเทศไร”

                “สวีเดน”

                “พ่อมึงล่ะ”

                “อยู่กับกู”

                “มีใครไปส่งท่านมั่ง”

                “กู พ่อ”

                “กูไปด้วย”

                “กูบอกว่าจะพาฟาน...เออ..ช่างมันเถอะ” อ๊ากกก อุตส่าห์ว่าจะไม่พูด พูดออกไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย

                “น่านไง กูว่าแล้ว มีไรไม่บอกเพื่อนฝูงอะมึง บอกแต่มอสระเอียย วี้ววว” ผมว่าแล้ว ว่าการที่ผมบอก

    มันไป ทำให้มันมีข้ออ้างสำหรับล้อผมเพิ่มขึ้นมากมายเลยทีเดียว พรุ่งนี้คงจะโดนมันเผาให้ผองเพื่อนในห้อง

    ได้สดับรับฟังเป็นแน่ - -


                “มอสระเอียพ่อง! สรุป มึงจะไปมั้ย กูมีเวลาไม่มากนะนิก เดี๋ยวฟานมา” ผมบอกมันไปตามความ

    จริงที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยง ชีวิตผมนี่มันน่าอนาถใจเสียเหลือเกิน


                “แป๊ป เดี๋ยวกูถามเพื่อน พ่อ แม่ แป๊ป” มันพูดก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อ Samsung สีดำขลับขึ้นมา

    กดโทรออก


                “โหล เห้ย มึง ไปส่งแม่ไอ้เอปน์ไปสวีเดนป่ะวะ ยกงานทิ้งไปก่อน”

                .

                .

                “เหรอวะๆ เคๆ งั้นกูไม่ไปนะ” มันพูดก่อนกดวางสาย

                “พวกมันไม่ไปกันว่ะ อดเจอแม่ที่แสนใจดีและสวยสุดยอดของมึงไปเลยยย” มันพูดพร้อมกับใบหน้า

    เปื้อนยิ้มตามฉบับกวนพระบาทา


                “เออ ดีแล้ว” ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าเอือมระอา เพราะถ้าเพื่อนขนมากันหมด มีหวังสนามบิน

    แตก


                ไอ้นิกกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาพ่อมันอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่เผ็ดร้อน

                “โหลว ป๊ะป๋าค้าบบบ นิกไปส่งแม่ไอ้เอปน์ได้ป่าวคร้าบบบ”

       
             .


                “โหหห ป๊า แม่มันไปสวีเดนแน่ะพ่อ”


                .


                “ว่าแต่พ่อจะไปป่ะ”


                .


                “แม่อะ”


                .


                “อ๋อ ครับๆ เจอกันมะรืนครับ”


                “สรุป โอเค พ่อแม่กูไปต่างจังหวัด กลับวันมะรืน กูไปกะมึงได้ จบปิ๊ง”

     

                “อีเอปน์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงหวีดร้องแสบแก้วหูของเพื่อนสาวตั้งแต่ ม.1 ดังขึ้นมาทำให้ผม

    ต้องหันไปมองด้วยความฉงนสงสัยและแปลกใจว่ามันเป็นใครและมีเสียงหวีดโหยหวนแสบแก้วหูเพิ่ม

    ประสิทธิภาพขึ้นมากขนาดนี้ได้ยังไง


                ผมเห็นไอ้เกว พิม ตูน เดินมาพร้อมกับฟานที่ยิ้มแห้งๆ พร้อมกับมีแกวเดินโอบคออยู่ด้วย

                “ไรวะ ฟาน ชะนีเสียงหวอสามตัวนี้มาได้ไง” ผมถามฟานที่เดินมาหาผม แต่ดูเหมือนคำว่าชะนี

    เสียงหวอสามตัว
    จะทำให้สามทั้งสามจ้องกินเลือดกินเนื้อผม...บรื๋อ สยอง

                “ก็ เรากำลังจะมาหาเอปน์ใช่ป่ะ แล้วเกวก็ชวนไปเที่ยว แต่เราบอกว่ามีธุระ ก็ที่ไป่งแม่เอปน์อะแหละ

    แล้วเกวก็ถามว่าไปไหน มันกดดั๊น กดดัน เราเลยก็ต้องบอกอ่ะ แล้วสภาพก็อย่างที่เห็น แฮะๆ” ฟานยิ้มแห้งๆ

    พร้อมกับพาร่างขาวของตัวเองมายืนใกล้ผม


                “ไปไหนไม่บอกเพื่อนฝูง” เกวแหวขึ้นเป็นครั้งที่สอง “เนาะ พิม ตูน เออ อีนิก แล้วมึงอะ มาได้ไงวะ”

    เกวขอความเห็นจากสองสาวก่อนจะหันหน้าไปหาไอ้นิก


                “เหมือนพวกมึงนั่นแหล่ะ” ไอ้นิกพูดพร้อมกับหัวเราะร่วน

                “อีสาส เม้มเรื่องนะมึง จะพาฟานไปปล้ำก็บอกเห้อะ” เกวแหวเป็นครั้งที่สามพร้อมกับเสียงหัวเราะ

    ของเพื่อนทั้งสี่คนที่ตามมาไล่เลี่ยกัน     
         

                “พอๆ ไปเถอะสัส พ่อกูรอแล้วมั้ง” ผมพูดตัดบทก่อนจะเดินนำไปยังหน้าประตูโรงเรียน โดยที่ไม่ลืม

    จะหันไปยิ้มให้ฟานแล้วบอกเบาๆว่า
    ไปเหอะ ป่ะเสียก่อน

     

                พวกผมซึ่งมีกันหกคนรวมตัวผมเองใช้เวลาประมาณห้านาทีหลังจากที่ผมเดินจากริมอาคารสี่ พา

    นท-รินตรี จนไปถึงประตูทางเข้าด้านหน้าของโรงเรียน

                “อ้าว เอปน์ มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่ผมเดินออกมาจากหน้าประตูโรงเรียนและขึ้นไปยังทางเท้าฝั่ง

    ซ้ายมือ เสียงของแม่ก็ดังขึ้น


                “แล้วนั่นพาเพื่อนมาด้วยเหรอจ๊ะน่ะ” แม่ถามเมื่อหันหน้าไปเจอ ฟาน นิก เกว ตูน และพิม ยืนอยู่

                “อ๋อ ครับ เอปน์ชวนไปส่งแม่น่ะครับ” ผมอธิบาย

                “แหม น่ารักจังนะเราเนี่ย งั้นเดี๋ยวแม่ให้พ่อพาไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ เครื่องแม่ขึ้นสองทุ่ม ตอนนี้

    เพิ่งจะสี่โมง ยังพอมีเวลา” แม่ผมพูดพร้อมกับหันหน้าไปยิ้มให้กับเพื่อนๆ ทั้งห้าคนที่ยิ้มยิ้มแห้งๆ อยู่ข้างหลัง

    ผม


                “ไปไปลูก ขึ้นรถ” หลังจากที่พูดคุยสนทนาภาษาแม่ลูกเสร็จแล้ว แม่ผมก็ไล่ต้อนเพื่อนๆ ขึ้นไปบนรถ

    ตู้ที่พ่อโชคดีเอามารับวันนี้ ไม่งั้นก็คงอัดเบียดกันไปตามๆ กัน


                “สวัสดีครับพ่อ” เสียงไอ้นิกดังขึ้นเมื่อขึ้นไปบนรถพร้อมกับพ่อที่หันมามองว่าใครมาสวัสดีตน

                “อ้าว นิกเองเหรอลูก มาไงล่ะเนี่ย” พ่อผมถามไอ้นิกที่ขยับเขยื้อนตัวเองไปนั่งบนเบาะริมสุดด้าน

    หน้าแล้ว


                “เอปน์มันชวนไปส่งแม่พร้อมกันน่ะครับ ยังมีอีกสี่คนครับ” ไอ้นิกพูด

                แหม เวลาอยู่กับพ่อกูนี่ประจบดีจังนะเมิ๊งผมก่นด่ามันในใจกับความกะล่อนปลิ้นปล้อนของมัน

                “อ๋อ เหรอลูก ไหนล่ะอีกสี่คน” พ่อผมถามพร้อมกับแม่ที่ขึ้นไปนั่งบนเบาะคู่คนขับข้างๆ พ่อที่หันหลัง

    มาคุยกับพวกผมอยู่


                “นี่ไงพ่อ ยัยเกวจอมแหว นังตูนจอมมโน และพิมหญิงเงียบ ฟาดเรียบไม่เหลือ อีกคนนี่ฟาน เพื่อน

    ใหม่ เพิ่งเข้ามาเทอมนี้” ผมแนะนำเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันให้พ่อฟัง แต่ด้วยฉายาที่ผมตั้งให้ทำให้สามสาวจ้อง

    หน้าตาเขียวจนผมรู้สึกขนหัวลุก


                “ชอบทำแบบนี้นะเอปน์ แกล้งเพื่อนเก่งจริงๆ” แม่ผมเอ็ดหลังจากที่ได้ยินคำที่ผมพูดออกไปเกี่ยวกับ

    ฉายาของเพื่อนเมื่อครู่นี้


                “ช่างมันเถอะครับแม่” ผมพูด

                “ดีนะเนี่ยที่พ่อเอารถตู้มา ไม่งั้นคงเต็มกระบะไปแล้ว คงต้องให้ไปนั่งรับลมข้างหลัง 555” พ่อผมพูด

    ติดตลกจนเพื่อนต้องหัวเราะไปตามๆ กัน แหม ทีกูพูดนี่เงียบกริบ


                “ไปเลยพ่อ เดี๋ยวแม่จะพาเด็กๆ ไปกินข้าวกันเสียหน่อย” แม่ผมพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สำหรับผมที่

    หูไวตาไว เลยเห็นไอ้นิกมันยิ้มอย่างเยือกๆ อย่างพอใจที่ประจบพ่อแม่ได้อย่างสมใจอยากของมัน


                “งั้นไปร้านไหนกันดีล่ะจ๊ะ?” หลังจากที่เงียบไปสักพัก แม่ก็ถามพวกผมที่นั่งคุยกันจ๊อกแจ๊กอยู่อย่าง

    สนุกสนาน


                “xxx ครับ/ค่ะ!” หลังจากที่แม่ถาม พวกผมที่เตี๊ยมเรื่องร้านอาหารกันไว้อย่างดีเมื่อกี้นี้ก็ประสาน

    เสียงตอบไปอย่างทันที จนแม่หันมามองอย่างอดสงสัยไม่ได้


                “แหม ผีอะไรเข้าสิงหะเอปน์ วันๆ แม่พาไปกินซีฟู๊ดก็บอกไม่อยากไป ไม่อยากไป ไหงวันนี้ถึงอยาก

    จะไปกินขนาดนั้นล่ะ” แม่ผมถามพร้อมกับบอกใบ้จุดอ่อนของผม ใช่นะสิ ผม ไอ้เอปกรณ์สุดหล่อคนนี้น่ะ

    แพ้ปลาหมึก น่ะสิครับ
    T^T

                “เอปน์ทำไมเหรอคะแม่?” ทันทีที่แม่พูดออกมา ไอ้เกวมันก็สวนถามขึ้นมาอย่างทันควันจนผมต้อง

    เอามือมาก่ายหน้าผากไว้อย่างหมองเศร้า


                แม่นะแม่ผมพึมพำในใจ

                “อ้าว นี่หนูรู้จักกันมาตั้งหลายปี ยังไม่รู้กันอีกเหรอลูกว่าเอปน์น่ะเขาแพ้ปลาหมึก” ทันทีที่เกวถาม

    ขึ้นมา พ่อที่กำลังขับรถอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะหึหึ


     

                ผมว่าพ่อขับรถไปน่ะดีแล้วนะครับ -_-’

     



    สวัสดีครับ สอบวันแรกผ่านไปแล้ว เหลืออีกสองวัน วันนี้มีเวลาหยุดพักเลย


    มาแต่งต่อนิดหน่อย หวังว่าจะมีคนหลงเข้ามาอ่านบ้างนะครับ 5555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×