ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Lost Zero Online : มหาสงครามราชันข้ามฟ้า

    ลำดับตอนที่ #108 : CHAPTER 100 : เกาะอสรพิษ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 647
      16
      2 ส.ค. 59




    ณ  ทางเข้าปากถ้ำใต้น้ำเกาะอสรพิษ



    ซูมม!!


    ใช้เวลาเพียงไม่นาน ลาร่าก็นำทางพวกชุนเดินทางมาถึงถ้ำใต้นำ้ในที่สุดและมันยังเป็นทางเข้าลับของเกาะอสรพิษอีกด้วย พวกชุนดำอยู่ใต้น้ำได้ไม่นานก็โผล่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำในที่สุดและแน่นอนว่าคนนำทางคือลาร่า



    "แปลกมากข้าไม่คิดเลยว่ามันมีทางเข้านี้อยู่จริงๆ"


    หัวหน้าทหารองครักษ์เงือกพูดขึ้นพลางรอบๆ ชุน อาเธอร์ เดเบียล่า ลูน่า มีล่าและพวกจิ่งหันเผยกับเจ้าชายซามูไรที่ตามมาก็มองรอบๆอย่างแปลกตาเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากทางเข้าที่แปลกตาแล้วพอเข้ามาข้างในกลับพบว่าแปลกตายิ่งกว่า


    เพราะภายในถ้ำที่คิดว่าจะมืดมิดมีแค่แสงจากใต้ผิวน้ำที่สะท้อนมาจากแสงแค่ข้างนอกเท่านั้น แต่ภายในกลับมีแสงจากคบเพลิงมากมายที่ปักติดกับกำแพงเพื่อชี้นำเป็นเส้นทางให้ และที่สำคัญ...


    ที่นี่ไม่ใช่แค่ถ้ำธรรมดา มันคือโบราณสถานที่ซ่อนอยู่ใต้เกาะลึกลับแห่งนี้ พวกทหารองครักษ์เงือกก็ดูตกใจไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เท่ากับพวกผู้เล่นอย่างพวกรัฐบาลของจิ่งหันเผยและเจ้าชายซามูไร รวมไปถึงมีล่าและชุนด้วย



    "ที่นี่มันอะไรเนี่ย...โบราณสถานยุคกรีกรึไงเนี่ย"


    หญิงสาวชาวจีนหน้าสวยคมเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะเธอไม่คิดเลยว่าเกมส์นี้จะมีสถานที่ลับที่คล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์เช่นนี้มาก่อน เพราะที่ผ่านมาเธอเห็นว่าเนื้อเรื่องในเกมส์นี้และสถานที่ต่างๆคือเรื่องแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้นไม่ได้อ้าง 



    "เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ พวกเรากำลังรีบไปช่วยยัยเสือของตานี่ไม่ใช่รึไงรวมถึงยัยเจ้าหญิงเงือกของพวกเงือกนั่นด้วย ไม่มีเวลามาชื่นชมสถาปัตยกรรมของเกมส์หรอกนะ"


    มีล่ากอดอกขึ้นพูดใส่ด้วยสายตาเย้ยยัน ก่อนจะเหล่มาทางชุนที่ดูท่าทางรีบร้อนอยากไปช่วยซีลาร์มากและท่าทางถ้าเธอไม่เป็นคนเร่งก็คงเป็นเขานี่แหละ จิ่งหันเผยได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆขอโทษขอโพย 


    "ว่าแต่แล้วพวกคุณจะขึ้นฝั่งมาไงคะเนี่ย เพราะต่อจากนี้จะไม่มีพื้นน้ำแล้ว"


    ลาร่าที่รอทุกคนคุยกันให้จบก็สังเกตุพวกทหารเงือกที่ยังคงยืนรอพวกเขาอยู่เหนือผิวน้ำ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นว่าพวกเขาจะไปยังไง แต่ไม่ต้องรอให้พวกเขาตอบเธอก็เข้าใจในทันที เมื่อ...

    พวกเขาใช้เวทมนตร์ใส่หางตัวเองแล้วหางของพวกเขาก็กลายเป็นขาเปลือยๆแบบมนุษย์ทันที ชุนมองก็เห็นซุยเรนก็ทำแบบนั้นด้วย

     เขาเลยอดคิดไม่ได้ว่าพวกเงือกต้องเก่งการใช้เวทมนตร์แน่เลย ถ้ามีเวลาเขาก็จะจูบเธอเพื่อที่จะเอาทักษะเธอมาซะหน่อย


    'ต้องมีทักษะเจ๋งๆอยู่แน่ แต่...เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังต้องรีบไปช่วยซีลาร์ก่อน รวมถึงภารกิจช่วยเจ้าหญิงเงือกด้วย...ภารกิจนี่คงรวมถึงการจัดการเมดูซ่าด้วยสินะ' ชุนคิดในใจ


    'เจ้านี่พูดเหมือนง่ายเลยนะ การที่จะจัดการเมดูซ่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ถึงเมดูซ่าข้าคาดว่าจะกำลังทางกายภาพจะน้อยกว่าเจ้า แต่ทักษะเวทมนตร์ความสามารถส่วนตัวมันถือว่าอันตรายมากข้าว่าเจ้าอย่าประมาทจะดีกว่า'


    เบลเลี่ยนเห็นชุนคิดง่ายๆเลยเอ่ยเตือนขึ้น



    'ผมเข้าใจแล้ว...ผมไม่ประมาทหรอกน่า'



    "เอาละถ้าทุกคนพร้อมแล้วก็ตามฉันมาดีๆนะ เพราะที่นี่มีกลไกกับดักเพียบเลยละ"


    ลาร่าเห็นทุกคนพร้อมแล้วเธอก็บอกทุกคนให้เตรียมระวังเส้นทางข้างหน้าให้ดี ก่อนทึ่จะเดินไปที่ประตูหินสีขาวขนาดยักษ์ที่ปิดเส้นทางไปต่อ 

    จากนั้นลาร่าก็เรียกหนังสือเก่าๆเล่มนึงออกมาจากหน้าต่างเก็บของของตัวเอง พร้อมกับพูดอะไรออกมาแต่เป็นภาษาที่ชุนไม่เคยได้ยินมาก่อนและดูจากหน้าทุกคนก็คงไม่เข้าใจเหมือนเขาเหมือนกัน แต่ ณ ที่นี้รู้สึกจะสองคนที่รู้จักภาษานี้


    "นี่มันภาษาชนเผ่าไกลิสโบราณ"

    'ภาษาไกลิสโบราณ'


    อาเธอร์กับเบลเลี่ยนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน เบลเลี่ยนเขาไม่แปลกใจเท่าไรที่เธอจะรู้จักภาษาเก่าแก่นี้เพราะเธออาศัยบนโลกนี้มาหลายร้อยปีแล้ว แต่ที่แปลกใจคืออาเธอร์ตังหาก


    "นี่คุณรู้จักภาษานี้ด้วยเหรออาเธอร์?"

    "อ๋อต้องรู้สิเพราะภาษานี้..."

    'ก็ภาษานี้คือภาษาของชนเผ่าของยัยอัศวินนี่ไง'


    แต่ไม่ทันที่อาเธอร์จะตอบ ก็โดนหญิงสาวห้าวในแหวนสีแดงที่สวมอยู่ในนิ้วของชุนพูดขัดขึ้นมาซะก่อน ทำให้หญิงสาวอัศวินผมบลอนด์มองอย่างค้อนๆ 

    ก่อนจะปล่อยให้เบลเลี่ยนอธิบายให้ชุนไป ชุนเห็นอาเธอร์ทำหน้างอนๆใส่เบลเลี่ยนก็หัวเราะแห้งๆให้กับคู่นี้ ก่อนจะหันมาฟังเบลเลี่ยนอธิบาย


    'ชนเผ่าไกลัสเป็น1ใน4ของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ เผ่าไกลัสเป็นเผ่าของมนุษย์ที่มีพลังแห่งแสงเป็นเผ่าชั้นสูงสุดของมนุษย์ ส่วนอีกสามเผ่าคือ...

    เผ่าไกดีส เป็นเผ่ามนุษย์ชนชั้นที่2 เป็นกลุ่มมนุษย์ที่มีความฉลาดปราดเปรื่องที่สุดพวกนั้นสามารถผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงได้มากมายไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่สามารถสร้างไม่ได้ แต่สิ่งที่พวกต้องแลกก็คือร่างกายที่อ่อนแออย่างมาก

    เผ่าไกโรส เป็นเผ่าที่พลังกายเยอะที่สุดใน4เผ่าพันธ์ุและเป็นเผ่าพันธ์ุที่เย่อหยิ่งมาก เป็นเผ่าพันธ์ุที่มีแต่สตรีทั้งนั้นมีประชากรน้อยสุด แต่ในสมัยสงครามจอมมารพวกเธอก็เป็นกำลังสำคัญทีเดียวแหละอีกอย่างลักษณะเด่นของพวกเธอคือมีผมที่ยาวสีแดงดวงตาสีเงิน ลักษณะเด่นอีกอย่างคือพวกเธอสามารถมีลูกเองได้โดยไม่ต้องมีผู้ชาย พวกเธอจะท้องเองได้พออายุครบ 18 ปี


    ส่วนเผ่าสุดท้าย...


    เผ่าไกอา เป็นมนุษย์ปกติทั่วไปไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยและเป็นชนชั้นล่างสุดของเผ่าพันธ์ุ'


    "อื๊ออ~!!"


    "หืม?เป็นอะไรเหรอเดเบียล่าจัง?"


    ลูน่าหันมาถามอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆเด็กสาวมนุษย์หมาป่าส่งเสียงแปลกๆออกมา ทุกคนพอหันไปมองเธอก็เห็นเธอเอามือปิดจมูกเล็กๆของเธอเอาไว้แน่นและมีท่าทางอึดอัดแปลกๆพิกล


    "กลิ่นน่ะค่ะ...หนูไม่ชอบกลิ่นนี้เลย...กลิ่นมันคาวๆอะ"


    เดเบียล่าทำหน้ายู่ก่อนจะเดินมาหลังชุดและนำเอาเสื้อของเขามาอุดจมูก ชุนก็ยิ้มเล็กๆพลางมองไปที่พวกลาร่าที่ยังคงท่องภาษาไกลิสในการเปิดประตูหินนี่อยู่ ก่อนจะหันมาถามเดเบียล่า


    "กลิ่นมาจากตรงไหนเหรอเดเบียล่า พี่จมูกสู้เดเบียล่าไม่ได้ด้วยสิ ไหนบอกมาสิมาจากตรงไหนเดี๋ยวพี่จะไปดูให้"


    ชุนลูบหัวเธอพลางถามที่มาของกลิ่น ที่เดเบียล่าได้กลิ่นอยู่คนเดียวคงเป็นเพราะมาจากความสามารถของเผ่าพันธ์ุมนุษย์หมาป่าละนะ 


    "งื้อ..."


    เดเบียล่ายังคงนำผ้าปิดปากจมูกไว้แน่น แต่เธอบอกโดยการนำมือเล็กๆนั่นชี้ไปที่ประตูหินบานยักษ์ที่พวกลาร่ากำลังจะเปิด ชุนมองไปทางนั้นก็หรี่ตาลงมองอย่างสงสัยพอถามเบลเลี่ยนกับพวกอาเธอร์พวกเธอก็บอกว่าไม่รู้สึกถึงจิตมุ่งร้ายอะไรจากอีกด้านของประตูหินนี่เลย


    ชุนได้ยินแบบนี้ก็เบาใจ ที่สำคัญตอนนี้ต้องรีบไปช่วยซีลาร์ ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าถ้ำนี่อาจถล่มลงมาได้ถ้าเข้าใช้ปราณในการอัดพังประตูเข้าไปละก็ ป่านนี้เขาคงวิ่งชนทะลุไปถึงไหนๆแล้ว


    "มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวจำนวนมากในห้องนั้นค่ะท่านชุน..."


    "!!!"


    ในขณะที่ชุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เงือกสาวผู้ติดตามของเขาที่ยืนเงียบมาตลอดก็พูดขึ้น เธอพูดพลางมองประตูหินบานยักษ์นั่นอย่างกังวล


    "เจ้ารู้ได้ยังไง??"

    อาเธอร์ถามสิ่งที่ชุนคิดจะถามพอดี ซุยเรนได้ยินก็หันมาตอบด้วยสีหน้ากังวลเช่นเดิม



    "ฉันสามารถรับรู้ทุกสิ่งที่มาสัมผัสกับผิวน้ำที่อยู่บริเวณใกล้ๆกับตัวฉันน่ะค่ะ จะพูดให้ถูกก็คือฉันรับรู้จากการสั่นไหวของผิวน้ำน่ะค่ะ ซึ่งตอนนี้ฉันสัมผัสได้ว่าบริเวณด้านหน้าเรากำลังมีการเคลื่อนไหวจำนวนมากค่ะ"

    เงือกสาวหน้าหวานอธิบายถึงความสามารถของเธอให้พวกชุนฟัง พวกอาเธอร์ก็มองอย่างอึ้งๆเล็กน้อย ชุนเองก็เช่นกัน


    'หึ หึ สมเป็นเผ่าพันธ์ุเงือกที่ถือเป็นเผ่าพันธ์ุที่ดำรงชีวิตคู่กับพื้นน้ำพื้นทะเลจริงๆ....ข้าว่าเจ้าควรศึกษาความสามารถของผู้ติดตามของเจ้าแต่ละคนให้ดีๆกว่า เพราะดูท่ามีแต่พวกมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้นเลยน่าจะใช้เป็นประโยชน์ได้หลายๆด้านเลยทีเดียวนา'

    เบลเลี่ยนหัวเราะเบาๆให้ชุนฟัง 


    แอ๊ด...ครืด


    "เอาละตามมานะทุกคน"


    "อ้ะ!เดี๋ยวสิ!"


    แต่ในขณะที่พวกชุนกำลังคุยกันอยู่ ประตูหินบานยักษ์ก็ได้ถูกเปิดออก ลาร่าก็ได้นำพวกผู้เล่นรัฐบาลของจิ่งหันเผยและเจ้าชายซามูไรนับร้อยคนและพวกทหารเงือกเข้าไปทันทีโดยที่ชุนยังไม่ทันได้ห้ามอะไร





    ติ๋ง...ติ๋ง...


    ทุกคนวิ่งเข้ามาในที่สุด ทางด้านพวกชุนเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากชักอาวุธเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน อาเธอร์ก็เตรียมโล่ห์กับดาบศักดิ์สิทธิขึ้นมา ลูน่าหยิบดาบสั้นขึ้นมา เดเบียล่าก็กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าส่วนซุยเรนเดินอยู่ระหว่างพวกเขาอย่างกลัวๆ



    "คุณลาร่าที่นี่มันอะไรกัน ทำไมที่นี่ถึงมีกลิ่นเหม็นคาวแบบนี้ละเนี่ย..."


    จิ่งหันเผยทำหน้ายู่แบบเดเบียล่าเด้ะ คนอื่นๆก็ปั้นหน้ายากเช่นเดียวกันเมื่อเจอกลิ่นภายในนี้ ทุกคนมองไปรอบๆที่นี่คือโพรงถ้ำขนาดใหญ่มีเนินลาดชันมากมายและมีโพรงถ้ำหลายจุดให้สามารถเข้าไปได้ 


    แต่...ดูท่าต้องปีนเท่านั้นเพราะโพรงถ้ำพวกนั้นอยู่สูงขึ้นไปจากที่พวกเขายืนหลายเมตรทีเดียว



    "เอ...แปลกจัง"


    "มีอะไรเหรอครับลาร่า?"


    ชุนเดินเข้าไปถามนักโบราณคดีสาวอกตู้ม เมื่อเห็นเธอมีท่าทางเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง ลาร่าก็มองรอบๆเล็กน้อยก่อนจะหันมาอธิบายให้ชุนฟัง


    "คือมันแปลกไปจากเดิมกับที่ฉันเข้ามาตอนแรกน่ะค่ะ"


    "แปลกยังไงเหรอครับ?"


    ชุนเลิกคิ้วถาม แต่สายตายังคงกวาดตามองรอบๆ ที่นี่มันมืดมากถ้าไม่ได้แสงจากคบเพลิงของพวกผู้เล่นรัฐบาลของจิ่งหันเผยละก็คงแทบมองอะไรไม่เห็นเลย บวกกับแสงจากคบเพลิงที่สะท้อนกับผิวน้ำตื้นๆตรงเท้าของพวกเขาด้วยจึงช่วยเพิ่มแสงสว่างได้มากทีเดียว


    "คือในตอนแรกน่ะค่ะ มันมีโพรงถ้ำด้านล่างด้วยไม่ได้มีแต่ชั้นบนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีกำแพงที่มีลายแปลกๆมาแทนที่โพรงถ้ำทางเข้าพวกนั้น และที่สำคัญไม่มีโพรงถ้ำที่ใหญ่ขนาดนั้นกับกลิ่นเหม็นคาวแบบนี้ตอนที่ฉันเข้ามาด้วยน่ะค่ะ"


    ลาร่าอธิบายไปพร้อมชี้ไปที่โพรงยักษ์นั่นและมองรอบๆอย่างงุนงง ชุนก็มองตามนิ้วเรียวยาวที่เธอชี้ไป 

    โพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่ตอนนี้มีพวกผู้เล่นไปยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พร้อมพูดคุยกัน



    "กลิ่นมาจากตรงนี้นี่เอง แต่จะว่าไปกลิ่นนี้มันคุ้นๆนา"


    "เจ้าพวกโง่ กลิ่นนี้คือกลิ่นคาวเลือดยังไงละ"


    "!!!"

    มีล่าที่ยืนอยู่หลังพวกมันกล่าวบอกขึ้น ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจหันมามองตากันประมาณว่าเออจริงด้วย


    "กลิ่นคาวเลือด...งั้นที่นี่มันก็อันตรายสิคะ"

    "....."

    "เออจริงด้วย..."

    เดเบียล่าปิดจมูกเดินมาเอ่ยดื้อๆให้ชุนกับมีล่าฟัง ทั้งสามคนพูดกันไม่ทันไรสิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็เกิดขึ้นจนได้


    ตึงงง!!!


    "เฮ้ยประตูปิดเอง!"


    "ลาร่านี่มันอะไรกัน แล้วทำไมเธอไม่รีบพาเราไปต่อละ!"


    จู่ๆประตูหินยักษ์ก็ปิดตัวลงอย่างแรง พวกทหารเงือกและพวกผู้เล่นต่างตกใจตื่นตระหนก มีล่าเองก็เช่นกันเธอเลยหันมาถามลาร่าคนที่นำทางพวกเธอว่ามันเกิดอะไรขึ้น


    "ที่ฉันพาทุกคนไปต่อไม่ได้เพราะ...ทางที่ฉันเคยไปมันหายไปแล้วแล้วมีกำแพงลายประหลาดนั่นมาแทน ส่วนที่ประตูนั่นปิดลงคาดว่าเมดูซ่าจะรู้แล้วค่ะว่าพวกเราจะ...มาทางนี้"


    ครืดดด!!!


    "ชุนดูนั่นกำแพงนั่นมัน!!"

    อาเธอร์ร้องขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่กำแพงที่มีลวดลายแปลกๆนั่นกำลังเคลื่อนไหว  ชุนมองดูลายกำแพงดีๆก็เบิกตาโพลงเพราะนั่นไม่ใช่กำแพงที่มีลวดลายประหลาด 

    ลายนั่นคือเกร็ดของงู...ยักษ์ที่ล้อมรอบถ้ำบริเวณนี้ทั้งหมด เพราะความมืดที่สลัวจึงทำให้มองเห็นมันได้ไม่ชัดทุกคนเลยไม่รู้ตัวกัน


    งั่มม!!!ฉูดดด!!!!


    "อ๊าากกก!!!"


    เสียงร้องของพวกผู้เล่นรัฐบาลดังขึ้นมาจากด้านหลัง ชุนหันไปดูก็เห็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่หุบลงงับเขมือบพวกผู้เล่นนับสิบตรงนั้นจนขาดครึ่งอย่างน่าสยดสยอง


    โพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่ไม่ควรมีอยู่...ที่แท้คือปากของงูยักษ์นั่นเอง







    ที่โลกจริง...



    ปิ๊น ปิ๊น...บรืน



    "ลัล ลา เที่ยวทะเลสนุกจังเลยหนูไปอยากไปอีกจังค่ะคุณพ่อ~"


    ที่ถนนใหญ่ที่ติดแน่นไปด้วยรถยนต์มากมายสาเหตุมาจากการจราจรติดขัด ก็ได้มีรถฟอร์จูเนอร์คันนึงของครอบครัวนึงที่เพิ่งกลับมาจากการไปเที่ยวปิดเทอมหน้าร้อนของพวกเด็กๆกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาครอบครัวอบอุ่น


    ภายในรถคนนี้มีสมาชิกอยู่ 4 คนคือ พ่อ แม่ และลูกสาวทั้งสอง...


    เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่คาดว่าจะเป็นลูกสาวคนเล็กอายุประมาณ 10 ขวบก็กำลังพูดคุยตามประสาเด็กอย่างสนุกสนานกับคุณพ่อของเธอ 


    ส่วนอีกคนนึงที่คาดว่าจะเป็นพี่สาวคนโตอายุประมาณ 14 ปีก็กำลังนั่งดูรูปถ่ายที่ไปเที่ยวกันมาจากกล้องถ่ายรูปด้วยสีหน้ามีความสุข เด็กสาวนั่งมองรูปถ่ายอยู่ซักพักก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป

    คือ...ความเงียบ

    บทสนทนาระหว่างน้องสาวของเธอกับคุณพ่อของเธอเงียบหายไป เสียงรถยนต์ภายนอกที่กำลังติดขัดกับการจราจรก็เงียบไปด้วย


    "......."

    เธอละจากกล้องถ่ายรูปพร้อมมองไปข้างหน้า ก็พบว่า...ทุกคนไม่ขยับ...ทุกคนนิ่งราวกับภาพวิดีโอที่ถูกรีโมทกดให้หยุด เพียงแต่ว่าที่นี่คือเรื่องจริงไม่ใช่หนังในวิดีโอ


    "คุณพ่อคะ...คุณแม่คะ...ดะ..."


    เด็กสาวเรียกคุณพ่อคุณแม่ของเธอ แต่พวกเขาก็ไม่มีท่าทีจะตอบอะไรกลับมา เธอเลยหันไปมองน้องสาวของตนบ้าง แต่พอหันไปเท่านั้นเธอก็พบว่าน้องสาวของเธอกำลังด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกมาทางเธอ


    ก่อนน้องสาวของเธอจะค่อยๆคลี่ยิ้มมา พร้อมกับพูดคำบางคำท่ามกลางความเงียบสงัดนี่


    "พี่คะ...ช่วยหนูด้วย"


    โครมมม!!!!!


    สิ้นสุดคำพูดของเธอ หลังคารถก็ยุบลงมาอย่างรุนแรงราวกับมีของใหญ่ตกมาจากบนฟ้าแล้วทับรถของพวกเธอ หลังคารถบีบอัดร่างน้องสาว พ่อ แม่ของเธอจนร่างกายแหลกเหลวต่อหน้าต่อตาเธอ....รวมไปถึงเธอด้วย





    "อ๊าาา!!!!!!"


    เธอตะโกนลั่นราวกับคนบ้า สายตาของเธอที่มองข้างหน้าราวกับคนบ้าที่ขาดสติ น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างไม่มีสิ้นสุด




    "แฮ่กๆ...ที่นี่...ที่ไหน"


    เธอหอบหายใจอย่างหนักและเร็ว ก่อนจะแปลกใจกับภาพข้างหน้าที่เปลี่ยนไป เธอพยายามตั้งสติเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วมองรอบๆตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่เตียงๆหนึ่ง


    "ฝันงั้น...เหรอ"


    เธอหรี่ตาลงพร้อมกับนำมือมาก่ายหน้าผากแล้วนอนลงที่เตียงนั้น ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเธอฝันไป ส่วนที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาลเพราะสังเกตุจากลักษณะของเตียง เสาน้ำเกลือและชุดที่เธอใส่


    เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอถูกยิง แต่เธอจำได้ว่าโดนยิงเข้าหัวใจเลยนี่นาแล้วทำไมเธอถึงยังไม่ตาย หรือว่าเธอยังคงฝันอยู่...


    ผลัก!ปึง!


    "เดียร์เกิดอะไรขึ้น!"


    "...พี่เมฆ"


    เธอมองไปยังหน้าห้องเมื่อจู่ๆมีชายหนุ่มในชุดกาวพุ่งพรวดเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น เธอเห็นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้ฝันอยู่


    "ขอโทษที่ค่ะ...หนูแค่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ"


    เธอยิ้มตอบเล็กๆด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนแกล้งฝืนยิ้ม หมอหนุ่มเห็นก็รู้ได้ทันทีเพราะในแววตากลมโตสีดำนั่นเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เขารู้เลยว่าเธอคงฝันเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตครั้งนั้นที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเมื่อ 6 ปีก่อนแน่ๆ


    "เธอยังคงฝันถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอยู่สินะ..."


    "....."


    เดียร์พอเห็นหมอหนุ่มรู้ทันเธอก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าที่ทุกข์ใจกว่าเดิม


    "......"


    หมับ


    "พี่เมฆ..."


    หมอหนุ่มเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนจะนำมือของเขาจับเบาๆที่มือเรียวเล็กของหญิงสาว ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมจ้องตาเขา


    "เธอต้องเข้มแข็งขึ้นนะเดียร์...อย่าลืมว่าเธอยังมีน้องสาวของเธออยู่...และเธอเองก็ยังมีอยู่อีกคนนะ  เพราะฉะนั้นเธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะเดียร์"


    "......."


    เดียร์ได้ฟังดังนั้นก็น้ำตาของเธอก็เอ่อไหลออกมา หมอหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ยิ้มจับศรีษะของเธอมาพิงอกแสนกว้างของเขาเบาๆแล้วค่อยลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน



    5 นาทีผ่านไป...


    "เอาละมาเข้าเรื่องเลยดีกว่านะเดียร์ พี่อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วเธอเกี่ยวข้องยังไงกับผู้หญิงคนนี้"


    หมอเมฆว่าขึ้นก่อนจะหยิบกระดาษที่เป็นรูปถ่ายผู้หญิงคนนึงที่หมอเมฆเอามาจากกล้องวงจรปิด เดียร์พอเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นก็เบิกตาโพลงเพราะผู้หญิงคนนั้นคือ....


    "คุณมณี..."









    ปล.ผมจะพยายามหาเวลาว่างมาแต่งนะคับ อิๆ อย่าเพิ่งเกลียดหมอเมฆน่าผมรับประกันว่าเดียร์คือนางเอกของภาค ๑ คับชุนก็คือพระเอกยังไงก็คู่กันอยู่แล้ววว ก็เคยบอกว่าไม่มีNTR 555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×