ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    งานอดิเรกของสาวนิคิโคโมริ

    ลำดับตอนที่ #1 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 57


    งานอดิเรกของสาวนิคิโคโมริ

              By Mr.Hijack death 2013-2014ES.P.G.CA.lnc      

     

     

      

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

            

    1

     

             ตัวฉันมีชื่อว่า อากิระ เคยเรียน ม.ปลายอยู่ที่ โรงเรียนแห่งหนึ่งในโตเกียว แต่ถึงจะบอกว่าอยู่ในโตเกียวแต่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในโตเกียวเพราะอะไรเหรอ? ก็เพราะว่าตอนนี้ฉันไม่สนใจโลกภายนอก

             “โลกนี้มันจะเป็นยังไงก็ช่างซิ ขอแค่ตัวฉันยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว

            ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ที่ตัวฉันเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ห้องแห่งนี้ ห้องที่มีขนาดเล็กเท่ารูหนูนี่ แถมกลิ่นเหม็นอับอบอวลนี่ด้วย บ่งบอกถึงการที่มันไม่ได้โดนแดดมาเป็นเวลานาน

            ก็อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าฉันอาจจะเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า นิคิโคโมริ เป็นชื่อโรคที่ทางจิตน่ะ หรือจะบอกว่าเป็นโรคที่เกลียดสังคมก็เป็นได้ โดยสาเห๖ของโรคนั้นอาจจะมาจากกาที่ตัวเราถูกสังคมภายนอกไม่ยอมรับจนเป็นเหตุให้เราเกลียดคนพวกนั้น และไม่ยอมรับ หรือเกิดข้อสงสัยขึ้นทุกเวลาที่คนพวกนั้นเขาคุยกัน เพราะงั้น ก็เลยไม่อยากที่จะออกไปไหนมาไหนนอกบ้าน จนสุดท้ายก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน

            ไม่สนใจผู้คน

            ตัวฉันเองก็เหมือนกัน เป็นคนที่ขี้อาย และมันเข้ากับเพื่อนได้ยาก สุดท้ายก็เลยพูดกับตัวเองว่าถ้ามันยุ่งยากขนาดนั้นก็ไม่ต้องมีซะก็สิ้นเรื่องเพื่อนน่ะ เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ยกตัวอย่างเช่นเวลาเรามีปัญหาก็สามารถขอความช่วยเหลือจากเพื่อนได้ หรือเวลาที่เราไม่มีคนเดินไปด้วยแล้วเกิดอาการรู้สึกประหม่าอะไรแบบนี้ ประโยชน์ของเพื่อนก็ประมาณนี้ล่ะนะไม่ว่ายังไงมันก็เป็นเรื่องที่น้ำเน่ามาก แถมยังไร้สาระอีกต่างหาก การใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวต่างหากล่ะที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความเก่งและความแข็งแกร่งน่ะ อย่างที่มีคนๆหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่า เพราะอ่อนแอถึงต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลายเป็นหนูโสโครกที่ต้องถูกขย่ำ!”ก็ประมาณนี้ล่ะมั้งสำหรับบทเกรินนำ

            ตัวฉันในตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียว สิ่งที่เป็นความสนุกของฉันในตอนนี้มีเพียงสองอย่าง อย่างแรกคือเกม ฉันเล่นทุกเกมที่สามารถโหลดฟรีได้จากเครื่องคอมเครื่องเก่าที่เป็นมรดกก่อนที่คุณพ่อของฉันจะเสียชีวิตลง แล้วอันมหาสารก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างมากมาย ส่วนคุณแม่ตอนนี้ก็แต่งงานใหม่ไปแล้วเห็นบอกว่าตอนนี้กำลังท้องซะด้วยซิ! กับไอ้ผู้ชายคนไหนก็ก็ไม่รู้เหมือนแล้วตอนนี้ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะสนเรื่องของน้องของฉันที่กำลังจะเกิดด้วยซิ

            แต่ ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่แม่นั่นคงจะรู้สึกสำนึกผิดอยู่เล็กน้อยเหมือนกันล่ะมั้ง? ถึงได้ส่งเงินมาทุกเดือนแบบนี้รู้สึกว่าไอ้แก่ที่แต่งงานใหม่กับคุณแม่เนี่ย? ก็เป็นคุณลุงวัยเกษียนที่รายได้ดีไม่น้อยเลยด้วย ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้ชีวิตให้สนุกไปกับทุกวันได้อย่างเต็มที่

             ส่วนอย่างที่สองก็คือไอ้นี่ล่ะคันเบ็ดตกปลาอันหนึ่งกับไฟฉายอันเล็กอันหนึ่ง แล้วเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังในภายหลัง ถ้าพูดตอนนี้เดี๋ยวมันก็ไม่สนุกกันพอดีน่ะ

             เอาล่ะนอกเรื่องมานานแล้วตอนนี้ฉันว่าเรามาเข้าเนื้อหาหลักกันเลยดีกว่า เริ่มด้วยกิจวัติประจำวันของฉัน  นามิ อากิระ

             09.30 .กินข้าวห่อสาหร่ายที่เพิ่งซื้อมาแต่ถึงจะบอกว่าพึ่งซื้อมาก็เถอะรู้สึกว่าประมาณ 3 วันก่อนเห็นจะได้ล่ะมั้ง ? แล้วก็นำมาเก็บเอาไว้ในตู้เย็นไว้กินทีหลังประมาณนั้นแหล่ะ คงไม่ต้องไปนึกถึงสารอาหารเท่าไหร่หรอกเพราะตัวฉันน่ะขอแค่เป็นของที่ยังกินได้จะอะไรก็ไม่ว่ากันทั้งนั้นแหล่ะ

             ต่อมา 10.00.-18.53 . ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาในการพักผ่อนอีกครั้ง เล่นเกมที่เพิ่งซื้อมาใหม่ อ่านการ์ตูนจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายก่อนจะปฏิบัติการจริงก็เป็นได้

             และ 19.00 . – 23.45 . คือช่วงเวลาในการเตรียมการเพื่อการปฏิบัติการที่แท้จริง

             ส่วน 24.00. ไปจนถึงตอนเช้านี่แหล่ะคือเวลาที่จะเริ่มทำงานอดิเรกของฉัน งานที่คนโง่ไม่สามารถที่จะทำได้งานที่คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นพวกโรคจิต แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้แห่ละคือจิตวิญญาณอันลุกโชน!!

              ตอนนี้ตัวฉันได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ผ้าคลุมสีดำกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลพร้อมกับเสื้อกล้ามและอุปกรณ์คู่ใจคันที่ยาวประมาณ  2 เมตรกับไฟฉายหนึ่งก้าวออกจากบ้านไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม

    ไปตกกางเกงในกันเถอะ!!!

            สายลมยามเย็นพัดผ่อนทำให้ผมที่ยาวเฟื้อยปลิวไสวในความมืด เสียงที่เคยสะท้อนกันไปมาบนถนนของซอยนี้ในตอนเช้านั้นดูเหมือนจะลดลงแทบจะเรียกว่าไม่มีเลยในตอนนี้มีเพียงเหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืดเท่านั้นที่จะออกมาเดินเพ่นพ่านกันอยู่ใกล้ๆเสาไฟฟ้าทุกเสาที่อยู่บริเวณนั้นเพราะในเวลานี้มันคือเวลาที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวที่กำลังจะอดตายอยู่แล้วของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการปล้นหรือการชิงทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการข่มขืนที่กำลังเป็นคดีดังอยู่ในตอนนี้

            พวกเราทุกคนที่อาศัยความมืดในการมีชีวิตอยู่นี้ถึงแม้พวกเราจะเป็นพวกเดียวกันแต่พวกเราก็ไม่เคยที่จะไว้ใจกัน แต่ ถึงจะไม่ไว้ใจกันแต่พวกเราเหล่าอาชญากรก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของใครทั้งนั้นเพราะมันอาจจะนำมาซึ่งอันตรายแก่พวกเราและครอบครัวของเราก็เป็นได้

             เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า งานของชั้นคือการขโมยกางเกงในจากทุกคนตามที่ได้รับการว่าจ้างมา และงานในวันนี้คือ บ้านของคุณทากาโอกะที่อยู่ซอยลึกที่สุดจากข่าวที่ได้ยินมารู้สิกว่าจะเป็นสาวสวยที่พึ่งย้ายมาเมื่อสองเดือนก่อนอายุก็ราวๆ 28 ปีล่ะมั้ง?... คงจะเป็นคนที่สวยมากเลยล่ะซิท่าแบบนี้ถึงได้มีการว่าจ้างอย่างรวดเร็วแบบนี้

             ตอนแรกก็คิดว่าจะยากกว่านี้ซักหน่อยก็เห็นว่าอายูก็เกือบๆจะสามสิบแล้วคงจะเป็นพวกที่มีการป้องกันตัวแบบสุดๆที่ไหนได้นี่มันง่ายจริงๆเลย ฉันใช้เวลาในการขโมยไปประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง ส่วนสิ่งที่ได้มาคือบิกีนี่ลายเสือดาวสามตัวเสื้อยืดอีกหนึ่งตัวถุงเท้าอีกสามคู่ แล้วก็กางเกงในเผด็จศึกอีกหนึ่งตัว(คือตัวที่ได้รับการว่าจ้างมา) และตามที่เคยทำมาฉันได้ทิ้งชุดที่เหมือนกันเอาไว้แทนมีเพียงสิ่งเดียวที่ของพวกนั้นไม่เหมือนกันคือของชั้นที่นำไปเปลี่ยนนั้นเป็นขงใหม่แต่ของเธอนั้นเป็นของที่ถูกใช้งานแล้วซึงมันมีราคามากกว่าของใหม่หลายร้อยเท่า

     

                                                                         *

     

     

     

             หลังจากนั้นก็นำของทั้งหมดไปเก็บเอาไว้ในกล่องที่ทำให้อากาศไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะมันอาจจะทำให้กลิ่นมันหายไป ซึ่งมันจะทำให้กลิ่นจางลงทำให้ได้ราคาไม่ดีเท่าไหร่

             ต่อมาหลังจากที่ห่อของเรียบร้อยแล้วก็สามารถส่งไปให้ผู้ว่าจ้างของเราได้ คงอยากจะถามว่าด้วยวิธีไหนน่ะสินะ? เรื่องนั้นง่ายมากใช้ประโยชน์จากวิธีการส่งของแบบง่ายๆในโลกปัจจุบันเลยก็ว่าได้ทางไปรษณีย์ไงล่ะ เวลาที่ของจะถูกส่งไปให้กับผู้ว่าจ้างก็ประมาณ 3-4 วันเท่านั้นเอง คงจะไม่มีใครที่โง่พอจะมารับของแบบนี้ด้วยตัวเองหรอกน่านะ…!!!

     

     

     

    *

     

     

             ตัวผมมีชื่อว่า พลัค เพล็นทิฟุล (pluck plntiful) ครับอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าเก่าๆโทรมๆนอกเมืองออกมาหน่อยน่ะครับ ผมตอนนี้อายุ 24 ปีครับมีอาชีพเป็นตำรวจครับไม่สิต้องบอกว่ารับราชการล่ะมั้ง?... เป็นตรวจแต่ก็เป็นแค่ตำรวจจราจรเท่านั้นล่ะครับหรือต้องเรียกว่าการงานไม่ค่อยรุ่งเรือง(the work is not prosperous ,) สำรับข้าราชการที่นี่แล้วจะบอกว่าเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจเท่าไหร่ เพราะตอนนี้การเป็นพนักงานบริษัทอาจจะมีรายได้ดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากที่จะทำงานนี้ต่อไปครับ เพราะมันทำให้ผมนึกเหล่าซุปเปอร์อีโร่ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนั่นแหละคือแรงบันดาลใจในสมัยที่ยังเป็นเด็ก

             ถึงจะบอกว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแต่ผมก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานสุดๆเลยล่ะครับขนาดที่ได้รับรางวันตำรวจดีเด่นของเขตนี้ด้วยนะครับ แล้วก็อีกอย่างผมเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆสุดเลยด้วย

             แต่ว่าตอนนี้ผมดูเหมือนคนที่พลาดอะไรบางอย่างอยู่เลยล่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอ?

    (รำลึกอดีต… )  คงต้องย้อนกลับไปเมื่อ 3 วันเห็นจะได้ ตอนที่ผมได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้าในร้านซุปเปอร์แห่งหนึ่งเข้าเธอมีผมที่ยาวเป็นจุดเด่นของเธออ้อ !!!... ไม่สิต้องบอกว่าเป็นจุดเด่นอย่างเดียวของเธอมากกว่าใส่กางเกงขาสั้นประมาณหัวเข่าเนี่ยล่ะพร้อมกับเสื้อแขนสั้นสีดำ ทั้งที่ตัวเธอมีจุดเด่นแปลกๆ แบบนั้นแถมผมอาจจะเคยเห็นเธอที่ไหนซักแห่งแท้ๆแต่ผมกลับนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันทั้งๆที่ในเขตนี้ผมไม่น่าจะไม่รู้จักเด็กสาวที่มีเอกลักษณ์แบบนี้แท้ๆ นั่นแหละคือเรื่องที่ผมไม่ค่อยสบายใจเลยนี่ตัวผมละเลยการปฎิบัติหน้าที่ของการเป็นตำรวจจราจรที่ดีไปแล้วอย่างงั้นเหรอ ?!... ไม่มีทางหรอกน่า คอยดูก็แล้วกันผมจะเป็นคนทำให้โลกนี้สะอาดเอง

             เหวอ!!??... “น้ำเดือดแล้วนี่นาขั้นตอนที่หนึ่งใสเส้นลงไปในน้ำที่ร้อนจากนั้นรอจนสุกตอนนี้กินเจ้านี่ไปก่อนแล้วกัน

             ตืดๆๆๆ!!!... !... “เสียงมือถือนี่?... ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย? ” ผมเด็นไปหยิบมือถือมาจากกระเป๋าแล้วรับสายทันที ฮัลโหล ใครน่ะครับ? ”

             “นี่พลัคเหรอ?... ”เป็นเสียงของพี่สาวผมเอง ผมเลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า

             ว่าไงครับพี่ทากาโอะในที่สุดก็คิดที่จะแต่งงานกับผมแล้วเหรอครับเนี่ย? ว่าแต่ว่าจะเป็นวันไหนดีล่ะครับ

             “จะบ้าไปแล้วรึไงพี่น้องกันจะแต่งงานกันได้ยังไงเล่าที่ฉันโทรมาหานายตอนนี้ก็เพราะว่ามีเรื่องอยากจะให้ช่วยน่ะ น้ำเสียงของพี่ในตอนนี้ดูจะกังวลยังไงก็ไม่รู้เนี่ย?

             “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอครับ? … ”

             “ช่วยมาหาหน่อยซิแล้วฉันจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง

             “งั้นเหรอครับ

             “…………………. ”

             “ครับได้ครับ หลังจากนั้นพี่ทากาโอะก็วางสายไป

             ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ ตัวผมก็เลยรีบไปที่บ้านของพี่ทันที บ้านของพี่นั้นอยู่ในซอยที่ลึกเข้าไปการเดินทางก็เลยต้องใช้การเดินเพียงอย่างเดียวจากห้องเช่าของผมไปถึงที่นั่นก็ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ตอนนี้ก็เวลาตีสามกว่าๆแล้ว

             ในระหว่างที่กำลังเดินไปอยู่นั่นเองผมก็ได้เจอกับเด็กคนนั้นเข้าอีกครั้ง เรือนผมสีดำสนิทราวกับความมืด(darkness) ที่ไม่มีวันจะได้เจอแสงแห่งความหวังกางเกงขาสั้นประมาณขาตัดกับผิวที่ขาวจนซีดเผือก แต่คราวนี้มีอะไรที่แตกต่างออกไปจากเมื่อสามวันที่แล้วคือเธอมีผ้าคลุมสีน้ำตาลกำลังโบกสะบัดอยู่ทางด้านหลังที่เป็นสีน้ำตาลด้วย ผมหันหน้าไปหาเธอแล้วเรียกเธอ

             นี่เธอน่ะหยุดก่อน!!... ” เธอหยุดทันทีแล้วหันหน้ามาทันทีที่โดนเรียก แล้วตอบกลับมาว่า

             มีอะไรเหรอค่ะคุณตำรวจ?” เอ๋!?...

            “นี่เธอรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นตำรวจน่ะ

             ไม่รู้หรอกค่ะดิฉันก็แค่เดาสุ่มไปแบบมั่วๆ ก็เท่านั้นเองละค่ะเธอตอบกับมาโดยที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย

             เธอชื่ออะไร? ทำไมถึงได้มาเดินคนเดียวตอนนี้กันน่ะผมลองถามออกไปดูเพื่อจะรู้ชื่อของเธอบ้าง ยังไงซะเธอก็คงจะเกลงใจอยู่แล้วล่ะ ก็เพราะว่าผมเป็นตำรวจนี่นา

             ฉันไม่จำเป็นต้องบอกหรอกค่ะว่าฉันมาทำอะไรที่นี่น่ะ แต่ว่าการบอกชื่อเสียงเรียงนามเนี่ย? มันก็คงจะสามารถบอกได้อยู่ล่ะมั้ง?... ”      

             “งั้นเธอชื่อว่าอะไร

             “อา-กิ-ระ  … ”

             หลังจากนั้นเธอก็เดินจากไปพร้อมกลับความมืด ไม่สินี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนี้นี่น่าพี่บอกว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยด้วยนี่นาต้องรีบไปแล้วซิ

    *

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

             ฉันชื่อทากาโอะ เพล็นทิฟุล อายุ? ไม่บอกดีกว่าเพราะอาจจะมีผลกับการหาใครดีๆ ซักคนมาเป็นเจ้าบ่าวก็ได้ ฉันทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตชิบูยารายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 300,000 เยนต่อเดือนได้ล่ะหรือจะเรียกว่าฐานะมั่นคง

             วันที่ 13 กรกฎาคม ตอนเช้าของวันนี้ก็เป็นวันที่อากาศแจ่มใส ฉันสวมเสื้อแขนยาวสีขาวสะอาดเพราะมันจะได้ตัดกับเส้นผมสีดำสนิทของฉันพร้อมกับโค้ชเทาอีกตัวทางด้านนอกด้วยส่วนกระโปรงก็เป็นแบบรัดรูปสีเทาและรองเท้าส้นตึกขนาดสูงด้วยคือเป็นเพราะตัวฉันอาจจะไม่สูงเท่าไหร่นัก 162 เซน คงจะเป็นความสูงระดับมาตรฐานของสาววัยทำงานของญี่ปุ่นในตอนนี้ก็ว่าได้แต่ตัวฉันก็ไม่เคยพอใจกับความสูงนี้เลยแม้แต่น้อยห้องของฉันเป็นห้องขนาด 10×15 ตารางเมตรเทียบกับขนาดของห้องพักในเขตโตเกียวด้วยกันแล้วนี่ถือว่าเป็นห้องที่มีขาดใหญ่มาก แต่สิ่งนี้จะไม่สามารถเนรมิตได้หากไม่มีเงินล่ะมั้ง เพราะงั้น ทุกๆวันฉันมักจะภาวนาก่อนนอนทุกวันขอให้ได้พบกับคนที่มีทุกอย่างดีพร้อมอยู่เสมอ

             วันนี้เป็นวันอาทิตย์เป็นวันหยุดเพียงหนึ่งเดียวของฉันเพราะฉะนั้นวันนี้คงจะไม่ใช่วันที่จะซักผ้าอย่างแน่นอนเพราะมันคือวันพักผ่อนนี่นา ฉันใช้เวลาส่วนมากไปกับการทานสลัดผักที่มีมะเขือเทศเป็นกองแล้วราดด้วยมยองเนสเล็กน้อยพร้อมกับดูรายการโปรดตอนช่วงสิบนาฬิกาและก็ช่วงสิบแปดนาฬิกา บางคนอาจะคิดว่านี่คุณกำลังทำให้เวลาสูญเปล่าไปอย่างไร้ความหมายซึ่งถ้านำมันไปใช้ทำ อย่างอื่นมันก็อาจะมีประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้แต่สำหรับฉันสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมทำงานตั้งแต่เช้าไปถึงเย็นแล้วนี่ล่ะ คือการผ่อนคลายอย่างแท้จริง

             แล้วเวลาก็ผ่านเลยไปแบบนั้นอย่างไม่มีกำหนดมีพียงแค่อาจจะมีการต่อเวลาเพิ่มขึ้นอีกซักสองถึงสามนาทีอีกในตอนเช้าก็เป็นได้แต่ไม่มากไปกว่านี้เพราะที่ทำงานของฉันนั้นเคร่งในเรื่องของเวลามากแล้วอีกอย่างหนึ่งการไปทำงานตั้งแต่เช้าก็เป็นข้อดีของชั้นด้วยซินา

            ตืดดดด… !!! “เอ๋นี่มันเลาเท่าไหร่แล้วเนี่ย? ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้วแต่ถ้าข้างนอกยังมืดอยู่ล่ะก็มันคงจะไม่ใช่เวลาไปทำงานหรอก

             แล้วฉันก็เดินไปเปิดผ้าม่านของหน้าต่างภายในห้องรับแขกดู จากที่สายตาของเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนนี้ได้มองดูแล้วนี่คงจะไม่ใช่เวลาแห่งความโกลาหล เลยซักนิด !... ” สรุปแล้วนี่มันยังไม่ถึงตอนเช้า ฉันเดินในท่าของผีดิบไปที่สวิตซ์เปิดไฟ

             หลังจากนั้น… (เปิดไฟเรียบร้อย! ) แล้วเดินเข้าไปในห้องครัว (แอบขโมยอาหารในตู้เย็นของตัวเอง… ) เฮนี่เราทำแบบนี้เป็นประจำเลยนี่นา ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสีเหลืองตัวโปรดแต่แล้ว …!!!!

           ในตู้เสื้อผ้ามีร่องรอยของการรื้อค้นของทุกอย่างกระจัดกระจายมีเสื้อผ้าบางตัวหายไป แล้วมีเสื้อบางตัวเพิ่มเข้ามา ฉันนั่งเช็คของที่หายไปอยู่ซักพักก่อนจะรีบโทรหาตำรวจ พลัค เพล็นทิพุล น้องชายของชั้นเขาเป็นตำรวจคนหนึ่งที่มีอุดมการแรงกล้าที่จะปกป้องทุกคนในเมืองแห่งนี้เมืองที่เต็มไปด้วยขยะแบบนี้

             หลังจากที่ฉันโทรหาพลัคแล้วฉันก็เดินออกมาที่ห้องรับแขกแล้วก็กำลังคิดว่าใครกันแน่ที่เป็นพวกโรคจิตถึงขนาดต้องขโมยชดชั้นในของฉันไป

             ถ้าเป็นคนที่อยากขโมยจริงๆ แล้วล่ะก็ มีประมาณห้าร้อยกว่าคนเลยล่ะ! เหล่าผู้คนที่ฉันเคยเจอหรือเข้าไปพัวพันด้วยนั้นมีอยู่มากมายในบริษัทของฉันก็มีคนพวกนี้อยู่เยอะแยะซะด้วยซิ! แต่ถ้าตัดคนพวกนั้นออกไปก็คงจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวอย่างเช่นผู้จัดการหรือ? เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ หรืออาจะเป็น?!... ไม่แน่ใจแต่ว่าถ้าจะมีล่ะก็

     

    *

                

                      

     

     

              โฮ้ย!!... ? “นี่มันอะไรกันฟร๊ะ!! ทำไมมันถึงได้ไกลแบบนี้เนี่ย? ถึงจะบอกว่าครึ่งชั่วโมงก็เหอะแต่ว่านี่มันก็นานแล้วนะ แถมตอนที่มานี่ก็เพิ่งออกจากเวรด้วยซิแล้วในที่สุดความพยายามของผมก็สำเร็จ นี่ล่ะนา! ที่เขาเรียกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

              ผมเคาะประตูแกร๊ก! “พี่อากาโอะจ๋า!!!!!!!... ”

             “ว้ายยยยยย… !!!!!!? รีบ… !! ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้!!! นะไอ้น้องซิสค่อนเอ้ยยยยย!!!”

              (ต่อมา… )

              หลังจากที่ทักทายกันเสร็จแล้วผมกับพี่อากาโอะก็มานั่งที่ห้องรับแขก มีอะไรงั้นเหรอครับที่เรียกผมมาแบบนี้น่ะ? ” พี่นั่งเงียบอยู่ซักพักหนึ่งพร้อมกับทำปากขยุบขยิบแล้วก็พูดขึ้นมาว่า

             นายเป็นตำรวจที่เก่งขนาดไหนเหรอพลัค?”

             “เฮ๋? ทำไมถึงได้ถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ? ” ผมตอบกลับไปด้วยความสงสัย

             เปล่าหรอกแค่มีเรื่องอยากจะให้ช่วยนิดหนึ่งก็เท่านั้นเองเธอพูดออกมาด้วยท่าทีที่เอียงอายราวกับว่า

             “เห!!!? ที่ถามเรื่องหน้าที่การงานแบบนี้คงจะอยากรู้เรื่องความมั่นคงในชีวิตหลังจากที่เราแต่งงานกันแล้วใช่ไหมล่ะ แล้วก็เรื่องความแข็งแกร่งหรือว่าความเก่งอะไรนั่น!! ผมบอกได้เลยว่าถึงผมจะตัวไม่สูงซักเท่าไหร่ แต่ผมจะปกป้องพี่เอาไว้ด้วยแขนข้างนี้เองงง… ” ผลักกก… !!!

             ผมโดนถีบเข้าที่หน้าอย่างรุนแรง… “โทษทีนะที่ต้องขัดจากหวะจินตนาการอันไร้ศีลธรรมของนาย แต่ว่าฉันไม่เคยคิดแบบนั้นซักครั้งย่ะ! ” และด้วยเหตุนี้เองพี่ก็เลยตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องให้ฟัง

             นานแล้วซินะตั้งแต่ตอนม.5 นั่นล่ะมั้ง? …ที่ฉันโดนพวกโรคจิตแอบเข้ามาขโมยชุดชั้นในน่ะ

             “นั่นน่ะซิครับ

             “เมื่อคืนนี้เอง… ”

             “หา? อย่าบอกนะว่าพี่อากาโอะโดนขโมยชุดชั้นในน่ะความหลังฝังใจเราเลยนี่หว่าร่องขโมยนั่นน่ะ ก็เพราะว่าตอนนั้นผมเองนี่แหละที่เป็นคนขโมยลายหมีของเอง แต่ว่าจะให้ความลับนี้ถูกเปิดเผยออกไปไม่ได้! ต้องทำหน้าตาให้เข้มเข้าไว้

             นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ไม่รู้เนี่ย? ทำไมๆ! … เรื่องแย่ๆแบบนี้ถึงได้มาเกิดกับฉันได้ล่ะ!!... ” แล้วน้ำตาของพี่อากาโอะก็ไหลออกมา

             “เป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะพี่น่ะพอเห็นพี่เป็นแบบนั้นแล้วผมก็อดที่จะโกรธไม่ได้ ใครกันที่มาทำแบบนี้ ? ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีแล้วหันหน้าไปหาพี่

    เธอหันกลับมาทั้งน้ำตา ว่าแล้วเชียวทุกๆ ครั้งที่มีใครแกล้งตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้วพี่มักจะบอกเรื่องกับผมเป็นคนแรกเสมอราวกับว่าพี่เชื่อใจผมคนเดียวอย่างงั้นแหล่ะถ้าอย่างนั้นคงจะต้องพูดประโยคนั้นอีกแล้วน่ะซินะคิดถึงจังเลยนะคำๆนี้น่ะ เพราะพี่นี่แหล่ะที่ทำให้ผมอยากจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม

             พลัค… ” แล้วผมก็ยิ้มออกมาเหมือนเมื่อตอนนั้น

             ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเองครับ! พี่อากาโอะ… ”

     

    *

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×