คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2
2
หลังจากที่แสดงความมุ่งมั่นในฐานะซิสค่อนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอกลับบ้านทันทีเพราะนี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว แล้วอีกอย่าง… คืนนี้ผมยังไม่ได้นอนเลย
ผมพูดขึ้น “ไปก่อนนะครับพี่กาโอะ ”
“โชคดีนะพลัคจัง!... ” พี่อากาโอะตะโกนบอกผม
“หึ!! ” ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับพี่ผมจะต้องจับมันได้แน่ ใครที่มาทำอะไรแบบนี้! น้องชายคนนี้ไม่ให้อภัยแกแน่!!!
*
ในความมืดนั้นฉันคือคนที่เปล่งประกายมากที่สุด ฉันจะกลายเป็น… ไม่ซิ! ฉันจะต้องเป็นให้ได้งดงามซะยิ่งกว่าแสงใดๆในโลก ฉันจะไม่พึ่งพาแสงใดๆ…เพื่อให้คนๆนั้นหันมามอง
ตัวฉันในตอนนี้คงจะเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจที่สุดแล้วแน่ๆ อายุก็ปาไปตั้งเลขสามแล้วแต่ว่ายังไม่แต่งงานอีกถึงใครจะพูดยังไงก็ช่าง แต่ฉันจะทำให้มันเป็นจริงให้ได้
“พลัคที่น่ารักของฉัน… ” ฉันยืนมองออกไปนอกหน้าต่างในยามที่ไร้ซึ่งแสงจากทุกสิ่ง
ในตอนที่เขารีบมาหาฉันทันที ในตอนนั้นตัวฉันแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่เลยด้วยซ้ำ แล้วในตอนสุดท้ายนั้นก็ยังออกปากอีกว่าจะรักฉันแต่งงานกับฉันอีก หมอนั่นจะรู้มั้ยนะว่าเราได้รักเขาไปแล้วเมื่อตอนนั้น
(รำลึกความจริงที่แล้วมา… )
…
?
ในวันนั้น… เมื่อตอนที่ฉันอายุได้สิบขวบ
วันนั้นเป็นวันที่เหมือนกับในวันนี้ยังไงล่ะ? ในโรงเรียนประถมในตอนที่ฉันอยู่ในห้องเรียนคนเดียวอยู่ๆอาจารย์… ไม่สิ! ต้องเรียกว่าไอ้ขยะนั่นน่าจะเหมาะกว่า เพราะไอ้หมอนั่นไม่มีจริยธรรมในความเป็นครูอยู่แม้แต่น้อยเพราะในวันนั้น…
มันได้ลวนลามฉันจนสำเร็จ… ตัวฉันที่กำลังถูกทำอะไรซักอย่างอยู่ในขณนั้นถึงจะไม่รู้อะไรแต่ก็รู้ว่าสิ่งที่ไอ้บ้านั่นทำกับตัวเราคงจะไม่ใช่เรื่องดีเพราะก่อนที่ฉันจะโดนไอ้สวะนั่นข่มขืน ฉันก็หาทางหนีออกมาจนได้
แต่ถึงแม้จะหนีออกมาได้ไอ้บ้านั่นก็ยังเกิดอารมณ์วิ่งออกมาทั้งๆที่ไม่ได้ใส่กางเกง แต่ทั้งอย่างงั้น…!! ก็ยังไม่มีใครสนใจเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากฉันเลยแม้แต่น้อยทั้งคุณลุงผู้ดูแลโรงอาหารทั้งที่ใจดีกับพวกเราทุกคนแท้หรือแม้แต่อาจารย์คนอื่นที่อยู่แถวๆนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะทั้งหมดนี่มัน???.... นี่พวกแกเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย? หรือว่า?... พวกแกแค่ทำไปตามน่าที่เท่านั้นตอนที่สอนพวกเราอยู่ทุกวันๆ
“อาจารย์!!! ช่วยด้วยค่ะ” ไม่มีใครหันมามองตัวฉันที่เป็นเด็กกำลังวิ่งหนีไอ้ครูโรคจิตคนหนึ่งเลยแม้แต่คนเดียว ตัวฉันในตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่านี่มันแปลกเกินไปแล้วนะ! ทั้งๆที่ …ทั้งๆที่ทุกคนชมฉันอยู่ทุกวันๆแท้ๆว่าฉันเป็นเด็กที่สวย ทั้งอาจารย์ที่สอนวิทย์คนนั้นก็ยังชมฉันเลยแล้วแถมออกจะรักฉันมากกว่านักเรียนคนอื่นที่อยู่ในห้องนั้นอีกด้วย ฉันยังเคยคิดเลยว่าอาจารย์เป็นคนที่วิเศษมากเลย ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้น่ามหัศจรรย์สุดๆไปเลย
แต่นี่มัน??... ยังไงกันแน่เนี่ย? ฉันไม่เข้าใจทุกคนจริงๆเลยไม่เข้าใจเลยซักนิด… ฉันคงจะไม่รอดแล้วล่ะเพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเริ่มชั่วโมงในการเรียนนี่นาคงจะไม่มีนักเรียนคนไหนที่จะมาเห็นไอ้อาจารย์โรคจิตคนนี้กำลังทำเรื่องน่าสกปรกแบบนี้หรอก …?!
ทั้งๆที่คิดเอาไว้แบบนั้นแท้ๆ… แต่ว่าทำไมกัน? ทำไมขามันยังวิ่งไปต่อได้อีกกันนะเนี่ย? หรือว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไร? ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยคิดไม่เคยรู้จักแท้ๆแต่ทำไมฉันถึงต้องวิ่งเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นด้วยนะ…
แต่ว่า… คงจะมาได้แค่นี้เองแหล่ะ เพราะปอด
ปอด?...
ปอด?!...
ปอดมันกำลังทำงานหนักผิดปรกติจะฉันกำลังจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ตอนนี้มันคงจะพูดว่าหยดเถอะขอร้องล่ะฉันไม่ไหวแล้วนะ!!! ขาของฉันเองก็เหมือนกันมันเริ่มล้าและเริ่มที่จะวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว… ….เหมือนกับนักกีฬากรีฑาที่คุณพ่อเคยดูในการถ่ายทอดสดทางทีวีตอนเช้าของอาทิตที่แล้วนั่นแหล่ะ
(นี่… คงจะมาได้เท่านี้แล้วล่ะ… ……………………………. ) แล้วในตอนที่กำลังสิ้นหวังอยู่ในขณะนั้นนั่นเองฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง นั่นคือ? …การขอความช่วยเหลือ
…การขอความช่วยเหลือนี่คงจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาสุดไปเลยน่ะสินะสำหรับความคิดของเด็กประถมคนหนึ่งในขณะที่เมื่อกี้นี้ยังร้องออกไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครสนใจแท้ๆ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อตอนนั้น… ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะว่ามีคนที่อยากจะขอความช่วยเหลือเพียงแค่คนๆเดียวยังไงล่ะ? ซึ่งแตกต่างจากเมื่อตอนก่อนหน้านี้ที่ฉันขอความช่วยเหลือจากคนเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะในตอนที่ทำงานประดิษฐ์เองก็เหมือนกันที่คุณครูอยากขอแรงนักเรียนให้ช่วยยกของ แค่ว่าก็ไม่มีใครยอมช่วยครูซักคนทุกคนเอาแต่มองหน้ากันด้วยความสงสัย? ครูที่กำลังถือของเมื่อเห็นนักเรียนกำลังยืนมองกันอยู่นั้นเองก็นึกขึ้นได้จึงได้บอกชื่อของคนที่จะมาช่วยถือของถึงได้มีคนมาช่วยครูคนนั้น
“ทำไมกันนะ?”
“ทำไมกัน” ทำไมถึงได้ไมมีใครคิดที่จะช่วยครูคนนั้นเลย? ถึงตอนนี้ฉันก็เข้าใจได้แล้วล่ะว่าทำไม? คง… เพราะทุกคนคงจะเอาแต่คิดว่าถ้าฉันไม่ช่วยอีกเดี๋ยวก็คงจะมีคนมาช่วยเองนั่นแหล่ะ
เพราะงั้นคราวนี้ฉันจะเปลี่ยนวิธีจากการใช้วิธีเดิมเป็นใช้วิธีเดิมดีกว่าเพราะมันจะให้ผลที่แตกต่างกันมากกว่าเพราะอย่างนั้นตัวฉันในตอนนั้นถึงได้ตะโกนประโยคนั้นออกมา…
“ฮฮฮฮฮฮืออออ………………………………………………………………….. …………. …ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!?... ” ไมใช่ซิ?! …มันต้องแบบนี้ต่างหาก…
“ช่วยพลัคคคคคคคคคค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!?... ” ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนออกไปทั้งอย่างนั้นพร้อมกับล้มลงทันที…
ทันใดนั้นเอง(เหมือนกับบทของนิทานในหลายๆเรื่อง) …
“แก!!... ไอ้สวะเอ้ย!!!... ” ในตอนนั้นตัวฉันคิดว่าจะไม่รอดแล้วแต่ว่า… แต่ว่าเขาก็มาช่วยฉันจริงๆด้วย ในตอนนั้นฉันก็คิดได้ทันทีเลยว่าเขาคือเจ้าชายในนิทานที่ม่าม้าเคยเล่าอยู่บ่อยๆ …เขานั่นแหล่ะ พลัคช่วยรออีกซักหน่อยนะ…
(สิ้นสุดการรำลึก… )
*
เช้าวันต่อมา…
ในขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวจะออกไปสืบหาคนร้ายที่ขโมยชุดชั้นในของพี่อากาโอะอยู่นั่นเองก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ราวกลับเป็นเสียงจากสวรรค์ เพราะคนที่โทรมาคือพี่อากาโอะนั่นเอง (แต่ว่าคงต้องหาวิธีคลายเครียดเรื่องเมื่อคืนนี้ซะแล้วล่ะ! ยิ่งโดนแบบนี้แล้วเนี่ยจะยิ่งทำให้คิดฟุ้งซ่านขึ้นไปอีก) “มีอะไรเหรอครบทำไมถึงได้โทรหาผมตั้งแต่เช้าอย่างนี้ล่ะ… อ้อ!!!... อย่าบอกนะว่าคิดถึงผมขนาดที่ต้องโทรหาน้องชายสุดที่รักขนาดนั้นน่ะ… ” ผมลากเสียง
“อ้อ… ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนจ๊ะที่โทรมาในวันนี้น่ะก็เรื่องที่มีคนมาขโมยชุดชั้นในของพี่นั่นแหล่ะจ๊ะ”
“งั้นเหรอครับ” ผมทำเสียงอ่อนลงทันที
“นี่พลัค ช่วยตามหาให้เร็วที่สุดจะได้ไหม? ขอร้องล่ะถ้าเป็นแบบนี้พี่คง… พี่คง… ”
“ผมจะจับไอ้โรคจิตนั่นมาลงโทษให้ได้ครับผมสัญญาเลย”
“งั้นเหรอจ๊ะ ถ้าพลัคพูดแบบนี้พี่เองก็หายห่วงแล้วล่ะจ๊ะ อ้อ!... อย่าลืมระวังตัวด้วยนะ”
“ครับ… ”
“พี่เป็นห่วงนะ……………….”
‘…………..’ พอได้ยินแบบนี้แล้วผมก็เริ่มรู้สึกมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ยังไงซะก็ต้องออกตรวจเป็นประจำรอบๆเมืองอยู่แล้วเพราะงั้น… ลองออกสืบไปด้วยดีกว่า
ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าโตเกียวน่ะเป็นเมืองหลวงเพราะงั้น… จึงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกด้วยจึงมีการค้าขายกันเป็นวงกว้าง เมื่องนี้ก็เช่นเดียวกันการค้าขายจึงคึกคักเป็นพิเศษ แต่ใครจะไปสนใจเรื่องราวหยุมหยิมพันนั้นกันเล่า
เฮอ… “ออกมาเช้าเกินไป ก็เลยไม่ได้ทานข้าวมาจากที่บ้านเพราะงั้นหาอะไรกินแถวนี้ดีกว่า” และในตอนที่ผมกำลังจะหาอะไรกินอยู่นั้นเองก็พบเธอคนนั้นอีกแล้ว แต่… ต้องลองทักหน่อยแล้ว
“ไง… หวัดดี!! มาทำอะไรเหรอ? เอ… ชื่ออะไรนะ อากิระนั่นน่ะซินะมาทำอะไรเหรอ”
เธอหันมามองผม “ตาบอดรึไง ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังมาซื้อของ… ” หา? … ยัยนี่นี่…
“งั้นหรอกเหรอแล้วที่เห็นเมื่อคืนนี้น่ะไปทำอะไรอยู่ที่นั่นคนเดียวล่ะ”
“ก็… ไม่มีอะไรนี่ ตามปรกตินี่นา… ”
“เห อะไรนะตามปรกติเหรอ ไอ้การที่เธอไปเดินคนเดียวในถนนที่เปลี่ยวขนาดนั้นเธอยังเรียกว่าปรกติอีกเหรอ” ผมรีบตอบกลับไปทันที เด็กบ้าอะไรกันเนี่ย? ไอ้เราก็อุตส่าเป็นห่วงแท้ๆ
“แล้วมันจะทำไมเหรอ? นั่นมันเรื่องของฉันนี่นานายไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลยนี่นา”
“……….. ”
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะคะคุณตำรวจ” หลังจากที่พูดจบแม่นั่นก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมก่อนจะจูบเข้าที่หน้าผากของผมหนึ่งที ทำเอาคนที่เดินอยู่ตรงถนนแถวนั้นหยุดเดินแล้วหันมามองพวกเราเลยทีเดียว
ว่ะๆๆๆ!! เหวอ!!!... “นี่เธอ!... ทำบ้าอะไรของเธออยู่เนี่ย? หัดมียางอายบ้างซิเฟ้ย!!!” แล้วเธอก็เดินจากไปทั้งอย่างนั้น
*
ในตอนนั้นฉันไม่รู้สึกอายเลยซักนิดที่ได้ทำเรื่องแบบนั้นต่อหน้าพวกมนุษย์เหล่านั้น รวมถึงคุณตำรวจคนนั้นด้วยเพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าฉันไมสนใจอีกต่อไปแล้วไง ต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ชั่งซิ
… หลังจากที่ซื้อของเสร็จแล้วฉันก็ตรงมาที่บ้านที่บ้านทันที เหมือนกับทุกๆวัน เตรียมขนมปังสำหรับคนหนึ่งคนกับน้ำอีกหนึ่งแก้ว แล้วก็เริ่มทานทันที… ต่อจากนั้นก็ต้องพักผ่อนเอาแรงเอาไว้เพื่องานในค่ำคืนต่อไปที่จะมาถึงนี้
.
.
.
ค่ำของวันนั้น…
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มฉันได้รับเมลล์ปริศนาหนึ่งฉบับจากใครนั้นฉันไม่เคยสนใจเลยซักนิด วันนี้ต้องไปขโมยกางเกงในของอาจารย์มิเอะเหรอเนี่ย? หลังจากที่ได้เป้าหมายมาชั้นก็เริ่มค้นหาเส้นทางแน่นอนว่าต้องจากในเตอยู่แล้ว บางครั้งผู้ว่าจ้างก็ไม่รอบคอบซักเท่าใดนักถึงจะบอกค่าจ้างหรือสถานที่นัดส่งของกันแต่ก็ไม่ได้บอกแผนที่มาเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันถึงต้องค้นหาด้วยตัวเอง
นี่ไงล่ะ… มิเอะ โอสึกิ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหา’ลัยแห่งหนึ่งสาขาวิชาศิลปะศาสตร์ ดูจากรูปของแม่นี่แล้วคงจะเป็นคนที่อายุยังน้อยอยู่เลยล่ะซินะ เห?... สวยด้วยนี่นาแถมยังใส่แว่นอีก รสสนิมไม่เลวเลยนะไอ้โรคจิตคนนี้
ตอนนี้ก็เวลาประมาณเที่ยงคืนพอดีเลยช่วงนี้แหล่ะที่เหมาะจะเป็นเวลาในการทำงานของฉัน ฉันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่ในชุดที่ง่ายต่อการเคลื่อนไหวพร้อมกับอาวุธคู่ใจนั่นคือเบ็ตตกปลา แล้วก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปตามเส้นทางลัดที่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีและวันนี้ก็เหมือนกับทุกๆวันฉันก็ทักทายเหล่าผู้คนที่ออกมาทำงานในเวลากลางคืนเหมือนทุกวัน ใช่แล้วพวกนั้นน่ะร่ำรวยกันจนเกินไปเลยมีสิทธิ์ผูกขาดในทุกๆด้านที่พวกเราไม่มีกัน เพราะงั้นเงินถึงได้เป็นสิ่งที่ต้องแบ่งกันใช้ไปตามสมควรยังไงล่ะ โดยส่วนตัวแล้วชั้นไม่สนอะไรพวกนั้นหรอก ทั้งความดีและความชั่วเพราะไม่มีใครตัดสินว่าสิ่งใดคือความถูกต้องหรือสิ่งใดคือความผิดอย่างแท้จริงเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าใครเขาก็ทำความชั่วกันทั้งนั้น
เพราะงั้นฉันถึงได้เลียนแบบสิ่งเหล่านั้นยังไงล่ะ …แม้แต่พระเจ้าที่มีอำนาจมากมายขนาดนั้นแต่กลับไม่สามารถทำลายความชั่วให้หมดไปจนสูญสิ้นได้
ฉันใช้ทางเดินที่เป็นตรอกเล็กๆในการเดินทางมากกว่าที่จะใช้เส้นทางถนนใหญ่เพราะว่าที่ตรอกเหล่านี้มีกล้องวงจรปิดอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่มีแสงอยู่มาก
ทำไมพระเจ้าไม่ทำลายความชั่วให้หมดไปเลยล่ะ… บ้างก็ว่าพระเจ้าทรงอยากที่จะทดสอบเรา บ้างก็ว่า… บ้างก็ว่า… ๆๆๆ อะไรอีกหลายอย่างแต่ทุกๆคำตอบที่เรารู้นั้นเป็นการสรรเสริญพระเจ้านั้นสิ้น
…แต่ว่านะยังเหลืออีกไม่ใช่เหรอเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทำลายเหล่าความชั่วร้ายทั้งหมดนั้นน่ะ นั่นคือ… พระเจ้าอาจไม่มีอำนาจมากพอหรือ? ถ้าโลกนี้มีสันติสุขมนุษย์นั้นอาจะลืมพระองค์ไปก็เป็นได้…
ไม่ว่าเหตุผลมันจะเป็นยังไง ตัวฉันก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่บางคนนั้นก็มีแนวคิดที่ว่าพระองค์อาจจะส่งพวกนั้นลงมาเพื่อทดสอบเรา? เอ๋???... ทดสอบเรางั้นเหรอ เพราะงั้นพระองค์ก็คือผู้บงการหรอกเหรอ?
เอาล่ะๆ เราอย่ามาเสียเวลาในการหาข้อโต้แย้งอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้จะดีกว่าเพราะไม่ว่าคำตอบมันจะเป็นยังไงฉันก็คงไม่ยอมเสียเวลาไปกับการหาคำตอบนั้นหรอกนะแต่ว่าที่ต้องคิดเมื่อครู่ก็เพื่อเป็นอาหารสมองเล่นๆน่ะนะ
หลังจากที่ใช้เวลาในการเดิน(และวิ่ง) เป็นเวลาประมาณ50 นาทีเห็นจะได้มั้ง? ก็มาถึงได้ซักที…บ้านของอาจารย์ มิเอะ
ฉันค่อยๆเดินไปทางหลังบ้านโดยอาศัยเงาของวัตถุที่ตกกระทบไปวัตถุ(พวกถังขยะ …อะไรประมาณนั้น? ) และก้มต่ำเอาไว้ ดุเหมือนว่าการก้มต่ำนั้นดูจะกลายเป็นประเพณีไปซะแล้วซินะสำหรับการกระทำความผิด อย่างเช่นพวกเหล่าขโมยหรือพวกฆาตรกรอะไรอย่างนี้แหล่ะ เฮๆ… นี่อาจจะเป็นมุกตลกเพียงอย่างเดียวของเรื่องๆนี้เลยก็ได้นะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เรากำลังจะทำในตอนนี้หรอก
จากนั้นก็เข้าไปทางช่องระบายอากาศของห้องน้ำ คงจะไม่มีใครเคยคิดเลยล่ะซินะว่าช่องระบายอากาศของห้องน้ำมันจะเป็นทางเข้าเพื่อก่ออาชญากรรมได้ ฉันรู้เรื่องพวกนี้มาจากเพื่อนอาชีพเดียวกัน เพราะงั้นฉันจะไม่พยายามพูดถึงเขาเพราะนั่นอาจทำให้ตัวเขาไม่ปลอดภัยก็เป็นได้ ช่องระบายอากาศนั้นเป็นช่องที่เล็กมากถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้ แต่สำหรับฉันที่มีลักษณะร่างกายที่สูงแต่ว่าผอมเรียวเล็กแล้วเรื่องแค่นี้ถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เมื่อกระโดดเข้ามาได้แล้วฉันก็เดินไปที่ประตูห้องน้ำเพื่อก้มฟังดูสิ่งที่อยู่ด้านนอกว่ามีการเคลื่อนไหวของเป้าหมายหรือไม่ นี่แหล่ะคือตอนที่ฉันชอบมากที่สุดในการทำงานที่เสี่ยงอันตรายและเป็นที่รังเกียจของสังคมมนุษย์อันโง่เง่าเหล่านั้น การได้ลองฟังสิ่งที่มนุษย์กำลังปฏิบัตินั้น จนบางครั้งฉันก็คิดว่านี่คงจะเป็นงานอดิเรกที่สุดยอดที่สุดของตัวฉัน ที่เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนั้นเรื่อยๆก็ได้
“ไหนๆ ดูซิ… ว่าอาจารย์แสนสวยของเรากำลังทำอะไรอยู่? ” ฉันเอื้อมมือค่อยๆเปิดประตูออก ทีละนิด แล้วมองไปรอบๆ ทางช่องเล็กๆนั่น
ห้องของอาจารย์ มิเอะ นั้นค่อนข้างมืดมากเพราะตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน เกือบๆจะตีหนึ่ง มันจึงเป็นเวลาที่มนุษย์ส่วนมากเขาจะนอนกันหมดแล้ว ยกเว้นก็แต่พวกสโตกเกอร์เนี่ยแหละที่จะได้ปลดปล่อยออกจากโลกอันน่าเบื่อเพื่อมาสู่โลกที่แท้จริงของตนเองยังไงล่ะ แต่ถึงจะมืดขนาดไหนฉันก็สามารถที่จะมองเห็นได้ลางๆอยู่ดี เพราะงั้นห้ามประมาทสาวน้อยที่อาศัยอยู่ในความมืดมาตั้งสองปีอย่างฉันนะ
ฉันมองไปที่เตียงของอาจารย์ตรงนั้นมีไฟสองสว่างอยู่พอที่จะให้เห็นลางๆ …แล้วสิ่งที่ฉันไม่คาดว่าจะได้เห็นก็ปังเอิญพบเข้าจนได้!!!
เรือนร่างของหญิงสาวกระตุกสั่นไหวด้วยความหนักหน่วง เธอค่อยๆคร่ำครวญออกมาอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ใครได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมาแต่สำหรับฉันแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับตาของตัวเอง อาจารย์ มิเอะกำลังช่วยตัวเองอยู่บนเตียงเหรอ???
*
ในตอนค่ำของวันนั้นเอง… ในระหว่างที่ผมกำลังเร่งสะสางงานที่ค้างไวบนโต๊ะทำงานผมอยู่นั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ มิเอะ เพื่อนสมัยเด็กของผม
เธอได้โทรศัพท์มาหาผมเวลาประมาณ ห้าทุ่มครึ่ง(ย้อนรอยอดีต…? )
ตืดดดด!!!...
“ฮัลโหลครับ… พลัคครับ?”
“นี่… พลัคนี่มิเอะเองนะ”
“เอ๋!?... โอสึกิเหรอ ?”
“ช่วยมาที่… บ้านฉันหน่อยจะได้ไหม?... ”
… (รอยย้อนอดีต)
*
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เสียงของยัยนั่น!!! แม้แต่ฉันที่นั่งอยู่ในห้องน้ำนี้ยังได้ยินชัดเลย แถมตอนนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกร้อนที่แก้มด้วย ฉันไม่รู้ว่านี่มันเป็นอาการของอะไร? แต่ที่แน่ๆนั้นมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรหรอก… เพราะว่าตอนที่ฉันใช้เวลาส่วนมากในเน็ตนั้นฉันก็เคยอ่านเจอพฤติกรรมแบบนี้อยู่เหมือนกัน มันคืออาการที่พวกผู้หญิงวัยปลายชอบใช้กัน ไงล่ะคงจะอยากรู้อะไรอีกใช่ไมล่ะ ลองไปหากันในเน็ตดูก็ได้นี่นาไม่เห็นจะต้องอธิบายไปจนหมดเลย!!...
ว่าแต่… ตกใจเหมือนกันนะที่เห็นอาจารย์คนนี้ทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยแบบนี้น่ะ
ฉันเริ่มมองหาช่องทางในการขโมยของอย่างที่เราได้อธิบายกันไปแล้ว… แต่ว่าในขณะที่จะออกจากห้องน้ำไปนั่นเอง
ตึ้งงงงง!!!!...ๆๆๆๆ
…ก็มีเสียงกดกริ่งดังขึ้นมาก่อน
ซักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้น… คงจะเป็นเสียงของผู้ชายล่ะมั้ง? เพราะได้ยินเป็นเสียงที่ออกจะทุ้มต่ำแต่ดูแล้ว นี่อาจจะเป็นแฟนของอาจารย์ก็เป็นไปได้
อาจารย์มิเอะเดินออกมาจากห้องนอนทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ซึ่งนั่นเป็นโอกาสที่ดีที่งานของเราจะสำเร็จ
ตัวฉันรีบเดินออกมาจากห้องน้ำทันทีแต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปห้องน้ำของอาจารย์มิเอะเอาไว้ด้วยเพราะรูปพวกนี้อาจจะทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัวไปเลย
การเคลื่อนที่ไปนั้นค่อนข้างที่จะลำบากเพราะด้านหลังนั้นมีคันเบ็ดตกปลาอันเล็กอันหนึ่งอยู่ด้วย
และแล้วก็เจอจนได้…
สิ่งที่จะทำให้งานของเราสำเร็จ
ได้โดยง่าย
มันอยู่ข้างในห้องของอาจารย์เอง…
สิ่งนั้นคือ กางเกงใน
ความคิดเห็น