ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ALIVE or DEAD

    ลำดับตอนที่ #43 : บทที่ 42 ต้องแลก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 170
      2
      6 ส.ค. 58

    บทที่ 42 ต้องแลก

    บึก!

    แล้วผมก็รู้สึกว่า....ทุกอย่างข้างหน้าเริ่มมืดไปหมด

     ผมพยายามมองหาคนที่ตีหัวของผมแต่ผมก็ดันมองอะไรไม่เห็นซะก่อน....

     

    "!!"

    หมับ!

    "ผัวะ!"

    "อั้ก!"

    "พล!!

    ด้วยที่เหตุการณ์อะไรไม่รู้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว   ผมที่คิดว่าโดนอะไรบางอย่างตีเข้าที่ข่างหลังจนภาพทั้งหมดหายไป   ผมก็คิดว่าผมสลบไปแล้ว   แต่จู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว   และร่างกายของผมก็ขยับไปเองตามสัญชาตญาณโดยที่สมองของผมยังไม่ได้สั่งการอะไร 

    มือของผมก็เข้าไปคว้าท่อนเหล็กที่ฟาดเล็งลงมาที่ด้านหลังศรีษะของผม  แล้วแย่งดึงออกมาจากมือที่กำแน่นของคนที่ทำร้ายผม   จากนั้นก็หมุนเหวี่ยงฟาดกลับไปที่ใบหน้าของคนผู้นั้นจนล้มลงไปจ้ำเบ้ากับพื้นแล้วก็ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงคนนึงที่ฟังดูคุ้นหู 

     

    แต่ผมก็เอะใจกับชื่อที่เธอเรียกด้วย.....พล...อ้ะ!

     

    " ฟ้าใส! แล้วที่ล้มลงก็ ไอ้พล!!"  

    พอประตูที่เปิดมาแง้มออกกว้างพอ  จนเห็นร่างของเด็กสาวที่คุ้นเคยขึ้นอีกครั้ง  เธอก็คือฟ้าใสนั่นเอง   ผมไม่รู้ว่าพวกเธอสองคนเจอกันได้ยังไง  แต่ที่แน่ๆคนที่ผมฟาดลงไปคือ หนึ่งเพื่อนก๊วนของผม!

    "ไอ้พลเป็นอะไรรึเปล่า โทษทีนะเว้นที่ฟาดแกไป ก็แกดันฟาดเข้ามาก่อนนี่หว่า!"  ผมรีบไปดูไอ้พลที่โดนผมฟาดจนล้มลง  แล้วนั่งด้วยท่าทางมึนงง

     

    "อะ...ไอ้เมฆ!แกเองเหรอวะ!"

    พลพอตั้งสติได้  เงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียงที่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ตรงหน้า  ก็พบว่าคนที่ฟาดหน้าเขาคือเพื่อนของเขาเอง

    "โถ่ไอ้บ้าเอ๊ย! นึกว่าม่องเท่งไปซะแล้ว ไอ้เวรนี่!

    ซวบ!

    "เฮ้ย!"

    จู่ๆไอ้พลก็พุ่งเข้ามากอดผมจนล้มลง   ผมที่ตกใจ แล้วกลัวว่าความสัมพันธ์อาจจะเกินเพื่อนโดยไม่ทันตั้งตัว  ก็เอาเท้าถีบเข้าที่ใบหน้าของมันเข้าเต็มรัก

    ผัวะ!

    "..........อ่า โทษทีว่ะ"

      ผมเอาเท้ายันมัน  มันที่โดนก็หน้านิ่งโดยมีเท้าของผมที่ตอนนี้ประทับอยู่บนใบหน้าของมัน   ก่อนจะมีเลือดไหลลงมาจากใต้รองเท้าของผม   แล้วไอ้พลก็หงายหลังไปในที่สุด....

     

    "เวรกรรมอย่าเพิ่งสลบสิเฮ้ย ข้ามีเรื่องจะถามตั้งเยอะ...."

      ผมที่กำลังร้อนรนอย่างมึนงง  จะรีบเข้าไปเรียกมัน  แต่ก็พบว่ามันดันสลบจริงๆ (นอกจากจะถีบเต็มแรงแล้ว  เพราะผลจากการทดลองทำให้เมฆมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าคนปกติ  เลยสลบง่ายมาก)   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วปล่อยมันไปให้มันนอนสลบไป 

     

    จะว่าไป....ผมจำได้ว้าถูกตีไปแล้วนี่นา....หรือว่า...

     

    ผมก้มลงที่มือของตัวเอง   และคิดว่า...

     

    'อย่าบอกนะว่าประสาทสัมผัสของเราเพิ่มขึ้นอีกแล้ว'

     

    ผมคิดขึ้นมาในใจ   นี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณรับรู้เหตุการณ์อันตรายล่วงหน้า  แล้วสามารถกลับมาแก้ไขได้ทัน....ผมรู้แบบนั้นก็ชักขนลุกถึงความสามารถของตัวเอง  ก่อนจะ....ยิ้มกริ่มด้วยท่าทางพอใจ

     

        จากนั้นผมก็หันไปหาเด็กสาวที่ยืนอยู่หลังผม   เธอพอเห็นผมมองมาก็รีบหลบตาทันที  พร้อมกับหน้าแดงขึ้นมา  เธอเอามือประสานกันไปมาทั้งสองมือ  พร้อมบิดตัวไปมาด้วยท่าทางเขินอาย 

    และท่าทางของเธอทำให้ผมนึกได้ว่าเป็นเพราะอะไร....ผมก้สะดุ้งขึ้นทันทีแล้วหน้าแดงเล็กน้อย

     

    แต่เรื่องนี้ต้องเอาไว้ทีหลังก่อน  เจอฟ้าใสก็ดีเหมือนกันจะได้ช่วยกันหาทางออกจากที่นี่    แล้วจะได้รีบช่วยสุดา กับศักดิ์ให้ออกจากที่นี่ก่อนพวกนั้นจะตายซะก่อน

     

    ตึก ตึก

    "ฟ้าใส...."

      ผมเดินไปที่เธอ  เธอที่เห็นผมเดินมาก็ตกใจผงะถอยหลังไปเล็กน้อย   ผมเห็นแบบนั้นก็กลัวเธอจะกังวลเรื่องนี้มากเกินไป  ก็เลยทำบางอย่างเพื่อให้เธอผ่อนคลายลง

    หมับ

    " ฟ้าใส...เรื่องของพวกเราเอาไว้ก่อนนะ   ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องให้เธอช่วย"

       ผมเดินไปกุมมือเธอ เธอก็ตกใจหน้าแดงเล็กน้อย   และพอผมพูดแบบนั้นไปก็ทำให้เธอกล้สเงยหน้าขึ้นมามองผมตรงๆ (ด้วยสายตาค้อนๆ-_-)

     

          "เรื่องอะไร" 

            ฟ้าใสถามผม  และผมก็เล่าทุกอย่างไปหลังจากเธอแยกทางกับผมและขวัญข้าวไป   ผมเล่าที่หนีฆาตกรนั่น  เรื่องที่เจอพวกศักดิ์กับสุดาและที่ต้องรีบหาทางออกเพื่อช่วยพวกเขา   เรื่องที่เจอที่ห้องประปาหมายเลข 1   ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ทดลอง 001   จนไปถึงผู้สร้างและการวิจัยมากมาย  และพลังของระบบประสาทของแต่ละเปอร์เซนต์อย่างระเอียดถี่ถ้วน   และพร้อมทั้งบอกแนวคิดแก้ปัญหาที่ผมสมมติฐานขึ้น   โดยขั้นแรกต้องไปที่ห้องประปา 2 ซะก่อน

     

              และถ้าไปถึงก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดรึเปล่า  สิ่งที่อยู่ในนั้นจะช่วยแก้ปัญหาที่หนักหนานี่ได้มั๊ย   แต่ก็จำเป็นต้องทำ   แต่ก่อนหน้านั้นก็พบกับทางนี้ซะก่อน  พอเห็นว่ามีห้องขนาดใหญ่นี่ก็นึกสนใจ  คิดว่าน่าจะมีการทดลองอะไรอีกที่แยกออกไปจาก ห้องประปาหมายเลข 1

     

       ฟ้าใสฟังดังนั้นเธอเองก็ไม่แปลกใจอะไรเท่าไร   เพราะเรื่องที่เธอรู้มาก่อนหน้านั้นก็เหมือนกับที่รู้มาจากศูนย์วิจัยที่พวกพ่อแม่ของเธอ....ไม่สิไม่ใช่พ่อแม่   ที่หนีออกมาจากศูนย์วิจัยของพวกนักวิทยาศาสตร์นรกพวกนั้น  

     

       และพอฟังจบเธอเองก็เล่าเรื่องทางฝั่งของเธอก่อนที่ผมจะถามขึ้นมา   ตั้งแต่แยกหนีออกมาจากผม กับ ขวัญข้าว   เธอก็วิ่งหนีอย่างไม่หยุดพลางร้องไห้ไปด้วย (พูดถึงท่อนนี้  ผมก็สะดุ้ง  แล้วเธอเองก็หันมองค้อนมาที่ผม)    แล้วเธอก็เล่าต่อ   พอเธอหยุดร้องไห้   แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมกับขวัญข้าวไม่น่าจะรู้ทาง  และอาจหลงได้จึงทำท่าจะวิ่งกลับไป...

     

            และก็เห็นว่าตอนนั้น  ฆาตกรถือค้อนนั่นกำลังบีบคอผมพอดี   ตอนนั้นเป็นช่วงที่ขวัญข้าวเอาปลายแหลมของคบเพลิงที่ติดไฟ   แทงไปที่ลำคอของฆาตกรนั่น...

          เธอเห็นดังนั้นก็โล่งอกที่ขวัญข้าวช่วยผมไว้ได้ทัน   แต่ก่อนจะเปิดปากเรียกผม  เพราะเธอคิดว่าฆาตกรตายสนิทแล้ว   แต่พอดูดีๆร่างของฆาตกรนั่นไม่ได้ไหม้ไปกับเปลวเพลิงมากอย่างที่คิด    และมันกลับลุกขึ้นวิ่งเข้ามาหมายจะฆ่าผมกับขวัญข้าว   เธอก็กำลังจะตะโกนร้องเตือน

     

             แต่.....เสียงปืนของศักดิ์ก็ดังขึ้นซะก่อน   และพวกศักดิ์ก็ช่วยพวกผมกับขวัญข้าวเข้าไปในประตูบานนั้น   เธอที่เห็นดังนั้นจึงคิดว่าหาโอกาสอื่นมาหาพวกผมดีกว่า  เพราะฆาตกรนั่นขวางทางเอาไว้ทำให้ไปหาไม่ได้   แต่ก่อนที่เธอจะหนี   ฆาตกรนั่นก็เหลือบมองเห็นเข้าพอดี   ทำให้เธอวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุน   จนมาถึงห้องนี้  แล้วก็ปรากฏว่ามันล๊อค...

    และก่อนที่ฆาตกรนั่นจะง้างค้อนทุบใส่ร่างของเธอ  เพื่อให้ร่างกายของเธอใบหน้าของเธอ  แหลกเหลวไปตามที่มันตั้งใจ   พลก็เปิดประตูออกมาจนร้างของฟ้าใสที่พิงกับประตูตอนที่กำลังเตรียมใจตาย   ก็ล้มเข้าไปข้างใน  และรอดอย่างเฉียดฉิว

     

    หลังจากนั้น  พอรอดมาได้ซักพักก็อธิบายเรื่องต่างๆให้พลได้รู้  เพราะตอนนั้นพลสงสัยระแวงเธอมากว่าเป็นใครมาจากไหน  เธอก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง   แต่พลก็ไม่เชื่อเธอพร้อมระแวงมากกว่าเดิม  เพราะสิ่งที่รู้มานั้นมันไม่ธรรมดา   แต่ก่อนที่พลจะจับเธอมัดเข้ากับเสาเพื่อกันไว้ก่อนจนกว่าจะเชื่อใจได้ 

     

    ก็มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา  พลเห็นดังนั้นก็หยิบท่อเหล็กที่อยู่ข้างๆประตูฟาดอย่างทันทีไม่ลังเล   เพราะเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ล็อคประตู  ตอนแรกที่ช่วยฟ้าใสมา  พร้อมทั้งตอนปิดไม่ได้ล๊อคประตูเพราะรีบร้อนทำอะไรไม่ถูก   ถ้าเจ้าฆาตกรนั่นเอามือเปิดเข้ามาก็เข้าได้แล้ว  

    แต่มันดันโง่กว่าที่เขาคิด  มันดันมัวเอาค้อนทุบประตูเหล็กกล้าอยู่นั่นแหละ  จนมาถอนใจ เดินออกไปโดยไม่สนใจเหยื่อตรงหน้าที่ฆ่าไม่ได้แล้ว.....และหลังจากนั้นก็อย่างที่เห็นปัจจุบันนี้  ว่าคนที่เปิดเข้ามาคือผม...

     

    "อ่า....เป็นหยั่งงี้เองสินะ"  

    "!!"

    โดยที่ผมกับฟ้าใสไม่ทันตั้งตัว   จู่ๆพลก็ลุกขึ้นพูดโพล่งขึ้นมา  พร้อมกับเอามือลูบใบหน้าตัวเองที่มีรอยตี...เอ๊ย ! รอยเท้าของผมประทีปประทับบนใบหน้าของมัน

    "ฟ้าใสเป็นแฟนนายนี่เอง  ทีนี้ฉันก็เชื่อเธอได้แล้วละ   ว่าที่เธอเล่ามาทั้งหมดก่อนหน้านั้นให้ฉันฟังว่าเป็นเรื่องจริง"

      พลหันยิ้มไปทางฟ้าใส   เด็กสาวหน้าตาน่ารักเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล  ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงร้อนผ่าวจนไปถึงใบหู

     

    "ก็บอกแล้วว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง....อ้ะ!  ยกเว้นเรื่องแฟนนะ  ฉันไม่ได้ป็นอะไรกับเมฆแค่เพื่อนสมัยเด็ก....เท่านั้น"

      ฟ้าใสที่รู้ตัวก็ปฏิเสธทันควัน   แต่พอถึงประโยดหลังเธอก็เสียงอ่อยเบาลง   ผมเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย  ก่อนจะกล่าวเรื่องนึงขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

     

    "พล....เรื่องของกฤตนายรู้รึยัง"   ผมเงยหน้าถามมันด้วยสายตาเป็นกังวล

    ".....ฉันรู้แล้ว  เพราะฉันเองก็เป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด..."

    "นายว่าอะไรนะ แล้วตกลงใครเป็นคนฆ่ากฤต!!

     ผมวิ่งเข้าไปจับไหล่ของมันถามด้วยอาการร้อนรนอย่างรุนแรงแฝงด้วยความโกรธแค้น   และอีกเรื่องทำให้พิสูจน์ได้ว่า เดียร์คือคนร้ายจริงๆหรือเปล่า....และหวังว่าคำตอบจะทำให้ผมพอใจ

     

    พลทำท่ามองผมอย่างกังวล  ก่อนจะตอบเบาๆออกมาราวกับเสียงกระซิบว่า....

     

    "คนฆ่าไอ้กฤต...คือเดียร์"

     

    ทางด้านพวกวัฒน์

    ห้องรับประทานอาหาร

    ชั้น 1

    "พวกเรา....ออกไปจากที่นี่เถอะ"

    "!!"

    จู่ๆห้องที่กำลังเงียบสงบ  ไม่มีเสียงใครพูดใครจามาได้ซักพัก  รวมไปถึงขานที่ตอนแรกพูดด้วยท่าทางราวกับผู้นำ   แต่ตอนนี้มีเรื่องเครียดๆดาหน้าเข้ามายากที่จะรับมือ  ทำให้เขาไปยืนพิงผนังอยู่มุมห้องอย่างใช้ความคิด

    แต่จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา   ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน  นั่นก็คือ....เดียร์ นั่นเอง

    ทุกคนพอเห็นเดียร์พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบและตึงเครียดนี่  ก็ทำให้ใจของใครหลายๆคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดและรู้สึกผิด  เหมือนกับได้พบทางสว่างขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ  แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

     

    "ที่เธอพูดหมายความว่าไงเดียร์..."  

    วัฒน์ที่ตอนนี้เริ่มทำใจได้แล้ว   ก็พูดขึ้นมาแต่ดูจากใบหน้าก็รู้แล้วว่า.....เขาตอนนี้ทำใจได้แล้วว่า  เมฆเพื่อนสนิทของเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ....

       เขาที่คิดถึงนิสัยของเพื่อนคนนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าถ้ายังทำตัวแบบนี้   หมอนั่นที่ตายไปคงไม่พอใจเป็นแน่ 

     สิ่งที่เขาต้องทำคือ...ช่วยเหลือทุกคนแล้วหาหนทางรอดช่วยเหลือเพื่อนๆที่เหลือให้ได้   และไปตะบันหน้าไอ้พวกนักวิทยาศาสตร์พวกนั้น   เขาพูดพลางเหลือบไปมองกล้องเล็กๆที่เล็กมากถ้าไม่สังเกตดีๆก็จะมองไม่เห็น   แต่เรื่องนี้เป็นหลักพื้นฐานอยู่แล้วการทดลองนี่ที่เจ้าของการทดลองต้องรับรู้

      แต่ไม่สามารถมาเห็นกับตาของผลการทดลองของตัวเองได้    ก็ต้องมีบางอย่างเพื่อถ่ายทอดภาพเหล่านั้นให้ตัวเองได้เห็น  ซึ่งนั่นก็คือกล้องเล็กๆที่ซ่อนตามมุมผนังห้องเหล่านั้น 

     

    และเดียร์ที่พูดขึ้นมาแบบนั้น  ก็ทำให้เขาตาสว่างขึ้นมากกว่าเดิม   เขารู้ว่าเดียร์หมายถึงอะไร  เพราะเธอเองก็ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาจากฟ้าใสที่รู้ลู่ทางทั้งหมดของคฤหาสถ์นี้ดีพอสมควร  เหมือนกับเขา  แต่ที่เขาแปลกใจ  ก็คือดูเดียร์?จะไม่แสดงออกมาถึงความทุกข์ร้อนอะไรเลย   ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ.....

    "............"

    เขามองไปที่ขาน  ขานที่แสดงสีหน้าแบบนั้น  พร้อมจ้องเดียร์อย่างระแวง   แสดงว่าขานเองก็คิดเช่นเดียวกันกับผม

    "พวกเธอทุกคนก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า  ทางออกของที่นี่อยู่ที่ไหน"

          เดียร์พูดขึ้นพลางย้อนนึกไปในสิ่งที่ฟ้าใสเคยพูด   ทางออกตอนนี้คือประตูแรกที่พวกเราทุกคนเข้ามาในตอนแรก   ประตูใหญ่บ้านนั้น  ที่มีนาฬิกาเรือนใหญ่ตั้งอยู่หน้าทางขึ้นบันได    รวมไปถึงห้องนั่งเล่นในตอนนั้น   นี่เป็นทางออกแรกที่อยู่ในหัว   ส่วนทางออกที่ 2  อยู่ที่คฤหาสถ์ที่เชื่อมต่อกันอีกหลัง 

     ทางออกแรกฟ้าใสบอกว่ามีคนของเธอเปิดประตูอ้ารอไว้ให้แล้ว   ที่ต้องทำแบบนั้น  ที่ต้องไม่ให้ประตูปิดนั้นเพราะว่า....

     

    ถ้าประตูปิดลงก็จะไม่สามารถเปิดได้เฉพาะจากด้านใน  แต่ถ้าคนจากด้านนอกมาเปิดก็จะเปิดให้ได้   นี่ก็เป็นกลไลรูปแบบนึงที่ฟ้าใสรู้และบอกมา   ส่วนทางหน้าต่างนั้นก็กรณีคล้ายๆกัน   คือทุบให้แตกหรือเปิดออกจากด้านในไม่ได้   สามารถเปิดหรือทำลายได้จากด้านนอกเท่านั้น

          และอีกเรื่องคือเรื่องกระจกแตกที่วัฒน์ถาม   ในตอนแรกๆที่มีเสียงกระจกแตกและตามพื้นก็มีเศษกระจกเหล่านั้น   แต่ไม่มีกระจกบานไหนแตก   นี่ก็เป็นกลไลระบบป้องกันของมันเช่นกันคือ  กระจกที่ถูกทำลายจากด้านนอก...

     

    .....ตอนนี้ที่นึกสงสัยเล็กน้อยว่าเป็นใครที่เป็นคนที่ทุบกระจกเข้ามา   แต่พวกเธอก็คิดว่าเป็นฆาตกรเหล่านั้น   เพราะหลังจากกระจกแตกไม่นาน  ฆาตกรก็ไล่ฆ่าพวกขวัญข้าวที่อยู่ในห้องนั่งเล่นใกล้ๆทันที

    เธอก็สรูปได้ว่าคือ...ฆาตกรถือขวาน

    กลับมาที่กลไลกระจกหน้าต่าง   ทันทีที่มันแตกหรือถูกทำลาย  มันก็จะจะเอากระจกหน้าต่างบานใหม่ขึ้นมาอย่างทันที  เพื่อป้องคนออกจากด้านใน 

     

    " พวกเราจะออกจากประตูทางที่เราเข้ามากัน "   เดียร์พูดขึ้นมาต่อ

    "เธอ....จะไม่รอ..."   วิยดาพูดขัดขึ้นมาเบาๆ

    "ฉันรู้...วิยดา   พวกเราไม่มีทางเลือกถ้ารอต่อไป   ฆาตกรอาจจะมาถึงห้องนี้จนได้  และพวกเราก็จะตายกันหมด  แต่พวกเธอลองคิดดีๆถ้าเรารีบออกจากที่นี่   แล้วไปเรียกคนมาช่วย  ก็อาจกลับมาช่วยพวกเขาได้ทันนะ"  เดียร์เดินมากุมมือวิยดาที่กำลังทำสีหน้าเคร่งเครียด

    "เข้าใจแล้ว" 

    วิยดาพยักหน้า   และสายรุ้งก็เข้ามาปลอบ....

    "เดียร์แล้วพวกธันละ" 

     ริณที่อยู่ข้างๆกระซิบข้างหูเดียร์   เดียร์ก็หันมาพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย   ทำให้ริณถอดสีหน้าอย่างทำใจ   เดียร์ก็คงไม่รอพวกธันเช่นเดียวกัน 

    "ตกลงพวกเราจะออกจากประตูแรกโดยไม่รอพวกเมฆแล้วสินะ...."   ขานเอ่ยขึ้นมาเบาๆ   ถึงเขาจะระแวงเดียร์มาก   แต่จากที่ฟังมาเดียร์ก็มีเหตุผลอยู่

     

    "อื้อ..."   เดียร์พยักหน้าตอบ  

    'ฮึ พวกแกอย่าหวังว่าจะรอดออกไปได้เลย   ฉันจะฉวยโอกาสเปิดกับดักระหว่างทางฆ่าพวกแกให้หมดทีละคนๆ   ดีนะทางออกประตูแรกมีกับดักอันตรายพอสมควร  แต่ตอนแรกมันยังไม่ทำงานพวกนี้เลยรอดมาได้'

    วัฒน์มองมาทางเดียร์ที่กำลังยิ้มกริ่มโดยไม่รู้ตัว   สายตาของเธอทำให้วัฒน์สะดุ้งด้วยความกลัว   วัฒน์รู้ว่าการออกจากที่นี่ครั้งนี้อาจจะนำมาสู่หายนะของพวกเขาก็ได้

    ถึงเขาจะไม่มีหลักฐานบอกว่า........เดียร์เป็นคนฆ่ากฤตก็เถอะ

     

         ใช่ ..... ตอนนี้วัฒน์ได้รู้แล้วว่าคนที่ฆ่ากฤตจริงๆคือใคร   ตอนที่เดียร์กับเมฆออกจากห้องสมุดตอนนั้น   เขาที่ตื่นมาพอดีก็แอบตามไปจนได้ฟังคนทั้งสองพูดกัน   และก็เห็นด้วยว่าเดียร์เป็นคนเอาเข็มอะไรบางอย่างฉีดเข้าที่คอของเมฆ  

    แต่ยังไม่ทันทำอะไร  ฆาตกรถือค้อนนั่นก็มาซะก่อน   และหลักฐานทั้งหมดที่จะชี้ว่าเดียร์เป็นคนร้าย  รวมถึงเรือง 001ด้วย  เขารู้ทุกอย่างแต่ไม่สามารถบอกทุกคนได้เพราะไม่มีหลักฐาน   หลักฐานทั้งหมดตกไปพร้อมกับร่างของเมฆแล้ว   สัญลักษณ์ตัวDนั่น   เขาต้องรีบทำอะไรซักอย่างก่อนจะเข้าแผนของเดียร์  ถึงจะรู้ว่าที่เธอพูดมาอาจเป็นทางออกของจริง

    แต่มันก็ไม่น่าง่ายหยั่งงั้น.....

     

    "..........."

    วัฒน์เหลือบมามองกล้องตัวเล็กนั่น  

    'พวกนี้ไม่ปล่อยพวกเราไปง่ายๆหรอก....'

    เขาคิดในใจแล้วกล่าวขึ้นมากลางห้อง   แต่ก่อนจะพูดอะไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาหน้าห้อง

    ก๊อก ก๊อก!  ก๊อก!  ก๊อก ก๊อก! ก๊อก!

    "นี่มันสัญลักษณ์เคาะอย่างที่พวกนายบอกนี่นาขาน!"

       นิดเอ่ยขึ้นมาเสียงดังพร้อมหันไปมองทางขาน  ขานที่กำลังงุนงงอยู่พอนับจังหวะเคาะของมัน 2 1 2 1   เขาก็ยิ้มแฉ่งขึ้นมาพยักหน้าให้กับนิด   พวกวัฒน์ได้ยินเสียงเคาะนี่ก็สีหน้าดีใจไม่ต่างจากพวกเขา

    คนที่เคาะแบบนี้ได้  ก็คือพวกเมฆแน่นอน

     

    "นิดไปเปิดให้พวกเมฆ!"

         วัฒน์ตะโกนบอกนิดที่อยู่ใกล้ประตูสุดทันที   นิดพยักหน้ารับพร้อมวิ่งไปเอาสิ่งกีดขวางออกก่อนจะเปิดประตูออกมา  เพื่อจะยิ้มต้อนรับพวกเมฆ   ที่รอดมาได้อย่างปลอดภัย  คนส่วนมากอาจไม่รู้

        แต่นิดเป็นคนคนนึงที่ชอบเมฆเป็นอย่างมาก   เนื่องจากอยู่ห้องเดียวกับเขาเช่นเดียวกับแป้งและแพร   แต่ตอนที่เจอครั้งที่เมฆโดนธันซ้อม  พวกเธอกำลังตื่นกลัวเลยไม่ได้ห้ามออกไป  แถมยังเชื่อที่ธันพูดอีก   เธอยิ่งรู้สึกเสียใจมากกับการกระทำของตนเอง......

     

          เธอเองก็หาโอกาสจะคุยกับเขาหลายครั้งตั้งแต่ที่ห้องสมุด  ที่วัฒน์พาพวกเธอไปพัก    แต่เขาดันอยู่กับพวกขวัญข้าว  เดียร์ตลอด   ยิ่งเรื่องฟ้าใสแล้วยิ่งแล้วใหญ่    โอกาสที่จะสนิทสนมกับเขาก็ค่อยๆเลือนหายไป

    แต่นี่ไม่ใช่การที่ต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว   ทันทีที่รู้ว่าเมฆที่คิดว่าตายไปแล้วรอดมาได้นั้น   ทำให้เธอสามารถกล้าออกไปตรงๆ   ทันทีที่เปิดประตูออกมาจะเข้าไปกอดเขาทันที  จะปลอบเขา  จะสารภาพรักกับเขาทันที....

    ให้ไม่ทันตั้งตัวเลยคอยดูสิ....

     

    แอ๊ด!

    "เมฆดีใจที่เธอ....เอ้ะ...เด็ก...!"

    ฉึกกก!!

     

            นิดมองไปข้างหน้าก็พบว่าไม่ใช่พวกเมฆ   แต่กลับเป็นเด็กตัวเล็กอายุน่าจะประมาณ 10 ขวบผิวขาวซีด   ผมยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้า   และก่อนที่เธอจะถามอะไรเด็กคนนั้น

    ก็รู้สึกว่ามีอะไรพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว  และมองไม่ทัน    พอรู้สึกว่ามันผ่านไปแล้ว   เธอก็รู้สึกเย็นๆที่กลางศรีษะ    เธอรู้สึกเหมือนมุมมองการมองของเธอกำลังแยกออกจากกัน    ภาพของเด็กน้อยตรงหน้าแยกออกเป็นสองรูป....

    จากนั้นภาพก็มืดหายไป....

    แพละ!

     

          ราวกับเวลาได้หยุดลง   ทุกคนในห้องเงียบสงัดต่อภาพตรงหน้า  ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว   ศรีษะของนิดถูกผ่าครึ่งและแยกตกลงมากองเละบนพื้นดังแพละ   เศษเนื้อสมองของเธอก็กระเด็นซึมเปียกไปตามพื้นพรมสีแดง   น้ำจากไขสมองก็ซึมลงไปบนพรมนั่น

    ฉูดดด!!

    ตุบ

    ร่างของเด็กสาวไร้ศรีษะก็มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอที่ขาดออก  ก่อนจะล้มลงไปกองกับพรมแดง   เลือดที่พุ่งออกมาก็ซึบกับพรมสีแดงเข้ากันอย่างน่าประหลาด

    พอร่างของเด็กสาวล้มลง...ก็ทำให้เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าของร่างของนิด

     

             เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ  ผิวขาวซีดผมดำยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้า   ใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวที่เต็มไปด้วยรอยเลือด   มือทั้งสองข้างของเด็กน้อย  ถือดาบยาวทั้งสองเล่มกับมือทั้งสองข้าง  

    ดาบทั้งคู่เต็มไปด้วยเลือด.....

     

    ความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นตรงหน้า   ทำให้ทุกคนหยุดหายใจไม่ขยับไปไหน   แต่คนที่หวาดกลัวที่สุดคือเด็กสาวหน้าสวยเจ้าของผมดำยาวดวงตาสีน้ำตาลเฮลเซนัท  เธอจ้องไปที่เด็กน้อยคนนั้นด้วยดวงตาเบิกโพลง   ด้วยความหวาดกลัว

    เดียร์ที่ปากสั่นข่มความกลัวไว้ไม่อยู่....

    ก็..พูดอย่างเสียงสั่นๆขึ้นมาว่า......

     

    "ฆาตกรถือดาบ"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×